ถ้าคุณเดินทางไปอิตาลีบ่อยๆ นอกจากอาหารติดรสเค็ม ผู้คนส่วนใหญ่รักสนุกแต่ก็ใจร้อนเหมือนคนไทยแล้ว ภาษาอิตาลีนั้น ลองสังเกตดูดีๆจะพบว่าเป็นสำเนียงภาษาที่สวยงามและฟังรื่นหูดีมาก การแปลชื่อรถยนต์ธรรมดาๆ ให้เป็นบทกวีที่ไพเราะ เห็นได้ทั่วไปในยานยนต์อิตาเลี่ยน คำว่า 'สี่ประตู' ในภาษาอิตาเลี่ยนคือ 'Quattroporte' ส่วนคำว่า 'หัวแดง' ในภาษาอิตาเลียน จะใช้คำว่า Testarossa ล่าสุดกับการเปิดผ้าคลุม Ferrari เครื่องยนต์วางหน้า สไตล์ ultra-GT รุ่นใหม่ กับเครื่องยนต์ 12 กระบอกสูบ โดยแบรนด์ดังแห่งมาราเนลโล ใช้ชื่อรถรุ่นนี้ว่า Dodici 12 Cilindri

...

Ferrari 12 Cilindri Spider ราคาเริ่มต้น 43,800,000 บาท ส่วนคันทดสอบ มาพร้อมออปชันเต็มทุกองคาพยบ ราคา 51,000,000 บาท

Ferrari 12 Cilindri เป็นการเฉลิมฉลองการกลับมาของรถสปอร์ตเครื่องวางหน้าจาก Farrari ด้วยเครื่อง V12 ขนาดใหญ่ นั่นหมายถึงเสียงเครื่องยนต์แบบวงออร์เคสตรา 150 ชิ้นดนตรีที่ดังกระหึ่มกึกก้อง กระบอกสูบ 12 ตำแหน่ง ความจุ 6.5 ลิตร และปราศจากอุปกรณ์อัดอากาศ เครื่อง V12 ติดตั้งอยู่ด้านหลังเพลาหน้า ใต้ฝากระโปรงหน้าแบบฝาพับขนาดยักษ์ 'cofango' ออกแบบมาเพื่อแสดงห้องเครื่องยนต์ได้อย่างโจ่งแจ้งและมีความโดดเด่นมากกว่า Ferrari 812 Superfast หรือแม้แต่สุดหล่ออย่าง Ferrari F12 การมาถึงของ 12 Cilindri คือการประกาศตัวตนที่แท้จริงของม้าลำพองเครื่องวางหน้าไซล์บิ้กบล็อกในยุคใหม่

...

Ferrari 12 Cilindri มีเครื่องยนต์ใหญ่ยักษ์แบบหายใจเองโดยเลี่ยงการใช้เทอร์โบชาร์จเจอร์ หรือบูสต์ไฮบริดในรูปแบบใดๆที่จะทำให้เครื่อง V12 สูญเสียเอกลักษณ์ความคลาสสิก ก้านสูบไทเทเนียมที่เบาแต่แข็งแกร่ง ลูกสูบแบบฟอร์จ ออกแบบเพื่อทำให้เครื่องยนต์หมุนรอบสูงได้ดีขึ้นกว่าเดิม กำลังเทียบเท่ากับ 820bhp ของ Ferrari 812 Competizione แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 677 นิวตันเมตร ( 500 ปอนด์ฟุต) ที่ 7,250 รอบต่อนาที มากกว่าสามในสี่ของพลังในการเร่งแซงนั้น อยู่ที่ 2,500 รอบต่อนาทีเท่านั้นเอง สีแดงของเรดไลน์ในมาตรวัด TFT นั้นลากไปสุดถึง 9,500 รอบต่อนาที ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 2.9 วินาที, 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 7.8 วินาที และเร่งความเร็วได้มากกว่า 349 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถ้าเร่งไม่รู้ลืมในปทุมธานีสปีดเวย์ คุณอาจเป็นสื่อคนแรกที่พาม้า V12 วิ่งแหกโค้งลงคันนาได้ง่ายๆ !

...

12 Cilindri ไม่ใช่การก้าวกระโดดทางเทคโนโลยี หรือมีระบบส่งกำลังเหนือกว่า 812 Superfast ลูกค้าส่วนใหญ่รู้ดีว่า Ferrari ตัดสินใจที่จะปรับจูนกำลังของ V12 ultra-GT รุ่นนี้ โดยไม่จำเป็นต้องทำให้มันเร็วขึ้นจนอาจควบคุมได้ยาก หากลูกค้าต้องการปัจจัยในการวาร์ปด้วยพลังงานขั้นยิ่งยวด ควรซื้อ SF90 มากกว่ารถโชว์เท่อย่าง 12 Cilindri หน้าที่หลักของ Fer เครื่องวางหน้าไซส์ยักษ์ก็คือ การรักษาโทนเสียงการทำงานในรอบสูงของเครื่อง V12 ให้คงอยู่ต่อไป รวมถึงการเอาใจเศรษฐีเก่าที่ยังนิยมเครื่องใหญ่แบบวางหน้าขับหลังสไตล์ GT

...

วิศวกรของแบรนด์ม้าลำพองยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะปฏิบัติตามกฎหมายการปล่อยมลพิษและขีดจำกัดทางเสียงที่รุนแรงยิ่งขึ้น ข้อจำกัดทางกฎหมายที่เข้มงวด ทำให้เสียงท่อไอเสียลดระดับเสียงลงที่ 72dB เห็นได้ชัดว่ามีการให้ความสำคัญกับการส่งเสียงของเครื่องยนต์ V12 เพื่อให้ดังเข้าไปในห้องโดยสารมากขึ้น แทนที่จะทำให้ทุกคนภายนอกหูหนวกก็ใส่เสียงเครื่องเข้าไปในห้องโดยสารเลยก็หมดเรื่อง

12 Cilindri มีการออกแบบที่ก้าวล้ำ ดูทันสมัยกว่า 812 หรือ F12 แถบ 'หน้ากาก' ด้านหน้าสีเข้มทำให้นึกถึงด้านหน้าทรงลิ่มของ 365 GTB/4 'Daytona' หัวหน้าฝ่ายออกแบบ Flavio Manzoni กล่าวว่า เป็นการดีไซน์ที่สื่อให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างอดีตที่ยิ่งใหญ่และอนาคตที่เปรียบเหมือนก้าวย่างสุดท้ายที่กำลังจะมาถึงของเครื่องยนต์ V12 จากม้าลำพอง ส่วนหลังคาสีดำ สัญลักษณ์ 'เดลต้าวิง' ขอบด้านนอกเป็นอุปกรณ์แอโร่แอคทีฟ โดยจะเพิ่มมุมขึ้น 10 องศา ระหว่างความเร็ว 60 กม./ชม. ถึง 300 กม./ชม. เพื่อกระจายแรงกด 50 กก. ลงบนเพลาล้อหลัง

แฟนคลับของม้าลำพองส่วนใหญ่ไม่มีเงินมากถึง 50 ล้านในการสอย Super GT คันนี้ แต่ก็เกิดความสงสัยในใจขึ้นมาว่า ทำไมส่วนกลางถึงแบนแบบนั้น ปรากฏว่า Ferrari มีความกังวลว่าการใช้ส่วนท้ายแบบ Ducktail ทั้งความกว้างและเตี้ยจะไม่สามารถใส่ถุงกอล์ฟที่เป็นจุดสำคัญของลูกค้าซึ่งควักเงินซื้อ Cilindri การออกแบบในลักษณะดังกล่าวทำให้เจ้าของรถหอบหิ้วถุงกอล์ฟไปเล่นกับเพื่อนๆได้โดยไม่ต้องเอายัดไว้ที่เบาะหน้า

ล้อของ 12 ถูกกลึงขึ้นรูปจากอะลูมิเนียมชิ้นเดียว และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 21 นิ้ว ฮาร์ดแวร์ระบบเบรกและระบบกันสะเทือนแม่เหล็กไฟฟ้าทีทำงานเร็วกว่าสายฟ้าฟาด ส่วนใหญ่ปรับปรุงจาก 812 Superfast แต่ซอฟต์แวร์ทั้งหมดได้รับการรีแมปใหม่เพื่อทำให้ตอบสนองได้เร็วขึ้นไปอีก วิศวกรของ Ferrari ยอมรับว่า 12 Cilindri มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ 812 ที่หนัก 1,525 กก. เนื่องจากล้อที่ใหญ่ขึ้น ฝากระโปรงหน้า และแอโรแอคทีฟแอโรรอบคัน คาร์บอนไฟเบอร์ทำให้น้ำหนักของ 12 Cilindri อยู่ที่ 1,560 กก.

ระบบบังคับเลี้ยวล้อหลังของ 812 Competizione ได้รับการปรับปรุงใหม่เพื่อให้เป็นมิตรกับการควบคุม ด้วยระยะฐานล้อที่สั้นลง 20 มม. เทคโนโลยีของระบบรักษาเสถียรภาพ นำเสนอระบบควบคุมการลื่นไถลด้านข้างรุ่นที่ 8 ของ Ferrari

สูตรโดยรวมยังคงเหมือนเดิม แต่ผลลัพธ์ที่ได้มีรสชาติที่แตกต่างอย่างชัดเจน Ferrrari แจ้งว่า 12 Cilindri มีแบนด์วิดท์ที่ดุดันมากกว่าเดิม โดยทั่วไปก็เป็นรถสปอร์ตวางหน้าขับหลังสไตล์จีที เน้นความสะดวกสบายจากการออกแบบพร้อมอุปกรณ์ใหม่ เป็นจุดขายหลัก รูปทรงไม่ลดทอนไดนามิกและประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยม ซึ่งมีความสำคัญ ทำให้รถ V12 ของ Ferrari เป็นที่รู้จักและใฝ่ฝันถึง 12 Cilindri จึงเป็นรถของนักขับ และเมื่อสัมผัสก็ให้ความรู้สึกมั่นใจ สบายและแรงสุดลิ่มทิ่มประตู

การออกแบบในลักษณะนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนจากโมเดล V12 ที่ผ่านมา ตามมาตรฐานของวงการรถยนต์ในปัจจุบัน ของใหม่ย่อมเร้าใจมากกว่าเดิม Flavio Manzoni หัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Ferrari ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ผู้คนที่พบเห็นอาจรู้สึกสับสนเล็กน้อยในตอนแรกว่านี่คือรถอะไร ขอโต้แย้งว่าการออกแบบนี้ยังคงสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้มากกว่า โดยรวม คนยุคใหม่มักจะมีความรู้เกี่ยวกับการออกแบบรถยนต์เป็นอย่างดี และเข้าใจถึงรูปทรงของยานยนต์ในยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์บังคับอากาศ Manzoni ไม่ชอบให้ทรงของรถออกมาในแบบย้อนยุค แต่ยินดีที่จะนำเอาแบบอย่างที่มีความโดดเด่นในอดีตมาปรับใช้ ส่วนหน้ารถแบบใบมีดแนวนอนนั้น คล้ายกับ 365 GTB4 Daytona ผู้เชี่ยวชาญของ Ferrari ยืนยันว่าการออกแบบของสำนัก Pininfarina ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของรถในยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

เครื่องยนต์ V12 รุ่นนี้เริ่มต้นจาก Ferrari 812 Competizione มันมีกำลังเท่ากันที่ 819 แรงม้า อุปกรณ์ในระบบวาล์วเคลือบด้วยคาร์บอน มีความแกร่งคล้ายเพชรซึ่งใช้ร่วมกับ 812 Comp ก้านสูบไททาเนียม เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการลดน้ำหนักและแรงเฉื่อยของชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่เคลื่อนไหว การใช้อลูมิเนียมเกรดสูงสุด ช่วยลดน้ำหนักของลูกสูบ เพลาข้อเหวี่ยงน้ำหนักเบาขึ้นกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ 

ตัวถังรถใหม่มีความแข็งแกร่งกว่า 812 Superfast ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ผลิตจากอะลูมิเนียมรีดและหล่อขึ้นรูป อะลูมิเนียมถูกนำมารีไซเคิล และปัจจุบัน มีการใช้ชิ้นส่วนหล่อขึ้นรูปถึง 17 ชิ้น เมื่อเทียบกับ 22 ชิ้นของ 812 (ส่งผลให้ปล่อย CO2 ลดลง 146 กิโลกรัมต่อคันที่ผลิต) นอกจากนี้ ฐานล้อยังลดลง 20 มิลลิเมตร Ferrari อ้างว่า เสา A และ C มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ทำให้ระดับ NVH และความปลอดภัยดีขึ้น แม้ว่าพื้นผิวของตัวรถจะไม่ได้ผ่านการดัดแปลง แต่ก็มีกลเม็ดทางแอโรไดนามิกอยู่อีกเพียบ ส่วนล่างออกแบบมาเพื่อส่งอากาศร้อนออกจากหม้อน้ำ มีชิ้นส่วนสร้างแรงกดตัวถังที่ด้านหน้าและด้านหลัง แผ่นแอโรไดนามิกที่ทำงานอยู่บริเวณท้ายรถจะแนบชิดกับตัวรถในการกำหนดค่า 'แรงต้านทานอากาศต่ำ' และจะยกขึ้นในโหมด 'แรงกดสูงสุด' ในมุม 10° ขึ้นอยู่กับความแรงที่คุณกดเบรกระหว่างความเร็ว 61 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไปจนถึง 299 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ทั้งหมดทั้งปวงเหนือสิ่งอื่นใด คอมพิวเตอร์จะปรับรถให้เข้าสู่โหมดลดแรงต้าน โดยสมมติว่ากำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด นอกจากนี้ วิศวกรของม้าลำพองยังไม่จำเป็นต้องติดตั้งวิงหลังไฟฟ้าแบบเต็มความกว้าง ซึ่งช่วยให้มีพื้นที่เก็บสัมภาระมากขึ้นโดยเฉพาะถุงกอลฟ์ นั่นก็คือแนวคิดของรถ Super GT ที่ถูกปรับให้มีความเหมาะสมกับการใช้งานในวันหยุดนั่นเอง Ferrari 12 Cilindri ถือเครื่องจักรที่ซับซ้อนและชาญฉลาด โดยเฉพาะระบบควบคุมและรักษาเสถียรภาพที่ทำงานได้อย่างแนบเนียนและไม่แทรกแซงเกินความจำเป็นจนทำให้เสียอารมณ์ การทำงานของระบบยังคงไว้ซึ่งไดนามิกแบบเต็ม 100% ยกเว้น Wet Mode ที่คันเร่งถูกปรับให้ลดการตอบสนองลงไปพอสมควร การเฝ้าระวังมุมล้อทั้งสี่ด้านเพื่อไม่ให้รถเสียอาการ อาจไม่สนุกเมื่อต้องขับบนถนนที่เปียกลื่นแล้วใช้โหมดนี้ แต่ความปลอดภัยของรถทดสอบราคา 40 ล้าน เป็นสิ่งที่ต้องระวังให้เกิน 100 

Ferrari ส่งมอบ 12 Cilindri รถสปอร์ตวางหน้าขับหลังที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยมีมา ความสะดวกสบายของ 12 Cilindri อาจสร้างความรำคาญให้กับเศรษฐีที่ชื่นชอบรถฮาร์ดคอร์สไตล์ท้ารบ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เมื่อคุณได้สัมผัสกับสิ่งที่ 12Cilindri ทำได้ มันมีเสน่ห์เมื่อขับไปเรื่อยๆที่ความเร็วต่ำ งานประกอบและวัสดุต่างๆ ถูกผลิตขึ้นมาอย่างสวยงาม โดยแบรนด์ที่เป็นผู้นำด้านการออกแบบและเทคโนโลยีระบบส่งกำลัง เป็นสายเลือดของรถ V12 ที่ได้รับการเสริมแต่งให้สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง

12 Cilindri มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ให้ความรู้สึกที่จริงจังและสุขุม ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่ารถวัยรุ่นอย่าง F12 หรือ 812 ซึ่งเป็นรถที่ทำให้รู้สึกยำเกรง เครื่องยนต์ของ Ferrari 12 Cilindri จะเริ่มทำงานตามแบบฉบับดั้งเดิม นั่นก็คือครางทุ้มในรอบต่ำ รอบเดินเบาที่เงียบอย่างไม่คาดคิดทำให้มันดูสุภาพมากเวลาติดไฟแดง เป็น Ferrari รุ่นใหม่ที่มีเสียงน่าเกรงขามน้อยที่สุดในรอบหลายปี แต่ถ้าเปิดโหมด Race แล้วระเบิดพลังงานออกมา นั่นมันคนละเรื่องกันเลยกับการเดินเบาแบบรถผู้บริหารระดับสูง  

มันเหมือนกับ Purosangue นี่คือ Ferrari ที่ออกแบบให้ขับได้ในทุกสภาพอากาศ นานมาแล้วที่เจ้าของม้าลำพองตัวใหญ่กำลัง 600-700 แรงม้า จะต้องระมัดระวังอยู่ตลอดเวลาในขณะที่ขับเคลื่อน แต่ Ferrari 12 Cilindri กลับให้ความรู้สึกอุ่นใจในแบบที่แตกต่างจาก Ferrari รุ่นอื่นๆ ที่ผมเคยขับ เบรกและยาง (275/35ZR21 ล้อหน้าและ 315/35ZR21 ล้อหลัง) ให้การยึดเกาะถนนดีมาก แม้ผิวแทรคในบางช่วงจะมีน้ำฝนปกคลุมอยู่ก็ตาม เมื่อคุณเริ่มคุ้นเคยกับการตอบสนองของ 12 Cilindri เวลาก็หมดลงพอดีสำหรับการขับทดสอบสั้นๆ มันเป็นรถที่มีภายในออกแบบและตกแต่งได้อย่างประณีตงดงามไม่แพ้ BMW 7 Series หรือ Mercedes S-Class เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ แต่ก็ให้ความสบาย โดยเฉพาะฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น

12 Cilindri มีการบังคับเลี้ยวไม่รวดเร็วเท่ากับ Ferrari รุ่นอื่น ๆ (ที่ชอบสุดคือ F8) แต่เครื่องยนต์ตัวโตก็ช่วยกระตุ้นความตื่นเต้นและมอบการเร่งความเร็วที่ยอดเยี่ยม พิจารณาจากขนาดของตัวถัง 12Cilindri ไม่ใช่ Sport GT ที่คุณจะทะยานจากโค้งซ้ายไปโค้งขวาด้วยความเร็วใกล้เคียงกับจุดสูงสุดของขีดจำกัด แต่รถก็พร้อมที่จะหักเหอย่างว่องไว ด้วยพวงมาลัยไฟฟ้าที่มีสมดุล ระบบเบรก 'ABS Evo' ได้รับการปรับจูนอย่างประณีต เพื่อความรู้สึกหรือฟิลลิ่ง (แน่นๆ ) ขณะเบรกเต็มกำลัง จานดิสก์หน้าคาร์บอนเซรามิก เส้นผ่านศูนย์กลาง 398 มม. ส่วนจานดิสก์หลังขนาด 360 มม. ถ้าไม่ห้าวจนเกินกำลังก็เอาอยู่ในทุกกรณี ระบบควบคุมการลื่นไถลด้านข้างของ Ferrari เข้าสู่เวอร์ชัน 8.0 มันทำงานเร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า (F 812) โดยยังคงวัดระดับของการยึดเกาะที่มีอยู่ได้ แม้ในขณะที่ล้อถูกบังคับเลี้ยวในโค้ง ระบบควบคุมการลื่นไถล ใช้เซ็นเซอร์ที่ซับซ้อนมากมายหลายจุด และ Virtual Short Wheelbase (3.0) ทำหน้าที่ได้อย่างมหัศจรรย์ ทั้งหมดนี้ทำให้รถเกาะหนึบอยู่บนแทรคอย่างมั่นคง โดยไม่ต้องอวดอ้างสรรพคุณให้เกินเลยความเป็นจริง

Ferrari 12 Cilindri มีระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง เพื่อควบคุมการหันเหและเพิ่มความคล่องตัว เป็นวิวัฒนาการของระบบที่ปรากฏใน F12 tdf และ 812 Competizione ทั้งสองคัน มีแรงบิดระดับนรกแตก และต้องใช้เวลาในการทำความคุ้นเคยกับมันอย่างเต็มที่ แต่ 12 Cilindri คันนี้ ตอบสนองคุณในทันทีที่กระแทกคันเร่ง เข้าถึงได้ง่ายจากการบังคับควบคุมที่ง่ายมากและคล่องตัวสุดๆ แต่รุ่น Roadster เสาท้ายบดบังทัศนวิสัยด้านหลังจนมองไม่เห็นซึ่งต้องระวังอยู่เหมือนกัน 

ความมุ่งมั่นของ Ferrari ที่มีต่อเครื่องยนต์ V12 แบบไม่มีระบบอัดอากาศ เห็นได้จากส่วนประกอบที่เบา โลหะผสมที่ใช้ความเชี่ยวชาญในการหลอม ทำให้เครื่องยนต์สามารถเร่งได้ถึง 9,500 รอบต่อนาที และแรงบิด 80 เปอร์เซ็นต์ พร้อมใช้งานได้ตั้งแต่ 2,500 รอบต่อนาที Ferrari ดัดแปลงซอฟต์แวร์แรงบิดแปรผันที่ใช้ในรถเครื่องยนต์เทอร์โบ โดย "ปรับแต่ง" แรงบิดในเกียร์สามและสี่ เพื่อเพิ่มความรู้สึกเร้าใจ เมื่อขับด้วยความเร็วต่ำ 12Cilindri จะอยู่ที่เกียร์แปด ที่ความเร็ว 64 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยใช้ความเร็วรอบเพียง 1,600 รอบต่อนาทีเท่านั้นเอง

การทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาเสียงคำรามของเครื่องยนต์ V12 เอาไว้ มีท่อไอเสียที่มีความยาวเท่ากันและท่อร่วมไอดีแบบ 6 ต่อ 1 สำหรับแต่ละกระบอกสูบ ทุกส่วนของระบบระบายไอเสียได้รับการปรับแต่งเพื่อให้เกิดเสียงที่ดังที่สุด ถึงแม้ว่าเครื่องยนต์ของ Ferrari 12 Cilindri จะไม่ดังเท่า 812 แต่ก็ผ่านการทดสอบการปล่อยไอเสียที่เข้มงวดที่สุดได้ทั้งหมด ถือเป็นการให้เกียรติวิศวกรของ Ferrari อย่างยิ่ง

อัตราเร่ง 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 2.9 วินาที 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 8.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 340 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 12Cilindri ให้ความรู้สึกทรงพลังอย่างแท้จริง ลองหมุนปุ่ม Manettino เป็นโหมด Race และเปิดใช้งานโหมด Warp Drive นับเป็นประสบการณ์โดยรวมที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดแบบคลัตช์คู่ ทำงานเร็ว ให้การขับขี่ต่อเนื่องและพลิ้วไหวอย่างน่าประหลาดใจจากการตัดต่อเกียร์ที่เนียนสุด เบรกหนักๆ เกียร์ในโหมด Auto ก็ลดเกียร์ให้ 1-2 ตำแหน่ง การเลือกโหมดแมนนวลบนคันเกียร์ที่ออกแบบอย่างชาญฉลาด ลองใช้แป้นเปลี่ยนเกียร์ขนาดใหญ่ที่ติดอยู่กับคอพวงมาลัยซึ่งอาจตอบสนองได้ดี แต่ไม่ไวไปกว่าสมองกลเกียร์ในโหมดอัตโนมัติ เครื่องยนต์ออกแบบให้ใช้งานได้อย่างเต็มที่ ในวันทดสอบรถต้องวิ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น หากไม่เหนียวพอก็อาจกระจายได้เพราะสื่อไหนขึ้นมาได้ก็กดยับทันที  และถึงแม้ว่าจะปรับเกียร์จนสุดแล้ว ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัย เบรก การควบคุมตัวถัง ก็ยังคงทำงานประสานกันได้อย่างดีเยี่ยม

Ferrari 12 Cilindri ขับได้อย่างนุ่มนวล ด้วยโช้คอัพแม่เหล็กไฟฟ้า นับเป็นพรสวรรค์และความสามารถของ Ferrari ในโดเมนนี้ ที่ได้รับการยอมรับว่าเจ๋งจริง โช้คอัพระบแม่เหล็กไฟฟ้า คงคุณลักษณะของการทำงาน ด้วยการปรับความแข็ง-อ่อนอย่างต่อเนื่องไปตลอดทาง ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า 12Cilindri เวอร์ชันที่ดุดันกว่าจะออกมาขายอย่างแน่นอน แต่ 12Cilindri เวอร์ชันนี้ จะเน้นความดุดันมากกว่า เพื่อให้ประสบการณ์ไดนามิกที่กว้างขึ้น เป็นรถที่ลูกค้า Fer สามารถขับได้ทุกวัน แม้ว่าจะต้องระวังเรื่องล้ออัลลอยด์ก็ตาม

แนวทางปัจจุบันของบริษัทในด้านหลักสรีรศาสตร์นั้นมีลักษณะเฉพาะตัว กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีห้องโดยสารที่งดงามทุกรุ่น "ผมรู้ว่าคุณชอบสวิตช์เกียร์แบบคาปาซิทีฟในรถของเรามากแค่ไหน" Raffa de Simeone พูดระหว่างการบรรยายสรุปทางเทคโนโลยี "เราได้ทำการเปลี่ยนแปลงบางอย่างแล้ว" จอแสดงผลของคนขับ เป็นจอขนาด 15.6 นิ้ว ปรับตั้งค่าการแสดงผลได้อย่างหลากหลาย เข้าถึงได้ด้วยทัชแพดแบบนิ้วหัวแม่มือบนพวงมาลัย ซึ่งช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน กราฟิกมีความคมชัด อ่านค่าได้ชัดเจนดี

หน้าจอสัมผัสขนาด 10.2 นิ้ว มีระบบปรับอากาศและระบบอินโฟเทนเมนต์แบบใหม่ รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay/Android Auto หน้าจอสัมผัส ใช้งานได้ดี ไม่มีระบบนำทางด้วยดาวเทียมในตัว โดยที่ Ferrari สรุปว่านี่คือวิธีที่คนส่วนใหญ่ใช้รถในปัจจุบันนี้ หน้าจอแสดงข้อมูลตรงหน้าเบาะผู้โดยสาร จริงๆ แล้วเป็นอุปกรณ์เสริม หลังคาแก้วเคลือบสี เบาะนั่งนั้นดูดี รองรับส่วนหลังส่วนล่างได้ดี หากต้องการความสบายมากกว่านี้ สามารถสั่งเบาะนวดระบายอากาศ เป็นอุปกรณ์เสริมในราคา 8,957 ปอนด์ นอกจากนั้น 12Cilindri ยังมีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับผู้โดยสารและสัมภาระ โทรศัพท์มือถือสามารถเก็บในพื้นที่เล็กๆ ทั้งสองข้างของคอนโซลกลางแต่ปุ่มบนพวงมาลัยอันแสนยุ่งของ 12Cilindri ที่ปิดระบบ ADAS ได้ ทำงานค่อนข้างราบรื่น สามารถเก็บการตั้งค่าปิดระบบไว้เป็นทางลัดได้ ระบบช่วยควบคุมเลนใน Ferrari ดูเหมือนจะเป็นความคิดที่แปลกประหลาดแต่ก็ถูกนำมาติดตั้งเอาไว้ด้วย!