Ford วางตำแหน่ง Everest Sport เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับคนที่กำลังอยากได้แต่ไม่อยากควักแพงเกิน 1.5-1.6 ล้าน นี่คือรถ PPV SUV ที่ได้รับความนิยมมานานเป็นสิบปีแล้ว Everest รุ่นแรกๆ เป็นผลิตภัณฑ์ยานยนต์อเนกประสงค์ที่ตอบสนองความต้องการอันหลากหลายของลูกค้า สำหรับ Everest Sport รุ่นใหม่ที่ได้รับการขัดเกลาด้วยอุปกรณ์เสริมความหล่อ ในความเป็นจริง บนตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ (กระบะดัดแปลง PPV SUV) แม้ยอดขายของ Everest จะตามหลังเจ้าตลาดอย่าง Fortuner ที่ครองแชมป์ยอดขายมานาน รวมถึงยังตามหลังน้องใหม่มาแรงอย่าง MU-X แต่การขับที่โดนใจของ Everest โดยเฉพาะในไทยที่ Everest สามารถทำตัวเลขยอดขายอยู่ในอันดับที่ 3 ในตลาดที่แข็งแกร่ง
Everest 2.0L Turbo Trend 4x2 6AT 1,397,000 บาท
Everest 2.0L Turbo Sport 4x2 6AT 1,527,000 บาท
Everest 2.0L Turbo Sport 4x2 6AT (Special Edition) 1,619,000 บาท
Everest 2.0L Bi-Turbo Titanium+ 4x2 10AT 1,767,000 บาท
Everest 2.0L Bi-Turbo Titanium+ 4x4 10AT 1,917,000 บาท
Everest 2.0L Bi-Turbo Wildtrak 4x4 10AT 1,942,000 บาท
Everest 3.0L V6 Turbo Platinum 4WD 10AT 2,284,000 บาท
...
ทุกวันนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์อเนกประสงค์ออฟโรดของ Ford เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีรุ่นย่อยอย่าง Wildtrak 2.0 biturbo และ Platinum V6 ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว ออกมาให้ลูกค้าเลือกซื้อตามกำลังเงิน การเพิ่มทางเลือกด้วยระบบส่งกำลังที่หลากหลายและตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเก่า ทำให้รถ SUV 7 ที่นั่งรุ่นนี้ เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ในราคาที่ถูกกว่า Everest Sport มาพร้อมของแต่งเล็กๆน้อยๆ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบ การตกแต่งแบบสปอร์ต ทำให้ Everest รุ่นขับเคลื่อนสองล้อเป็นจุดสมดุลที่ลงตัว ทั้งราคาค่าตัวและสมรรถนะ ที่น่าสนใจก็คือ Ford Everest Sport มีราคาไม่แพง ใช้งานได้ดีหากไม่เอาไปลุยจนต้องใช้ระบบขับสี่ ถ้าไม่คิดจะลุยหนักและใช้งานในเมืองเป็นหลักโดยแทบจะไม่ใด้ใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ใช้ขับกลับบ้านในวันที่น้ำท่วมขังเส้นทางใน กทม การเลือกรุ่นรองก็ถือเป็นความคิดที่ดีเหมาะสมกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน
...
รุ่น Sport เน้นรายละเอียดชิ้นงานตกแต่งภายนอกภายในด้วยสีดำ รวมถึงล้อขอบ 20 นิ้ว ตัดกับสีขาว Snow Flake White Pearl ส่วนหน้าของ Everest Sport ไฟ LED สร้างความแตกต่างจากกระบะญี่ปุ่น ไฟหน้าแบบ Matrix LED พร้อมระบบปรับมุมลำแสงไฟอัตโนมัติ และระบบป้องกันไฟแยงตา และระบบเปิด-ปิดไฟหน้า Matrix ทำงานอัตโนมัติแบบ Adaptive LED ระบบไฟอัตโนมัติที่ตอบสนองต่อแสงบนถนนรอบตัว ทำงานเร็วและมีกำลังในการส่องสว่างสูง ยกไฟสูงหรือเบี่ยงเบนลำแสงไม่ให้ไปรบกวนรถที่แล่นสวนมาหรือรถที่อยู่ด้านหน้า ไฟหรี่กลางวันและไฟเลี้ยวหลอด LED แม้แต่ล้อ (ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน) ก็ยังพ่นสีดำ รูปลักษณ์ของ Sport 2.0 4×2 ดูมีเสน่ห์ดึงดูดใจมากกว่า Platinum ซึ่งเต็มไปด้วยการตกแต่งที่ใช้โครเมียมแวววาว แต่ก็ขึ้นอยู่กับความชอบและกำลังทรัพย์ของแต่ละคน ฝาท้ายไฟฟ้ากับพื้นที่เก็บสัมภาระเมื่อพับเบาะแถวสามมีพอเพียงสำหรับการเดินทางไกลแบบบ้าอุปกรณ์ มิติตัวถัง มีความกว้าง 1,923 มิลลิเมตร ยาว 4,914 มิลลิเมตร และสูงถึง 1,842 มิลลิเมตร ความสูงของตัวรถเน้นที่ความสมบุกสมบันในการลุยฝ่าเส้นทางออฟโรดแบบไม่หนักมาก หรือลุยน้ำท่วมขังบนถนนได้อย่างสบายตัว
...
สัญลักษณ์ Everest บนฝากระโปรงหน้า
หลังคาสีดำ Black Roof
สปอยเลอร์หลังสีดำ
ตกแต่งสีดำรอบคัน
กระจังหน้าดีไซน์สปอร์ต
กระจังหน้า สีดำ Sport
ล้ออัลลอยด์สีดำ Black alloy wheels
ล้ออัลลอยด์สีดำเงาขนาด 20 นิ้ว
...
ด้านข้างตัวถัง ทรงแบบเอสยูวีมะกนยิ่งมองก็ยิ่งชอบ ความยาว 4,914 มิลลิเมตร สูง 1,842 มิลลิเมตร ทำให้การเข้าออกจากห้องโดยสารต้องยกตัวเองขึ้นไปโดยใช้มือจับที่ด้านในของเสาเอ เสาหน้ามีองศาของความเอนลาดที่ลงตัว เสาท้ายที่สอดรับกับผืนหลังคา แรคหลังคาที่ติดตั้งมาให้เพื่อความสะดวกในการขนสัมภาระ กระจกบังลมบานหน้าและบานข้างมีขนาดใหญ่ กรอบกระจกมองข้างติดตั้งเลนส์ไฟเลี้ยว เพื่อเพิ่มความปลอดภัย มุมด้านบนของแก้มข้างติดตั้งแถบพลาสติกสีดำบ่งบอกถึงรุ่นที่มีเกียร์ออโต้ 6 สปีดประจำการอยู่ ซุ้มล้อทั้งหน้าและหลังมีโป่งล้อขนาดมหึมา บานประตูทั้งสี่ใหญ่โตทำให้การเข้าออกจากห้องโดยสารมีความสะดวก กาบข้างติดตั้งที่เหยียบเพื่อก้าวเข้าไปในห้องโดยสารทำจากพลาสติก จุดที่ทำให้รถ PPV คันนี้ดูดีก็คือล้ออัลลอยลายใหม่สีดำ เป็นล้อขอบ 20 นิ้ว ผลิตขึ้นรูปจากอะลูมินัมอัลลอย ล้อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 นิ้ว ห่อรัดด้วยยางกึ่งออฟโรดของ Goodyear รุ่น Wrangler Territory HT ไซส์ 255/55R20
ระบบเปิด-ปิดฝาท้ายไฟฟ้า ไฟท้ายเชื่อมต่อกันทั้งซ้ายและขวาด้วยชิ้นงานพลาสติกสีดำกับตัวอักษร Everest ไฟท้ายทรงยาวหลอด LED เข้ากับสัดส่วนบั้นท้ายจากการออกแบบ เชื่อมโยงมุมมองส่วนท้ายให้มีความลงตัว ไฟท้ายของ Everest Sport ใช้หลอดไฟแบบผสม ซึ่งมีทั้งหลอดไฟท้ายแบบ LED และหลอดไฟแบบธรรมดาอยู่ภายใน ขอบด้านบนของกันชนหลัง มีพลาสติกกันกระแทกสีดำคอยป้องกันริ้วรอย เมื่อต้องยกสัมภาระเข้าออกจากห้องเก็บของส่วนท้าย กันชนหลังมีการดีไซน์แบบสองชิ้นเหมือนกันกับกันชนหน้า พร้อมพลาสติกกันกระแทกสีดำ และแผ่นพลาสติกสะท้อนแสงมัลติรีเฟคเตอร์สำหรับความปลอดภัยเมื่อจอดรถในที่มืด กล้องมองหลังติดมาให้พร้อมติดตั้งเซนเซอร์ถอยหลังแจ้งเตือนด้วยสัญญาณเสียงเมื่อถอยเข้าไปใกล้กับวัตถุกีดขวาง ด้านบนของฝาท้ายบริเวณกึ่งกลางกระจกบานฝาท้ายเป็นที่อยู่ของไฟเบรกดวงที่ 3
เนื่องจากเป็นรุ่นรอง Ford จึงพยายามปรับความหรูหราและใส่อุปกรณ์ตกแต่ง Sport เพื่อความสวยงาม เบาะ พวงมาลัย หัวเกียร์ แผงประตู ภายในสีดำ เบาะโดยสาร 7 ที่นั่งค้อนข้างกว้างขวาง โดยเฉพาะโซนของเบาะคู่หน้าและเบาะแถวกลาง ส่วนเบาะแถวที่สามปรับพับด้วยมือ พื้นที่เบาะแถวสามเหมาะกับเด็กมากกว่าจะให้คนตัวสูงลงไปนั่ง พลาสติกตกแต่งภายในมีผิวสัมผัสและรายละเอียดของชิ้นงานแตกต่างกันออกไป ตามแนวทางของงานตกแต่งห้องโดยสารยุคใหม่ของ Ford
หน้าจอสัมผัสส่วนกลางขนาด 12 นิ้ว ตกแต่งภายในสีดำ ระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย Wireless Charger มาตรวัดแบบ Digital 8.0 นิ้ว เบรกมือไฟฟ้า ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Dual Zone ระบบปรับอากาศ สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ช่องชาร์จไฟ 12V 3 ตำแหน่งกุญแจ Smart Keyless Entry ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push Start Button ที่บังแดดคู่หน้า กระจกแต่งหน้า ไฟส่องสว่างคนขับ และผู้โดยสารตอนหน้า ช่องเชื่อมต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า แบบ USB บนกระจกมองหลัง กระจกมองหลัง แบบปรับลดแสงอัตโนมัติ
เบาะนั่งหุ้มหนังสีดำลายสปอร์ต Sport Embossed เบาะผู้โดยสารตอนหน้า ปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะคนขับ ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะ ผู้โดยสารตอนหน้า ปรับด้วยมือ 6 ทิศทาง เบาะนั่งแถวที่ 2 แยก 60 : 40 เบาะแถวที่ 2 ปรับเอนได้เบาะแถวที่ 2 เลื่อนหน้า-ถอยหลังได้ เบาะนั่งแถวที่ 3 แยกอิสระ 50 : 50 หน้าจอกลาง ระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 12.1 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay / Android Auto แบบไร้สาย Wireless เชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A ระบบ FordPass Connect ช่องเชื่อมต่อ USB 4 ตำแหน่ง ช่องเชื่อมต่อ USB 2 ตำแหน่ง บริเวณเบาะนั่งแถวที่ 2 ช่องเชื่อมต่อไฟ 12V บริเวณเบาะนั่งแถวที่ 3 ลำโพง 8 ตำแหน่ง
นอกจากแนวทางตกแต่งสีดำทั้งภายนอกและภายในแล้ว ก็ยังยากที่จะสังเกตเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง Platinum และ Sport ที่น่าสนใจคือ Sport สูงกว่า Platinum นิดเดียว ซึ่งทำให้ได้มุมเข้า/ออกที่ดีขึ้นนิดหน่อย ภายในห้องโดยสารของ Everest Sport นั้นดูเหมือนชิ้นส่วนต่างๆจะอุดมไปด้วยพลาสติกและหนังเทียม ส่วนใหญ่แล้วจะมีสีดำเป็นสีหลัก แต่กลับดูหรูหราและไม่ดูแย่จนเกินไป สาเหตุหลักมาจากหน้าจอสัมผัสแบบแท็บเล็ตขนาด 10 นิ้วที่อยู่ตรงกลางแผงหน้าปัด รวมถึงแผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 8 นิ้ว (ซึ่งแน่นอนว่าเล็กกว่ารุ่น Platinum ที่มีขนาด 12 นิ้ว) เบาะนั่งด้านหน้าปรับด้วยไฟฟ้า (รวมถึงที่รองรับส่วนหลัง) ไม่มีระบบทำความร้อน/ความเย็น เบาะแถวที่ 2 มีพื้นที่พอสมควร นั่งสบายใช้ได้ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เบาะแถวที่ 3 ไม่มีฟังก์ชันพับอัตโนมัติ เบาะนั่งเป็นหนังสังเคราะห์ เนื้อเบาะแตกต่างจากเบาะหนังพรีเมียมในรุ่นเรือธง
พื้นที่เหนือศีรษะในแถวที่ 1 และ 2 ของ Everest Sport นั้นเหนือกว่ารุ่น Platinum อย่างเห็นได้ชัด (เพิ่มขึ้น 4 ซม. ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว) Ford Everest Sport มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย หน้าจอมอนิเตอร์ของระบบอินโฟเทนเมนท์และการปรับตั้งค่าต่างๆ เป็นจอภาพแนวตั้งขนาด 10 นิ้ว สั่งงานด้วยระบบสัมผัส ออกแบบซอฟแวร์ควบคุมการทำงานให้เข้าถึงฟีเจอร์ต่างๆได้อย่างรวดเร็ว (บางทีก็ช้าอยู่เหมือนกัน) เช่น Apple CarPlay แบบไร้สายและ Android Auto แบบมีสาย ระบบเสียง 8 ลำโพงไม่ถึงกับเจ๋งแต่ก็ดีกว่าเดิมมาก เสียงที่ขับผ่านลำโพงไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่ผมชอบแต่ก็ยังถือว่าดีเลยเมื่อเทียบกับราคาค่าตัว แท่นชาร์จมือถือแบบไร้สายใช้งานได้จริง ไม่สร้างอุณหภูมิให้กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่วนบุคคลราคาแพง พอร์ตชาร์จ USB มากมายก่ายกองสำหรับผู้โดยสารทุกคน
พวงมาลัยแบบ 4 ก้าน ไม่มีแป้น Paddle Shift มาให้! แต่ใช้การกดปุ่มข้างคันเกียร์แทน พวงมาลัยหุ้มหนังตกแต่งด้วยพลาสติกสีดำเงา มีสวิตช์สั่งงานมัลติฟังก์ชันมาให้ พวงมาลัยมีขนาดพอดีออกแบบให้จับได้ถนัดมือ ปรับตั้งได้ 4 ทิศทางทั้งใกล้-ไกลและสูง-ต่ำ สวิตช์มัลติฟังก์ชันใช้สำหรับการปรับตั้งค่าต่างๆ เช่น ระบบปรับตั้งความเร็วอัตโนมัติ Cruise control สวิตช์เลือกดูข้อมูลการขับขี่ผ่านจอ Multi information display ที่ด้านขวาและซ้าย ปรับความดังของลำโพง ปุ่มรับหรือวางสายโทรศัพท์ในระบบบลูทูธ ปุ่มระบบสั่งงานด้วยเสียง ห้องโดยสารของ Ford Everest Sport นั้นคล้ายคลึงกับรุ่น Platinum ความกว้างของห้องโดยสาร (เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า) และความใส่ใจในรายละเอียด ทำให้ห้องโดยสารของ Everest เป็นพื้นที่น่าใช้งาน มีพื้นที่มากกว่า Fortuner และ MU-X เล็กน้อย ส่วนรายการคุณสมบัติการใช้งานต่างๆ ของรถ PPV ทั้งสามรุ่นนั้น สูสีหนีกันไม่ออกอยู่ที่ความชอบของคนซื้อที่จะต้องลองขับ เพราะดีหมดทั้งสามตัว รวมถึงรถที่ขายไม่ดีอย่าง Terra ก็ยังไม่เป็นรองกับพระเอกพระรองทั้งสามหน่อ สำหรับคุณสมบัติด้านความปลอดภัยเชิงรุกและระบบอินโฟเทนเมนต์ทำได้ดี
เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 BiTurbo ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วของ Ford ซึ่งพัฒนากำลัง 124 กิโลวัตต์ แรงบิด 405 นิวตันเมตร มี 4 โหมดขับเคลื่อน เช่น Normal, Eco, Tow/Haul, Slippery โดยมีแรงบิดสูงสุดที่ 1,750 ถึง 2,500 รอบต่อนาที แม้ว่าตัวเลขสูงสุดจะต่ำกว่าเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร ของ Everest รุ่น Platinum อยู่มาก แถมยังเป็นรองกำลังของเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร ใน Fortuner และ 3.0 ลิตรใน MU-X ใช้แค่วิ่งเรื่อยๆ จะเร่งแซงก็กะระยะกันให้ดีๆ เครื่องยนต์จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ทำงานฉลาดน้อยกว่าเกียร์ 10 สปีด แต่พิสูจน์แล้วว่าทนทานกว่า และประหยัดน้ำมันมากกว่า
เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ และเกียร์ออโต้ขับเคลื่อนล้อหลัง 6 สปีด ของ Everest Sport นั้นมีความสามารที่จะขับเคลื่อนตัวรถเอสยูวีหนักสองตัน ได้อย่างมีพลังเพียงพอ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 11.98 วินาที เรือนร่างขนาดนี้เครื่องดีเซลสองลิตรถือว่ายังพอไหว แต่ไม่แรงเหมือน V6 การวิ่งใช้งานออกทางไกลในย่านความเร็วสูงต่อเนื่อง อัตราสิ้นเปลืองทำได้ 10.1 กิโลเมตรต่อลิตร ลองวิ่งเรื่อยๆ ใช้ความเร็วตามกฏหมายกำหนดทำได้ 12.5 กิโลเมตรต่อลิตร ไม่เลวแต่ก็ไม่ทันใจ เพราะย่องอยู่ในย่าน 80-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ความแตกต่างระหว่าง Everest Sport และ Everest Platinum ก็คือ Everest Platinum มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ขับสี่ขณะขับเคลื่อน ซึ่งประกอบไปด้วย 2H, 4H และ 4L (ระบบหลังใช้สำหรับสภาพออฟโรดที่ยากลำบาก) สำหรับ Everest Sport ใช้การขับเคลื่อนสองล้อหลัง อาจไม่ถูกใจคนชอบลุย แต่ในชีวิตจริง การเข้าเส้นทางที่ยากลำบาก นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งในหนึ่งปี หรือหากเป็นคนรักรถ ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเอารถไปขับลุยฝ่าป่าเขาบนเส้นทางออฟโรด การมีแค่สองล้อหลังขับเคลื่อนก็พอเพียงต่อการใช้งานปกติ ขับลุยทางลูกรังได้ดี ลุยน้ำท่วมขังถนนสบายๆ น้ำหนักตัวของกลไกขับสองล้อหลังก็จะเบาลงไปพอสมควร ไม่ไปสร้างภาระให้กับเครื่องดีเซลตัวเล็ก การมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อใน Everest ตามความเห็นส่วนตัว เครื่อง V6 ดูจะเหมาะสมมากกว่า
ด้วยขุมกำลังขนาดเล็ก เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลที่มีความจุ 2.0 ลิตร ทำให้ Everest Sport ประหยัดน้ำมันได้ดีกว่า Everest Platinum ในระหว่างการทดสอบ เครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.0 ลิตร ของรุ่น Platinum เมื่อเร่งเต็มเหนี่ยวนั้นกินน้ำมันค่อนข้างมาก โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 8.9 กิโลเมตรต่อลิตร หรือน้อยกว่านั้นถ้าติดใจในความแรงแล้วใส่ไม่มีเบา ส่วนอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยของรุ่น Sport อยู่ที่ 10.7 - 13.5 กิโลเมตรต่อลิตร สำหรับการลากจูงของ Ford Everest 2.0 4×2 Sport อยู่ที่ 3,500 กิโลกรัม หรือ 3.5 ตัน เอาไปลากเทรลเลอร์เรือเร็วหรือรถบ้านได้สบาย
Ford ถือเป็นแบรนด์แรกๆ ที่นำพวงมาลัยไฟฟ้ามาใช้งานทั้งในกระบะและ PPV SUV เมื่อขับออกจากที่จอด พวงมาลัยของ Everest Sport ให้ความรู้สึกที่เบาสบายมือ การเซตค่าความหน่วงของพวงมาลัยเมื่อขับเร็วก็เป็นธรรมชาติ ด้วยน้ำหนักพวงมาลัยที่เหมาะสม ระยะหมุนที่แม่นยำพอใช้ได้ ขับในเมือง พวงมาลัยไฟฟ้าอัตราทดน้ำหนักแปรผัน ช่วยทำให้การเลี้ยวเปลี่ยนช่องทางหรือกลับลำมีความคล่องตัว ห้องโดยสารไม่มีเสียงแปลกปลอมเสียดสีกันของชิ้นงานที่ใช้ตกแต่ง การเป็นรถทดสอบของสื่อนั้นจะต้องถูกขับใช้งานอย่างหนักทั้งวิ่งบนถนนปกติรวมถึงการวิ่งบนทางแบบออฟโรด Everest Sport เก็บเสียงได้ดีพอสมควร เสียงเครื่องยนต์ไม่ดังมาก เมื่อความเร็วเกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เสียงลมปะทะจะได้ยินอย่างชัดเจน และดังขึ้นเมื่อความเร็วทะยานผ่าน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนการเดินเบาของเครื่อง 2.0 ลิตร เทอร์โบ ทำได้นิ่งและเงียบใช้ได้เลยทีเดียว แรงสั่นสะเทือนจากการทำงานในเครื่องยนต์ดีเซลตัวเล็กของ Ford มีไม่มาก เป็นอีกจุดที่ทำออกมาได้ดี
Everest Sport ขับแล้วให้ความรู้สึกเป็นเอสยูวีมากที่สุดในบรรดา SUV 7 ที่นั่งที่มีอยู่ในตลาดของไทย ฐานล้อกว้าง ระบบกันสะเทือนปรับแต่งมาดี และยางที่เน้นการใช้งานบนท้องถนนซึ่งไม่ทนถ้าจะเอาไปลุยทางโหดที่มีหิน รวมถึงระดับ NVH (เสียง การสั่นสะเทือน ความกระด้าง) ที่ต่ำอย่างน่าประทับใจ ส่งผลให้ขับแล้วรู้สึกติดใจ เสียอย่างเดียวกำลังน้อยไป แรงบิดแค่ 405 นิวตันเมตร เหี่ยวเฉาสำหรับการเร่งแซง แรงบิดส่งไปยังล้อหลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด การส่งกำลังเป็นแบบเส้นตรง เมื่อลอยตัวแล้วก็ไปเร็วใช้ได้ แต่ก็ควรจะระวังเรื่องระยะเบรกเพราะตัวหนักเอาเรื่อง ช่วงล่างด้านหน้าดับเบิ้ลวิชโบนปีกนกคู่ มีการปรับค่ายืดและยุบของสปริงใหม่ คอยล์สปริงและเหล็กกันโคลงเส้นเขื่องลดอาการเต้นของช่วงล่างด้านหน้า รวมถึงยังลดอาการหน้ายุบเมื่อต้องลงเบรกหนักๆ ส่วนช่วงล่างด้านหลังยังเป็นแบบคอยล์สปริง พร้อมกลไกวัตต์ลิงก์ หรือเหล็กยึดค้ำที่ติดตั้งอยู่กับกระปุกของเฟืองท้าย ออกแบบใหม่และดูแล้วน่าจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าเดิม ลดอาการโคลงตัวบริเวณส่วนท้าย เพื่อทำให้บั้นท้ายของ Everest Sport มีความเสถียร กำลังแรงบิดที่ไม่มากทำให้มันควบคุมได้ง่าย กลายเป็นข้อดีของคนที่ย้ายมาจากรถเล็ก ส่วนระบบเบรกจัดมาพร้อมตัวช่วยเบรกที่ป้องกันไม่ให้เสียอาการขณะใช้เบรกหนักๆ แต่อย่างที่บอกว่าควรจะเผื่อเรื่องระยะเบรกให้มากเข้าไว้ เพราะตัวหนัก 2 ตันกว่ามาเร็วๆ ก็ต้องมีระยะของการเบรกเพื่อความปลอดภัยเผื่อเอาไว้จะได้เบรกอยู่
โดยภาพรวม ขนาดของ Everest ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คุณจะต้องปรับความคุ้นเคย เมื่อย้ายมาจากรถเก๋งเล็ก ตำแหน่งการขับที่สูง ทำให้มองเห็นได้รอบตัว เกียร์ 6 สปีด เป็นรองเกียร์ 10 สปีดอย่างชัดเจน แต่เปลี่ยนเกียร์เร็วและนุ่มนวล แถมยังทนทานมากกว่า Everest Sport เข้าโค้งด้วยความเร็วพอใช้ได้ มีพื้นที่ใช้สอยมากพอสำหรับครอบครัวใหญ่ ระบบอินโฟเทนเมนท์เชื่อมต่อแล้วไม่คอยหลุด เครื่องกับเกียร์ ไม่ได้มีสมรรถนะจัดจ้าน เน้นการใช้งานปกติในชีวิตประจำวันสำหรับคนที่ต้องขับรถเดินทางไกลบ่อยๆ โดยรวมแล้ว Everest Sport ทำออกมาได้ดี มีความน่าใช้ เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่มีราคาพอๆกัน.
Ford Everest Sport
Everest 2.0L Turbo Sport 4x2 6AT 1,619,000 บาท
Everest 2.0L Turbo Sport 4x2 6AT
เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง
ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จเจอร์
กำลังสูงสุด 170 แรงม้า (125 กิโลวัตต์) / 3,500 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 405 นิวตัน-เมตร / 1,750-2,500 รอบต่อนาที
ระบบขับเคลื่อนและระบบส่งกำลัง
เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
ขับเคลื่อน 2 ล้อ พร้อมระบบเลือกโหมดการขับขี่ 4 โหมด : Normal, Eco, Tow/Haul, Slippery
แชสซีส์และระบบกันสะเทือน
แบบอิสระปีกนก 2 ชั้นพร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง
แบบคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงค์และเหล็กกันโคลง
ดิสก์เบรกหน้า พร้อมครีบระบายความร้อน และ ดิสก์เบรกหลัง
ล้อและยาง
ล้ออัลลอย 20" สีดำ พร้อมยางขนาด 255/55 R20
อุปกรณ์ภายนอก
ชุดแต่งภายนอกสีดำสปอร์ต
ไฟหน้าแบบ LED รีเฟลกเตอร์ พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
ไฟวิ่งกลางวันแบบ LED รูป C-Clamp
ไฟตัดหมอกหน้า LED
ไฟท้ายแบบ LED Signature
ประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้า
อุปกรณ์ภายในและความสะดวกสบาย
ชุดแต่งภายในสีดำสปอร์ต
เบาะหนัง และ หนังสังเคราะห์สีดำ
เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสาร ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
แท่นชาร์จไร้สาย
หน้าจอแสดงผลบนหน้าปัดแบบสีขนาด 8 นิ้ว
ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา
ระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
ช่องต่อไฟ 12V 3 ช่อง
กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ พร้อมช่องต่อ USB
ระบบเปิด-ปิดกระจกสัมผัสเดียวด้านคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า
กุญแจรีโมทอัจฉริยะพร้อมปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ
ระบบเครื่องเสียงและการเชื่อมต่อ
หน้าจอแสดงผลจอสีแบบสัมผัส Multi-Touch ขนาด 10.1 นิ้ว
รองรับ Wireless Apple CarPlay® และ Android AutoTM
ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ และ ระบบ SYNC® 4A
ระบบ FordPass Connect
ช่องต่อ USB 4 ตำแหน่ง
ลำโพง 8 ตำแหน่ง
อุปกรณ์ความปลอดภัย
ถุงลมนิรภัย 7 จุด คู่หน้า / ด้านข้าง / ม่านถุงลมนิรภัย / และถุงลมบริเวณหัวเข่า
ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน
สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้าและด้านหลัง
กล้องมองหลังขณะถอยจอด
ระบบป้องกันล้อล็อก ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD
เบรกมือไฟฟ้า
ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP และ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA และระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ ROM
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
อุปกรณ์เสริม (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
เทคโนโลยีช่วยการขับขี่ขั้นสูง: ฟอร์ด เอเวอเรสต์ แพ็กเกจ B
อัพเกรดจอสีแบบสัมผัส Multi-Touch จากขนาด 10.1 นิ้ว เป็น 12 นิ้ว
ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ
กล้องมองรอบคัน 360 องศา
ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop&Go และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง
ระบบช่วยเบรคอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน
ระบบเตือนการชนด้านหน้า
ระบบช่วยควบคุมรถหลังจากชน
ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง
ระบบตรวจจับรถในจุดบอด และระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอด
ระบบป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง
ระบบช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/