พาไปลองขับรถกระบะ Toyota Hilux Revo ในเส้นทาง Off-Road บุกน้ำ ลุยโคลนแบบจัดเต็ม ทดสอบระบบ 4WD ครบทุกฟังก์ชัน

"ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์" มีโอกาสไปเข้าคอร์สการขับรถเส้นทางออฟโรดกับ TOYOTA 4x4 Off-Road Training ที่สนาม Grand Prix Motor Park อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี ซึ่งสนามนี้ถือเป็นสนามที่ใช้แข่งขันรถยนต์ออฟโรดรายการใหญ่ Toyota Hilux Revo 10 เซียนประจัญบาน และเราก็ได้ใช้เส้นทางบางส่วนในการทดสอบนี้ด้วย

ต้องบอกก่อนว่าการขับ On-Road กับ Off-Road นั้นมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก ซึ่งถ้าเป็นเส้นทาง On-Road เราจะเน้นใช้ความเร็วเป็นหลักบวกกับทักษะการตัดสินใจแม่นเรื่อง Line ถนนไม่ว่าจะเป็นซ้าย ขวา การเข้าโค้ง เป็นต้น

แต่ถ้าเป็นเส้นทาง Off-Road เราจะไม่ดูเรื่องความเร็วเลย แต่จะเน้นทักษะในการขับขี่ การฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ที่มองด้วยตาเปล่าว่า เราจะขับผ่านไปได้อย่างไร เพราะมีทั้งน้ำขัง ทั้งโคลน หิน ดิน ทราย รวมไปถึงทางวิบาก

สำหรับรถที่เราใช้ทดสอบในวันนี้ คือ Toyota Hilux Revo Rocco 4x4 และ Toyota Hilux Revo GR Sport ซึ่งระบบต่างๆ ที่รถให้มา เราจะได้ใช้ทดสอบกันให้หมดในสนามนี้

...

เตรียมตัวก่อนการขับรถ Off-Road

1. ควรปรับตำแหน่งเบาะนั่งให้หลังตั้งชัน ไม่เอนตัวลงไปเยอะ เนื่องจากการขับขึ้นเนินชันสูง จะทำให้ไม่เห็นสภาพแวดล้อมด้านล่างเลย

2. การจับพวงมาลัย ควรจับอยู่ในท่ามาตรฐานให้นิ้วโป้งทาบอยู่บนขอบด้านนอกของพวงมาลัย ซึ่งจะช่วยควบคุมการดีดของพวงมาลัยได้ง่าย และลดการบาดเจ็บหากพวงมาลัยหมุนกะทันหัน

3. การปรับกระจกรถในเส้นทาง Off-Road ควรปรับให้เห็นล้อหลังเป็นหลัก เพื่อเอาไว้ดูว่าล้อหลังพ้นทางที่เป็นอุปสรรคได้หรือไม่ เช่น ล้อหลังพ้นหลุมหรือไม่

4. หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าแตะ ควรเก็บของหรือสัมภาระที่อันตรายในรถให้เรียบร้อย

ทดลองขับรถเส้นทาง Off-Road

เมื่อเราปรับโหมดจาก H4 ขับเคลื่อน 4 ล้อ มาใช้ L4 หรือ เกียร์ต่ำขับเคลื่อนสี่ล้อ เพื่อขับลงหลุมขนาดใหญ่ที่มีทั้งน้ำขัง และสภาพดินที่ดูเหมือนจะทรุดตัวได้เสมอ การขับในลักษณะนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การใช้คันเร่ง เนื่องจากเราใช้โหมด 4L เราก็ปล่อยคันเร่งไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าไม่ได้เหยียบเลย และใช้เพียงแค่แตะเบรกนิดๆ หน่อยๆ ก็สามารถผ่านหลุมมหาภัยไปได้อย่างง่ายดาย

ไฮไลต์สำคัญคือการขับขึ้นหน้าเนินดินวิบากที่มีความชันสูงบวกกับทางไม่เรียบมีเนินดินเป็นอุปสรรค แน่นอนว่า ทักษะการขับเป็นเรื่องสำคัญ ไม่งั้นรถจะไปต่อไม่ได้ และเราใช้เวลาอยู่ตรงจุดนี้ถึง 2 รอบจนถึงรอบที่ 3 เราก็สามารถพิชิตเนินดินวิบากนี้ได้

สำหรับเนินดินวิบากนี้ให้อะไรกับเราเยอะมาก เช่น ต้องเลี้ยงคันเร่งให้เป็น รู้จังหวะของพวงมาลัย รู้ Line การขับ ที่สำคัญมากที่สุด ต้องรู้กำลังของรถที่เราขับก็จะฝ่าอุปสรรคนี้ไปได้ ซึ่งระบบต่างๆ ที่มากับตัวรถนั้นเราใช้เกือบหมด ก็เช่น 

- ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS

...

- ระบบกระจายแรงเบรก EBD

- ระบบเสริมแรงเบรก BA

- ระบบควบคุมการทรงตัว VSC

- ระบบป้องกันการลื่นไถล TRC

- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC

- ระบบควบคุมส่วนพ่วงท้าย TSC

- ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC

- ระบบควบคุมเฟืองท้าย Auto Limited Slip Differential

- ระบบล็อกเฟืองท้าย Differential Lock

...

เมื่อนึกย้อนกลับไปเมื่อตอนสมัยยังสาวๆ ตอนขึ้นเขาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เขากระโจม ราชบุรี รถกระบะที่ขึ้นไปกระแทกกระทั้นพอสมควร ดูก็รู้ว่าขับยากมาก เพราะระบบตัวช่วยในรถไม่ได้ทันสมัยเหมือนปัจจุบัน พอมาสมัยนี้ความทันสมัยของเทคโนโลยีของรถมีมากขึ้น ทำให้การขับขี่สบายมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญคือ ทักษะ และประสบการณ์การขับขี่เส้นทาง Off-Road ถือเป็นบทเรียนที่ต้องมาทำข้อสอบกันเอง เพราะสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น และสิบตาเห็นไม่เท่ากับลองมาขับเองแล้วจะรู้ 

...

อย่างไรก็ตามสิ่งที่เราได้จากการขับในเส้นทาง Off-Road ในนี้ คือ การจับพวงมาลัย เราก็ไม่อยากจะอวยตัวเองเท่าไร แต่ครูฝึกที่นั่งไปกับเราพูดว่า นี่แหละต้องขับแบบนี้ ทั้งการบังคับพวงมาลัย การใช้คันเร่ง การใช้เบรก การรู้ Line ต่างๆ รวมถึงการตัดสินใจเฉพาะหน้าที่มีทักษะและกระบวนการความคิดมารองรับเพื่อให้ผ่านสถานการณ์สุดอันตรายและคับขันนี้ไปได้นั่นเอง