Nurburgring ฤดูร้อน ปี 2021 Frank Stippler นักแข่งรถและวิศวกรของ Audi Sport กำลังพุ่งทะยานผ่าน “The Green Hell” ด้วยรถ Audi RS 3 รุ่นใหม่ ในตำแหน่งเกียร์สาม ที่สปีดความเร็ว 140 กม./ชม. (87 ไมล์ต่อชั่วโมง) แล้วลดความเร็วเหลือ 80 กม./ชม. (50 ไมล์ต่อชั่วโมง) ที่เกียร์สอง, ทะยานเข้าโค้ง, เร่งความเร็ว, เสียงยางเสียดสีกับผิวแทรคดังสนั่น ผลลัพธ์ของเครื่องยนต์ห้าสูบใน Audi RS3 Quattro ก็คือ ตัวเลข 7:40.748 นาที ทำสถิติใหม่ด้วยความเร็วสูงสุดในกลุ่มรถสปอร์ตแฮตช์แบ็กขนาดกะทัดรัด
...
เครื่องยนต์ห้าสูบเป็นองค์ประกอบสำคัญใน DNA ของแบรนด์ Audi นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1976 แม้กระทั่งทุกวันนี้ ลำดับการจุดระเบิดที่มีลักษณะเฉพาะตัวและเสียงการทำงานของสูบทั้งห้าตำแหน่งเปรียบเหมือนเอกลักษณ์ของแบรนด์ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมทุกอย่าง เครื่องยนต์ห้าสูบ ให้ประสบการณ์การขับที่แปลกแยกจากเครื่องยนต์ 4 หรือ 6 กระบอกสูบ แต่ก็อยู่ในห้วงเวลาสุดท้ายของเครื่องยนต์สันดาปภายในซึ่งต่อไปในอนาคต RS3 ก็จะกลายเป็นรถไฟฟ้า นี่คือตัวแปรใหม่ที่ทำให้หัวใจของแฟนๆ แบรนด์สี่ห่วงต้องเต้นแรง การทำสถิติใหม่ด้วย Hatchback ไซส์กะทัดรัดในสนามนรกเขียว บนเส้นทางของเครื่องยนต์บ้าพลังแห่งลัทธิ Quattro เปรียบเสมือนการเดินทางในยุคสุดท้ายของเครื่องยนต์สันดาปภายใน ฟังดูน่าเศร้าใจ แต่จริงๆ แล้วสนุกจนทำให้ขนหัวลุก!
ภาพแห่งความทรงจำเหล่านี้ฝังอยู่ในหัวของผู้ที่ชื่นชอบมอเตอร์สปอร์ตในช่วงปลายยุค 80' การแข่งรถขึ้นเขา : Pikes Peak ของสหรัฐอเมริกา ฤดูร้อนปี ค.ศ. 1987 นักขับชั้นนำอย่าง Walter Röhrl ขับ Audi Sport quattro S1 (E2) บินข้ามถนนลูกรัง ด้วยความสูงชันของถนนซึ่งทอดตัวขึ้นไปสู่หุบเขาสูง 4,000 เมตร (13,123 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเล การขับที่บ้าระห่ำราวกับจะไม่มีวันพรุ่งนี้ ท่ามกลางอากาศที่เบาบาง ในบางจุดบนเส้นทางไต่ระห่ำ ถนนบนภูเขาจะพารถวิ่งดิ่งลงเนินยาว 1,800 เมตร (5,906 ฟุต) สู่ความว่างเปล่า หรือหุบเหวลึก Röhrl แชมป์แรลลี่ชอบสนามนี้มากเป็นพิเศษ รถ S1 ที่มีเครื่องยนต์ห้าสูบ กำลัง 590 แรงม้า ทะยานไต่ระดับความสูงของรายการแข่งรถขึ้นเขา Pikes Peak ได้อย่างรวดเร็วและว่องไว ผลลัพธ์ก็คือ ตำนานตัวเลข 10:47.850 นาที ด้วยความเร็วสูงสุดของ Audi Sport quattro S1 (E2) ที่ควบคุมพวงมาลัยและคันเร่งโดย Röhrl กับความเร็วเฉลี่ย 196 กม./ชม. (122 ไมล์ต่อชั่วโมง) “มันเป็นจุดสูงสุดของสิ่งที่คุณสามารถทำได้ด้วยรถแรลลี่” Walter Röhrl กล่าว
...
...
รถแข่งศักยภาพสูงบวกกับนักขับฝีมือระดับเทพ ช่วยให้เครื่องยนต์ Audi ห้าสูบที่ได้รับรางวัลมานับไม่ถ้วนบรรลุสถานะสูงสุดของลัทธิ Quattro ที่ Audi Sport หัวหน้าฝ่ายพัฒนา ระบบส่งกำลังของ Audi ชื่อ Armin Pelzer กล่าวว่า “สำหรับผม มันเป็นเครื่องยนต์ที่มีลักษณะเฉพาะ แนวคิดการพัฒนาเครื่องยนต์รุ่นอื่น อาจมีข้อได้เปรียบเหนือเครื่องยนต์แบบห้าสูบที่มีตำแหน่งกระบอกสูบเลขคี่ แต่ก็ไม่สามารถจับคู่ความแตกต่างที่เป็นของตัวเองได้ทั้งหมด เสียงของมันคือองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่ง นั่นคือเสียงคำรามและพลังที่ปลดปล่อยความรู้สึกตื่นเต้นสนุกสนานออกมาจนหมดสิ้น"
...
“รูปแบบเสียงคำรามเกรี่ยวกราดนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว” Marc Füssel ฝ่ายอุณหพลศาสตร์และการพัฒนารถยนต์สมรรถนะสูงของ Audi Sport อธิบาย "ภายใต้ฝากระโปรงอะลูมิเนียม ลูกสูบทั้งห้าจะพุ่งขึ้นและผลุบลงในกระบอกสูบอย่างทันท่วงที ด้วยลำดับการจุดระเบิดที่ยากจะลืมเลือน ในตำแหน่ง: 1 – 2 – 4 – 5 – 3 “นั่นแตกต่างจากเครื่องยนต์แบบอื่นอย่างชัดเจนที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ความเร็วรอบเครื่องยนต์สูงขึ้น และโหลดที่หนักกว่า เครื่องห้าสูบของ Audi ไม่ได้ส่งเสียงกรีดร้องขอชีวิตเหมือนรถสี่สูบ” Marc Füssel กล่าว “อ้างอิงจากแรงเฉื่อยอิสระ ในตำแหน่งที่หนึ่งและสอง เครื่องยนต์ห้าสูบทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติบางอย่าง ซึ่งทำให้เครื่องยนต์เหมือนมีวิญญาณ มีชีวิตชีวาอย่างกระตือรือร้น และไม่มีวันท่ีจะพบกับสิ่งที่ทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายเหมือนรถสปอร์ตบางรุ่น เมื่อระเบิดพลังงานด้วยการกระชากรอบไปจนเกือบจะถึงรอบเครื่องยนต์สูงสุด เสียงคำรามกึงก้องปลุกเร้าโสตประสาทของพวกที่ชอบรถสันดาป และทำให้หลงรักจนโงหัวไม่ขึ้น!”
แก่นแท้ของ Audi Sport quattro S1 (E2) ที่แฟนๆ Audi ชื่นชมมาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 ก็ไม่เปลี่ยนแปลงนับจากนั้นเป็นต้นมา แม้กระทั่งทุกวันนี้ ระยะการจุดระเบิดยังสูงถึง 144 องศา เช่นใน Audi RS 3 โฉมใหม่ที่มีขายในปัจจุบัน เนื่องจากลำดับการจุดระเบิด กระบอกสูบที่อยู่ติดกันและไม่อยู่ติดกัน จะจุดระเบิดแบบสลับกัน สร้างจังหวะและการทำงานที่เฉพาะเจาะจง กระบอกสูบเลขคี่ ปลดปล่อยจิตวิญญาณของมอเตอร์สปอร์ต ด้วยความถี่ฮาร์มอนิกที่ยากจะลอกเลียนแบบ ซาวนด์โหดๆ มาพร้อมกับอันเดอร์โทนที่ก้องกังวาน ชุดควบคุมเครื่องยนต์ยังให้เสียงที่ไม่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง ไม่มีการปรับแต่งเสียงผ่านลำโพงแต่อย่างใดทั้งสิ้น ด้วยภาระงานที่หนักหนาสาหัส ลิ้นปีกเปิด-ปิดในท่อไอเสีย ถูกเปิดออกจนสุด เพื่อเสียงคำรามที่เป็นเอกลักษณ์ สืบทอดตำนานมาจาก quattro S1 ได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม แนวคิดดั้งเดิมที่อยู่เบื้องหลังเครื่องยนต์นั้น ไม่ใช่ลักษณะการทำงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ หรือเสียงที่ไม่ผิดเพี้ยน ย้อนกลับไปที่เครื่องยนต์ Otto ห้าสูบรุ่นแรก ที่ขับเคลื่อน Audi 100 (C2) ในปี 1976 แบรนด์ Audi ต้องการที่จะไล่ล่าความสำเร็จของการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต และก้าวไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น เครื่องยนต์สี่สูบที่ถูกเสริมด้วยกระบอกสูบเพิ่มเติมจึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ด้วยการเพิ่มลูกสูบอีกหนึ่งตำแหน่ง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ เครื่องยนต์ห้าสูบ ระบบเชื้อเพลิงไดเรคอินเจคชั่น ความจุ 2.1 ลิตร กำลัง 100 กิโลวัตต์ (136 แรงม้า) ระบบหัวฉีดเชื้อเพลิงที่ทันสมัย (ในยุคนั้น) เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการถ่ายโอนพลังงาน เมื่อเชื่อมต่อกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro และระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์เจอร์ เครื่องยนต์ห้าสูบศักยภาพสูงผลักดันภาพลักษณ์ของบริษัท Audi พร้อมกับความสำเร็จในกีฬามอเตอร์สปอร์ตให้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
การเปิดตัว Audi A4 (B5) ในปี 1994 (พ.ศ. 2537) ทำให้เครื่องยนต์ห้าสูบต้องกล่าวคำอำลาในแรลลี่ชิงแชมป์โลก Group B อย่างไรก็ตาม การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งเกิดขึ้นในปี 2009 (พ.ศ. 2552) เทคโนโลยีระบบอัดอากาศ-เทอร์โบชาร์จ และการฉีดเชื้อเพลิงแบบยิงตรงด้วยน้ำมันเบนซินออกเทนสูง เพื่อประสิทธิภาพที่เหนือชั้นขึ้นไปอีกระดับ การปล่อยมลพิษลดต่ำลง และความจุเครื่องยนต์ถูกขยายเป็น 2.5 ลิตร เพื่อประจำการใน Audi TT RS หลังจากนั้นก็ถูกยกไปใส่ใน Audi RS Q3 นับเป็นเครื่องยนต์ห้าสูบตัวแรกของยุคปฏิวัติจักรกล เป็นโครงการสำหรับ VW Jetta ที่ผลิตโดย VW ใน Mexico สำหรับตลาดในสหรัฐฯ Audi ต้องการพัฒนาเครื่องยนต์ดูดอากาศเองที่ทนทาน ส่วน TT RS plus ซึ่ง Audi เปิดตัวในปี 2012 (พ.ศ. 2555) นั้นถูกปรับแต่งให้เครื่องมีกำลังสูงถึง 265 kW (360 แรงม้า) มากกว่า 340 แรงม้า ใน TT RS รุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด
ใน Audi TT RS รุ่นใหม่ล่าสุดนั้น Pelzer และทีมวิศวกรที่ลงมือพัฒนา ได้ทำการปรับปรุงเครื่องยนต์ 5 สูบขึ้นใหม่ทั้งหมด การกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2016 เพื่อวัตถุประสงค์เหนือความทะยานอยากทั้งปวง : เครื่องยนต์รุ่นใหม่ต้องให้กำลังมากขึ้น ด้วยน้ำหนักที่ลดลง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลดลง การปล่อยมลพิษน้อยลง และมีขนาดที่กระทัดรัดมากยิ่งขึ้น “ในตอนนั้นเราเปลี่ยนไปใช้ห้องข้อเหวี่ยงอะลูมิเนียมเพียงอย่างเดียว ช่วยลดน้ำหนักได้ 18 กิโลกรัม (39.7 ปอนด์) โดยสรุปแล้ว เครื่องยนต์ 2.5 TFSI นั้นเบากว่ารุ่นก่อนถึง 26 กิโลกรัม (57.3 ปอนด์)” Pelzer กล่าว สำหรับรถสปอร์ตที่เครื่องยนต์วางอยู่หน้าเพลาขับหน้า นั่นถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับพฤติกรรมการบังคับเลี้ยวและไดนามิกในสนามแข่งขณะอัดเข้าสู่โค้ง
“Audi Sport สร้างเพลาลูกเบี้ยวแบบปรับได้ในฝาสูบ สำหรับการทำงานร่วมกับระบบวาล์วแปรผัน นอกจากนี้ยังปรับแต่งการทำงานของปั๊มน้ำในระบบหล่อเย็นใหม่หมด ระบบวาล์วยกของ Audi (AVS) จะแปรผันตามจังหวะของวาล์วทางออก ด้วยวิธีดังกล่าวที่ช่วยลดการสูญเสียของห้องเผาไหม้ และช่วยให้ก๊าซไอเสียไหลเข้าสู่เทอร์โบชาร์จเจอร์ได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงรอบเครื่องที่ต่ำลง ผลลัพธ์ที่ได้คือการตอบสนองแบบไดนามิกและแรงบิดที่เพิ่มขึ้น"
มาตรการที่ซับซ้อน ช่วยลดแรงเสียดทานภายในเครื่องยนต์ ในขณะที่เพิ่มกำลังมากกว่าเดิม กระบอกสูบถูกเคลือบด้วยพลาสมา ตลับลูกปืนหลักของเพลาข้อเหวี่ยงมีขนาดเล็กกว่าหกมิลลิเมตร (0.2 นิ้ว) เพลาข้อเหวี่ยงเป็นแบบเจาะกลวง มีน้ำหนักที่เบากว่าหนึ่งกิโลกรัม (2.2 ปอนด์) ในขณะที่ลูกสูบอะลูมิเนียมมีช่องสำหรับระบายความร้อนด้วยน้ำมันในตัวของมันเอง
เวลาเดินมาจนถึงปี 2023 ประวัติศาสตร์ของเครื่องยนต์ห้าสูบ ยังคงดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น ใน Audi RS 3 Sedan และ RS 3 Sportback คันทดสอบที่ทั้งหล่อและแรงระเบิดระเบ้อ อีกครั้งที่กระบอกสูบทั้ง 5 ตำแหน่ง ให้ความเพลิดเพลินทางอารมณ์แทบจะไม่แตกต่างไปจาก Quattro S1 ในอดีต Audi Sport ปรับแต่งไดนามิกสำหรับการขับของ RS3 Sportback มีการเพิ่มแรงบิดของเครื่องยนต์ห้าสูบ 2.5 TFSI จาก 450 เป็น 500 นิวตันเมตร ซึ่งอยู่ระหว่าง 2,250 ถึง 5,600 รอบต่อนาที “ด้วยแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ซึ่งเริ่มต้นที่ความเร็วการหมุนในรอบต่ำ และเป็นเป้าหมายการพัฒนาที่ถูกระบุไว้ในเอกสาร” ฟุสเซลอธิบาย “นั่นคือสิ่งที่คนขับสามารถสัมผัสได้โดยตรง” เป็นเพราะ Audi RS 3 รุ่นใหม่ เร่งความเร็วจากช่วงรอบต่ำได้เร็วกว่าเดิม กำลังสูงสุดของเครื่องยนต์ที่ 294 กิโลวัตต์ (400 แรงม้า) ที่ 5,600 รอบต่อนาที และพุ่งไปถึง 7,000 รอบต่อนาที อย่างง่ายดาย
ตัวเลขนั้นบ่งบอกได้ด้วยตัวเอง ด้วยระบบควบคุมการออกตัวแบบมาตรฐาน ทำให้ RS3 Sportback เร่งความเร็วจากศูนย์ ถึง 100 กม./ชม. ใน 3.8 วินาที ซึ่งเร็วกว่ารุ่นก่อนสามในสิบของวินาที Audi Sport คันเล็ก สามารถเพิ่มความเร็วสูงสุด ที่ถูกจำกัดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ จาก 250 กม./ชม. (155 ไมล์ต่อชั่วโมง) เป็น 280 กม./ชม. (174 ไมล์ต่อชั่วโมง) ด้วยแพ็กเกจเสริม Dynamic แม้จะทำได้ถึง 290 กม./ชม. (180 ไมล์ต่อชั่วโมง) การเร่งความเร็วและความเร็วสูงสุดของ Audi RS 3 จึงเป็นตัวกำหนดมาตรฐานใหม่ในกลุ่มรถสปอร์ตแฮตช์แบ็กขนาดกะทัดรัด
“สำหรับการพัฒนา มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับโหมดการขับขี่แบบใหม่” ฟุสเซล กล่าว “ด้วยเหตุนี้ระบบขับเคลื่อนของ Audi RS 3-specific จึงมีสองโหมดสูงสุด เริ่มจากโหมด RS Performance ซึ่งออกแบบมาสำหรับใช้ในสนามแข่ง และโหมด RS Torque Rear ซึ่งเรียกว่า 'โหมดดริฟต์' ซึ่งจะถูกใช้ในแอปพลิเคชันตัวควบคุมแรงบิดล้อหลัง” ทั้งสองโหมดเพิ่มความเร็วรอบของเครื่องยนต์ที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับโหมดไดนามิก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแบบออฟไลน์ การตอบสนองของคันเร่งนั้นตรงไปตรงมา และมีการเปลี่ยนโหลดที่โดดเด่นมาก ยิ่งไปกว่านั้นผู้ขับจะได้สัมผัสกับการเปลี่ยนเกียร์ขึ้นและลงที่ช้ามากในสไตล์ขับแบบลากรอบ เช่นเดียวกับการควบคุมที่เหมาะสมของ linear accelerator ที่ปลายโค้ง
ในโหมด RS Torque Rear ตัวแยกแรงบิดซึ่งติดตั้งอยู่ใน Audi RS เป็นครั้งแรก ทำให้เกิดอาการโอเวอร์สเตียร์ โดยใส่แรงบิดไปทางด้านหลังถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ล้อด้านนอกของโค้ง ทำให้สามารถควบคุมการดริฟต์บนถนนได้ ตรงกันข้ามกับสิ่งนี้ ตัวแยกแรงบิดที่ตัดการส่งกำลังของล้อหน้าออกทั้งหมด ช่วยให้การควบคุมรถเป็นไปอย่างเป็นกลางที่สุดในโหมด RS Performance โดยมีอาการโอเวอร์สเตียร์ที่น้อยหรือมาก เกิดจากการควบคุมคันเร่งและทิศทางการบังคับพวงมาลัยของผู้ขับโดยตรง
Audi RS3 ใหม่ ไม่ได้เป็นแค่รถแรงของพวกสิงห์ทางตรงเท่านั้น มันยังเป็นรถที่เข้า-ออกโค้งได้อย่างเฉียบคม เหมือนกับพี่น้องในตระกูล RS ทุกคัน นอกจากนี้ RS3 ยังเป็นรถ Audi Sport คันแรกที่ติดตั้งระบบ 'RS Torque Splitter' แบบใหม่ ซึ่งกระจายแรงบิดในการขับเคลื่อนระหว่างล้อหลัง ในลักษณะที่ปรับเปลี่ยนได้อย่างอิสระเต็มที่ ระบบ torque vectoring system ควบคุมด้วยไฟฟ้า electronically controlled ใช้คลัตช์ดิสก์หลายตัวที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์บนเพลาขับแต่ละชุด (หน้า-หลัง) ระบบดังกล่าวจะรับหน้าที่ในระหว่างการขับเข้าโค้งอย่างรวดเร็วของผู้ขับ แรงบิดจะเพิ่มไปยังล้อหลังด้านนอก พร้อมกับการรับน้ำหนักล้อที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้อาการอันเดอร์สเตียร์ลดลง ระบบยังเปิดใช้งานโหมดดริฟต์ ด้วยโหมดการขับขี่ 'Torque Rear' และระบบ quattro AWD ช่วยให้สามารถกระจายแรงบิดไปที่ด้านหลัง ซึ่งจะส่งแรงบิดทั้งหมด 500 นิวตันเมตร ไปที่ล้อคู่หลังได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม โดยส่งไปยังล้อด้านนอกของโค้ง
การเปลี่ยนแปลงหลักที่สร้างความแตกต่างและตื่นเต้นอย่างแท้จริงก็คือ RS3 ทุกคันได้รับการปรับแต่งพิเศษเพื่อลดแรงสั่นสะเทือน โช้คอัพแม่เหล็กไฟฟ้าในรุ่นที่แล้ว เปลี่ยนไปเป็นโช้คอัพไฮดรอลิกควบคุมระบบวาว์ลภายในด้วยไฟฟ้า บวกกับสิ่งที่ Audi เรียกว่า RS torque splitter เพื่อกระจายแรงบิดสูงสุดระหว่างล้อหลังทั้งสอง ท่อร่วมไอเสีย RS เป็นอุปกรณ์เสริม มาตรฐานสำหรับบางรุ่น - และ mVDC ใหม่ (ตัวควบคุมไดนามิกของรถยนต์) ซึ่งจะช่วยให้การควบรวมระบบแชสซีดีขึ้น/เร็วขึ้น พร้อมระบบไฟอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพสูง จากกำลังการส่องสว่างด้วยหลอด LED พร้อมซอฟต์แวร์ที่จะยก ลดไฟสูง หรือสาดไฟไปในบริเวณที่มืดมิด สัญลักษณ์ RS3 บ่งบอกว่านี่เป็นรถเล็กอีกรุ่นต่อจาก TT RS ที่วางเครื่องยนต์ 5 สูบเทอร์โบ ตำนานขุมกำลังกับรางวัล Engine of The Year ถึง 6 ปีติดต่อกัน นั่นมันเจ๋งมากสำหรับเครื่องยนต์ที่มีพัฒนาการยาวนานเกือบ 40 ปี
เมื่อใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับการขับ เพื่อซึมซับการตอบสนองของแฮตช์แบ็กเด็กเล็ก Audi RS3 สีเทา Kemora gray metallic ทรงของรถแบบ 5 ประตูไซส์เล็ก บวกยางแก้มเตี้ย แสดงให้เห็นถึงความคล่องตัวในการขับขี่ ที่ดูเหมือนจะไร้การปรุงแต่ง แต่จริงๆ แล้วโคตรจะปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นเฟืองทดกำลัง ซอฟต์แวร์สั่งงาน เทอร์โบที่แลคน้อยมาก กับล้อและยางที่ถือว่าสำคัญไม่แพ้องคาพยบจุดอื่นๆ RS3 เป็นรถคันแรกของ Audi ที่ติดตั้งกลไก RS Torque Splitter ซึ่งเป็นชุดเฟืองกระจายแรงบิดในการขับเคลื่อนระหว่างล้อหลัง ในลักษณะที่แปรผันอย่างต่อเนื่อง เมื่อผสมผสานกับลูกระเบิดอย่างเครื่องยนต์ห้าสูบ 400 แรงม้า ทำให้รถสปอร์ตขนาดกะทัดรัดคันนี้ มีความคล่องตัวอย่างเหนือชั้น คุณสามารถกระชากร่างหนัก 1.6 ตัน ให้พุ่งทะยานได้อย่างใจนึก เครื่อง 2.5 TFSI ให้แรงบิด 500 นิวตันเมตร เท่ากับ BMW M340i X Drive แต่ M ปลอมรุ่นนี้ มีสูบมากกว่าหนึ่งตำแหน่ง แถมความจุก็ยังมากกว่า 500 ซีซี แรงบิดของ New RS3 ลำล่าสุด จัดมาหนักข้อมากกว่ารุ่นก่อนถึง 20 นิวตันเมตร แพ็กเกจปลดล็อกความเร็วสูงสุดสามารถทะยานไปได้ถึง 290 กม./ชม. (ออปชันเสริมที่ต้องจ่ายเพิ่ม) ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดในเซ็กเมนต์แฮตช์แบ็ก ณ เวลานี้ การเร่งที่น่ากลัวของปิศาจสี่ห่วงคันจิ๋ว เกิดจากการประดังเทคโนโลยีในระบบขับเคลื่อน เพื่อสร้างรถที่เชื่อมโยงกับลัทธิ Quattro ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
RS Torque Splitter ทำงานอย่างไร?
RS Torque Splitter สามารถกระจายแรงบิดแบบแปรผันได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว การทดกำลังจะเกิดขึ้นที่ล้อหลังโดยตรง แตกต่างจากเฟืองท้ายของเพลาล้อหลัง และแพ็กเกจดิสก์คลัตช์หลายแผ่น ซึ่งก่อนหน้านี้ที่เคยติดตั้งบนเพลาหลังของ RS3 โฉมท่ีแล้ว ใน RS3 รุ่นใหม่ ตัวแยกแรงบิด RS Torque Splitter ใช้คลัตช์หลายแผ่นควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่ละตัวอยู่บนเพลาทดกำลังที่เกี่ยวข้อง ในระหว่างการขับอย่างรุนแรงซึ่งเน้นไปที่ไดนามิกของรถ ตัวแยกแรงบิดจะเพิ่มแรงบิดในการขับเคลื่อน ส่งตรงไปยังล้อหลังด้านนอก เนื่องจากภารกรรมของล้อหลังด้านนอกที่สูงกว่า ช่วยลดแนวโน้มที่จะเกิดอาการอันเดอร์สเตียร์ได้อย่างมาก จุดที่สมดุลนี้ ทำให้รถเข้าออกโค้งได้เร็วขึ้น ในโค้งซ้ายระบบจะส่งแรงบิดไปยังล้อหลังขวา ส่วนในโค้งขวาแรงบิดจะเทไปยังล้อหลังซ้าย เมื่อขับตรงไปข้างหน้า ระบบจะกระจายแรงเพื่อความสมดุลที่ล้อหลัง 100% ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำหน้าที่ของ RS Torque Splitter ก็คือ ความเสถียรและความคล่องตัวในระดับสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง อัดเต็มกำลังในสนามแข่ง ตัวแยกแรงบิด ช่วยควบคุมการดริฟต์ได้โดยการส่งกำลังเครื่องยนต์ทั้งหมดไปที่เพลาหลังโดยตัดกำลังล้อหน้า 100% ด้วยแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร การกระจายแรงบิดทั้งหมด ขึ้นอยู่กับโหมดที่เลือกและสถานการณ์การขับ RS Torque Rear ส่งแรงบิดไปยังล้อหลังแบบ 100% คลัตช์ดิสก์หลายแผ่น แต่ละตัวมีหน่วยควบคุมของตัวเอง เซนเซอร์ความเร็วล้อของระบบควบคุมเสถียรภาพแบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำหน้าที่ตรวจจับหรือวัดความเร็วรอบของล้อ ปัจจัยที่มีอิทธิพลอื่นๆ กับการทำงานของระบบนี้ ได้แก่ การเร่งความเร็วทางตรงหรือในโค้ง มุมบังคับเลี้ยว ตำแหน่งของคันเร่ง ตำแหน่งของเกียร์ที่เลือก (ในโหมดแมนนวล) และมุมองศาของการหันเห เช่น การเคลื่อนที่ หมุนรอบแกนแบบการทำโดนัทด้วยการดริฟต์ นอกจากนี้ ตัวแยกแรงบิดยังเชื่อมต่อกับตัวควบคุมไดนามิกแบบโมดูลาร์เพื่อความแม่นยำและตอบสนองอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากแรงผลักดันที่แตกต่างกันระหว่างการขับ ค่าที่ผกผันอย่างต่อเนื่องเพื่อกระจายแรงบิดไปยังล้ออย่างสมดุล ทำให้ RS3 ให้เข้าโค้งได้ดีขึ้น ตามมุมบังคับเลี้ยวได้แม่นยำยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดการอันเดอร์สเตียร์น้อยลง อัตราเร่งเร็วขึ้นและเร็วขึ้นไปอีกเมื่อพุ่งทะยานออกจากปลายโค้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมรถที่ต้องการความแม่นยำและคล่องตัว เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน ทำเวลาต่อรอบในสนามแข่งเร็วขึ้น หากมีความจำเป็น ตัวแยกแรงบิดยังชดเชยอาการโอเวอร์สเตียร์ ด้วยการส่งแรงบิดไปที่ล้อด้านในของโค้งหรือทั้งสองล้อ
เครื่องยนต์ห้าสูบยี่สิบวาล์ว ใน Audi RS 3 Quattro Sportback มีกำลังมากกว่าและให้แรงบิดที่สูงกว่า แทนที่จะเป็น 480 นิวตันเมตร เครื่อง 2.5 TFSI ที่สืบสานมาจากเครื่องยนต์ในตำนานวงการแรลลี่ระดับโลก มีแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ในช่วงรอบเครื่องยนต์ที่กว้างตั้งแต่ 2,250 ถึง 5,600 รอบต่อนาที ECU หรือหน่วยควบคุมเครื่องยนต์แบบใหม่ ยังเพิ่มความเร็วและความแรง ด้วยส่วนประกอบของระบบขับเคลื่อนที่สื่อสารกันทั้งหมด ทำให้ RS3 ตอบสนองเร็วขึ้น โดยเฉพาะในช่วงรอบต่ำ กำลังสูงสุด 294 กิโลวัตต์ หรือ 400 แรงม้า ในช่วงตั้งแต่ 5,600 ถึง 7,000 รอบต่อนาที ซึ่งเร็วกว่าและลากรอบได้ยาวกว่า RS3 รุ่นก่อน อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ใน 3.8 วินาที เร็วกว่าเดิม 0.3 วินาที รุ่นสปอร์ตแบ็กคันทดสอบ ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 250 กม./ชม. โดยมีออปชันให้เลือกที่ 280 กม./ชม. ด้วยแพ็กเกจ RS Dynamic สามารถเร่งความเร็วสูงสุดได้ถึง 290 กม./ชม. ทำให้ RS 3 เป็นแฮตช์แบ็กที่เร็วสุดเมื่อเทียบกับรถสปอร์ตในระดับเดียวกัน ในแง่ของอัตราเร่งและความเร็วสูงสุดนั้น เจ้าปิศาจสี่ห่วงคันจิ๋วถือว่าเหนือชั้นกว่า ระบบส่งกำลังคลัตช์คู่ 7 สปีด (DCT 7 Speed) ส่งถ่ายแรงบิดของเครื่องยนต์ห้าสูบลงบนพื้นถนน ผ่านล้อทั้งสี่ด้วยกลไกทดกำลัง Quattro เวอร์ชันล่าสุด ระบบขับเคลื่อนมาพร้อมการออกแบบและวัสดุที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น มีการคำนึงถึงแรงบิดที่เพิ่มขึ้น และการกระจายอัตราทดเกียร์ที่เน้นอารมณ์สปอร์ต การโต้ตอบอย่างชาญฉลาดในส่วนประกอบของระบบขับเคลื่อนทั้งหมด รวมถึงระบบควบคุมการออกตัว ช่วยให้ RS 3 เปลี่ยนเกียร์ได้เร็วมาก ทำให้รถออกตัวได้เร็วปานสายฟ้า ตามด้วยการเร่งความเร็วต่อเนื่องที่เร้าใจและน่ากลัวไปพร้อมๆ กัน
ระบบควบคุมไดนามิกของ RS3 แบบโมดูลาร์ (mVDC) ช่วยให้มั่นใจได้ว่าแชสซีโต้ตอบได้แม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น ระบบซึ่งเป็นเซ็นเตอร์ของรถหรือศูนย์กลางการสั่งงาน จะรวบรวมข้อมูลจากส่วนประกอบทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงไดนามิก mVDC ใช้ซิงโครไนซ์ซึ่งเป็นชุดควบคุมสองตัว คอยกำกับการทำงานของตัวแยกแรงบิด โช้คอัพสปอร์ตทำงานด้วยไฟฟ้าแบบปรับได้อัตโนมัติ ระบบควบคุมแรงบิดแบบเลือกไปท่ีล้อคู่ใดคู่หนึ่ง หรือข้างใดข้างหนึ่ง เพื่อการบังคับเลี้ยวและการควบคุมที่มีความแม่นยำสูงสุด โดยรวมแล้วระบบควบคุมไดนามิก mVDC ช่วยเพิ่มความคล่องตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนถนนที่ทอดยาวสลับโค้งมุมกว้าง
โหมดขับเคลื่อนของ Audi RS 3 ใหม่ มีทั้งหมดเจ็ดโหมด เริ่มจาก Efficency เน้นประหยัดพลังงาน Comfort โหมดเน้นความสะดวกสบาย Auto การควบคุมองคาพยบแบบอัตโนมัติ และ Dynamic เมื่อต้องการประสิทธิภาพแบบรถสปอร์ต ส่วนโหมด RS Individual, RS Performance และ RS Torque Rear คือคุณลักษณะของระบบส่งกำลังและส่วนประกอบแชสซีที่สำคัญ เมื่อเลือกโหมด Dynamic และการตอบสนองของเกียร์แบบสปอร์ต (S) ตัวควบคุมคำสั่งที่ได้รับจากคนขับ จะเปลี่ยนจากการเน้นความสะดวกสบายไปเป็นไดนามิกที่สูงขึ้น เกียร์เปลี่ยนช้าลงและคงอัตราทดที่ตำแหน่งเกียร์ซึ่งพร้อมจะปลดปล่อยแรงบิดออกมาอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงการปรับแต่งอัตโนมัติที่เรามองไม่เห็นแต่สามารถสัมผัสได้ เพื่อทำให้รถเหมาะกับการอัดอย่างเร่าร้อนในสนามแข่ง ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับโหมดที่คุณเลือก นอกจากตัวแยกแรงบิดแล้ว ระบบเลือกขับเคลื่อนของ Audi ยังส่งผลต่อคุณลักษณะการทำงานของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง ระบบบังคับเลี้ยว โช้คอัพไฟฟ้าแบบปรับอัตโนมัติ และลิ้นวาล์วในท่อไอเสีย ด้วยลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน สำหรับแต่ละระบบที่กล่าวมาข้างต้น ถูกนำมาผสมผสานกันอย่างกลมกลืน สร้างประสบการณ์การขับราวกับกำลังแข่งรถอยู่ในสนามแข่ง
โหมด RS Individual มีการตอบสนองของพวงมาลัยที่เที่ยงตรงยิ่งขึ้น น้ำหนักพวงมาลัยถูกหน่วงจนรู้สึกได้ เพิ่มการควบคุมรถที่คล่องตัวเป็นพิเศษ เสียงเครื่องยนต์ดังสนั่น เนื่องจากวาล์วในระบบระบายไอเสียถูกเปิดออกจนสุด การเปลี่ยนอัตราทดของเกียร์ DCT S tronic 7 สปีด สั้นกระชับมากยิ่งขึ้น อัตราเร่งจะถูกปลดปล่อยออกมาทั้งหมดให้รถมีความสปอร์ตยิ่งขึ้น
ไดรฟ์โหมดของ Audi จะปรับเปลี่ยนคุณลักษณะของตัวแยกแรงบิด และทำให้การควบคุมของรถขึ้นอยู่กับโหมดที่เลือก กำลังของเครื่องยนต์จะกระจายแรงไปยังล้อทั้งสี่ในโหมด Comfort โดยให้ความสำคัญกับเพลาหน้า (70% หน้า 30% หลัง) ส่วนโหมด Auto หรือโหมดอัตโนมัติ การกระจายแรงบิดจะมีความสมดุลสูงสุดที่ล้อหน้า 50% และล้อหลัง 50% ซึ่งหมายความว่า RS 3 จะไม่มีทั้งอันเดอร์สเตียร์ หรือโอเวอร์สเตียร์ ในทางกลับกัน โหมด Dynamic มีแนวโน้มที่จะส่งแรงบิดการขับเคลื่อนไปยังเพลาล้อหลังให้ได้มากที่สุด เพื่อความคล่องตัวสูงสุดและไดนามิกที่เพิ่มขึ้น ด้วยแนวคิดนี้ RS3 จึงถูกนำไปสู่ความสมบูรณ์แบบด้วยโหมด RS Torque Rear ซึ่งช่วยให้ผู้ขับสามารถควบคุมการดริฟต์ได้ ในกรณีนี้พฤติกรรมการขับที่เน้นการโอเวอร์สเตียร์หรืออาการท้ายกวาดจะถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจ ระบบจะเทแรงบิดสูงสุด 100 เปอร์เซ็นต์ ไปที่ด้านหลังและไปสิ้นสุดที่ล้อที่อยู่ด้านนอกโค้ง Audi ยังปรับคุณลักษณะของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง การตั้งค่าเฉพาะใช้งานในโหมด RS Performance Mode ซึ่งออกแบบมาสำหรับสนามแข่งอีกด้วย ส่วนการยึดเกาะที่ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษ สำหรับยางสปอร์ตสมรรถนะสูง Pirelli P Zero Performance ยางติดรถมาจากโรงงาน หรือออปชันเสริมด้วยยาง P รุ่น “Trofeo R” ยางสำหรับสนามแข่ง ในโหมด RS Performance ตัวแยกแรงบิดจะปรับการกระจายแรง เพื่อทำให้เกิดความสมดุลขณะทำความเร็ว โดยมีอาการอันเดอร์สเตียร์และโอเวอร์สเตียร์น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ส่งผลให้สามารถเร่งความเร็วรอบได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อออกจากปลายโค้ง ทำให้เวลาต่อรอบดีขึ้น
ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ESC) ใน RS3 มีการปรับแต่งเป็นพิเศษให้ทำงานร่วมกับตัวแยกแรงบิด ระบบกันสะเทือน ยาง และโหมดการขับขี่ ESC ทำงานเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้นกว่ารุ่นก่อน สามารถตั้งค่า ESC ให้เป็นโหมด Sport และโหมด RS Performance ตั้งค่าเป็น ESC Sport จากโรงงาน สำหรับการขับขี่แบบสปอร์ตโดยเฉพาะ เช่น บนเส้นทางปิด สามารถปิด ESC โดยสิ้นเชิงได้ด้วยการกดปุ่มบนคอนโซลกลางค้างไว้นานสามวินาที
ระบบกันสะเทือนแบบ RS Sport โช้คอัพที่พัฒนาขึ้นใหม่และระบบวาล์วในกระบอกโช้คที่มีเฉพาะสำหรับ RS3 วาล์วช่วยให้แน่ใจว่าโช้คอัพแสดงการตอบสนองที่ละเอียดอ่อนเป็นพิเศษ โดยเป็นส่วนหนึ่งของคุณลักษณะการเด้งกลับและบีบอัด ช่วยให้ระบบกันสะเทือนตอบสนองต่อสถานการณ์การขับขี่ได้เร็วและมีประสิทธิภาพ ระบบกันสะเทือนแบบ RS พร้อมระบบควบคุมโช้คอัพแบบปรับได้ จะปรับการทำงานของโช้คอัพแต่ละตัวอย่างต่อเนื่องและแยกจากกัน ขึ้นอยู่กับสภาพถนน สถานการณ์การขับ และโหมดที่เลือก มีลักษณะการทำงานเฉพาะทางของโช้คอัพที่รับแรงกระแทกได้อย่างชัดเจนในทุกโหมด แรงหน่วงที่เหมาะสม จะถูกคำนวณภายในมิลลิวินาที ในการทำเช่นนี้ เซนเซอร์จะวัดความเร่งในแนวดิ่ง และการเคลื่อนที่ของล้อแต่ละล้อที่สัมพันธ์กัน โช้คอัพพร้อมระบบปรับการทำงานอัตโนมัติ ส่งผลให้เกิดไดนามิกที่เพิ่มขึ้นและความเสถียรในการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม RS3 ยังมีความสบายมากพอเมื่อเลือกติดตั้งระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ต ในโหมด RS Individual โช้คอัพสามารถกำหนดค่าได้ตามความต้องการส่วนบุคคลและสภาพถนนภายในโค้งสามลักษณะ ในโหมด RS Performance มีการตั้งค่าเฉพาะสำหรับโช้คอัพ ช่วยลดแรงกระแทกในแนวดิ่ง ให้การรองรับที่เหมาะสม สำหรับสนามแข่งที่มีพื้นผิวไม่เรียบ เช่น สนาม Nordschleife
การติดตั้งสปริงและโช้คอัพมีความแข็งอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ได้สร้างความรู้สึกกระด้างมากนัก ตัวถังต่ำเตี้ยมากกว่า Audi S3 ที่ผมเอาไปอัดยาวๆ 1,800 กิโลเมตรเมื่อเดือนก่อน ถึง 10 มิลลิเมตร และต่ำกว่า A3 มากถึง 25 มิลลิเมตร ช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงของรถ ทำให้เกาะถนนมากขึ้น ด้านหน้าติดตั้งระบบกันสะเทือนแบบ McPherson strut พร้อมลูกปืนเดือยเฉพาะ RS 3 ปีกนกล่างที่แข็งขึ้น ซับเฟรม และเหล็กกันโคลง เพลาล้อหลังมีการออกแบบระบบโฟร์ลิงก์ พร้อมสปริง/โช้คอัพ ซับเฟรม และเหล็กกันโคลงแบบท่อที่ปรับให้เข้ากับตัวแยกแรงบิด ส่วนรองรับล้อเสริมจะเพิ่มไดนามิกด้านข้าง รวมถึงการตอบสนองต่ออินพุตของพวงมาลัย และความคล่องตัวของรถ เพื่อปรับปรุงการเข้าโค้ง ให้การยึดเกาะที่มากขึ้น Audi RS 3 มีมุมแคมเบอร์ลบที่เพลาหน้าไม่ถึงหนึ่งองศา เมื่อเทียบกับ A3 แคมเบอร์ล้อที่เพลาหลังเพิ่มขึ้นเกือบครึ่งองศา การปรับตั้งเพื่อทำให้ล้อเอียงไปทางพื้นผิวถนนที่เพิ่มขึ้น มุมที่มากขึ้นระหว่างระนาบล้อและแนวตั้ง ส่งผลให้การตอบสนองของพวงมาลัยแม่นยำขึ้นอีกด้วย
ระบบบังคับเลี้ยวแบบโปรเกรสซีฟเฉพาะ RS จะเปลี่ยนแปลงอัตราทดของแรคพวงมาลัย ขึ้นอยู่กับมุมบังคับเลี้ยว เมื่อมุมบังคับเลี้ยวเพิ่มขึ้น และความเร็วที่สูงขึ้น อัตราทดพวงมาลัยจะลดลง น้ำหนักพวงมาลัยจะเพิ่มขึ้น (เล็กน้อย) เพื่อปรับให้การเปลี่ยนทิศทางในย่านความเร็วสูงง่ายและเสถียร พวงมาลัยที่เที่ยงตรงพร้อมน้ำหนักที่ถูกหน่วงในโหมดสูงสุดทำให้ฟิลลิ่งของชุดบังคับเลี้ยวเมื่อขับเร็วคล้ายกับพวงมาลัยรถแข่ง นอกจากนี้ ระบบบังคับเลี้ยวแบบโปรเกรสซีฟ ยังแปรผันน้ำหนักพวงมาลัยไปตามสปีดความเร็วที่ผกผันตลอดเวลา รวมถึงปรับเปลี่ยนการตอบสนองของพวงมาลัยไปตามโหมดขับเคลื่อน เป็นพวงมาลัยไฟฟ้าที่เน้นความสะดวกสบาย สมดุล และอารมณ์สปอร์ต
Audi RS3 กับโหมดขับเคลื่อน Drive Select มีการตั้งค่าที่แตกต่างกันเจ็ดแบบ (Auto / Comfort / Dynamic / efficiency / RS individual / RS performance / RS torque rear ส่วนโหมดแยกย่อย 'RS Individual ช่วยให้สามารถปรับระบบขับเคลื่อนได้สามระดับ ระบบกันสะเทือนไฟฟ้าแบบปรับตั้งได้ โดยที่ Comfort คือการตั้งค่าประสิทธิภาพของระบบรองรับที่แตกต่างจากความสบาย! การบังคับเลี้ยว เสียงเครื่องยนต์ และเกณฑ์การแทรกแซงของระบบควบคุมเสถียรภาพ แม้ว่า RS3 จะนำเสนอการปรับแต่งส่วนบุคคล หรือ RS individual แต่การปรับจูนอย่างล้วงลึกและละเอียดดูจะยุ่งยากพอสมควร คุณสามารถตั้งค่าโหมด individual ที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองตามความชอบส่วนตัวได้ เมื่อกดปุ่ม 'RS' ที่ด้านขวามือของพวงมาลัยสองครั้ง เพื่อเข้าถึงฟังก์ชันดังกล่าว (กดครั้งแรก ระบบจะเข้าสู่โหมด RS performance) หลังจากนั้นก็ซิ่งได้เร็วตามที่ต้องการ
RS3 ให้ความรู้สึกประทับใจพอๆ กับความน่ากลัว จากความดุดันของเครื่องยนต์ 5 สูบในตำนาน ซึ่งมาพร้อมเสียงกระหึ่มเมื่อพุ่งทะยาน ด้วยรอบเครื่องยนต์ที่กวาดระห่ำอย่างบ้าคลั่ง ทุกระบบฝังอยู่ภายใต้การทำงานของซอฟต์แวร์รุ่นก้าวหน้า ปรับการตอบสนองและตอบโต้กับคำสั่งได้อย่างเบ็ดเสร็จ ความสามารถในการเปลี่ยนทิศทางที่สุดยอด ระบบช่วยทรงตัวและระบบกระจายแรงบิดจะแบ่งขั้นตอนการทำงาน ให้ความเป็นปัจเจกสำหรับทุกพื้นผิวถนน ขณะที่นักขับส่วนใหญ่ชอบค้นหาความสมบูรณ์แบบในรถยนต์สมรรถนะสูง แต่สิ่งที่ RS3 มอบให้นั้นส่วนใหญ่เป็นหน้าที่ของคนขับในการเลือกปรับแต่งโหมดขับเคลื่อนที่เหมาะสมกับความต้องการ เมื่อคุณทำได้ RS3 จะทำให้ประทับใจไม่รู้ลืม
คู่ต่อสู้หลักๆ คือ Mercedes-AMG A45 S ซึ่งเป็นรถแฮตช์แบ็ก AWD 400 แรงม้าที่มีความเร็วใกล้เคียงกัน แต่จริงๆ แล้ว รถทั้งสองคันมีความแตกต่างกันมาก AMG A45 ตัวเล็ก โกรธเกรี้ยว ห้าวหาญและเฉียบแหลม ส่วนเจ้าจิ๋ว Audi Sport นั้นได้รับการปรับแต่งมาอย่างดี ทนทานกว่าในระยะยาว ดุดันน้อยกว่า แต่ก็แม่นยำและเที่ยงตรงมากพอที่จะทำให้หลงใหล แน่นอนว่ามันไม่ได้วิ่งช้ากว่า A45 S โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขับผ่านผิวถนนที่ไม่เรียบ บนถนนที่ไม่คุ้นเคย เส้นทางภูเขาที่มีโค้งวกไปวนมา RS3 เชื่องมือมากกว่า ทำให้คนขับรู้สึกได้ถึงความเร็วที่ใกล้เคียงกับ BMW M2 F87 คนของ Audi Sport แจ้งว่า สิ่งที่แตกต่างก็คือ RS3 จะให้ความรู้สึกสบายตัว เป็นรถที่ให้ความมั่นใจเมื่อขับเร็ว มีความคุ้มค่ากับสิ่งที่จะได้รับ ศักยภาพในการทำความเร็ว การทะยานออกจากปลายของโค้งได้อย่างเฉียบคม เครื่องยนต์ 5 สูบเทอร์โบ ของ TT RS และ RS Q3 ดึงหนักหน่วง ต่อเนื่องยาวนานเหมือนไม่มีวันจบสิ้น มีแรงบิดมากพอที่จะทำให้รู้สึกกลัว เมื่อเร่งความเร็วจาก 170 ไปถึง 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในพริบตา!! RS3 Sportback ให้ความรู้สึกน่าเชื่อถือและมั่นใจด้วยระบบควบคุมกับกลไกที่ใช้มือระดับเทพมาปรับตั้ง เบรกมีประสิทธิภาพดีแต่ยังให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติได้ไม่ดีเท่ากับเบรกของ RS4 Avant เป็นการผสมผสานการทำงานที่หนักหน่วง เบรกคาร์บอนเซรามิก ซึ่งเป็นออปชันเสริมราคาแพงลิบ อาจจำเป็นสำหรับนักขับที่ชอบอัดรถในสนามแข่ง ส่วนเบรกมาตรฐานจากโรงงานที่มีประสิทธิภาพ ให้สัมผัสของการเบรกที่มั่นใจ ตอบสนองตามองศาของแป้นเบรกที่ถูกกดลงไปพร้อมตัวช่วยเบรกและระบบรักษาเสถียรภาพ ที่คอยเฝ้าระวังอีกชั้นหนึ่งเพื่อความปลอดภัย
เครื่องยนต์ 5 สูบ เทอร์โบ กับการปรุงแต่งอัตราทดในเกียร์ DCT 7 สปีด และชุดขับสี่ Quattro เป็นเหตุผลที่ทำให้ RS3 ว่องไวในการซิกแซกมากกว่าซุปเปอร์คาร์บางรุ่น โดยพื้นฐานแล้ว ตัวแยกแรงบิดระหว่างล้อหน้าและล้อหลังนั้นตรงตามที่ระบุไว้ในสเปก ชุด Quattro ใช้คลัตช์แยกกันในแต่ละด้านของเพลาขับด้านหลัง เพื่อให้สามารถดันแรงบิดแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ไปยังล้อใดก็ได้ที่ระบบต้องการ นั่นหมายถึง 50% ของเอาต์พุตทั้งหมด เนื่องจากล้อหน้าเป็นระบบขับเคลื่อนหลักเสมอ แต่สามารถทดกำลังลงไปที่ล้อหลังได้ 100% ดังนั้น มันไม่ใช่สวิตช์แยกระบบขับเคลื่อนเหมือนอย่าง M5 หรือ E63 เมื่อคุณขับเร็ว ตัวแยกสัญญาณจะสื่อสารกับชุดขับเคลื่อนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มแรงบิดไปยังล้อหลังด้านนอกที่รับน้ำหนักมากขึ้นเล็กน้อย เพื่อลดอาการอันเดอร์สเตียร์ของล้อหน้าและทำให้รถรู้สึกคล่องตัวมากขึ้น การทำงานของระบบเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วจนแทบจะจับความรู้สึกไม่ได้ว่าล้อข้างไหนที่กำลังรับหน้าที่อย่างเต็มกำลังในการปั่นแรงบิดลงพื้น ในสภาวการณ์ปกติ ระบบจะจัดแรงบิดไปที่ล้อหน้า 70% และล้อหลัง 30% โดยสามารถผกผันจากหน้า 70 ไปที่หลัง 100% เพื่อดริฟต์รถเล่น หรือเทแรงบิดเท่ากันแบบ 50/50 เพื่อความเสถียรสูงสุดขณะทำความเร็วบนทางตรงในลักษณะที่มีโค้งซ้ายสลับขวาคอยดักอยู่ตลอดทาง
5 สูบ 2.5 TFSI ใน RS3 เป็นเครื่องยนต์ที่สมดุล แม้จะมีตำแหน่งสูบแบบเลขคี่ แต่การปรับจูนทำให้เครื่องยนต์รุ่นนี้ ทั้งแรงและประหยัด เดินเบานิ่งเหมือนเครื่องสูบเลขคู่ ลองนึกภาพ Honda City Hatchback มีแรงบิดถึง 500 นิวตันเมตร ดูครับ แรงบิดในรถคันเล็กจิ๋วที่มีพลังงานเท่ากับ BMW M340i แต่อย่าลืมว่า M performance M340i นั้นมีสูบมากกว่า RS3 1 สูบ และมีความจุมากกว่า 500 ซีซี. จุดที่ชอบก็คือ เมื่อยกเท้าออกจากแป้นคันเร่ง ที่ความเร็วสูงกว่า 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รอบเครื่องยนต์จะเข้าสู่โหมดเดินเบา เพื่อประหยัดเชื้อเพลิง และเมื่อเท้าของเรา แตะที่คันเร่ง หรือเบรก รอบเครื่องยนต์จะกลับไปเชื่อมกับความเร็วรถในขณะนั้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ในรถ 400 ม้า อัตราสิ้นเปลือง 11.7 กิโลเมตรต่อลิตร หายากครับ
RS3 มีการตกแต่งภายในที่เรียบง่ายแต่หรูหราสมราคา ระบบ MMI แบบใหม่ของ Audi ติดตั้งจอภาพมาตรวัด TFT ขนาด 12.3 นิ้ว ตรงหน้าคนขับที่สามารถปรับเปลี่ยนการแสดงผลตั้งแต่วิ่งจ่ายกับข้าวไปจนถึงอัดเต็มกำลังในสนามแข่ง ด้วยหน้าจอและการอ่านข้อมูลที่มีกราฟิกใหม่ ตั้งแต่การแบ่งแรงบิดไปจนถึงการแสดงผล g-meter นาฬิกาจับเวลาต่อรอบเพื่อปรับให้การขับของคุณให้ดีขึ้น หน้าปัด 'RS runway' แบบใหม่ที่แปลกตาแต่อ่านค่าได้อย่างชัดเจน RS3 เลือกใช้ไมโครไฟเบอร์ผสมกับหนังแท้เนื้อนุ่ม เบาะนั่งด้านหน้าแบบมาตรฐานประทับตราสัญลักษณ์ตัวนูนด้วยอักษร RS วัสดุของเบาะหุ้มด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์หรือผ้าโพลีเอสเตอร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Dinamica ผสมผสานกับหนังแท้ที่ตัดเย็บอย่างประณีต
การเพิ่มตัวแยกแรงบิดบนเพลาล้อหลัง หมายความว่าพื้นที่จัดเก็บสัมภาระจะลดลง 50 ลิตร เมื่อเทียบกับ RS3 Sportback รุ่นเก่า ห้องโดยสารดูเรียบง่ายแต่อุดมไปด้วยวัสดุพรีเมียม ภายในมีอุปกรณ์ของรถรุ่นพิเศษประดับประดาอยู่ทั่วไปหมด เนื่องจากเป็นรถ RS พวงมาลัยสามก้านแบบฐานตัด ช่วยเปิดพื้นที่เข้าออกจากเบาะคนขับ ห้องโดยสารของ RS3 เ หมือนกับ A3 หรือ S3 มากกว่าการเป็นรถสปอร์ตของนักขับมืออาชีพ หน้าจออินโฟเทนเมนต์กลาง สั่งงานด้วยระบบสัมผัส ขนาด 10.1 นิ้ว เชื่อมต่อกับ Apple CarPlay/Android Auto อย่างรวดเร็ว ปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสารแบบแยกสามโซนจอมอนิเตอร์กลางสั่งงานด้วยระบบสัมผัส เชื่อมกับระบบ MMI Radio plus หน้าจอแบบสัมผัส (MMI touch) ขนาด 10.1 นิ้ว ควบรวมการปรับตั้งค่าต่างๆ ของรถ ระบบ Audi smartphone interface รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth ช่อง USB-C สำหรับห้องโดยสารด้านหน้า 2 ตำแหน่ง และด้านหลัง 2 ตำแหน่ง ไฟเรืองแสงในห้องโดยสารแบบปรับสีได้ (Contour/ambient lighting)
จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual cockpit plus ขนาด 12.3 นิ้ว ปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้สามรูปแบบ เริ่มจาก RS Sport หน้าปัดมาตรวัดแบบคลาสสิกที่อ่านค่าได้ง่ายเพราะใช้รูปแบบเดิม RS Performance แถบวัดรูปมูมเบอร์แรงของโซนวัดรอบเครื่องยนต์ ส่วนสปีดความเร็วและตำแหน่งเกียร์แสดงผลอยู่ตรงกึ่งกลาง และ RS Runway ดีไซน์แถบวัดรอบเครื่องยนต์คล้ายกับรันเวย์ร่อนลงของอากาศยาน มีตัวเลขสปีดความเร็วและตำแหน่งเกียร์อยู่ตรงกึ่งกลาง มุมขวามีสเกลทรงกลมแจ้งระดับพลังงานทั้งแรงม้าและแรงบิดที่ปลดปล่อยออกมาในขณะนั้น
Audi RS3 Sportback Quattro ติดตั้งระบบเสียงขั้นสูง Bang & Olufsen® 3D ทวีตเตอร์ ออกแบบเป็นพิเศษ ขับเคลื่อนเสียงจากด้านล่างเพื่อสะท้อนเสียงกลางและความถี่สูงด้วยวิสัยทัศน์ที่เป็นธรรมชาติสำหรับเสียงดนตรีที่เล่นผ่านโทรศัพท์มือถือ ระบบเสียง 3 มิติของ Bang & Olufsen มีลำโพงที่ได้รับการปรับแต่งอย่างพิถีพิถันทั่วทั้งห้องโดยสาร ระบบไมโครโฟนในตัว GALA™ พร้อมระบบเสียง Bang & Olufsen 3D ที่ให้เสียงคุณภาพระดับคอนเสิร์ตฮอลล์ ด้วยเทคโนโลยีเสียงรอบทิศทาง 5.1 (พร้อม MMI Navigation plus) กำลังขยายสูงสุด 755 วัตต์ ลำโพง 20 ตัว
RS3 เน้นการยึดเกาะในทุกสภาพอากาศ, การตกแต่งภายในเรียบง่าย ลูกเล่นไม่เยอะหรือแพรวพราวเหมือน AMG A45S หรือ BMW M2 สิ่งที่ Audi มีก็คือความเที่ยงตรงของรถในตระกูล RS และพลังในการเร่งความเร็วที่เหนือชั้น ฟีลลิ่งของมันยังเพิ่มแรงดึงดูดให้กับนักขับที่ชอบรถเล็กพลังสูง เครื่องยนต์ห้าสูบ กระปุกเกียร์คลัตช์คู่ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Quattro เป็นจุดสมดุลของพลังงาน การปรับแต่งแชสซีส่งผลดีต่อฟีลลิ่งหลังพวงมาลัย การเพิ่มมุมแคมเบอร์ลบที่ด้านหน้า ฮาร์ดแวร์สั่งทำพิเศษ และสถิติต่อรอบในสนามนรกเขียว Nurburgring ล้วนบางชี้ไปที่ความสามารถและศักยภาพของรถ RS3 นับเป็นจักรกลสปอร์ตของนักขับอย่างแท้จริง จากการปรับสมดุลระหว่างความคล่องตัว พลัง และความสะดวกสบายบนท้องถนนด้วยมือระดับเทพ ทำให้ขับได้อย่างสมบูรณ์แบบ โหมดสูงสุด RS Performance ปลดปล่อยสมรรถนะที่สัมผัสแล้วคล้ายการปรับแต่งในสนามแข่ง สำหรับนักขับที่กำลังมองหารถสันดาปภายใน 5 ประตูแรงๆ สักคันเอาไว้ใช้ขับเล่นบนถนน Audi RS3 Sportback Quattro นับเป็นหนึ่งในรถแฮตช์แบ็กที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยขับทดสอบละครับ.
Audi RS 3 Sportback quattro ราคา 5,449,000 บาท
เครื่องยนต์ เบนซิน 5 สูบแถวเรียง
พร้อมระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบฉีดตรง (direct injection), เทอร์โบชาร์จ
จำนวนวาล์ว 20
ปริมาตรกระบอกสูบ 2480 ซีซี.
แรงม้าสูงสุด 294 กิโลวัตต์ 400 แรงม้า ที่ 5,600 - 7,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 2,250 - 5,600 รอบต่อนาที
ระบบส่งกำลัง เกียร์อัตโนมัติ S tronic 7 จังหวะ
ระบบขับเคลื่อน ขับเคลื่อนสี่ล้อ (quattro)
อัตราเร่ง 0-100 กม. / ชม. 3.8 วินาที
ความเร็วสูงสุดโดยประมาณ 250 กม. / ชม.
ระบบตัดการทำงานเครื่องยนต์อัตโนมัติ (Start/stop system)
พวงมาลัย พวงมาลัยไฟฟ้า Progressive Steering
เบรกหน้า ระบบเบรกแบบ RS พร้อมตกแต่งคาลิปเปอร์เบรกด้วยสีแดง
เบรกหลัง ระบบเบรกแบบ RS พร้อมตกแต่งคาลิปเปอร์เบรกด้วยสีแดง
พื้นที่เก็บสัมภาระ 282 - 1,104 ลิตร
ความจุถังน้ำมัน 55 ลิตร
ล้อ 19 นิ้ว ล้อหน้าขนาด 9.0J x 19, ล้อหลังขนาด 8.0J x 19
ยางหน้าขนาด 265/30 R19 Pirelli P Zero Performance
ยางหลังขนาด 245/35 R19 Pirelli P Zero Performance
ชุดซ่อมยางฉุกเฉิน
ระบบความปลอดภัย RS 3 Sportback quattro
ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง
ระบบเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัย
ระบบเบรกมือไฟฟ้า
ระบบล็อกเบรกขณะหยุดนิ่ง (Audi hold assist)
ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock braking system)
ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic brake distribution)
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS (Traction control system)
ระบบควบคุมการทรงตัว ESC (Electronic control system with stabilization function)
ระบบช่วยจอด (Parking assist) พร้อมเซนเซอร์หน้า-หลังช่วยในการนำรถเข้าจอด
กล้องแสดงภาพด้านหลัง ขณะถอยจอด
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก
ชุดปฐมพยาบาล
อุปกรณ์มาตรฐาน
ช่วงล่างแบบ RS Sports
ระบบท่อไอเสียแบบ RS Sports
ระบบเลือกโหมดการขับขี่ (Audi drive select)
ชุดตกแต่งภายนอกแบบ RS
อุปกรณ์มาตรฐาน RS 3 Sportback quattro
ชุดตกแต่งภายนอกแบบ Glossy Black พร้อมตกแต่ง Audi Ring และชื่อรุ่น
ด้วยสี Glossy Black
ชุดตกแต่งภายใน RS
ตกแต่งห้องโดยสารภายในลาย Carbon Atlas Structure
หลังคาพาโนรามิกเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า
ไฟหน้าแบบ Matrix LED พร้อมเอฟเฟกต์ไฟด้านหน้า (Light staging)
ไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED พร้อมกับ RS 3 signature
ไฟท้ายแบบ LED พร้อมเอฟเฟกต์ไฟด้านหลัง (Light staging)
กระจกมองหลังแบบไร้ขอบ พร้อมระบบตัดแสงอัตโนมัติ
ไฟ Projector LED ที่ประตูหน้า
ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าและปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
กระจกมองข้างตัดแสงและปรับ-พับไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชั่นบันทึกตำแหน่ง
ความสะดวกสบาย
เบาะนั่งหุ้มหนัง Dinamica microfibre/synthetic
เบาะนั่งคู่หน้าแบบ RS Sports ตกแต่งแบบ diamond
เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า พร้อมระบบปรับดันหลัง และฟังก์ชั่นบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งผู้ขับขี่
เบาะผู้โดยสารด้านหลังพับได้
ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติควบคุมอุณหภูมิแยกอิสระ 3 โซน
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง แบบสปอร์ตท้ายตัด พร้อมสัญลักษณ์ RS และ Paddle shift
ระบบควบคุมความเร็วคงที่ (Cruise control)
กุญแจแบบ Comfort key พร้อมระบบเปิด-ปิดบานประตูท้ายโดยไม่ต้องใช้มือ
ระบบข้อมูลและความบันเทิง
ระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ
จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual cockpit plus ขนาด 12.3 นิ้ว
ระบบ MMI Radio plus พร้อมหน้าจอแบบสัมผัส (MMI touch) ขนาด 10.1 นิ้ว
ระบบ Audi smartphone interface
รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth
ช่อง USB-C สำหรับห้องโดยสารด้านหน้า 2 ตำแหน่ง และด้านหลัง 2 ตำแหน่ง
ไฟเรืองแสงในห้องโดยสารแบบปรับสีได้ (Contour/ambient lighting)
สีตัวถัง 6 สี
Glacier white, metallic (2Y2Y)
Mythos black, metallic (0E0E)
Python yellow, metallic (R1R1)
Kemora gray, metallic (8R8R)
Kyalami green, solid (7R7R)
Tango red, metallic (Y1Y1)
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/