กระจังหน้าขนาดใหญ่ใน BMW บางรุ่น โดยเฉพาะ New Series-7 G70 และ Series-4 ที่มีกระจังหน้าไตคู่แนวตั้งกลายเป็นประเด็นที่ถูกนำไปวิพากษ์วิจารณ์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กระจังหน้าไตคู่ขนาดใหญ่ทำให้รูปลักษณ์ส่วนหน้าของ BMW เปลี่ยนแปลงไปในแบบที่สร้างความไม่พอใจให้กับแฟนคลับรุ่นเก่าที่ยังคงยึดโยงกับเอกลักษณ์ความคลาสสิกของ BMW ในอดีต แต่ในความเป็นจริงยอดขายของ BMW รุ่นใหม่พร้อมดีไซน์ใหญ่ยักษ์ของกระจังหน้า ไม่ได้สะท้อนถึงความไม่พอใจดังกล่าว เมื่อดูจากตัวเลขยอดขายในปีที่ผ่านมาของแบรนด์ตราใบพัด ยอดขายของ BMW Series-4 และ BMW Series-7 ที่มีจมูกไตคู่ขนาดบิ๊กบึ้มนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ยอดขาย Series-7 เพิ่มขึ้นถึง 80.9 เปอร์เซ็นต์ และ Series-4 เพิ่มขึ้น 37.4 เปอร์เซ็นต์

...

ประเด็นหลักก็คือ ในตลาดโลก BMW ขาย Series-4 และ Series-7 ทั้งแบบไฟฟ้าและสันดาปภายใน รวมถึงรถเวอร์ชัน "M" ที่ยังคงใช้เครื่องยนต์เผาผลาญเชื้อเพลิงเพื่อเอาใจลูกค้าเก่า เฉพาะ Series-7 ซึ่งนอกจากจะมีเรือธงไฟฟ้ารุ่น i7 แล้วยังมีตัวโหดอย่าง 750e และ 740d รวมถึง M760 X Drive Plug in Hybrid อีกตะหาก 

BMW 7 Series รุ่นใหม่ รหัส G70 เป็นหนึ่งใน 7 ที่น่าประทับใจที่สุด จากห้วงเวลาอันยาวนานของสายการผลิต ส่งผลให้ G70 เป็น 7-Series ที่ขับขี่ได้ดีที่สุด ตั้งแต่ E38 ถือกำเนิดขึ้นด้วยซ้ำ การแข่งขันในกลุ่มซาลูนหรูที่ดุเดือดเพิ่มความเข้มข้นขึ้นทุกปี บริษัทคู่แข่งก็ผลิตรถที่ดีกว่าเดิม หาก Mercedes S-Class หมายถึงความยอดเยี่ยม และ Audi S8 ยังเป็นรถหรูที่ขับได้ดี แม้ว่ามันจะเก่าไปหน่อย (A8 รุ่นปัจจุบันเอาชนะ 7 Series เจนล่าสุดในการเปรียบเทียบของ BMW Blog) Series-7 ใหม่นี้มีศักยภาพดีพอที่จะเอาชนะคู่แข่งที่มีประสิทธิภาพได้หรือไม่? อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพเป็นสิ่งที่รถซาลูนหรูเหล่านี้มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการใช้งานอย่างแท้จริง มีพลังมากพอที่จะพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงอย่างมาดมั่น ลบความเครียด และจัดการกับความสะดวกของผู้โดยสารให้มีพร้อมทั้งความหรูหราและนุ่มสบาย

...

...

เรือธงประจำค่ายของแต่ละคันมีความแตกต่างกันอย่างน่าประหลาด ในแง่ของวิธีการขับ S-Class S580e V223 เหมือนพยายามทำให้การขับขี่ง่ายดายขึ้น มันเร็ว มีความเสถียรเมื่อพุ่งเข้าโค้ง และสะดวกสบายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ส่วน Audi S8 เป็นรถซีดานสมรรถนะสูงที่สามารถไล่ตามรถซุปเปอร์คาร์บนถนนที่คดเคี้ยวได้ด้วยระบบ Ultra Quattro ในขณะที่ 7-Series G70 เป็นส่วนผสมที่ลงตัวของคู่แข่งทั้งสองคัน แต่ไม่เคยเก่งกาจขนาดนั้น S-Class และ 7-Series มีการตกแต่งภายในที่หรูหราและน่าสนใจ ในขณะที่ Audi นั้นดูน่าเบื่อ แต่ประโยชน์ใช้สอยมากกว่า และทำออกมาได้ดีพอๆ กัน อย่างไรก็ตาม ประตูอัตโนมัติของซีรีส์ 7 G70 รุ่นใหม่นั้นใช้งานได้ดีแค่ครั้งหรือสองครั้ง แต่หลังจากนั้นไม่นานคุณก็จะรู้สึกรำคาญในเการเปิด-ปิดของมัน จะดันปิดเองก็หน่วงมือยังไงพิกล พอกดปุ่มให้ปิดเองก็ไม่คุ้นชิน 

...

BMW กำหนดนิยามใหม่ของรถยนต์ในเซกเมนต์พรีเมียมรหัส G70 ด้วยระบบขับเคลื่อนพลังงานผสม เครื่องยนต์ผสานมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบปลั๊กอินไฮบริด PHEV ที่เน้นความหรูหราสะดวกสบาย ระบบดิจิทัลแบบใหม่ ระบบความปลอดภัยครอบคลุมการใช้งาน BMW 750e xDrive M Sport 2023 ราคา 6,999,000 บาท มาพร้อมระบบปลั๊กอินไฮบริด มิติตัวถัง ยาว 5,391 มิลลิเมตร กว้าง 1,950 มิลลิเมตร สูง 1,544 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 3,215 มิลลิเมตร ระยะห่างล้อหน้า 1,662 มิลลิเมตร ระยะห่างล้อหลัง 1,684 มิลลิเมตร โอเวอร์แฮงค์หน้า 982 มิลลิเมตร โอเวอร์แฮงค์หลัง 1,194 มิลลิเมตร น้ำหนัก 2,445 กิโลกรัม พื้นที่เก็บสัมภาระส่วนท้ายความจุ 525 ลิตร ล้อ M aerodynamic 20 นิ้ว แบบสลับสี ล้อหน้า 9J × 20 ยาง Pirelli P Zero ไซส์ 255/45 R20 105Y ล้อหลัง 10.5 J × 20 ยาง Pirelli P Zero ไซส์ 285/40 R20 105Y

ไฟหน้า Adaptive LED ที่ฉลาดล้ำ มีรัศมีในการส่องไกล 600 เมตร พร้อมระบบปรับองศาเมื่อเข้าโค้ง ทำงานในขั้นตอนที่มีความซับซ้อนของตัวแปรต่างๆ บนถนนในตอนกลางคืน ศักยภาพของไฟหน้าใน 750e M Sport ก็คือ ทำให้คนขับมองเห็นในจุดที่มืดที่สุดโดยไม่ส่งผลกระทบต่อรถที่วิ่งอยู่ข้างหน้า ไฟหน้าอัตโนมัติที่สามารถใช้คำว่า อัจฉริยะ นั้น ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน กระจังหน้า และชุดไฟหน้าคริสตัลสวารอฟสกี้ 'Iconic Glow' สุดหรูหรา มอบเอฟเฟกต์ไฟระยิบระยับสวยงามด้วยประกายของแก้วคริสตัลสวารอฟสกี้ 'Iconic Glow' ส่วนไฟท้าย OLED ด้านบนเป็นไฟรูปตัว 'L' ในรูปทรงเรขาคณิตแบบกระจกเป็นครั้งแรก เสริมให้ไฟท้ายดูโดดเด่นยิ่งขึ้น มาพร้อมล้ออัลลอย M aerodynamic ขนาด 20 นิ้ว แบบสลับสีดำ-เงิน ภายนอกตกแต่งด้วยวัสดุสีดําเงา และกันชนหลังดีไซน์ M พร้อมชุดตกแต่ง M Sport เป็นคิ้วโครเมียมสีเงินที่ดูแปลกตา และไม่ค่อยจะเข้ากับมาดอันสุขุมนุ่มลึกของ 7-Series ระบบปลดล็อกประตูอัจฉริยะช่วยให้ผู้ขับสามารถเปิดประตูรถและสตาร์ตเครื่องยนต์ได้โดยไม่ต้องสัมผัสกุญแจ ระบบช่วยผ่อนแรงกระแทกขณะปิดประตูยังช่วยให้สามารถปิดประตูได้โดยอัตโนมัติอย่างนุ่มนวล และเงียบกริบ แต่ระบบเปิดและปิดประตูอัตโนมัติสร้างความรำคาญให้บ้างในบางครั้งที่ลองเปิดใช้งาน 

BMW 750e xDrive M Sport สีตัวถังภายนอก สีขาว Mineral White Metallic และ สีดำ Black Sapphire Metallic ภายในตกแต่งด้วยด้วยสีน้ำตาลเข้ม Mocha

ตัวถังภายนอกสีเทา Dravit Grey Metallic และสีเทา Oxide Grey Metallic ตกแต่งภายในสีดำ

การตกแต่งภายในและอุปกรณ์ต่างๆ มุ่งไปที่การเสริมความสะดวกสบายอย่างเต็มเหนี่ยว 7er รุ่นใหม่ ยังคงสร้างบรรยากาศหรูหรา แถบ BMW Interaction Bar ช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถยนต์ได้ดียิ่งขึ้น ผสานฟังก์ชันควบคุมชุดไฟส่องสว่าง ปรับแต่งบรรยากาศในห้องโดยสารด้วยไฟตกแต่ง Ambient Light ที่สวยงามแปลกตา ดูทันสมัย และแตกต่างไปจากงานตกแต่งของรถคู่แข่งอย่างสิ้นเชิง คุณสามารถปรับสภาวะของแสงจากหลอด LED ได้ตามต้องการ เบาะนั่งแบบมัลติฟังก์ชัน ทั้งผู้ขับขี่ ผู้โดยสารตอนหน้า และผู้โดยสารตอนหลัง ฟังก์ชันนวดผ่อนคลายสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหลัง เบาะนั่งตอนหลังแบบ Executive Lounge ระบบระบายอากาศสำหรับเบาะที่นั่ง ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ 4 โซน เพิ่มการไหลเวียนอากาศในห้องโดยสาร วัสดุบุหลังคา Alcantara แดชบอร์ดตกแต่งด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ถักด้วยวัสดุสีเงินแบบ M คอนโซลกลางสีดำเงา Piano Finish Black

ระบบจอภาพบนเพดานสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ประกอบด้วยหน้าจอสัมผัสขนาด 31.3 นิ้ว ความคมชัด 8K ระบบเสียงรอบทิศทาง Bowers & Wilkins รีโมตควบคุมแบบสัมผัส ติดตั้งอยู่ที่แผงควบคุมบริเวณแผงประตู (BMW Touch Command) ม่านบังแสงด้านหลังจะปิดโดยอัตโนมัติเมื่อระบบจอภาพสำหรับผู้โดยสารตอนหลังทำงาน ระบบ BMW Live Cockpit Professional ช่วยคำนวณเส้นทางที่รวดเร็วได้จากข้อมูลสภาพการจราจรแบบเรียลไทม์

รถทดสอบมาพร้อมกับชุดแต่ง M มีอุปกรณ์หรูหรามากมายมหาศาล เช่น เบาะนั่งด้านหน้าและด้านหลังแบบปรับนวดได้หลายทิศทาง กระจกหลังคาส่องสว่างด้วยเทคนิคพิเศษ, สวิตช์ปรับตั้งต่างๆ ทั้งปรับเบาะ ปุ่ม iDrive สวิตช์คันเกียร์ ทำจากกระจกแก้วคริสตัล, ม่านไฟฟ้า, ระบบเสียง Bowers & Wilkins ที่อัปเกรดกรวยลำโพง และคุณภาพของกำลังขับใหม่หมด รวมถึงประตูอัตโนมัติที่ค่อนข้างหน้าเบื่อดังกล่าวมาข้างต้น จุดเด่นของการโดยสารที่เบาะหลังก็คือ หน้าจอเธียเตอร์ขนาด 31.3 นิ้ว ที่พับซ่อนอย่างแนบเนียนอยู่บนส่วนกลางของผืนหลังคา เพื่อแสดงภาพวิดีโอคมชัดสูงไปยังผู้โดยสารที่นั่งด้านหลังในขณะที่กำลังเดินทาง เป็นแนวทาง Luxury ของรถยนต์สุดหรูที่มักจะขยายขอบเขตการใช้งานด้วยเทคโนโลยีอนาคต และ ณ ตอนนี้ Theater Screen ได้ดึงความสนใจของผู้โดยสารตอนหลัง (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าของรถ) ให้เพลิดเพลินไปกับภาพยนตร์ใหม่ๆ ใน Netflix

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ BMW 750 คือ การบูรณาการฟังก์ชันการทำงานทั้งหมดให้เข้ากันได้แบบไร้ปัญหา ห้องโดยสารมีจินตนาการเจิดจรัสมากกว่ารถหรูหลายแบรนด์ งานตกแต่งทั้งหมดของมันมุ่งเน้นไปที่คุณภาพของสภาพแวดล้อมภายใน มากกว่าปริมาณของหน้าจอ แสงโดยรอบส่องผ่านแผ่นโปร่งใสทั่วทั้งห้องโดยสาร ทำให้สว่างเรืองรองราวกับกำลังขับรถอยู่ท่ามกลางเรือไดหมึกในคืนเดือนมืด แสงตกแต่งภายในปรับไปตามโหมดการขับเคลื่อนที่ถูกคำนวณแล้วว่าไม่รบกวนการขับรถของคุณ ทุกพื้นผิวตั้งแต่ลายคาบอนไฟเบอร์เคลือบเงาไปจนถึงขอบโลหะสีเงินยวงที่ให้ความรู้สึกหรูหราน่าสัมผัส และมีราคาแพง G70 ไม่มีคลาสที่เรียบหรูหรือเรียบง่ายเหมือนรุ่นก่อนๆ มันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกทันสมัย และตอบสนองความต้องการที่ลงตัวกับทุกอุปกรณ์ในราคา 6.9 ล้านบาท ระบบอินโฟเทนเมนต์ iDrive 8.5 แบบหน้าจอคู่ panorama ของ BMW ที่ไม่รู้สึกว่าอยู่ผิดที่ผิดทาง แม้จะใช้ร่วมกับ Series-3 จอภาพทรงยาวที่เหมือนรถไฟฟ้าจีน มีความคมชัดสูง และมีคุณสมบัติที่หลากหลาย จากความหนาแน่นของฟังก์ชันทำให้ต้องใช้เวลาเรียนรู้ และทำความคุ้นชินกับการใช้งานนานเป็นอาทิตย์ หรืออาจเป็นเดือน กว่าจะใช้งาน OS 8.5 ได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ซอฟต์แวร์ถูกออกแบบให้ค่อนข้างง่ายต่อการเข้า-ออกจากเมนูต่างๆ โดยใช้ตัวควบคุม i Drive ที่เป็นปุ่มทรงกลมข้างคันเกียร์ทำจากแก้วคริสตัลแวววับ

สำหรับระบบช่วยขับ ประกอบด้วย Adaptive Cruise Control ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) และระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS) ระบบช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ (Brake Assist) เซนเซอร์ควบคุมความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash Sensor) และระบบป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง ติดตั้งมาอุปกรณ์มาตรฐาน ระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ Parking Assistant Professional และระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistant Professional

BMW 750e xDrive M Sport 2023 เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ BMW TwinPower Turbo กำลังสูงสุด 230 กิโลวัตต์ / 313 แรงม้า ที่ 5,000-6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,750-4,700 รอบต่อนาที มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 145 กิโลวัตต์ / 197 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกับเครื่องยนต์จะมีกำลังรวมสูงสุด 360 กิโลวัตต์ หรือมากถึง 489 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 700 นิวตันเมตร ความจุพลังงานแบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูงที่ 22.1 กิโลวัตต์-ชั่วโมง อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ 20.05 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/100 กิโลเมตร ระยะทางการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าสูงสุดที่ 85 กิโลเมตร ความเร็วสูงสุดที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 4.8 วินาที

BMW 750e สร้างความประทับใจในแบบรักแรกพบที่ดี เมื่อผมเดินขึ้นไปที่ประตูคนขับ พร้อมกับกุญแจรีโมตในกระเป๋า ระบบจะทำการปลดล็อกอย่างรวดเร็วเหมือนกันกับรถยนต์สมัยใหม่ทั่วไป จากนั้นคุณสามารถคว้าที่จับประตูแล้วออกแรงเปิดตามปกติ หรือใช้ฟังก์ชันล้ำๆ ที่จะสร้างความประทับใจให้เพื่อน ด้วยการกดปุ่มเพื่อเปิดประตูด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ กล้องจะตรวจจับว่าต้องเปิดประตูไปไกลแค่ไหนเพื่อหลีกเลี่ยงการกระแทกของบานประตูกับสิ่งกีดขวาง นั่นถือว่าฉลาดมาก ยกเว้นแต่ไม่ได้คำนึงถึงความจริงที่ว่ามีคนกำลังยืนอยู่ตรงหน้า? บานประตูจะแง้มไว้ไม่กี่เซนติเมตร และคงอยู่ตรงนั้นในขณะที่คุณยืนรอให้ระบบเปิดมันออกทั้งหมด ซึ่งจะไม่เป็นเช่นนั้น (อุ๋ย) ในที่สุด เมื่อถึงเวลาที่คุณจะขึ้นรถ คุณจะเปิดประตูด้วยความหงุดหงิด และย้ายตัวเองเข้าไปนั่งข้างใน นั่นคือความประทับใจแรกที่ย่ำแย่ แต่ถ้าใช้บ่อยๆ จนชินก็จะพบว่าสะดวกใช้ได้ และดูเป็นกลไกที่เหมือนมีเวทมนตร์ นอกจากประตูอัตโนมัติแล้ว BMW Series-7 รุ่นล่าสุดยังคงความเป็นหนึ่งในรถยนต์หรูหราขั้นสูงที่น่าประทับใจ และสามารถหาซื้อได้ในปัจจุบัน เมื่อทำการขับเคลื่อน 750e แสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางวิศวกรรมเต็มรูปแบบของยานยนต์ BMW รุ่นเรือธงใหม่ล่าสุด ถือเป็นจุดสูงสุดของกลุ่มผลิตภัณฑ์ 7-series ในฐานะรถลีมูซีนไฮบริด 6 สูบ ที่ปรับจูนแบบ M โดยมีราคา 6,999,000 บาท เป็นคู่แข่งตัวฉกาจกับ Mercedes S580e แพลตฟอร์ม CLAR โลหะผสมของ BMW ได้รับการยืด และปรับปรุงเพื่อใช้ใน G70 รวมถึง i7 แตกต่างจาก 7-Series G12 รุ่นก่อนตรงที่ G70 เวอร์ชันล่าสุด มีเฉพาะรุ่นฐานล้อยาวเท่านั้น ทำให้ผู้โดยสารด้านหลังมีพื้นที่ในการนอนหลับพักผ่อน หรือนั่งแบบยืดตัวได้อย่างเต็มที่มากขึ้น

เมื่อมองจากตำแหน่งเบาะนั่งคนขับ 750e ให้ความรู้สึกใหญ่โตโอ่โถง เหมือนคุณอยู่บนพวงมาลัยของรถเอสยูวีอย่าง X7 (ที่ความสูง 1,544 มม.) กดปุ่มเลือกโหมดขับเคลื่อนหลังจากใช้ไฟในแบตเตอรี่ไฮบริดจนหมดเกลี้ยง ผมกดเลือกโหมด Personal แล้วออกเดินทางท่ามกลางความเงียบงันที่น่าขนลุก แต่กลับมีความคุ้นเคยที่สบายใจส่งผ่านมาทางพวงมาลัย ซึ่งถ่ายทอดอัตราการตอบสนองที่เบาและคมชัด ตามแบบฉบับของ BMW สมัยใหม่ 750e มาพร้อมกับระบบบังคับเลี้ยวไฟฟ้าที่แปรผันน้ำหนักของพวงมาลัยไปตามความเร็ว และการเลือกโหมดขับเคลื่อนของคนขับ 7er รุ่นใหม่ เป็นรถที่มีความคล่องตัวมากกว่าที่คิดไว้ มันสามารถเคลื่อนที่ด้วยความนุ่มนวล แม้แต่ในซอยแคบๆ แค่หักพวงมาลัยเล็กน้อย มวล 2.3 ตัน จะเลี้ยวอย่างว่องไว การถอยเข้าออกจากที่จอดรถแคบๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป

การเพิ่มคำต่อท้าย M หรือ AMG ให้กับรถซาลูนสุดหรู บางครั้งอาจทำให้เกิดความสับสน เมื่อตั้งค่า Adaptive Air Suspension เป็นโหมด Comfort ระบบกันสะเทือนถุงลม ดูดซับแรงกระแทกได้ดี หลุมบ่อลอดใต้ล้อที่เคลื่อนผ่านอย่างนุ่มนวล พื้นผิวที่ไม่เรียบของถนนบางเส้นทำให้โช้คถุงลมต้องทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง การผ่องถ่ายความสบายนั้นเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของ Series-7 คุณภาพการขับขี่ ยอดเยี่ยมตามมาตรฐาน ไม่มีการผสมผสานที่เกือบจะแปลกประหลาดระหว่างการเชื่อมต่อของเครื่อง และมอเตอร์ 750e X Drive นั้นไวต่อการตอบสนองของช่วงล่าง ระบบรองรับให้อารมณ์ลอยตัวในแนวตั้งอยู่เหนือผิวถนนที่ไม่มีความสม่ำเสมอ รถยนต์หรูหราส่วนใหญ่ที่ใช้สปริงลมจะให้ความสบายในการขับเคลื่อน Adaptive Air Suspension ของ 750e เป็นหนึ่งในช่วงล่างที่มีประสิทธิภาพ เน้นความนุ่มนวลเป็นหลัก รักษาอาการของตัวถังที่ใหญ่โตให้มีค่าความเป็นกลางมากที่สุด เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมโดยเฉพาะในย่านความเร็วสูง 

การใช้ระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบ 750e xDrive เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการสัมผัสยานยนต์พลังงานผสมในภาคไฟฟ้าล้วน เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง เทอร์โบ B58 ที่พัฒนามาจนเกือบจะสุดทาง ช่วยให้คุณขับ 750e ทะยานผ่านที่ชาร์จ EV ที่น่ารำคาญระหว่างเดินทางในช่วงวันหยุดยาวได้แบบไร้กังวล ระบบส่งกำลังประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 6 สูบ เทอร์โบชาร์จ ขนาด 3.0 ลิตร BMW TwinPower Turbo และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งอยู่ในเกียร์อัตโนมัติ ZF-8 สปีด กำลังรวมของทั้งสองระบบส่งถ่ายออกมาที่ 489 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตันเมตร หรือ 516 ปอนด์-ฟุต มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 194 แรงม้า แบบเพียวๆ ด้วยตัวของมันเอง เพื่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบ ทำให้ 750e มีประสิทธิภาพเหนือกว่ามาตรฐานของรถซาลูนปลั๊กอินไฮบริดทั่วไป แต่ไม่ได้ทรงพลังเท่ากับ M760i xDrive ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ หรือ i7 xDrive60 ที่มีมอเตอร์คู่สุดโหด อย่างไรก็ตาม 750e xDrive PHEV เร่งออกตัวจากจุดหยุดนิ่งได้อย่างร้ายกาจ แรงดึงหนักหน่วงเมื่อกดคันเร่งเต็มที่ มันจะดึงตรงไปข้างหน้าอย่างไม่ลดราวาศอก ด้วยพลังแรงบิดที่ผสานแรงส่งทั้งมอเตอร์ไฟฟ้ากับเครื่อง 6 สูบเทอร์โบ ผ่านเกียร์อัตโนมัติ ZF-8HP พร้อมมอเตอร์ที่ขั้นอยู่ระหว่างเกียร์กับเครื่องยนต์ เป็นรถที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของการขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบ 6 สูบเรียง ฟีลลิ่งทางไกลนั้นดีกว่า i7 ที่เอาแต่ทื่อและไม่ส่งเสียงอะไรออกมาแม้แต่นิดเดียว i7 เหมือนกับหุ่นยนต์ที่ทำตามคำสั่งอย่างว่านอนสอนง่าย แต่ 750e ให้อารมณ์รถสันดาปภายในอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะตอนขับเร็ว  

ประสิทธิภาพที่แท้จริง เมื่อมองดูจากตัวเลขอัตราเร่ง เทียบกับน้ำหนักตัวน้องๆ รถ 6 ล้อ การใช้พลังงานไฟฟ้าเพียวๆ ค่อนข้างดี แต่ก็ยังไม่ดีที่สุด 750e xDrive ได้รับการจัดอันดับ EPA โดยวิ่งไฟฟ้าได้ไกล 85 กิโลเมตร เป็นระยะทางที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% (วิ่งจริงอยู่ที่ 70 กิโลเมตร ที่ความเร็ว 60-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) แบตเตอรี่ขนาด 22.1 กิโลวัตต์-ชั่วโมง เมื่อเปรียบเทียบกับ S-Class PHEV ที่ได้รับการจัดอันดับให้มีระยะทางขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่น่าทึ่งถึง 90 กิโลเมตร นับว่าสูสีกัน อย่างไรก็ตาม ระยะทาง 70 กิโลเมตร เพียงพอสำหรับการเดินทางไปกลับ จากบ้านไปที่ทำงาน หากที่ทำงานอยู่ห่างจากบ้านไม่เกิน 35 กิโลเมตร เครื่องยนต์แทบจะไม่ได้ใช้งาน หากไม่เร่งความเร็วเต็มที่ การพกพาแบตเตอรี่ที่มีน้ำหนักน้อยลง ถือเป็นข้อได้เปรียบในเรื่องประสิทธิภาพ (แบตเตอรี่ของ Mercedes มีขนาดพอๆ กับของ 7-Series) ความสามารถในการชาร์จสูงสุด 7.4 กิโลวัตต์ ในรุ่น 750e ประมาณการเวลาในการชาร์จ 0-100% อยู่ที่ 8-10 ชั่วโมง เมื่อเสียบปลั๊กไฟบ้านโดยไม่ผ่าน BMW Wall Box 

ผลลัพธ์เป็นไปตามที่ BMW อธิบายไว้อย่างชัดเจน รถคันนี้วิ่งได้ดีในโหมดไฟฟ้า อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด และน่ารำคาญที่สุดอย่างหนึ่งของรถ PHEV ก็คือระยะทางที่แจ้งในหน้าปัดมาตรวัดนั้นหล่นมาเร็วเกินไป เมื่อขับในโหมดไฟฟ้า เมื่อคุณแซงรถช้าด้วยความเร็วที่เหนือกว่า เสียงสังเคราะห์ทางไฟฟ้าของศิลปิน Hans Zimmer จะดังขึ้นมาเหมือนกับใน BMW i7 ถ้าตัวเลขการเร่งความเร็วด้วยพลังของมอเตอร์ไฟฟ้ากลายเป็นจุดสนใจของคุณ Series-7 PHEV ก็ทำได้แทบจะไม่แตกต่างจาก i7 ไฟฟ้าเลยด้วยซ้ำ มอเตอร์ไฟฟ้าในระบบส่งกำลังมาพร้อมกับ "การเปลี่ยนเกียร์" ที่นุ่มนวลไหลลื่น โดยทั่วไปเมื่อคุณเร่งความเร็วโดยที่เครื่องยนต์ยังหยุดการทำงานอยู่ BMW และ ZF ปรับแต่งให้เกียร์ทำหน้าที่ได้อย่างน่าชื่นชม จากการเชื่อมต่อฟันเฟืองเหล่านั้นให้ผ่องถ่ายอัตราทดได้อย่างราบรื่น เมื่อไฟฟ้าถูกใช้จนหมด (ที่ระยะทาง 70-75 กิโลเมตร) แล้วลองเร่งความเร็วอย่างเต็มที่ เครื่องยนต์ 6 สูบเรียงเทอร์โบจะเริ่มต้นการทำงาน B58 ใน 7-Series Plug in Hybrid ถูกปรับแต่งให้เงียบ และให้กำลังแรงบิดสูงอย่างที่ควรจะเป็น เสียงการทำงานในรอบสูงของเครื่องยนต์ครางออกมาให้ได้ยินเบาๆ การปลดปล่อยศักยภาพสูงสุดของระบบส่งกำลังจะทำให้รถพุ่งทะยานผ่าน 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา เมื่อขับด้วยความเร็วสูงบนทางหลวงข้ามจังหวัด เครื่องยนต์ 6 สูบ หลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกับระบบเสริมแรงบิดด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าท่ีคอยแบ็กอัปอยู่ข้างหลัง และเมื่อออกเดินทางไกลด้วยการชาร์จไฟมาจนเต็ม และเติมเชื้อเพลิงเต็มถัง 750e xDrive สามารถทำระยะการขับขี่ไกลประมาณ 750-800 กิโลเมตร นั่นเป็นระยะทางที่เหนือกว่า i7 แบบเทียบกันไม่ติด

ความกว้างของห้องโดยสาร โดยเฉพาะขอบกระจกบานหน้าต่างที่สูงทำให้รู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำที่หรูหราเป็นพิเศษ ชัดเจนว่า BMW ไม่เคยลืมว่ามูลค่าหลักของแบรนด์ก็คือ การเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ส่งมอบรถดีๆ ให้กับผู้บริโภค มีเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยทำให้การขับ 750e xDrive สะดวกสบายขึ้นด้วยเซนเซอร์ภายนอกมากกว่า 30 ตัว และระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติที่สามารถขับเคลื่อนด้วยตัวของมันเองเพื่อเข้าจอดในที่คับแคบ ระบบควบคุมและเฝ้าระวังที่ความเร็วต่ำ การสั่นเบาๆ ท่ีพวงมาลัยเพื่อแจ้งเตือนว่าคุณกำลังขับทับเส้นแบ่งช่องทาง regenerative braking ที่ฉลาดหลักแหลม ช่วยลดความเร็ว และทำให้ผ้าเบรกมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับลูกพี่ลูกน้องอย่าง i7 แม้ว่ารถทั้งสองคันจะได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมที่คล้ายคลึงกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ขับใช้งานท่ามกลางอุปกรณ์ที่หรูหราเหมือนกัน แต่การปรับแต่งของ BMW 750e นั้นโดดเด่นมากกว่า โดยมีเสียงลม หรือเสียงรบกวนจากยางที่บดลงไปบนผิวนถนนเพียงเล็กน้อย ลองเปิดโหมด Sport ใช้งาน แรงบิด 700 นิวตันเมตรของเครื่องและมอเตอร์ ไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบระเบิดตูมอย่างแรงเหมือนการเร่งความเร็วในใน i7 ที่ทรงพลัง แต่แรงดึงหนักๆ ที่ต่อเนื่อง และยาวนานของ 750e จะทำให้คนขับรู้สึกประทับใจ

ความสมดุลนั้นขัดแย้งกับขนาดของ 750e ในลักษณะที่ i7 ที่หนักกว่ามากไม่สามารถเทียบเคียงได้ในด้านความคล่องตัวเมื่อขับเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง 750e PHEV ให้รู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศ ด้วยฟิสิกส์ชั้นเลิศของระบบควบคุมองคาพยพ แบตเตอรี่ 22.1 kWh นั้นเพียงพอสำหรับระยะการวิ่งโดยปราศจากมลพิษไกลพอสมควร สิ่งที่ทำได้ดีมากก็คืออัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อแบตเตอรี่หมด การทดสอบระยะทางไกล ไปกลับห้าร้อยกว่ากิโลเมตร ในโหมด Efficient ด้วยความเร็วคงที่ 100-110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เฉลี่ยอยู่ที่ 16.5 กิโลเมตรต่อลิตร

ในช่วงเวลาของเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า BMW มีทิศทางการพัฒนาที่อนุรักษนิยมมากกว่าคู่แข่งหลัก ในกรณีของ Mercedes มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้าเฉพาะสำหรับ EV ใหม่เท่านั้น ส่วน BMW รุ่นหลักๆ ที่ขายดี ได้รับการออกแบบเพื่อรองรับเครื่องยนต์สันดาปภายใน ICE ควบคู่ไปกับระบบส่งกำลังไฟฟ้า บนแพลตฟอร์มเดียวกัน ทั้ง i7 และซีรีส์ 7 ต่างก็ใช้แพลตฟอร์มเดียวกัน มันมีความรู้สึกที่สม่ำเสมอ และชัดเจนของไดนามิกในทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า หรือสันดาปภายใน โดยส่วนใหญ่แล้ว G70 ให้ความรู้สึกเหมือนว่า BMW อยู่ในจุดสูงสุดของเกม ด้วยการผลิตรถยนต์ที่มีระบบขับเคลื่อนหลากหลายทางเลือก.

BMW 750e xDrive M Sport Plug-in Hybrid 6,999,000 บาท


เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo
ความจุ 2,998 ซีซี
เครื่องยนต์กำลังสูงสุด 230 กิโลวัตต์/ 313 แรงม้า ที่ 5,000-6,500 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,750-4,700 รอบต่อนาที
กำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 145 กิโลวัตต์ / 197 แรงม้า
แรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 280 นิวตันเมตร
ระยะทางการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 85 กิโลเมตร
ความจุพลังงานแบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูง 22.1 กิโลวัตต์-ชั่วโมง
กําลังรวมสูงสุด 360 กิโลวัตต์/ 489 แรงม้า
แรงบิดรวมสูงสุด 700 นิวตันเมตร
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง 4.8 วินาที
ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ล้ออัลลอย M aerodynamic
ขนาด 20 นิ้ว แบบสลับสี
ล้อหน้า: 9J × 20 / tyres 255/45 R 20
ล้อหลัง: 10.5 J × 20 tyres 285/40 R 20
อัตราการใช้ไฟฟ้า, มาตรฐาน NEDC 20.5 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/100 กิโลเมตร

เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แบบ Sport Steptronic
ระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ 4 ล้อ xDrive
ระบบช่วยการขับขี่ รุ่น Professional (Driving Assistant Professional)
ระบบช่วยนํารถเข้าที่จอดอัตโนมัติ รุ่น Professional (Parking Assistant Professional)
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชัน Stop&Go (Active cruise control with Stop&Go function)
ระบบ BMW Head-up Display
ช่วงล่างถุงลม Adaptive 2-axle

อุปกรณ์ภายนอก
หลังคากระจก Panorama
กระจังหน้า BMW kidney 'Iconic Glow'
ระบบไฟหน้า BMW crystal headlights Iconic Glow
ภายนอกตกแต่งด้วยวัสดุสีดําเงา
สปอยเลอร์หลังดีไซน์ M
คาลิเปอร์เบรกดีไซน์ M Sport สีน้ำเงินเงา
ชุดตกแต่งภายนอกแบบ M Sport
ระบบปลดล็อกประตูอัจฉริยะ
ระบบช่วยผ่อนแรงกระแทกขณะปิดประตู
อุปกรณ์ภายใน
เบาะนั่งตอนหน้าและหลัง พร้อมระบบ Heater
ฟังก์ชันนวดผ่อนคลายสําหรับผู้ขับขี่
ฟังก์ชันนวดผ่อนคลายสําหรับผู้โดยสารตอนหลัง
ระบบระบายอากาศสําหรับเบาะนั่งตอนหน้า
ระบบระบายอากาศสําหรับเบาะนั่งตอนหลัง
เบาะนั่งตอนหน้าแบบ multifunctional
เบาะนั่งตอนหลังแบบ multifunctional
พวงมาลัยหุ้มหนังดีไซน์ M
ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วย Carbon Fibre ถักด้วยวัสดุสีเงินแบบ M
คอนโซลกลางสีดำเงาแบบ Piano Finish Black
ชุดตกแต่งภายใน BMW Individual
เพดานหลังคาภายในบุด้วยวัสดุ Alcantara สี Anthracite
ภายในตกแต่งดีไซน์ M Sport
ชุดไฟส่องสว่างภายในและภายนอกห้องโดยสาร (Ambient Light)
ม่านบังแดดที่ประตูหลังและกระจกหลัง
ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 4 โซน
ระบบประตูเปิดและปิดอัตโนมัติ
เบาะนั่งตอนหลังแบบ Executive lounge

คุณลักษณะเฉพาะ
ระบบความบันเทิงและการสื่อสาร
BMW Live Cockpit Professional
ระบบ BMW ConnectedDrive
ชุดตกแต่งพิเศษ
ชุดตกแต่ง M Sport
ระบบเสียงรอบทิศทางคุณภาพสูง Bowers & Wilkins
ระบบจำลองเสียงเครื่องยนต์ Iconic sounds electric
BMW Interaction Bar
แผงควบคุมบริเวณแผงประตู BMW Touch Command
ระบบจอภาพสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง BMW Theatre Screen

ความปลอดภัย
ถุงลมนิรภัยสําหรับคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า
ถุงลมนิรภัยด้านข้างสําหรับคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า
ถุงลมนิรภัยศีรษะสําหรับผู้โดยสารตอนหน้าและหลัง (ยกเว้นผู้โดยสารตอนหลังกลาง)
ระบบ Teleservices
ปุ่มโทรออกฉุกเฉิน (Intelligent Emergency Call)
ตัวยึดคาร์ซีตสำหรับเด็ก ISOFIX
ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC)
ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS)
ระบบช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ (Brake Assist)
เซนเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash Sensor)
ระบบป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง (Side Impact Protection)
ระบบสร้างเสียงจำลองเตือนผู้ใช้ถนนรอบข้าง
ระบบปกป้องคนเดินถนนเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
ระบบตรวจจับลมยาง
ชุดปะยางฉุกเฉิน.