ในอดีต รถยนต์สปอร์ต Audi มักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีน้ำหนักมากเกินไป โดยเฉพาะที่ส่วนหน้า ทำให้ขับไม่สนุก เครื่องยนต์ที่ติดตั้งไว้ด้านหน้าของเพลาหน้ามักจะส่งผลต่อสมดุลของรถ และทำให้นักขับที่มองหาความสนุกมองข้ามไป และหันไปหาความบันเทิงจาก BMW M และ Mercedes-AMG แทน แต่หลังจากการทดสอบ Audi RS5 Coupe ปี 2023 ที่ติดตั้งชุดแต่ง Competition แล้ว ผมก็มีเรื่องราวที่แตกต่างออกไป ซึ่งน่าจะทำให้คนที่กำลังเล็ง Audi RS ต้องคิดหนัก

ทุกวันนี้ เม็ดเงินจำนวนมหาศาลเป็นกำไรจากการขายรถเอสยูวีของบริษัท มักจะถูกนำมาพัฒนาต่อยอดรถสปอร์ต เพื่อการดำรงอยู่ของรถ Coupe ที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์ สำหรับ RS5 Coupe quattro มีความพิเศษตรงที่รูปแบบของตัวถังและระบบขับเคลื่อน รุ่นที่บริษัทไมซ์สเตอร์ ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Audi ในไทย นำเข้ามาขายคือรุ่น Coupe Quattro Competition เครื่องยนต์ 2.9 ลิตร V6 เทอร์โบ มีแรงม้า 450 ตัว ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ของ Audi หรือที่รู้จักกันในช่ือ Quattro พร้อมระบบส่งกำลัง เกียร์ออโต้ทวินคลัตช์ S-Tronic 8 สปีด การตกแต่งในรูปแบบ Coupe quattro Competition ด้วยอุปกรณ์เวอร์ชั่นพิเศษจาก Audi Sport มาตรฐานมาจากโรงงาน ราคานำเข้า 6,599,000 บาท สิ่งที่ทำให้ RS5 มีความน่าสนใจก็คือ เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ V6 รอบจัด กับแรงบิดแบบจัดเต็ม 600 นิวตันเมตร ตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 อยู่ในอันดับหัวแถวของรถคูเป้เยอรมันราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท

...

Audi RS 5 Coupe quattro Competition 6,599,000 บาท

...

...

...

สิ่งหนึ่งที่ Audi ทำได้ดีเสมอมาคือการออกแบบ RS5 Coupe เป็นรถคูเป้ที่สวยงามสมส่วน ไม่มีตรงไหนที่ดูขาดหรือเกิน เป็นการรวบรวมรูปทรงหกเหลี่ยมและความโค้งมนผสมผสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นรถสปอร์ตที่งดงามและมีความเรียบง่าย ระบบขับเคลื่อนที่ทรงพลังทำให้คนที่เคยขับรับรู้ว่าสมรรถนะของ RS5 Coupe นั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน เมื่อเทียบกับ A5 รุ่นธรรมดา RS5 มีไฟหน้าที่เพรียวบาง กระจังหน้าขนาดใหญ่ ช่องระบายอากาศด้านหน้าของชุดแต่ง Competition ส่วนล่างที่กว้างขึ้น ตราสัญลักษณ์ Audi สีดำ ล้ออัลลอยลายสวยขอบ 20 นิ้ว ท่อไอเสียทรงรี สำหรับ RS5 รุ่นปี 2023 Audi จัดทางเลือกใหม่ ด้วยแพ็คเกจชุดแต่ง Competition ล้อรูปตัว Y ขนาด 20 นิ้ว ชุดเบรกหน้า 6 พอต จานเบรกใหญ่ยักษ์ ระบบกันสะเทือน audi dynamic ride control suspension คอยล์สปริง โช้คอัพไฟฟ้า พร้อมเหล็กกันโคลงพิเศษ ท่อไอเสีย RS Sport ยาง continental sport contact 6 ไซล? 275/30ZR20 เท่ากันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ตกแต่งภายนอกด้วยชิ้นส่วนสีดำที่เน้นความดุดัน โดยเฉพาะขอบชิ้นงานบริเวณส่วนบนของฝาท้าย

การขัดเกลาส่วนหน้าอย่างมีชั้นเชิงด้วยสีดำเงาชิ้นส่วนตกแต่งกันชน กระจังและแก้มข้าง เส้นสาย ทอดผ่านตัวรถมีจุดสัมพันธ์ ออกแบบให้สอดรับกันทั่วทั้งคัน กระจังหน้าแบบชิ้นเดียวมีขนาดความกว้างและเตี้ยกว่าเดิม การออกแบบในจุดนี้ทำให้รถดูเด่นเหนือกว่ารถในระดับเดียวกัน ไฟหน้าของ RS5 เป็นระบบไฟอัตโนมัติ Matrix Adaptive LED ตัวถังด้านข้างไหลลื่น มีเส้นคาดด้านข้าง ลากจากขอบไฟหน้าไปจนถึงขอบของไฟท้าย พื้นที่กระจกในสไตล์คูเป้ดูเล็ก แต่จริงๆ แล้ว RS5 มีพื้นที่เหนือศีรษะมากพอที่จะไม่สร้างความอึดอัด รถทรง Coupe ทำให้รูปลักษณ์ออกมาในลักษณะแบน ยาว เตี้ย ปราดเปรียว ระยะฐานล้อกว้างช่วยให้ซุ้มล้อดูใหญ่และเข้ากับล้อลายใหม่ของ Audi Sport ล้างทำความสะอาดได้ง่าย ลวดลายของล้อเป็นการเน้นย้ำถึงระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Quattro ที่ยืนยาวมากว่า 40 ปี

อากาศพลศาสตร์เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และค่ายรถเยอรมันก็ให้ความใส่ใจ ตัวถัง Coupe มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศอยู่ที่ 0.25 การ ออกแบบให้ส่วนหน้าและเสาหน้าที่ลาดเอียง ช่วยลดแรงต้านของอากาศโดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำชุดกระจังแบบปิด-เปิดอัตโนมัติมาใช้เหมือนรถคู่แข่ง ครีบและช่องรับอากาศบริเวณกันชนหน้า ช่วยรีดอากาศ และนำลมเย็นส่วนหนึ่งไประบายความร้อนในห้องเครื่องยนต์และระบบเบรก ชายล่างของกันชนหน้าออกแบบให้เป็นช่องอากาศยาวขนานไปกับส่วนล่างของกันชนเพื่อสร้างแรงกดส่วนหน้า ใต้ท้องรถถูกปิดคลุมทั้งหมดเพื่อลดแรงต้าน และช่วยทำให้อากาศไหลผ่านได้เร็วขึ้น มิติตัวถัง มีขนาดความยาว 4,723 มิลลิเมตร กว้าง 1,866 มิลลิเมตร สูง 1,372 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,766 มิลลิเมตร ที่เก็บสัมภาระด้านท้าย 410 ลิตร

ภายในของ RS5 คล้าย A5 แต่มีวัสดุตกแต่งบางจุดที่แตกต่างออกไป จอภาพมาตรวัดและจอมอนิเตอร์กลางระบบมัลติมีเดีย MMI Plus จอภาพสั่งงานด้วยระบบสัมผัส เทคนิค Virtual Cockpit ทำให้ห้องโดยสารของมันแตกต่างไปจากรถคู่แข่ง ด้วยความเรียบง่ายแต่หรูหราที่ Audi ชอบเน้นเป็นพิเศษ แดชบอร์ดคอนโซลขึ้นรูปด้วยโฟมแล้วหุ้มด้วยวัสดุไวนิล จอมอนิเตอร์กลาง ใช้ฟังก์ชันสั่งงานแบบใหม่ แผงควบคุมอุณหภูมิที่ใช้งานง่าย คอนโซลซุ้มเกียร์ที่ถูกตัดแผงควบคุมออกไปแล้วใช้การสัมผัสที่หน้าจอภาพในการสั่งงาน

เบาะนั่งคู่หน้าแบบ RS Sport หุ้มหนัง Fine Nappa ค่ายสี่ห่วงยกระดับความหรู ด้วยการจัดเบาะนั่งคู่หน้าสีดำ ตกแต่งแบบ diamond cut เย็บด้วยด้ายสีแดง พร้อมสัญลักษณ์  RS บริเวณพนักพิงหลัง เบาะไฟฟ้านั่งสบายออกแบบมาเพื่อความผ่อนคลายในการขับทางไกล เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า พร้อมระบบปรับดันหลัง และฟังก์ชันบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งผู้ขับขี่ เบาะผู้โดยสารด้านหลังออกแบบให้สามารถพับได้ นี่คือ ภายในที่แสดงออกถึงตัวตนของเวอร์ชัน RS เอกลักษณ์ของมันก็คือ ความเรียบง่ายจากการจัดวางอุปกรณ์เท่าที่จำเป็น พร้อมความหรูหรามีระดับของวัสดุและงานดีไซน์

พวงมาลัย RS ทรงสามก้าน หุ้มหนังกลับ Alcantara ก้านวงมีสวิตช์มัลติฟังก์ชัน หลังวงพวงมาลัยมีแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle shift ขนาดเล็ก พวงมาลัยหุ้มหนังกลับทรงสปอร์ต มีรอบวงที่พอดีไม่ใหญ่หรือเล็ก ทรงแบบฐานตัดยังช่วยเพิ่มพื้นที่ในการเข้า-ออกจากเบาะคนขับ สำหรับการปรับตั้งเพื่อเพิ่มความสามารถในการควบคุมทิศทาง เกิดจากการปรับตั้งค่าของการตอบสนองที่ขึ้นตรงกับโหมดของการขับเคลื่อนกับสปีดความเร็วที่ใช้ในขณะนั้นๆ เนื่องจากเป็นพวงมาลัยไฟฟ้า Audi Sport ต้องการให้ความรู้สึกของการหมุนเพื่อเปลี่ยนทิศทาง ออกมาในลักษณะที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด การปรับระยะของพวงมาลัยทำได้ 4 ทิศทางเหมือนกับรถคู่แข่ง รวมถึงความเที่ยงตรงขณะเลี้ยวหรือขยับไปมาเพื่อเปลี่ยนช่องทาง

คอนโซลคาดด้วยชิ้นงานคาร์บอนไฟเบอร์สีเทาดำ ทำออกมาเพื่อเพิ่มความสปอร์ต ภายในของ RS5 มีทั้งหนังสังเคราะห์ หนังแท้ หนังกลับ อะลูมินั่มอัลลอย คาร์บอนไฟเบอร์ พลาสติกและพรมเกรดสูง โดยเฉพาะซุ้มเกียร์ที่มีความหรูหราจากคันเกียร์ที่มีหน้าตาคล้ายกับคันเร่งของเรือยอชต์ ช่องวางแก้วน้ำ สวิตช์สั่งงานระบบเบรกมือไฟฟ้า สวิตช์ควบคุมระบบเบรกหรือ Auto Brake Hold ปุ่มควบคุมเสียงของระบบเครื่องเสียง Bang & olufsen พร้อมลำโพงคุณภาพสูงในระบบ 3D วัสดุตกแต่งพวกหนัง อัลลอยและพลาสติกเกรดเดียวกับ BMW และ Mercedes-Benz ปุ่มและสวิตช์ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย โดยไม่ต้องใช้ความคุ้นเคย จุดที่ดูดีและทำออกมาได้โดนใจก็คือ จอภาพมอนิเตอร์กลาง และมาตรวัด TFT LCD เทคโนโลยี Virtual Cockpit ซึ่งถูกนำมาปรับแต่งเพื่อใช้งาน ช่วยให้ห้องโดยสารมีปุ่มควบคุมลดลง ระบบรับคำสั่งแบบ Voice Command ฟังก์ชันรับคำสั่งด้วยเสียงแบบใหม่ที่ใช้งานได้ง่าย Virtual Cockpit พัฒนาโดย Andre Ebner โดยย่อหน่วยความจำของสมองกลไฟฟ้าให้มีขนาดที่เล็กลง เพื่อนำมาใช้งานในรถยนต์ การออกแบบภายในและจัดวางอุปกรณ์ที่เน้นความเท่ขรึมโปร่งเบาพลิ้วไหวช่วยสื่อความเป็นสปอร์ต ดีไซน์ภายในห้องโดยสารใช้เส้นแนวนอนและพื้นผิวมาเน้นความกว้างขวางเช่นเดียวกับการออกแบบภายนอก ส่วนของคอนโซลกลางที่เชื่อมโยงการใช้งานอุปกรณ์โดยกำหนดให้ตำแหน่งคนขับเป็นจุดศูนย์กลาง การออกแบบตำแหน่งของท่านั่งขับที่ดีช่วยรับน้ำหนักขาขณะขับเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง

แผงหน้าปัดมาตรวัดใช้จินตนาการออกแบบให้มีรูปทรงที่มองดูคล้ายปีกของเครื่องบิน ช่องแอร์ทรงเหลี่ยมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรถสปอร์ตในตระกูล RS ก็ยังถูกนำมาใช้ จอแสดงภาพมัลติมีเดีย อินเตอร์เฟส (MMI Screen) เป็นจอภาพที่ให้ความคมชัดสูงแม้จะขับท่ามกลางแสงแดดจัดจ้า งานออกแบบที่ล้ำสมัยผสมผสานกันจนออกมาเป็นจอแสดงผลดิจิทัล ผลการตั้งค่าต่างๆ จะแสดงบนจอแสดงผลขนาด 12.3 นิ้ว หน้าปัดมาตรวัดแบบ Virtual Cockpit ของ RS5 มีความคมชัด ปรับรูปแบบของการแสดงผลได้อย่างหลากหลาย เพื่อสร้างบรรยากาศที่มีความทันสมัยน่าใช้งาน เป็นการผสมผสานหน้าปัดมาตรวัดที่แสดงผลความเร็ว รอบเครื่องยนต์ อุณหภูมิน้ำในหม้อน้ำ ผนวกรวมเข้าไว้กับ Infotainment ต่างๆ เช่น ระบบนำทางด้วยดาวเทียม ระบบให้ความบันเทิงเริงรมย์หรือมัลติมีเดีย โดยทำการแสดงผลผ่านหน้าจอ TFT ขนาด 12.3 นิ้ว ที่อยู่ตรงหน้าผู้ขับ เข็มความเร็วและวัดรอบจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นแบบการแสดงภาพที่คมชัดมาก จอระบบนำทางเล็กๆ อยู่ตรงกลาง หรือหากไม่ชอบก็สามารถเลื่อนเปลี่ยนได้ โดยปรับรูปแบบของการแสดงผลในมาตรวัดจอภาพได้สามรูปแบบ ผสมกับการแสดงผลจอภาพทั้งหมดที่เชื่อมโยงระบบนำทางและกำหนดพิกัดผ่านดาวเทียม จอภาพมาตรวัดขนาด 12.3 นิ้ว ในหน้าปัดมาตรวัดแบบใหม่ของ New A5 ยังมีลูกเล่นอื่นๆ อีกเพียบ การใช้งานท่ามกลางเทคโนโลยีที่แปรเปลี่ยน ทำให้ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ต้องคิดค้นหาวิธีผูกมัดใจคนซื้อให้อยู่หมัดด้วยของเล่นแปลกๆ ที่ทันสมัย มาตรวัดแบบ TFT LCD หรือ thin film transistor ยังมีอยู่ในรถระดับสูง เช่น Lamborghini / Ferrari / Mercedes Benz / BMW / Volvo / Lexus ฯ ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็พยายามสร้างสรรค์งานศิลปะบนความเป็นไดนามิกที่น่าใช้งานในรถรุ่นใหม่ ราวกับนักมายากล Virtual Cockpit ของ  RS5 Coupe ยังสามารถแสดงค่าต่างๆ ของตัวรถ รวมถึงการโชว์ระบบ Infotainment ด้วยความคมชัดสูงสุด หน้าปัดและแดชบอร์ดต่างๆ ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความรู้สึกถึงการควบคุมจักรกล

Bang & Olufsen ระบบเสียง 3 มิติ ติดตั้งชุดแอมป์ที่มีประสิทธิภาพในด้านกำลังขับ พร้อมลำโพงที่มีความคมชัดสูง ค่าย Bang & Olufsen นำเสนอเสียงเพลงผ่านลำโพงด้วยระบบ 3D Sound System นำเสียงเพลงสู่มิติของการฟังแนวใหม่ โดยการวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนของโปรแกรมซอฟต์แวร์กรองเสียงขั้นสูง ซึ่งถูกพัฒนามาจากความรู้ด้านระบบเสียงในรถยนต์ การวิเคราะห์และผ่านตัวกรองเสียง ช่วยให้เสียงที่ส่งออกมาจากลำโพงมีความคมชัดสูง การกระจายสัญญาณอินพุตไปยังลำโพงในรถยนต์สร้างเสียงที่มีความสมจริงของระบบสามมิติ ระบบเสียง 3D ใน Audi RS5 มีกำลังขับ 755 วัตต์ ควบคุมด้วยระบบดิจิทัล Upmixalgorithm Symphoria® ในขณะที่ใช้แหล่งสัญญาณเสียงรอบทิศทางเวอร์ชัน 5.1 ผู้โดยสารจะรู้สึกได้ว่า ห้องโดยสารของรถมีการขยายขนาดเสียงที่ครอบคลุม ด้วยกำลังขับที่เหลือเฟือ พร้อมลำโพงรอบห้องโดยสารจำนวน 19 ตำแหน่ง ระบบเสียง Symphoria® 3D ถือเป็นการปฏิวัติวงการเครื่องเสียงติดรถยนต์ ภาคขยาย ให้เสียงเพลงในระบบเซอร์ราวด์แบบคลาสสิกในมิติที่ไกลมากกว่าเดิม ลำโพงอะคูสติก ติดตั้งรวมอยู่ในส่วนบนของเสา A ชุดเครื่องเสียง Bang & Olufsen 3D Sound System มีการออกแบบฝาครอบลำโพง "เส้นไดนามิก" เป้าหมายหลักสำหรับการออกแบบในลักษณะดังกล่าว คือ การเพิ่มความโปร่งใสของตะแกรงครอบกรวยลำโพง เพื่อให้ได้ระดับคุณภาพเสียงที่สูงขึ้นกว่า Audi Bang & Olufsen รุ่นก่อนหน้า

Specifications
Design Coupé
“Dynamic Lines” design with aluminum details
Front door woofer grills are LED illuminated

Speakers
Coupé
19 loudspeakers
Optimized speaker in front door – DHS principle
Surround speakers in the Audi A5 Sportback they are placed at the parcel shelf

Amplifier
Coupé
16-channel DSP amplifier with more than 750 watts

Sound features
Coupé
3D sound settings let you choose between three intensity levels
5.1 Surround Sound (only available with the MMI Navigation plus)
Diverse sound setting options
Vehicle Noise Compensation

เครื่องยนต์เบนซิน V6 2.9 ลิตร TFSI twin-turbo โมเต็มโดยแผนก Audi Sport ทำให้ Audi RS4 Avant มีกำลังมากถึง 331 กิโลวัตต์ (450 แรงม้า) ซึ่งเท่ากับเอาต์พุต 155.5 แรงม้าต่อลิตร ทำให้ RS5 เร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาสั้นจู๋เพียง 4.1 วินาที เครื่องยนต์เบนซิน V6 TFSI เทอร์โบคู่ มีน้ำหนัก 182 กิโลกรัม (401.2 ปอนด์) เบากว่าเครื่องยนต์ V8 ใน RS4 รุ่นก่อนหน้า 31 กิโลกรัม (68.3 ปอนด์) เชื่อมต่อกับระบบเกียร์ S Tronic 8 สปีด และชุดขับเคลื่อนสี่ล้อ Quattro การใช้เครื่องยนต์ที่มีความจุลดลงแต่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม เป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มแรงฉุดลากรวมถึงการกระจายโหลดในรถยนต์ที่มีเพลาขับสองชุด ระบบอัดอากาศเทอร์โบคู่ วางคร่อมฝาสูบเพื่อลดความยาวของท่อทางต่างๆ เทอร์โบแฝดให้ประสิทธิภาพที่น่าประทับใจโดยมีแรงบิด 600 นิวตันเมตร (442.5 ปอนด์ต่อฟุต) ในช่วงความเร็วรอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,900 ถึง 5,000 รอบต่อนาที แพ็กเกจ RS Dynamic ปลดล็อกความเร็วสูงสุด จากการควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ จาก 250 เป็น 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 

เทอร์โบชาร์จเจอร์สองตัวของเครื่องยนต์ V6 TFSI แต่ละตัวได้รับการกำหนดให้กับกระบอกสูบ 3 ตำแหน่ง สร้างแรงบูสต์สูงถึง 1.5 บาร์ เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ V6 และ V8 ทั้งหมดของ Audi ระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์จะถูกวางคร่อมฝาสูบในตำแหน่ง 90 องศา ท่อไอเสียออกแบบให้วางอยู่ด้านในขณะที่ท่อไอดีอยู่ด้านนอก เลย์เอาต์ของเครื่องยนต์ V6 นี้ทำให้เครื่องมีขนาดกะทัดรัดและมีท่อทางเดินสั้น การใช้ท่อไอดีสั้นลงทำให้ตอบสนองต่อการเร่งความเร็วมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เครื่องยนต์ V6 เทอร์โบคู่ ไม่เพียงสร้างความประทับใจในด้านของประสิทธิภาพ จากแรงบิดที่ล้นเหลือ แต่ยังมีการปรับให้ระดับของอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลดลงเหลือแค่ 10.7 กิโลเมตรต่อลิตร อัตราการปล่อย CO2 อยู่ที่ 208 กรัม ต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร (334.7 กรัม / ไมล์) เมื่อขับทดสอบด้วยโหมด Comfort ทำได้ 11.5 กิโลเมตรต่อลิตร ส่วนโหมด RS-specific RS1 และ RS2 ทำได้ 10.2 กิโลเมตรต่อลิตร และถ้าอัดหนักต่อเนื่องในสนามแข่ง จะกินประมาณ 8.5 กิโลเมตรต่อลิตร ปัจจัยชี้ขาดในเรื่องนี้ คือ กระบวนการเผาไหม้ในระบบจ่ายเชื้อเพลิง TFSI ของ Audi ซึ่งรู้จักกันในชื่อ B-cycle มันถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ สำหรับความประหยัดและพลัง ในกรณีที่คนขับใช้ความเร็วสูงขึ้น ระบบ valveift Audi แบบสองขั้นตอน (AVS) จะปิดวาล์วไอดี ซึ่งจะเป็นการเพิ่มระยะเวลาการเปิดมุมข้อเหวี่ยง 200 องศา ในเวลาเดียวกัน การเพิ่มขึ้นของขนาดวาล์วจาก 6.0 เป็น 10 มิลลิเมตร (จาก 0.2 เป็น 0.4 นิ้ว) เครื่องยนต์สามารถส่งกำลังออกมาอย่างมหาศาล

พลังของเครื่องยนต์ V6 ความจุ 2.9 ลิตร พร้อมระบบจ่ายเชื้อเพลิง TFSI นั้นเทแรงบิดไหลไปสู่เพลาข้อเหวี่ยงที่ต่อเชื่อมกับเกียร์ ZF แล้วส่งกำลังไปที่เพลาขับ 2 ชุด (หน้า-หลัง) ผ่านระบบขับเคลื่อนล้อ 4 ล้อ quattro ที่เชื่อมต่อการทำงานกับระบบเกียร์ 8 สปีด ในสภาวะการขับขี่ปกติ ระบบจะส่งกำลังไปที่เพลาล้อหลังมากเป็นพิเศษ โดยส่งแรงบิด 60 เปอร์เซ็นต์ไปยังเพลาหลัง และอีก 40 เปอร์เซ็นต์ไปยังเพลาหน้า และเมื่อเกิดการลื่นไถลที่ล้อข้างใดข้างหนึ่ง แรงบิดที่เทไปยังล้อนั้นจะถูกปรับลดทันทีโดยอัตโนมัติ ตอบสนองต่อการสูญเสียแรงยึดเกาะอย่างรวดเร็ว Quattro จะถ่ายแรงบิดไปยังล้อฝั่งตรงข้ามเพื่อเพิ่มเสถียรภาพการทรงตัว ระบบ Quattro สามารถเทแรงบิดสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ไปยังด้านหน้า หรือเทแรงบิด 85 เปอร์เซ็นต์ไปที่เพลาล้อหลัง ทั้งหมดจะถูกควบคุมผ่านระบบรักษาเสถียรภาพ ESC และระบบ wheel-selective torque control

การควบคุมพลังงานในรูปของแรงบิดแบบอิสระทั้งสี่ล้อด้วยกลไกไฟฟ้าในระบบ Quattro ออกแบบให้สามารถใช้งานได้กับผิวถนนทุกประเภท เมื่อขับรถด้วยโหมด Dynamic ล้อที่อยู่ด้านในของโค้งจะถูกควบคุมแรงบิดผ่าน Electronic Stabilization Control (ESC) ซึ่งจะเป็นการเพิ่มแรงบิดให้กับล้อด้านนอกของโค้งด้วยภาระการยึดเกาะที่สูงขึ้น ความแตกต่างของแรงขับเคลื่อนที่แปรผันในแต่ละล้อทำงานอิสระจากกัน ช่วยปรับให้รถสามารถเข้าโค้งด้วยความเร็วและมุมของพวงมาลัยที่มีความเที่ยงตรงแม่นยำ ผลลัพธ์ที่ได้คือความคล่องตัวและการทรงตัวที่เป็นกลางในโค้ง

ความแตกต่างของชุดขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro sport พร้อมการปรับจูนเฉพาะของรุ่น RS ช่วยทำให้ระบบตอบสนองต่อการทำงานได้รวดเร็วขึ้นเมื่อคนขับเร่งความเร็ว ชุดกระจายแรงบิดระหว่างล้อทำหน้าที่อย่างแข็งขัน เพิ่มแรงฉุดลากอย่างเต็มที่ และเพิ่มเสถียรภาพด้วยการควบคุมของ ESC เมื่อเร่งความเร็วในช่วงปลายโค้งก่อนออกสู่ทางตรง แรงบิดจะถูกส่งไปที่ล้อหลังด้านนอกของโค้ง ในกรณีที่ผู้ขับใช้ความเร็วมากจนเกินไป ชุดเฟืองท้ายไฟฟ้า จะถ่ายแรงบิดไปที่ล้อด้านในของโค้งเพื่อสร้างแรงยึดเกาะ กราฟแรงบิดที่กว้างขึ้น (600 นิวตันเมตร 442 ปอนด์ฟุต ระหว่าง 1,900 ถึง 5,000 รอบต่อนาที) มีปฏิกิริยาตอบสนองที่เร็วขึ้นและความโน้มเอียงการส่งกำลังไปทางล้อหลังมากขึ้นในฮาร์ดแวร์ quattro รวมถึงซอฟต์แวร์ที่ได้รับการปรับปรุงสำหรับระบบป้องกันแบบพาสซีฟ การตั้งค่าโช้คอัพแบบปรับได้อัตโนมัติ

โหมดขับเคลื่อน Audi drive select dynamic จัดมาให้ถึง 6 โหมด เช่น comfort, auto, dynamic, individual รวมถึงโหมดจัดหนักอย่าง RS-specific RS1 และ RS2 modes เป็นระบบการจัดการแบบไดนามิกที่เข้ามาควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์, เกียร์, พวงมาลัย ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro, เสียงเครื่องยนต์ และการทำงานของระบบปรับอากาศอัตโนมัติ โหมด RS2 ที่ปรับแต่งได้นั้น ผู้ขับสามารถปิดระบบควบคุมการทรงตัวอิเล็กทรอนิกส์ (ESC) อย่างรวดเร็วเพียงแค่กดปุ่ม Audi RS4 Avant มีระบบช่วยเหลือผู้ขับมากกว่า 30 ระบบ เน้นย้ำถึงคุณลักษณะความเป็นยานยนต์ รุ่นท็อปสุดของโมเดล รวมถึงระบบปรับตั้งความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control พร้อมฟังก์ชัน Stop & Go ระบบสัญญาณเสียงแจ้งเตือนการเปลี่ยนเลนเมื่อมีรถอยู่ข้างๆ หรือการเตือนในลักษณะต่างๆ เพื่อความปลอดภัย

เพื่อให้สามารถรับมือกับรถคู่แข่งตราสี่ห่วงโดยเฉพาะเส้นทางภูเขาที่มีโค้งวกไปวนมา ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อจึงถูกใส่มาให้ใน BMW M และ Mercedes-AMG  แต่ใน Audi ระบบ Quattro นี้มีมานานแล้วและความพิเศษก็คือ Quattro จะทำหน้าที่แตกต่างไปจากชุดขับสี่ M XDrive หรือ 4Matic + ชุดขับเคลื่อนสี่ล้อของ Audi ช่วยทำให้การควบคุม RS5 ในสภาพอากาศที่เลวร้ายมีความมั่นคงแม่นยำ ปลอดภัย ออกตัวได้ง่าย เกาะโค้งและเปลี่ยนช่องทางได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งล้วนแต่เป็นข้อดีของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่เข้ามาช่วยทำให้รถทรงตัวได้ดีในย่านความเร็วสูง การออกตัวของ RS5 เป็นกระบวนการที่ตรงไปตรงมา โหมดไดนามิก เกียร์เป็นโหมดสปอร์ต RS5 พุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความดุดัน ควบคู่กับการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็ว เสียงเครื่องยนต์ V6 ที่แหลมและก้องกังวาน ระบบห้ามล้อของ RS5 ร่วมกับยาง sport contact 6 ทำงานร่วมกันเพื่อประสิทธิภาพการชะลอความเร็วที่ยอดเยี่ยม คนขับจะสามารถสัมผัสได้ถึงน้ำหนักของพวงมาลัยและพลังของการยึดเกาะระหว่างการทดสอบเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ระบบเบรก 6 พอต พร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องใช้เบรกเต็มกำลัง 

ทุกวันนี้ รถยนต์สมัยใหม่ โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้านั้นเต็มไปด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมาย บางครั้งอาจรู้สึกไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้ขับต้องการ แต่กรณีนี้ ไม่ใช่กับ Audi RS มัน เป็นรถที่คุณสามารถสัมผัสได้ว่าทุกระบบช่วยเหลือคอยประคองอยู่ข้างหลังโดยไม่แทรกแซงแบบเลอะเทอะและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในการเร่งความเร็ว ระบบส่งกำลังมีความเป็นธรรมชาติ ไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เน้นพลังงานมากจนเกินไป เมื่อออกจากโค้ง การเร่งความเร็วเกิดจากเครื่อง V6 เทอร์โบคู่ ระเบิดพลังแปลงเป็นแรงบิดถ่ายลงไปที่ชุดเกียร์ 8 สปีด การเปลี่ยนเกียร์รวดเร็วมาก ผมลองตั้งโหมดพวงมาลัยเป็นโหมด Comfort และใช้โหมด RS1 เป็นแกนหลัก ทำให้ได้ความรู้สึกถึงน้ำหนักของพวงมาลัยที่เพิ่มมากขึ้น ระบบเฟืองท้าย Sport ที่ควบคุมแรงบิดเป็นตัวช่วยสำคัญในการบังคับรถให้เข้าโค้งและรักษาแนวที่ถูกต้องเอาไว้ Quattro ยังส่งกำลังไปที่ล้อทั้งสี่ได้อย่างเชี่ยวชาญเมื่อควงออกจากโค้งได้เร็วกว่าทั้ง M440i และ CLE53! สมรรถนะอันโดดเด่น ทำให้รถทุกคันที่มีตราสัญลักษณ์ RS สามารถใช้คำว่า สมบูรณ์แบบ ไม่ถึงกับการเป็น Porsch แต่ก็ขับได้ดีมากทั้งในย่านความเร็วต่ำในเมืองและอัดเต็มเหนี่ยวในสนามแข่ง 

“Quattro” เป็นชื่อที่คุ้นเคยของ Audi มาตั้งแต่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเปิดตัวครั้งแรกในปี 1980 ในช่วงเวลานั้น House of Ingolstadt ตัดสินใจบุกตะลุยการแข่งขันแรลลี่ชิงแชมป์โลกและแข่งขันกับ Fiat, Peugeot, Ford และ Toyota โดยคว้าแชมป์แรลลี่โลกมาได้สองรายการ รถยนต์ Audi RS ทุกรุ่นมี “Quattro” เพื่อสร้างไดนามิกส์ที่แตกต่าง และ RS5 เป็นรุ่นที่สปอร์ตที่สุดในซีรีส์ “A5” เป็นรถระดับกลางที่น่าตื่นเต้นที่สุดเท่าที่ Audi เคยผลิตออกมาจนถึงตอนนี้ เครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.2 ลิตรตัวเก่าถูกแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบ เทอร์โบคู่ขนาด 2.9 ลิตรตัวใหม่ ให้กำลัง 450 แรงม้าที่ 6,700 รอบต่อนาที และแรงบิดมหาศาล 600 นิวตันเมตร ที่ 1,900 และ 5,000 รอบต่อนาที กลไกภายในทั้งหมด พัฒนาโดย Porsche ผลลัพธ์ที่ได้คือการสอดผสานที่ยอดเยี่ยมระหว่างความสามารถในการขับขี่บนถนนปกติและในสนามแข่ง Audi Sport อ้างว่า RS5 Coupe quattro Competition สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ได้ในเวลา 3.9 วินาที ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่มีราคาแพงกว่าอย่าง BMW M4 XDrive

พวกเยอรมันไม่ได้จำกัดการสร้างรถยนต์ของตัวเองอยู่แค่เพียงประสิทธิภาพที่เหนือชั้นเท่านั้น วิศวกรของแบรนด์สี่ห่วงพยายามทำให้ดีไซน์ ความสะดวกสบาย การตกแต่งภายใน และความปลอดภัย มีความสมบูรณ์แบบมากที่สุด แม้ผมจะชอบ RS4 Avant quattro Competition แต่เอาเข้าจริงๆ เส้นสายของ “5” ดูสปอร์ตมากกว่า ทำให้รถรุ่นนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว RS5 รุ่นล่าสุดนั้นไม่ได้ทรงพลังไปกว่ารุ่นเดิมด้วยกำลัง 450 แรงม้า แต่ทั้งเบากว่าและมีแรงบิดมากกว่า ทำให้เร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัดทั้งบนกระดาษและในชีวิตจริง ตัวอย่างเช่น Audi อ้างว่าสามารถทำความเร็วจาก 0 ถึง100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.9 วินาที แต่มีสื่อบางสำนักทำ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ที่ 3.6 วินาที เมื่อเปรียบเทียบแล้ว ทั้ง M4 Competition ขับเคลื่อนล้อหลังรุ่นใหม่และ Mercedes-AMG C63 S จะทำเวลาได้เท่ากันที่ 3.9 วินาที แม้จะมีกำลังมากกว่า แต่ทั้งนี้ สภาพถนนหรือแทรคที่ทำการทดสอบ ก็ต้องอยู่ในสภาพที่เหมาะสมและแห้งสนิท M4 xDrive รุ่นใหม่ ทำความเร็วได้ 3.5 วินาที แต่ RS5 สามารถทำเวลาได้เกือบจะเท่ากัน ไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออก

อย่าเข้าใจผิดว่า RS5 เป็นรถที่สามารถเร่งความเร็วได้ราวกับซูปเปอร์คาร์  แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร เปิดประสบการณ์อัตราเร่งที่ขึ้นเร็วแต่ราบรื่นและมีความต่อเนื่อง แตกต่างจากความตื่นเต้นเร้าใจของ M4 xDrive ซึ่งให้อารมณ์รถแข่งมากกว่ารถบ้าน! วิศวกรของ Audi ปรับแต่งเฟืองท้ายและเกียร์ quattro sport 8 สปีด ติดตั้งระบบกันสะเทือนที่มีอัตราความแข็งของสปริงที่สูงขึ้น เหล็กกันโคลงที่แข็งขึ้น ท่อไอเสียที่ดังกว่าเดิม และพวงมาลัยที่มีอัตราทดคงที่ (1:13.1) ผลลัพธ์ที่ได้คือรถยนต์ที่มีความคล่องตัวมากกว่าเดิม แต่ไม่กระทบต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน โช้คอัพแบบปรับได้ช่วยให้โหมด Comfort ไม่แข็งมากจนเกินไป หรือเปิดใช้งานโหมด Dynamic ก็ยังไม่ต้องจองคิวกับหมอกระดูกสันหลัง Competition เตี้ยกว่า RS5 รุ่นปกติ 10 มิลลิเมตร ทั้ง RS4 และ RS5 มีช่วงล่างที่สามารถรับมือกับถนนไม่เรียบได้ดี

ในเมือง ท่อไอเสียใหม่ รวมถึงการเอาฉนวนบางส่วนระหว่างห้องเครื่องและห้องโดยสารออกไป ทำให้ Competition ดังกว่า RS5 รุ่นมาตรฐานเล็กน้อย เสียงของเครื่องยนต์ V6 ดังชัดเจนในรอบสูง เป็นความสุขของคนขับรถเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ได้ฟังเสียงคำรามของขุมกำลัง เสียงท่อไอเสียที่ดังป๊อกๆเมื่อยกคันเร่ง พร้อมเสียงดังพรึบ สนั่นหวั่นไหวเมื่อเครื่องยนต์ดันตัวเองเข้าสู่รอบสูงสุดของแต่ละเกียร์ เมื่อเปลี่ยนเป็นโหมด Comfort เจ้า RS5 จะกลับมาสุภาพเรียบร้อยราวกับรถแม่บ้าน เมื่อวาว์ลในท่อไอเสียปิด และเครื่องยนต์เข้าสู่โหมดขับเรื่อยๆ เครื่องยนต์และท่อท้ายแทบจะไม่ส่งเสียงออกมาหากไม่กดคันเร่งลงไปลึกๆ 


โดยภาพรวม RS5 เหมือนกับรถสองบุคลิก เป็นได้ทั้งรถบ้านและรถสปอร์ตในคันเดียวกัน เครื่องยนต์ V6 มีกำลังโดยเฉพาะแรงบิดที่ดูเหมือนจะไม่มีวันหมด แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 1,900-5,000 รอบต่อนาที การเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติไปเป็นระบบทอร์กคอนเวอร์เตอร์ยังคงไม่ทิ้งความฉับไวในการเปลี่ยนเกียร์ขึ้น-ลง พอๆกับเกียร์คลัตช์คู่ พวงมาลัยตอบสนองดีมีน้ำหนักที่สุดยอด ไม่ว่าจะใช้โหมดใดก็สามารถปรับแต่งการตอบสนองของพวงมาลัยได้ตามใจชอบ เบรกดี แต่ความแรงของรถก็ควรเผื่อระยะเบรกเอาไว้บ้าง โหมด RS1 RS2 ใช้งานได้โดยกดไปที่ปุ่ม RS บนพวงมาลัย โหมด Comfort และ Dynamic ให้ความรู้สึกมั่นคงและแทบไม่มีการโคลงตัว ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่เน้นส่งแรงบิดไปที่ล้อหลัง ให้ความรู้สึกสมดุลอย่างยอดเยี่ยม เป็นรถคูเป้สี่ห่วงที่สุภาพแต่ก็พร้อมจะดุดันทันที อยู่ที่การขับของคุณ การหาข้อติก็มีแค่ยาง Series-30 เท่านั้นที่ต้องระวังทั้งล้อและยาง นอกนั้น ด้วยราคา 6.5 ล้าน ถือว่าคุ้มครับ.

ชุดตกแต่งภายในแบบ RS
หลังคา Panoramic Sunroof เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า
ด้านข้างคอนโซลกลาง หุ้มหนัง Alcantara สีดำ ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง
พวงมาลัยหุ้ม Alcantara สีดำ
พวงมาลัยแบบสปอร์ตท้ายตัด พร้อมสัญลักษณ์ RS
แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Paddle Shift
ที่วางแขนข้างประตู หุ้มหนัง Fine Nappa ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง
คันเกียร์ หุ้มหนัง Alcantara สีดำ
สายเข็มขัดนิรภัยสีดำ ตกแต่งด้วยขอบสีแดง
ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วย Matte Carbon Twill
พรมในห้องโดยสารด้านหน้าสีดำ ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง พร้อมสัญลักษณ์ RS
ระบบปรับอากาศ แบบอัตโนมัติ แยกควบคุมอิสระ 3 Zones
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
ระบบกุญแจ Comfort Key
ฝาท้าย เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า
ฝาท้าย เปิด-ปิด โดยไม่ต้องใช้มือ Hands-Free Tailgate
ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารปรับสีได้ Contour/Ambient Lighting

เบาะนั่งหุ้มหนัง Fine Nappa
เบาะนั่งคู่หน้า หุ้มด้วยหนัง Fine Nappa
เบาะนั่งคู่หน้า แบบ RS Sports ตกแต่งแบบ Honeycomb
เบาะนั่งคู่หน้า พร้อมฟังก์ชั่นนวดเพื่อการผ่อนคลาย
เบาะนั่งคู่หน้า ปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบปรับดันหลัง
เบาะนั่งคู่หน้า พร้อมฟังก์ชั่น บันทึกความจำตำแหน่ง Memory ฝั่งคนขับ
เบาะนั่งด้านหลัง แยกปรับ พับได้

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th 
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom 
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/