40 ปี Quattro กลายเป็นสัญลักษณ์และตำนานของรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ตั้งแต่ A3 ขนาดกะทัดรัด จนมาถึง Q7 ที่เปรียบเหมือนเรือเดินสมุทรแห่ง SUV เป็นรถอเนกประสงค์ที่ดูสง่าผ่าเผย ภายในโอ่โถงหรูหรา เพรียบพร้อมไปด้วยของเล่นไฮเทคพอๆกับห้องนั่งเล่น ท่ามกลางความเงียบสงบของห้องโดยสารและความสบาย ผ่านไดนามิกที่ถูกปรับแต่งมาเป็นอย่างดี Q7 รุ่นปรับโฉมล่าสุด เป็นยานพาหนะที่ทำให้คุณรู้สึกว่ามีสถานะเหนือกว่าเพื่อนบ้าน (ซึ่งก็ไม่แน่เสมอไป หากข้างบ้านคุณขับ Bentayga W12) พูดง่ายๆก็คือ Q7 เป็นศูนย์รวมของความอเนกประสงค์ ปลอดภัยและโอ่โถง ทุกองคาพยบ ออกแบบมาเพื่อการขับเคลื่อนท่ามกลางความสะดวกสบายอย่างแท้จริง
...
Audi Q7 55 TFSI e quattro ยังเน้นอารมณ์ความสปอร์ตในสไตล์ของค่ายสี่ห่วงด้วยการปรับโฉมใหม่อีกรอบ อุปกรณ์เสริมความเข้มของตัวถัง S line Black Edition กลมกลืนไปสีตัวถังทั้งคัน ดีไซน์มใหม่ด้านหน้าและด้านหลัง เสริมด้วยชุดแต่งสีดำและไฟหน้า Matrix LED คาลิเปอร์เบรกสีแดงติดตั้งไว้ด้านหลัง ล้อขนาด 21 นิ้ว ลายใหม่ล่าสุด และระบบกันสะเทือน Air Suspension ควบคุมรถได้คล่องตัว มอบความสบายในขณะเดินทางไกล ในจุดนี้ ถือว่าทำออกมาได้ดี
...
...
ใช้ไฟฟ้าล้วน วิ่งไกล 71 กิโลเมตร
กระจังใหม่
โปรเจคเตอร์ไลท์นิ่ง ที่บานประตูทั้งสี่บาน
ล้อ Audi Sport 21 นิ้ว ลายใหม่
กันชนหน้า-หลัง ใหม่
โลโก้ใหม่ 2025 รอบคัน
ไฟท้ายใหม่
Audi virtual Cockpit Plus
MMI
เบาะสปอร์ตหนัง Valcona
Haptic Feedback เอานิ้วสัมผัสจอแล้วมีการตอบสนองเบาๆที่นิ้ว (มีแค่แบรนด์นี้แบรนด์เดียว)
ภายในตกแต่ง S-Line
เครื่องยนต์เบนซิน V6 เทอร์โบ + มอเตอร์ไฟฟ้าในเกียร์ 394 แรงม้า 600 นิวตันเมตร 0-100 ใน 5.7 วินาที
ชาร์จไฟ 7.4 kW จาก Wallbox ใน 3 ชั่วโมง
แบตเตอรี่ลิเธี่ยม 25.9 kWh ประกัน 8 ปี หรือ 160,000 บาท
ช่วงล่าง Adaptive Air Suspension
Quattro แบบ Self-Locking Center Differential
ปรับระบบบริหารพลังงานใหม่ (BMS) วิ่งความเร็วต่ำกว่า 65 กิโลเมตร ระบบไฮบริดจะไม่ทำการชาร์จพลังงานไฟฟ้า เพื่อลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
...
ชุดกระจังทำจากพลาสติกมีช่องรับอากาศเล็กๆ เพื่อนำลมเย็นไประบายความร้อนในห้องเครื่องยนต์ กันชนหน้าใหม่มีส่วนทำให้ด้านหน้าของรถดูเคร่งขรึมมากกว่าเดิม ไฟหน้า HD Matrix LED Headlights Technology เป็นออปชั่นที่ Audi Thailand ใส่มาให้แบบไม่ได้ชาร์จเงินลูกค้าเพิ่ม ไฟหน้าระบบอัตโนมัติ HD Matrix LED Headlights Technology ใช้หลอด LED 24 หลอด ต่อไฟหน้า 1 ข้าง เพื่อรองรับฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครอบคลุมและปรับมุมของแสงเพื่อเพิ่มระยะของการมองเห็นในที่มืด ช่วยลดมุมอับของแสงไฟขณะขับเคลื่อนอยู่ในโค้งหรือเคลื่อนที่ผ่านทางแยก ลดหรือยกไฟสูงแบบอัตโนมัติ HD Matrix LED Headlights Technology กลายเป็นระบบไฟที่ก้าวล้ำในปัจจุบัน เทียบเคียงกำลังในการส่องสว่างของ Digital Light ใน Mercedes-Benz ยุคใหม่ได้อย่างสบายๆ HD Matrix LED ไฟหน้า LED ความเข้มสูง ส่องสว่างบนถนนที่ปราศจากแสง ไฟหน้า Matrix LED นวัตกรรมใหม่พร้อมไฟสูงแบบ Laser Light เพิ่มเติม ปรับระยะลำแสงไกลขึ้นเพื่อเปิดมุมมองบนถนนที่มืดมิด ระบบ Matrix LED จะทำการเบี่ยงเบนไฟสูงไม่ให้ไปแยงตารถที่แล่นสวนมาหรือรถที่วิ่งอยู่ข้างหน้าเมื่อขับบนถนนที่ไม่มีแสงไฟ ไฟวิ่งกลางวันแบบดิจิทัลออกแบบใหม่ด้วยทรงของไฟหรี่ LED Daytime Running Light ที่เป็นเอกลักษณ์ ไฟท้าย OLED แบบดิจิทัลทำงานร่วมแกนกับระบบความปลอดภัยและส่งแสงแจ้งเตือนรถคันข้างหลังเมื่อใช้เบรกฉุกเฉินหรือแจ้งเตือนระยะของการขับเข้ามาใกล้มากจนเกินไป!
มิติตัวถังของ Audi Q7 Facelift เวอร์ชั่นปลั๊กอินไฮบริด รหัส 55TFSI Quattro S-Line Edition One มีความกว้าง 1,968 มิลลิเมตร ยาวเหยียดมากถึง 5,052 มิลลิเมตร สัดส่วนความสูงอยู่ที่ 1,741 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ วัดจากดุมล้อหน้าไปหลัง 2,994 มิลลิเมตร ส่วนความกว้างล้อหน้าอยู่ที่ 1,697 มิลลิเมตร ล้อหลัง 1,691 มิลลิเมตร ระยะห่างจากพื้นถึงใต้ท้องพอจะลุยทางขระขระ ได้บ้างแบบพอหอมปากหอมคอที่ 220 มิลลิเมตร เมื่อยกโช้คอัพถุงลมขึ้นในระดับสูงสุด ล้อ Audi. Sport ลายใหม่ ขอบ 21 นิ้ว ยาง Continental Contact 6 ไซล์ 285/40R21
โช้คอัพและสปริงแบบถุงลม หรือ Air Suspension เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน ทำงานในระบบ Adaptive สามารถปรับหรือลดระดับความสูงได้อย่างหลากหลาย ส่วนใหญ่ระดับความสูงจะปรับตัวเองแบบอัตโนมัติไปตามโหมดของการขับเคลื่อน 7 รูปแบบ (efficiency / Comfort / of road / All Road / Auto / Dynamic / Individual) ในส่วนของระบบเบรก เนื่องจากมีน้ำหนักตัวมากถึง 2 ตัน เบรกหน้าของ Q7 เป็นแบบ 6 พอต คาร์ลิปเปอร์อะลูมิเนียมสีแดง
ภายในของ Q7 55 TFSI e quattro มาพร้อมชุดแต่ง S line เบาะนั่งสปอร์ตพร้อมลายนูน S line แผงหลังคาสีเทาวัสดุบุนุ่ม Alcantara แดชบอร์ดสีดำฝังเส้นอลูมิเนียมพร้อมสัญลักษณ์ Quattro เมื่อเปิดประตู ไฟ LED บนธรณีประตูจะฉายวงแหวนทั้งสี่วงลงสู่พื้น
ชุดหน้าจอออกแบบการทำงานเพื่อลดภารกรรมในการควบคุม ระบบ MMI Cockpit plus พร้อมหน้าจอแบบสัมผัส (MMI touch) Multi-Media Interface ขนาด 8.8 นิ้ว (เล็กกว่าจอภาพของ Q8) สั่งงานด้วยเสียงเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด หรือสั่งงานด้วยการใช้นิ้วแตะที่หน้าจอ ระบบ Audi smartphone interface ส่วนจอภาพของระบบปรับอากาศและการควบคุมสั่งงานด้วยการเขียน ขนาด 8.6 นิ้ว แสดงข้อมูลการขับขี่แบบสี เป็นจอควบคุมมัลติฟังก์ชั่นแบบสัมผัสพร้อมตอบสนองการสั่งงาน (haptic feedback) ทั้งสองจอภาพ
มาตรวัดจอภาพแบบ virtual cockpit ราคา 3 แสน มาตรวัดแสดงผลจำลองแบบเข็มอ่านค่าได้ง่าย ปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลได้อย่างหลากหลาย ใช้งานได้สะดวกจากความคมชัดและจัดวางอยู่ในแนวสายตาของคนขับ จอแสดงผลกลางมาตรวัด MID multi information display แจ้งข้อมูลที่สำคัญในการขับเคลื่อน
จอแสดงผลของระบบปฏิบัติการ MMI touch response สามารถเลือกดูข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการขับขี่ด้วยไฟฟ้าได้ เช่น มาตรวัดกำลัง ระยะทาง และการไหลของพลังงานปัจจุบันในชุดขับเคลื่อนทั้งสองชุด (เครื่องยนต์+มอเตอร์ไฟฟ้า) มาตรวัดกำลังเป็นองค์ประกอบจอแสดงผลส่วนกลาง ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงานของระบบไฟฟ้าสูงสุด รวมถึงการวิ่งแบบไหลไปเรื่อยๆ โดยเครื่องยนต์ถูกดับหรือการเบรกแบบ regenerative braking
Audi drive select โหมดขับเคลื่อน 7 แบบ
Audi drive select ปรับการตอบสนองของระบบส่งกำลังปลั๊กอินไฮบริดด้วยรูปแบบการขับที่แตกต่างกัน เช่น “comfort” “efficiency” “auto” “dynamic” “individual” “allroad” (พร้อมระบบกันสะเทือนถุงลมแบบปรับได้) และ “offroad” เพื่อปรับเปลี่ยนการตั้งค่าการตอบสนองของระบบขับเคลื่อน ระบบกันสะเทือนถุงลมแบบแอร์สปริง และพวงมาลัยไฟฟ้าอัตราทดแปรผัน
เช่นเดิมกับดีไซน์ซุ้มคันเกียร์ของ Audi ที่ออกแบบได้อย่างสวยงามอลังการ ใช้วัสดุที่มีคุณภาพเพื่อทำให้ดูหรูหราน่าใช้งาน คันเกียร์คล้ายการนำเอาคันเร่งของเรือยอชต์มาตกแต่งบนงานหัวเกียร์ ไม่ว่าจะเป็นหัวเกียร์หุ้มหนังสีดำ สวิตช์กดข้างคันเกียร์และตำแหน่ง Trip-Tronic หลังคันเกียร์หรูๆ เป็นที่อยู่ของสวิตช์เบรกมือไฟฟ้าและสวิตช์ auto brake hold ช่วยเพิ่มความสะดวกเมื่อขับท่ามกลางสภาพการจราจรที่คับคั่ง Audi ยังเอาใจคนนั่งข้างๆ ด้วยการติดตั้งปุ่มปรับระดับเสียงและเลือกแทรคจากระบบเสียง B&O Surround Stage พร้อมปุ่มควบคุมของระบบ MMI ระบบ MMI ใน Audi ทุกรุ่นเป็นระบบสั่งงาน Cockpit เสมือนจริงที่ใช้งานได้ง่าย หรือที่เรียกว่า Virtual Cockpit ซึ่งมาพร้อมกับมาตรวัดจอภาพที่ปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้อย่างหลากหลาย
เบาะผู้โดยสารตอนหลังพับได้อย่างหลากหลายเพื่อเพิ่มความอเนกประสงค์ในการขนสัมภาระชิ้นโต เมื่อพับเบาะหลังลงราบกับพื้นก็จะเพิ่มพื้นที่ความจุได้มากกว่าเดิมอีกเท่าตัว ขนกระเป๋าใบใหญ่ ถุง Golf หรือแม้แต่จักยานเสือหมอบได้อย่างสบายๆ แต่ก็ต้องเสียพื้นที่โดยสารของเบาะหลังทั้งหมด
เมื่อเหยียบคันเร่งเต็มเหนี่ยว เครื่องยนต์และมอเตอร์จะทำงานร่วมกัน ในรูปแบบ “dynamic” ของ Audi drive select และในโหมดเกียร์ “S” มอเตอร์ไฟฟ้าในเครื่องยนต์ 3.0 TFSI มีฟังก์ชัน boost เพื่อพลวัตด้านพลังและความคล่องตัว เมื่อยกเท้าออกจากคันเร่ง มอเตอร์ไฟฟ้าสามารถ regenerative ได้ทุกครั้งเพื่อชาร์จไฟใส่แบตเตอรี่
Q7 55 TFSI e quattro กำลัง 394 แรงม้า (รวมเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า) แรงบิด 600 นิวตันเมตร อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ลิตร/100 กม.: 3.0–2.8 อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้ารวมเป็นกิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กม. : 22.4–21.9; อัตราการปล่อย CO2 รวมเป็นกรัม/กม. : 69–64) เร่งความเร็วถึง 100 กม./ชม. ใน 5.7 วินาที มอเตอร์ไฟฟ้าสามารถสร้างแรงขับเคลื่อนของรถได้เพียงลำพังด้วยความเร็วสูงสุด 135 กม./ชม. (83.9 ไมล์/ชม.) ความเร็วสูงสุด 240 กม./ชม. จากเครื่องยนต์สันดาปภายในผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า
หัวใจสำคัญของรถยนต์ไฮบริดแบบปลั๊กอินทั้งสองรุ่นคือเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร มอเตอร์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด (PSM) แบตเตอรี่ลิเธียมระบายความร้อนด้วยของเหลวรุ่นใหม่ที่ทรงพลังกว่า ติดตั้งอยู่ใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระ พลังงานของแบตเตอรี่โดยรวมอยู่ที่เซลล์ 17 เซลล์ แต่ละเซลล์มีความจุ 70 Ah เรียกว่า “สแต็ก” สแต็ก 6 สแต็ก ประกอบเป็นหน่วยเดียว ใช้การเชื่อมต่อแบบอนุกรม ด้วยการออกแบบที่กะทัดรัดภายในชุดแบตเตอรี่ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวเรือนโมดูลเพิ่มเติม ส่งผลให้มีความหนาแน่นของพลังงานสูงขึ้น แบตเตอรี่มีความจุ 25.9 kWh (รวม 22 kWh สุทธิ) ที่ 370 โวลต์ ความจุที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ไกล 71 กิโลเมตร ในเขตเมือง (มาตรฐาน WLTP EAER City) ซึ่งเทียบเท่ากับระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้ารวมสูงสุด 60 กม. ตามมาตรฐาน WLTP EAER ระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ ทริปทรอนิกส์ 8 สปีด ขับเคลื่อนสี่ล้อ Quattro
ระบบส่งกำลังของรุ่น 55 TFSI e quattro เริ่มต้นที่ 290 กิโลวัตต์ (394 PS) และแรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร (อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสำหรับ Q7 : 1.4–1.2 ลิตร/100 กม. อัตราสิ้นเปลืองพลังงาน 29.1–27.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กม. อัตราการปล่อย CO2 33–28 กรัม/กม. อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของแบตเตอรี่ที่หมดไฟ (รวม): 10.5–9.8 ลิตร/100 กม. อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเมื่อแบตเตอรี่หมดประจุ (รวม): 10.9–8.9 ลิตร/100 กม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.7 วินาที ทุกรุ่นมีความเร็วสูงสุดที่จำกัดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ 240 กม./ชม. ความเร็วสูงสุดแบบใช้ไฟฟ้าล้วนที่ 135 กม./ชม. แบตเตอรี่ชาร์จได้สูงสุด 7.4 กิโลวัตต์ ชาร์จเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ในเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 45 นาที เมื่อชาร์จด้วยกำลังสูงสุด
เมื่อใช้งานระบบ regenerative brakingเ มอเตอร์ไฟฟ้าจะทำการเบรกแบบเบาและปานกลาง คิดเป็นกว่า 90% ของกระบวนการลดความเร็วทั้งหมดในการใช้งานทั่วไป ระบบเบรกไฮดรอลิกจะทำงานเฉพาะในกรณีที่การลดความเร็วที่หนักหน่วงกว่าเท่านั้น การปรับแต่งระบบขับเคลื่อนที่ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างละเอียดซับซ้อน ทำให้การเปลี่ยนผ่านระหว่างเบรกไฟฟ้าและเบรกไฮดรอลิกแทบจะไม่ส่งความรู้สึกของการตัดต่อระหว่างเครื่องยนต์ มอเตอร์ หรือทั้งสองแบบที่ผสานการทำงานไปพร้อมกันในขณะที่เร่งความเร็ว แป้นเบรกให้การตอบสนองดี ปรับเปลี่ยนการทำงานและตอบสนองได้อย่างแม่นยำ ในระหว่างการเบรก ระบบจะสร้างพลังงานสำรองได้สูงถึง 80 กิโลวัตต์
ระบบช่วยควบคุมความเร็วแบบปรับ รวมถึงระบบควบคุมความเร็วแบบเรดาร์ ในขณะที่ทำงานอยู่ PEA จะลดความเร็ว หรือเร่งความเร็วได้อย่างนิ่มนวลเพื่อประหยัดพลังงาน หากปิดระบบ จะมีการแจ้งเตือนที่ระบุว่าเมื่อใดจึงควรยกเท้าออกจากคันเร่งด้านขวา แรงกระตุ้นที่แป้นคันเร่งและข้อมูลที่แสดงบนจอแสดงผลบนกระจกหน้า พร้อมสัญลักษณ์ต่างๆ เช่น ทางแยก ป้ายแจ้งเตือนความเร็วหรือสัญลักษณ์จราจรต่างๆ รวมถึงการแจ้งเตือนระยะห่างระหว่างรถที่ขับอยู่ข้างหน้า เพื่อแจ้งเตือนถึงสาเหตุของการลดความเร็ว
เกียร์อัตโนมัติขับเคลื่อน 4 ล้อ Tiptronic ZF 8 speed พร้อมกลไก Quattro เชื่อมต่อการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าเสริมแรง กระจายแรงบิดผ่านกระบวนเฟืองสุริยะ หรือ Planetary Gear ระบบ Quattro ใน Q7 ทำงานด้วยกลไกเฟืองต่างขนาดควบคุมด้วยสมองกลอิเล็กทรอนิกส์ ในสภาวะของการขับแบบปกติ Quattro จะกระจายกำลังแรงขับเคลื่อนไปที่ล้อหน้าและล้อหลังในอัตราส่วน 40/60 พร้อมส่งแรงบิดไปที่ล้อหน้าได้อย่างอิสระมากถึง 70/30 หรือส่งแรงบิดไปที่ล้อหลังได้ถึง 85% (หน้า 15% หลัง 85%) การกระจายแรงบิดในลักษณะดังกล่าวมอบสัมผัสที่มั่นคงและเต็มไปด้วยความเสถียรเมื่อต้องวิ่งผ่านผิวถนนที่มีความหลากหลาย
Q7 เสียบปลั๊กชาร์จไฟ ขับโคตรดีแม้จะวิ่งด้วยไฟฟ้าได้แค่ 55 กิโลเมตร จุดที่ชอบก็คือ ช่วงล่างถุงลมแอร์สปริงแบบปรับระดับความสูงได้ เคยทดสอบ Q7 ดีเซลที่ใช้โช้คสปริงธรรมดาก็ดีมากแล้ว อารมณ์มาครบทั้งนุ่มหนึบแน่นตึบ เมื่อขับทางไกลด้วยระบบรองรับที่เป็นกันสะเทือนแบบถุงลมหรือ Air suspension สามารถปรับยกระดับความสูง หรือลดความสูงได้ จุดเด่นของช่วงล่างใน Q7 ใหม่ก็คือ วิศวกรของ Audi ที่ลงมือลงแรงเซตปรับตั้งค่ายืดยุบของโช้คอัพถุงลมนั้นปรับแต่งการทำงานมาดีมากและครอบคลุมการขับบนสภาพถนนที่มีความหลากหลาย การปรับแต่งที่ถูกจริตทำให้ช่วงล่างของรถรุ่นนี้มีประสิทธิภาพที่ดีมาก ช่วงล่างแบบ Air suspension จะยกหรือลดความสูงแบบอัตโนมัติไปตามโหมดการขับหรือตามสภาพถนน ระบบรองรับใน Audi Q7 55TFSI e Quattro S-Line Edition One ใช้กันสะเทือนแบบ Five Link ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แขนยึดผลิตจากอะลูมินั่มอัลลอย เพื่อลดน้ำหนักส่วนเกินใต้สปริง โช้คอัพไฟฟ้า พร้อมชุดควบคุม CDC continuous damping control เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ระบบ Adaptive Air Suspension ใช้ถุงลมปรับระดับความสูง-ต่ำของตัวรถได้อย่างหลากหลายเพื่อขับเร็วๆ บนไฮเวย์หรือลุยทางวิบาก ช่วงล่างแบบ Air Suspension ของ Q7 มีระยะความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 220 มิลลิเมตร
Air suspension ปรับยกหรือลดระดับได้ตามใจชอบ หรือระบบจะปรับตั้งแบบอัตโนมัติไปตามโหมดการขับเคลื่อน หรือตามรูปแบบของการขับขี่ ในโหมด Lift-off Road ที่ความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วงล่างจะปรับระดับโดยยกความสูงขึ้นอีก 50 มิลลิเมตร และจะปรับเตี้ยลงโดยอัตโนมัติเมื่อใช้ความเร็วเพิ่มขึ้นบนทางเรียบเพื่อลดแรงต้านของอากาศและเพิ่มประสิทธิภาพด้านการลดอาการโคลงตัว ที่เจ๋งก็คือ เมื่อขับออกจากถนนเรียบเข้าสู่เส้นทางออฟโรดและคนขับไม่ได้ทำการปรับโหมด ความแสนรู้ของเซนเซอร์ที่คอยตรวจจับแกนของรถจะเข้าสู่โหมดออฟโรดให้เองแบบอัตโนมัติ!
ย้อนกลับไปในปี 2017 Audi เปิดตัว Q7 e-tron ซึ่งเป็นรถที่แปลกประหลาด ผสมผสานเครื่องยนต์ดีเซล V6 เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ขั้นอยู่ระหว่างเครื่องและเกียร์ ดูเหมือนว่าจะพยายามในการสร้างรถ SUV สำหรับครอบครัวที่ตัวหนักกว่าเดิม Q7 55TFSIe เป็นการนำสูตร XL PHEV-SUV มาใช้ (แม้จะเบากว่าเดิมเล็กน้อย Audi ผสมผสานกำลังเครื่องยนต์เบนซิน V6 และมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าด้วยกันอีกครั้งเพื่อลดมลพิษและมอบความสะอาดบนท้องถนนน และเพื่อให้ได้พลังงานเพียงพอ มีการปรับจูนมอเตอร์ให้เสริมแรงบิดได้อย่างไร้ขีดจำกัด Q7 55TFSIe ยังได้รับการลดหย่อนภาษีนำเข้า ทำให้ราคาไม่ได้แรงจนเกินไป
Q7 รุ่น '55' ให้กำลังรวม 394 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร นั่นมันเท่ากับแรงบิดของ McLaren 12C เลยทีเดียว ทำให้ Q7 PHแรงฉุดลากจากเครื่องและมอเตอร์ทำให้เอสยูวีปลั๊กอินคันนี้มีอัตราเร่งที่น่าตกใจ เมื่อคุณเหยียบคันเร่ง แรงดึงจะโผล่ออกมาอย่างฉับพลันทันที ไม่ได้ดึงหนักหน่วงเหมือน Q8 60TFSIe ที่รุนแรงกว่ามาก แต่เป็นพลังงานเร่งส่งที่ทำให้ Q7 แซงรถช้าได้อย่างเด็ดขาด อัตราเร่งจาก 0 ถึง100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาต่ำกว่า 6 วินาที ซึ่งถือว่าเร็วพอสำหรับรถที่มีขนาดและน้ำหนักน้องๆ รถบรรทุก Q7 ปลั๊กอินไฮบริด มีความสามารถมากในการขับทางไกล แต่ระบบขับเคลื่อนพลังงานผสมก็ซับซ้อนด้วยเช่นกัน การควบคุม Q7 ง่ายกว่ารถเอสยูวีขนาดใหญ่ มีโหมดระบบส่งกำลังให้เลือกใช้อย่างครอบคลุม ด้วยแหล่งพลังงานทั้งสองระบบ (เครื่องและมอเตอร์ไฟฟ้า) และฟังก์ชันช่วยเหลือผู้ขับของ Audi ทำให้รับรู้ถึงกระบวนการทำงานที่ซับซ้อนเมื่อยกคันเร่งแล้วระบบสะสมพลังงานจะทำการลดความเร็วอย่างนุ่นนวลโดยยังคงระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันหน้า regenerative braking ทำให้เกิดความปลอดภัยเมื่อขับบนไฮเวย์แล้วใช้ความเร็วสูงกับรถที่มีแรงบิดขนาดนี้
แม้ว่า Q7 จะบังคับทิศทาง เลี้ยวและเร่งความเร็วด้วยความเป็นมืออาชีพตามแบบฉบับของ Audi แต่การเหยียบเบรกอย่างนุ่มนวลในเมืองก็ทำได้ดี แต่ควรเผื่อระยะเบรกเอาไว้ด้วยเนื่องจากน้ำหนักตัวไม่ใช่เบาๆ มาเร็วก็ต้องมีระยะเบรกเผื่อเอาไว้เพื่อความปลอดภัย ระบบ 'Efficiency Assist' ของ Audi ซึ่งให้พลังงานไฟฟ้าจาก regenerative braking แตกต่างกันไปตามโหมดและสภาพการขับ Q7 ปลั๊กอินรับมือกับแรงบิดที่อัตราทดเกียร์ได้อย่างเฉีบบคม ชัดเจนกว่านั้น นี่คือ SUV ที่ได้รับการปรับแต่งอย่างพิถีพิถัน ช่วงล่างมีทั้งนุ่มนวลและหนึบแน่นเมื่อขับเร็ว เครื่องยนต์ V6 เงียบอย่างน่าชื่นชม ในโหมดไฟฟ้ามันนุ่มนวลพอๆกับ X7 ที่ตัวโตกว่า แถมยังคล่องแคล่วเมื่อขับในเมือง โดยเฉพาะนำ้หนักของพวงมาลัยในย่านความเร็วต่ำ
มอเตอร์ไฟฟ้า รับพลังงานจากแบตเตอรี่ขนาด 17.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งใหญ่กว่าแบตเตอรี่ใน Volvo XC40 PHEV ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าแบตเตอรี่จะสามารถใช้งานได้ถึง 55 กิโลเมตร (ในย่านความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง +/-) อัตราการประหยัดเชื้อเพลิงโดยรวมอยู่ที่ 13.5 กิโลเมตรต่อลิตร (ในย่านความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร) แบตเตอรี่วางอยู่ใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระ กับพื้นที่เก็บของที่มากเกินพอหากไม่ได้คิดจะย้ายบ้าน เหตุผลส่วนตัวที่ผมชอบ Q7 ก็คือ เป็น SUV ขนาดใหญ่ เร็วจึ๋ นิ่งในย่านความเร็วสูง และหรูหรา ซึ่งถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับ Mercedes-Benz GLE หรือ BMW X5 ในแง่ของคะแนนการขับใช้งาน ความสบาย และไดนามิกเมื่อขับเร็ว Q7 ถือว่าทำได้ดี ไม่เป็นรองรถคู่แข่งทั้งอัตราเร่ง ความหรูหราและปลอดภัย เป็นยานยนต์อเนกประสงค์ที่ขับดี และเป็นรถทดสอบที่อยากเอากลับมาขับอีกครั้งแบบไม่เคยพอ!
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-