การตั้งชื่อด้วยรหัสตัวเลขที่สลับกันไปมา เหมือนเจ้ามือไพ่ที่กำลังแจกสำรับ ดูเหมือนเป็นความพยายามของ Audi ที่ สร้างความสับสนให้กับลูกค้า เนื่องจากที่ผ่านมา มีการกำหนดกลยุทธ์การตั้งชื่อรุ่นด้วยรหัสตัวเลขที่ย้อนแย้งและทำให้เกิดความเข้าใจผิด ด้วยรหัสตัวเลขที่มีทั้งเลขคู่และเลขคี่แบบล่อกันให้นัว จนบอร์ดบริหารถึงกับปวดขมับ นี่คือรถเอสยูวีอีกรุ่นที่ Audi ใช้ชื่อที่ซ้ำกับรถที่มีอยู่แล้ว นั้นก็คือ Q8 e-tron ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ Q8 ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินไฮบริดแม้แต่น้อย นั่นเป็นการปรับโฉมของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก หลังจาก e-tron SUV ซึ่งแบรนด์สี่ห่วงได้ทำการเปิดผ้าคลุมไปในปี 2019 ออกขายมานานจนต้องมีตัวตายตัวแทนออกมาสานต่อ หลายคนมองว่า Q8 e-Ton เป็นคู่แข่งของ EQE SUV ทรงอ้วนกลม และพี่นกฮูก iX ของ BMW ซึ่งหน้าตาแบบนี้ มีแต่คุณแม่บ้านเท่านั้นที่จะหลงรักมันได้ แนวคิดทำรถไฟฟ้าให้ขับเหมือนรถสันดาป ทำให้ Q8 มอเตอร์คู่ แตกต่างจากคู่แข่งทั้งสองอย่างสิ้นเชิง
...
Audi e-tron SUV เปิดตัวในปี 2019 ในช่วงเวลาที่รถ SUV ไฟฟ้าขนาดใหญ่หรูหรายังมีน้อย หลังจากนั้น ตลาดรถหรูที่ผลิตโดยแบรนด์เยอรมันชั้นนำ โดยเฉพาะรถไฟฟ้า ก็เต็มไปด้วยรถพลังงานสะอาดระดับพรีเมียมที่ขายไม่ค่อยจะดีเท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็น BMW iX, Mercedes EQE SUV, Lotus Eletre และ Tesla Model Y คู่แข่งหน้าใหม่กัดกร่อนความได้เปรียบในการแข่งขันของ Audi e-tron SUV อย่างรวดเร็ว ในช่วงปลายปี 2022 แบรนด์สี่ห่วงจากเยอรมนี ได้ปรับโฉมรถรุ่นท็อปที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ นอกจากจะใช้ชื่อรุ่นที่ซ้ำกับ Q8 แล้ว รถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ของ Audi ยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้น รูปลักษณ์ที่ปรับปรุงใหม่ ใส่อุปกรณ์มาตรฐานเพิ่มเติม ด้วยราคาเริ่มต้น 4 ล้านกลาง Q8 Sportback e-tron เป็นรถ SUV สไตล์คูเป้ที่โฉบเฉี่ยวกว่า มีพื้นที่เหนือศีรษะด้านหลังน้อยลงเล็กน้อย พื้นที่เก็บสัมภาระก็ลดลง แต่ในความเป็นจริง Q8 Sportback e-tron เป็นหนึ่งในรถเอสยูวีไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริง พร้อมราคาที่ลดลงเมื่อเทียบกับต้นทุนโดยรวมของตัวรถ โดยเฉพาะอัตราภาษีนำเข้าที่ได้รับการลดหย่อนนิดเดียว แตกต่างจากรถไฟฟ้าจีนที่ได้รับการยกเว้นภาษีอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นแนวคิดของรัฐบาลลุงตู่เพื่อให้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงพลังงานขับเคลื่อนที่สะอาดกว่าเดิม (แม้จะไม่มากก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย)
Audi Q8 e-tron Sportback ราคา
Q8 55 e-tron Sportback quattro S Line Black Edition 4,599,000 บาท
ส่วนลด 1,200,000 บาท ในรุ่น Q8 e-tron 55 quattro จาก 5,799,000 เหลือ 4,599,000 บาท วันนี้ – 31 สิงหาคม 2025
รับประกันคุณภาพ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง 5 ปี
...
Q8 e-Tron ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนายานยนต์พลังงานสะอาดของแบรนด์สี่ห่วงทนหายห่วง เมื่อเทียบกับ EQE SUV และ iX แล้ว Audi Q8 ไฟฟ้า เป็นรถเอสยูวีพลังงานสะอาดที่ดูเล็กกว่าแต่ขับได้อย่างเฉียบคม โดยมีฟิลลิ่งแทบจะไม่แตกต่างไปจากรถเอสยูวีเครื่องสันดาปภายในของ Audi ความตั้งใจในการดีไซน์สัดส่วนให้สวยงามลงตัว ไดนามิกลอกเลียนแบบมาจากรถที่ใช้น้ำมัน ถือเป็นการจูนอัพระบบขับเคลื่อน ช่วงล่างและชุดบังคับเลี้ยวโดยมือขั้นเทพอีกเช่นเคย Q8 ไฟฟ้า หลังคาโค้งรุ่น Sportback มีรูปลักษณ์ด้านหน้าที่ปรับแต่งเขียนหน้าทาปากมาอย่างลงตัว กระจังหน้ากลมกลืนไปกับไฟหน้าแบบใหม่ หลังคาโค้ง สอดรับกับการทำตัวเป็นเวอร์ชัน Sportback ไฟท้าย ทรงยาวเชื่อมต่อกันทั้งสองฝั่งด้วยเส้น LED บางเฉียบ การพยายามเปลี่ยนรูปทรงของ SUV ให้เป็นรถคูเป้ ทำให้มันเล็กกว่า Cayenne Coupe นิดหน่อย แต่ขับแล้วแทบจะไม่ได้แตกต่างไปจาก e-Hybrid ของ Porsche แม้แต่น้อย มีแค่ราคาที่ถูกกว่าเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่ามันคือ Audi ไม่ใช่ Porsche
...
Q8 e-tron เน้นเส้นสายที่ดูสอดคล้องกลมกลืนกันทั่วทั้งคัน ระบบส่งกำลังไฟฟ้าทำงานอย่างเงียบเชียบแต่ขยันขันแข็งและทรงพลัง เมื่อเร่งความเร็วต่อเนื่อง มันจะกินไฟในแบตฯอย่างหิวกระหาย ถ้าคุณไม่ยอมยกคันเร่งมันจะเหวี่ยงคุณไปตามโค้งด้วยความแข็งแกร่งระดับพรีเมียม ผสานกับแรงบิดที่รถน้ำมันอย่าง Q8 60TFSIe ได้แต่อิจฉา ตามที่คาดหวัง มอเตอร์คู่ของ Q8 e-Tron นั้นเหมาะกับการแซงที่เด็ดขาดและเฉียบคม แต่การขับเรื่อยๆในเมือง คุณจะพบว่านี่คือยานพาหนะที่น่าใช้คันหนึ่งแม้จะแพงและกินไฟมากไปหน่อยก็ตาม รถมอเตอร์คู่ เรารู้กันอยู่ว่าคนที่เลือก ย่อมต้องการความแตกต่างจากรุ่นมอเตอร์เดี่ยว โดยเฉพาะพลังงานในรูปของแรงบิดที่ต้องมากกว่า โดยไม่ค่อยจะสนใจการทำระยะทางเท่าใดนักเพราะส่วนใหญ่ใช้ขับในเมือง มีออกทางไกลบ้าง แต่ก็ยังมีจุดชาร์จรองรับอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดหรือโรงแรมที่พักซึ่งปัจจุบัน...มักจะมี Wall Box ให้เสียบทิ้งไว้ทั้งคืน
...
ในต่างประเทศ Q8 e-tron มีระบบส่งกำลังไฟฟ้าให้เลือกสามรุ่น (50, 55 และ S) มีตัวถังสองแบบ (SUV และ Sportback ที่คล้ายรถคูเป้) ส่วนรถคันทดสอบเป็นรุ่น Sportback 55 quattro S line Black Edition
รถอเนกประสงค์พลังงานไฟฟ้าอย่าง Q8 e-tron ถือว่าหรูหราสมกับความเป็นรถผู้บริหารอย่างที่คิดเอาไว้ตั้งแต่แรก รุ่น 55 เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์มากมายจนแทบนึกไม่ออกว่า Audi จะยัดอุปกรณ์เพิ่มเข้าไปได้มากขนาดนั้น คุณจะได้ล้อ Audi Sport สีดำเงา ขนาด 21 นิ้ว ล้อออกแบบพิเศษเพื่อลดแรงต้านทานอากาศ ยาง Bridgestone alenza 265/45R21 108H ระบบกันสะเทือนแบบถุงลมปรับอัตโนมัติหรือปรับระดับเองได้ ไฟหน้าพร้อมระบบอัตโนมัติที่โคตรฉลาดซึ่ง Audi เรียกมันว่า Matrix LED ทรงของหลังคาที่ลาดเทไปยังส่วนท้ายคล้ายกับ Cayenne Coupe แต่คันเล็กกว่า หน้าตาดูทันสมัย แม้จะออกมานานแล้ว แต่การออกแบบให้ล้ำไปในอนาคต ทำให้ Q8 ไฟฟ้าดูไม่ตกยุค กระจังหน้าไม่ได้ปิดทึบ ยังมีช่องรับอากาศที่คอยระบายความร้อนให้กับระบบต่างๆซึ่งเมื่อทำงานเต็มที่ก็จะมีอุณหภูมิสูงขึ้น
เสาหน้ามีองศาที่ค่อนข้างลาดเทมากกว่า Q8 โฉมปกติ ช่องเก็บสัมภาระท้ายรถแบบเปิดปิดด้วยไฟฟ้า เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้าพร้อมระบบทำความร้อน หน้าจอสัมผัสครบครัน และเซ็นเซอร์ช่วยจอด 360 องศา รุ่น 55 ใช้แบตเตอรี่ขนาด 106 กิโลวัตต์ชั่วโมง เคลมวิ่งได้ไกล 600 กิโลเมตร แต่ขับจริงก็ไปได้ประมาณ 400 กิโลเมตรนิดๆ ทรงในแบบรถคูเป้เอสยูวีที่เน้นความคล่องตัว รุ่นมอเตอร์คู่นั้น แน่นอนว่าถ้าขับเร็ว ระยะทางก็จะหดหายไปอย่างเร็วเช่นเดียวกัน กฎเกณฑ์ทั่วไปที่ใช้ได้คือ ลดทอนตัวเลขการเคลมระยะทางของบริษัทรถยนต์สำหรับการใช้งานจริง ถ้าขับเรื่อยๆ ไม่เร็ว ไฟในแบตฯไปได้ไกล 400 กิโลเมตร แต่ใครกันที่จะซื้อ Q8 ไฟฟ้ามาใช้แบบวิ่งย่องๆหยอดๆ เพราะคนที่เลือกใช้ Audi ส่วนใหญ่เคยเป็นเจ้าของทั้ง BMW Mercedes-Benz และ Lexus มาแล้ว น้อยคนที่จะออกทางไกลแล้วขับช้าเป็นเต่ากัดยาง มิติตัวถัง มีขนาดความยาว 4,915 มิลลิเมตร กว้าง 1,937 มิลลิเมตรสูง 1,619 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,928 มิลลิเมตร ที่เก็บสัมภาระด้านท้าย ขนาด 528 – 1,567 ลิตร ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน 0.26
Q8 e-Tron อัปเกรดให้ชาร์จได้สูงสุด 170 กิโลวัตต์ ต่ำกว่ารถคู่แข่งตราดาวที่กำลังเป็นข่าวดังเรื่องการลดราคาแล้วขายหมดภายในพริบตา สิ่งที่วิศวกรผู้ชาญฉลาดได้ลงมือทำก็คือ การเลือกจุดชาร์จที่ต่ำกว่าเพื่อให้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าของรถสามารถคงอยู่ได้นานขึ้น เพราะ Audi ต้องการให้รถน่าเชื่อถือมากขึ้นในการใช้งานจริง และในโลกแห่งความเป็นจริง นั่นหมายความว่าการชาร์จแบตเตอรี่จาก 10 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์สำหรับรุ่น '50' ใช้เวลาเพียง 28 นาที ในสภาวะที่เหมาะสม หรือ 31 นาทีสำหรับรุ่น 55 คันทดสอบที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ แต่ Q8 ไฟฟ้า ยังคงใช้สถาปัตยกรรม 400 โวลต์ ในขณะที่ Porsche Taycan และ Audi e-tron GT มีพื้นฐานจากโรงงานด้วยระบบไฟ 800 โวลต์ สามารถชาร์จได้ที่ 270 กิโลวัตต์ ด้วยการอัดกระแสขนาดนั้น ก็จะทำให้แบตฯเกิดอุณหภูมิสูงระหว่างการชาร์จ เมื่อชาร์จ DC บ่อยๆ หรือทุกครั้ง อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ก็จะหดสั้นลง นั่นเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือ แบตเตอรี่ของรถไฟฟ้านั้นมีราคาสูงจนน่าตกใจ ข่าวคราวที่ออกมาบอกว่า แบตฯจะถูกลงนั้น ไม่น่าจะเป็นความจริง เพราะหากแบตเตอรี่เกิดปัญหาแล้วผิดสัญญาการรับประกัน ราคาลูกละ 6-8 แสน หรือหากเป็นรถยุโรปก็แพงกว่านั้นมาก เจ้าของรถนี่แทบจะทิ้งรถกันเลยทีเดียว
Audi ดูจะเข้าใจการบรรจุคนในครอบครัวเข้าไปในห้องโดยสารได้ดีกว่ารถคู่แข่ง เบาะโดยสารด้านหลังนั่งได้สบายตัว เบาะนั่งที่นุ่มและแน่นหนา ให้ความรู้สึกว่า Audi ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจลูกค้าสำหรับการใช้งานจริง มากกว่าที่จะพยายามอย่างเต็มที่ในการทำให้เบาะดูหรูหราแต่กลับนั่งไม่สบาย ผู้โดยสารแทบจะไม่รู้สึกว่าพื้นรถถูกบดบังด้วยเซลล์แบตเตอรี่หลายร้อยเซลล์ที่วางอยู่ใต้พื้น Q8 Sportback มีพื้นที่ใช้สอยเหนือศีรษะที่กว้างขวางพอสมควร ผู้ใหญ่สามคนบนเบาะหลังอาจทำให้รู้สึกอึดอัด เบาะหลังนั่งสองคน จะมีพื้นที่วางขาแบบสบายๆเมื่อขับทางไกล
ภายในของ Audi Q8 e-tron Sportback ให้ความรู้สึกแบบเยอรมัน พื้นผิวสีเข้มตัดกับขอบโลหะ คุณภาพการประกอบเป็นเลิศ ให้ความรู้สึกคงทน คอนโซลกลางเงางามดูมีชีวิตชีวาเมื่อเปิดใช้งา หน้าจอสัมผัสคู่ที่วางตำแหน่งโดยเอียงเข้าหาคนขับ ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร LED ให้ความรู้สึกอบอุ่นในยามค่ำคืน เนื่องจากเป็นรถ SUV ขนาดใหญ่ ตำแหน่งการขับของมันจึงสูงโด่งพอสมควร เบาะนั่งปรับได้หลายระดับ ช่วยให้รู้สึกสบายยิ่งขึ้น เบาะนั่ง แน่นโอบกระชับสะโพก เหมาะสำหรับการขับขี่ทางไกล คันเกียร์ขนาดใหญ่ ทำหน้าที่เป็นที่พักมือได้ด้วย แม้จะดูเว่อร์วังอลังการแต่ก็ถือเป็นของเสริมที่ทำให้Q8 ไฟฟ้าดูแพงและแตกต่าง
Audi Q8 e-tron Sportback มีพื้นที่ภายในกว้างขวางสำหรับผู้โดยสาร 4 คน (รวมคนขับ) พื้นที่วางขาและความสบายของเบาะหลังที่กว้างขวางเหมือนรุ่นปกติยังคงมีอยู่ หมายความว่ามีข้อเสียเพียงจุดเดียวก็คือ พื้นที่เหนือศีรษะที่ลดลงเล็กน้อย ด้วยการออกแบบด้านหลังใหม่ พื้นที่เก็บสัมภาระจึงใหญ่กว่า Q8 e-tron รุ่นปกติที่ 660 ลิตร และฝาท้ายไฟฟ้าขนาดใหญ่ทำให้การขนสัมภาระเป็นเรื่องง่าย
ระบบเสียงสเตอริโอมีประสิทธิภาพดีเยี่ยม Q8 e-tron Sportbackติดตั้งระบบเสียง 3D Premium ของ Bang & Olufsen ให้เสียงที่อิ่มเอม ใสกระจ่างจากความคมชัด กระจกมองข้างกล้องดิจิทัลของ Audi Q8 e-tron ไม่มีในรุ่นท่ีนำเข้ามาขายในไทย ซึ่งแพงกว่ากระจกมองข้างแบบเดิมหลายสิบเท่า และด้วยขนาดที่เล็กกว่ามาก ทำให้กระจกมองข้างลื่นกว่า ทำให้ระยะการมองเห็นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่เทคโนโลยีนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเทคโนโลยีรุ่นแรก และการนำมาใช้งานจริงยังห่างไกลจากความเป็นธรรมชาติ
Q8 e-tron มีเบาะหลังพร้อมระบบทำความร้อน ประตูดูดที่ปิดอย่างนุ่มนวล เบาะหน้าระบายอากาศและนวดได้ จอแสดงผลบนกระจกหน้า HUD ไฟตกแต่งภายในห้องโดยสารแบบหลายสี อินโฟเทนเมนต์มีจุดเด่นในด้านเนื้อหาและการใช้งานที่ง่าย จอแสดงผลสำหรับผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งได้หลากหลาย แผนที่ Google Earth ใช้งานได้ดี กระจกข้างแบบอะคูสติกสองชั้น ทำให้ภายในห้องโดยสารเงียบสงบ รุ่น Sportback พื้นที่เหนือศีรษะของเบาะหลังก็ยังเพียงพอสำหรับผู้ใหญ่ที่มีรูปร่างสูง มีพื้นที่ยื่นออกมาที่หลังคาและพื้นที่เก็บสัมภาระแม้จะลดลง แต่ก็ยังมากกว่า Q5 Sportback
SUV ไฟฟ้าหรูนั้นมีการต่อสู้กันอย่างดุเดือด ในกลุ่มนี้ มีรถอย่าง Tesla Model X, iX3 ใหม่ และ Kia EV9 ให้เลือก นี่ยังไม่นับรวม Zeekr 7X และ Avatr 07 หาก Q8 e-tron ยังไม่ตอบโจทย์คุณในราคาที่แพงกว่า คงหาอะไรที่ดูดีกว่านี้ได้ค่อนข้างยากแล้ว เมื่อตอนที่ e-tron SUV ออกมาใหม่ๆจนถึงรุ่นปรับโฉมอย่าง Q8 e-Tron ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก การเปลี่ยนมาเป็น Q8 e-tron เป็นเพียงการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอก เบื้องหลังของ Q8 e-tron ไม่ได้เป็นแพลตฟอร์มไฟฟ้าที่ออกแบบมาเฉพาะ แต่เป็นการดัดแปลงมาจากโครงสร้างของรถสันดาปภายใน นั่นแหละที่ทำให้มันขับโคตรดี การใช้แพลตฟอร์มไฟฟ้า 100% อาจทำให้วิ่งไกลขึ้น แต่รถบางรุ่น ทำออกมาแล้ววิ่งสู้รถน้ำมันไม่ได้ (ในด้านไดนามิก) เอาแต่แรงอย่างเดียว เพราะเพียงแค่นี้ก็ได้ใจคนรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยจะสนใจฟิลลิ่งการขับเท่ากับอัตราเร่ง 0-100 ของรถไฟฟ้า
ภายในของ Audi โดยเฉพาะในรุ่นไฮเอนด์ ได้รับการยกยอปอปั้นว่า เป็นหนึ่งในจุดที่ดีที่สุดของเซกเมนต์นี้ ทั้งในด้านความลงตัวและวัสดุที่ใช้ตกแต่ง สัมผัสที่นุ่มนวลของปุ่ม เสียงคลิกที่ดังออกมาเบาๆเมื่อกดลงไปบนหน้าจอ ภายในของมันดูหรูหรามีสไตล์ แต่ความโดดเด่นก็มักจะถูกมองข้ามด้วยเทคโนโลยีที่ใหม่กว่าของคู่แข่ง แต่ไม่ใช่กับ Audi สิ่งที่คุณจะได้รับก็คือ ห้องโดยสารที่ดูเคร่งขรึมแต่ออกแบบมาดี พร้อมรูปแบบที่ใช้งานง่าย เมนูที่เข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีความซับซ้อนของซอฟแวร์ หรือทำให้รู้สึกสับสนเวลาใช้งาน ไม่มีความจำเป็นต้องค้นหาและปรับแต่งการตั้งค่าที่ต้องการอย่างละเอียดเพราะทุกอย่างถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ใช้งานง่าย
ภายในตกแต่งอย่างสวยงามด้วยหนังสีเทาสามเฉดสี แผงประตู และตะเข็บสีขาวตัดกับหนังสีเทาดำ คันเกียร์ของ Audi ล้ำสมัยแต่ไม่ดูทึบ ทำจากอะลูมิเนียม ออกแบบให้คล้ายกับคันเร่งของเรือมอเตอร์ยอร์ท แผงหน้าปัด Virtual Cockpit ความละเอียดสูง ปรับแต่งการแสดงผลได้อย่างหลากหลาย กับระบบอินโฟเทนเมนต์และหน้าจอควบคุมระบบปรับอุณหภูมิแบบสัมผัส (haptic feedback) ระบบสัมผัสต้องใช้แรงกดนิ้วในการรับรู้ข้อมูลการสั่งงาน หน้าจอคู่ที่คุ้นเคย ดูจะขาดความหรูหราและความอลังการของจอแสดงผลขนาดใหญ่เพียงจอเดียวอย่าง iX และ Mercedes-EQE
Q8 e-tron เป็นหนึ่งในวิธีการปรับเปลี่ยนที่ง่ายที่สุดในการเปลี่ยนจากรถน้ำมันมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า... คุณแทบจะไม่รู้สึกตัวเลยว่ากำลังขับรถไฟฟ้า เพราะมันขับได้เนียนกว่ารถคู่แข่งเห็นๆ ถึงแม้ Audi จะไม่ได้ปรับโฉมรถ SUV ไฟฟ้ารุ่นเรือให้ล้ำสมัยมากนัก แต่ Q8 e-tron ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการเปลี่ยนจากรถเครื่องมาใช้มอเตอร์ไฟฟ้า หากคุณเปลี่ยนจาก Audi รุ่นอื่นที่เป็นเอสยูวีแบบมีเครื่องยนต์ ก็แทบจะไม่รู้สึกตัวเลยว่ากำลังขับรถมอเตอร์คู่ นอกจากความเงียบและไม่มีกลิ่นน้ำมันแล้ว Q8 e-tron ยังมอบโสตสัมผัสแห่งคุณภาพระดับพรีเมียม พร้อมความแข็งแกร่งในแบบฉบับของ Audi ได้อย่างครบถ้วนกระบวนความ โดยไม่ต้องอาศัยลูกเล่นสุดล้ำที่แพรวพราวเพื่อพยายามทำให้ลูกค้าไฮโซสังเกตเห็น แน่นอนว่ามันหนักกว่า 2.4 ตัน แถมยังแพงอีกตะหาก แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่รถยนต์ไฟฟ้าหรูจะเข้าถึงผู้คนทั่วไปถ้าไม่ได้ผลิตโดยบริษัทรถยนต์น้องใหม่จากประเทศจีน Q8 e-Tron Sportback เป็นยานพาหนะที่บ่งบอกถึงสถานะทางสังคมของคุณได้อย่างโจ่งแจ้งโดยไม่ต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่แปะตราโลโก้แบรนด์หรูใหญ่เท่ากับป้ายโฆษณาของ Plan -B คนไทยส่วนใหญ่มักจะแสดงสถานะภาพบนท้องถนนด้วยรถหรูหราราคาแพงอยู่แล้วและ Audi ก็เป็นอีกแบรนด์ที่ยังคงศักยภาพในจุดนั้นได้ดี
Audi กับระบบ Torque Vectoring และพลศาสตร์ที่ได้รับการปรับปรุงมาดีสุด เป็นรถที่หนักกว่า 2,500 กิโลกรัม ที่ ไม่เคยลังเลเมื่อกดคันเร่ง มันเป็นรถที่ขับง่าย นั่งนุ่มสบายสุดๆ พร้อมความเงียบที่ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อขับออกทางไกล Q8 e-Tron ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน แต่ไว้ใจได้เสมอเมื่อขับทางไกล เป็นรถไฟฟ้าที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจอย่างแน่นอน ทุกระบบทำงานอย่างราบรื่น การควบคุมพวงมาลัยในย่านความเร็วเดินทางมีน้ำหนักที่เหมาะสม Q8 ไฟฟ้า ยังซ่อนเร้นหรือปกปิดน้ำหนักตัวในโค้งได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการทำให้พวงมาลัยผ่อนสั้นผ่อนยาว หนักแน่นขึ้นในบางจังหวะและเบาสบายมือที่ความเร็วต่ำ แป้นเหยียบทั้งคันเร่งและเบรก ให้ความรู้สึกมั่นคง ถ้าห้อแตะบึงมาเร็วๆเบรกแทบจะรู้สึกเหมือนไม่ได้ถูกควบคุมเลย ตอนเหยียบเบรกแรงๆครั้งแรกนี่เล่นเอาตกใจ (เป็นลักษณะเฉพาะของ Audi ที่ใช้ไฟฟ้า โปรดระมัดระวังเรื่องของระยะเบรก) แต่การเปลี่ยนจากระบบ regenerative braking ผสานการทำงานกับดิสก์เบรกนั้นทำได้ดี Audi ภูมิใจกับปริมาณพลังงานกลับคืนที่รถสามารถสร้างขึ้นได้ขณะเบรก จุดเล็กๆแค่นั้นก็สามารถแสดงให้เห็นแล้วว่า Q8 ไฟฟ้า ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมมาดีพอและใช้งานในชีวิตประจำวันได้แทบจะไม่แตกต่างไปจาก Q8 TFSI-e ยกเว้นเรื่องชาร์จไฟเท่านั้นเองที่ทำให้ต้องเสียเวลารอ
Q8 e-tron มีน้ำหนักมากกว่า 2.4 ตัน ถือว่าหนักมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานของรถน้ำมันที่เบากว่า และการที่รถไม่ขยับเขยื้อนขณะใส่เกียร์ R เพื่อขับถอยหลัง นอกจากคุณจะแตะคันเร่งเท่านั้น ทำให้ต้องระวังมากกว่าที่ควรจะเป็น เพราะมันจะถอยหลังเมื่อกดคันเร่งลง (เพียงเล็กน้อย) สุดท้ายแล้ว คุณจะต้องเหยียบคันเร่งเพื่อถอยเข้าที่จอด และรู้สึกเหมือนอาจจะจบลงด้วยความอับอาย Q8 e-tron ได้รับการจัดอันดับให้ลากจูงรถพ่วง ถึง 1,800 กิโลกรัม มันขึ้นอยู่กับว่า คุณชอบขับแบบไหน Q8 ไฟฟ้า มีประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนและพุ่งทะยานได้อย่างเหลือเชื่อ ให้ความสนุกทุกครั้งที่กดคันเร่งลงไปลึกๆ รถยนต์ไฟฟ้าความเร็วสูงหลายรุ่นในปัจจุบัน เปรียบเสมือนรถไฟเหาะตีลังกาที่คุณจะต้องระวังการระเบิดพลังงานให้ดี โดยเฉพาะเรื่องของระยะเบรก อัตราเร่ง 0-100 ใน 5.6 วินาที ไม่ได้เร็วเท่ากับรถไฟฟ้าจีนบางรุ่นที่เร่งได้ 3.8 วินาที แต่คุณจะไปเร็วเพื่ออะไรในเมื่อพื้นที่บนถนนมีไม่มากพอให้ขับแบบนั้น Q8 วิ่งได้อย่างราบเรียบ ไม่มีเสียงรบกวน หรือการตอบสนองทางกายภาพใดๆ จากตัวรถที่คล้ายหุ่นยนต์ มีเพียงความสบาย พร้อมเสียงยางที่บดลงไปบนผิวถนนและเสียงลมปะทะตัวถังในย่านความเร็วเฉียดๆ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น
ประสบการณ์ 8 วันกับ Audi Q8 Sportback E-Tron ปี 2024 ให้ความประทับใจได้ดีพอๆกับ Q8 ที่มีเครื่องยนต์ Audi สร้างห้องโดยสารที่เงียบเป็นพิเศษ (ยกเว้นเสียงลมเบาๆ บนทางหลวง) พร้อมคุณภาพการประกอบที่ยอดเยี่ยม ซึ่งหาได้ยากในผลิตภัณฑ์จากสตาร์ทอัพ EV จุดเด่นอีกอย่างคือคุณภาพการขับที่เน้นความนุ่มนวล ลดอาการกระแทกหรือนั่งไม่สบายเมื่อขับผ่านผิวทางที่ไม่เรียบ Audi สร้างรถ EV ที่ขับได้เหมือนรถน้ำมัน ตราบใดที่คุณควบคุมรถให้ไม่เกินขีดข้อจำกัดของมัน เมื่อขับเร็ว ระบบต่างๆ ควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวถัง เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์เยอรมัน พร้อมพวงมาลัยที่แม่นยำ
Q8 e-Tron Sportback ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กำลัง 408 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 664 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 114 kWh 432 Cells 396V ขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 5.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ชาร์จไฟเต็ม วิ่งไกล 636 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) และ 600 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP) ส่วนการชาร์จไฟของ Q8 e-Tron Sportback รุ่น 55 e-tron quattro ชาร์จไฟกระแสสลับ AC รองรับสูงสุด 22 kW ชาร์จจาก 0-100% จนเต็ม ใช้เวลา 5 ชั่วโมง 15 นาที ชาร์จไฟกระแสตรง DC Fast Charging รองรับสูงสุด 170 kW ชาร์จจาก 10-80% ใน 31 นาที ชาร์จเร็ว 10 นาที วิ่งได้ไกล 123 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP) นอกจากการปรับแต่งพวงมาลัยและการปรับปรุงมอเตอร์ด้านหลังแล้ว Audi ยังเพิ่มความเร็วในการชาร์จสูงสุดของ Q8 E-Tron เป็น 170 กิโลวัตต์ จากเดิม 150 กิโลวัตต์ เมื่อรวมกับเส้นโค้งการชาร์จที่ราบเรียบตามที่วิศวกรของ Audi อ้างว่า สามารถชาร์จจาก 10 เปอร์เซ็นต์เป็น 80 เปอร์เซ็นต์ได้ในเวลาประมาณ 31 นาที
รถ SUV ไฟฟ้ารุ่นเรือธงของ Audi ทำความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 5.6 วินาที ส่วนหนึ่งของอัตราเร่งที่ไม่ได้รุนแรงมากมาย เป็นผลมาจากการปรับแต่งระบบส่งกำลังให้มีความนุ่มนวลไม่กระโชกโฮกฮากควบคุมได้ยาก การเทแรงบิดอย่างฉับพลันทันทีจะทำให้มือใหม่ตกใจ การส่งแรงบิดทันทีของรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ ไม่เหมาะสมกับมือใหม่ที่ไม่คุ้นกับแรงบิดระดับสูง การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของ Audi สำหรับลูกค้าเก่าที่อยากเปลี่ยนไปใช้รถยนต์พลังงานใหม่ เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว แบรนด์สี่ห่วงได้ตัดสินใจอย่างรอบคอบในแง่ของการปรับแต่งระบบส่งกำลัง ทำให้ไม่มีแรงบิดแบบกระตุกกระชากอย่างฉับพลันทันที การปรับแต่งเบรกให้ไม่มีการขับขี่ด้วยแป้นเหยียบเดียวหรือ one Paddle สไตล์ของรถที่ไม่มีความแปลกประหลาดคล้ายรถที่ใช้น้ำมัน นี่คือการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับรถยนต์สันดาปภายในมากที่สุดแล้ว
ข้อดีอย่างหนึ่งของ e-tron คือระบบกันสะเทือนแบบถุงลมที่ลอยตัวอย่างนุ่มนวลสุด เหนือพื้นผิวถนนที่ไม่สม่ำเสมอ สามารถปรับตัวถังให้ยกขึ้นได้เกือบสองนิ้ว ที่ความเร็วสูงสุด 40 กิโลเมตร ในโหมด Offroad มีโหมดการขับขี่แบบ allroad, efficient, comfort, auto, dynamic และ individual พร้อมปรับระยะห่างจากพื้นให้เหมาะสมแบบอัตโนมัติ ยางสมรรถนะสูง Bridgestone Alenza รองรับการใช้งานทั้งบนถนนแห้งและเปียกชื้นได้ดี เนื่องจากระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ช่วยเสริมให้ยางช่วยกันยึดเกาะในโค้งหรือขณะที่มีฝนตกได้ดีมาก
Q8 E-Tron แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของ SUV สี่ห่วง"รุ่นใหม่" ยึดเกาะดีขึ้น เบรกดีขึ้น เป็นรถ SUV ไฟฟ้าที่ดีกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน การปรับปรุงจุดด้อยของ e-Tron SUV รุ่นที่แล้ว (โดยเฉพาะเรื่องระยะทาง) การตกแต่งภายในที่เคร่งขรึมสวยงามโดนใจผู้บริหารระดับสูง ความสะดวกสบาย สไตล์ที่หรูหราและเงียบสงบ สิ่งที่มันไม่มีก็คือ อัตราเร่งที่เร้าใจระดับ 3.8-4.5 วินาที แต่ 5.6 วินาที ก็แรงมากแล้ว ตัวเลข 0-100 ยิ่งน้อย จะยิ่งควบคุมได้ยากและอาจทำให้เกิดอันตรายสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของระบบอินโฟเทนเมนท์ และไม่มีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ แรงบิดที่ไม่ได้เทมาเต็มเหนี่ยวจนแทบจะกระโจนออกตัว ทำให้ Q8 E-Tron มีการควบคุมที่เหนือกว่ารถอสยูวีไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ สเปคของรถยนต์ไฟฟ้าตอนนี้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ในขณะที่ราคาของ Audi ทำให้ e-Tron เหนือกว่าคู่แข่งรุ่นใหม่ที่ล้ำหน้ากว่า แน่นอนว่า Q6 e-Tron เป็นยานพาหนะไฟฟ้าของ Audi ที่สามารถแข่งขันได้อย่างเต็มภาคภูมิ แต่ Q8 Sportback E-Tron ยังคงเป็นรถหรูที่แข็งแกร่ง ขับได้ดีพอๆกับ Q8 เครื่องยนต์สันดาปภายใน บางทีอาจดีกว่าด้วยซ้ำไปละครับ.
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcomhttps://
www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/