8 ปีที่ C-Class W205 โลดแล่นในวงการยนตรกรรม มาถึงจุดสิ้นสุดเมื่อ New C-Class W206 ปรากฏตัวขึ้นในปี 2022 นี่คือซีดานตัวขายของแบรนด์ตราดาว ที่กลายเป็นความหวังของแบรนด์ Mercedes-Benz ในการกลับคืนสู่บัลลังก์แชมป์ยอดขายรถยนต์พรีเมียมในประเทศไทย หลังจากโดน BMW แซงขึ้นหน้ามานานกว่าสองปี New C-Class W206 รุ่น C220d Avantgarde ราคา 2,730,000 บาท ถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อกดดัน BMW 320d LCI คู่แข่งตลอดกาลที่มีค่าตัว 2,699,000 บาท รถทั้งสองรุ่นอยู่ในกลุ่ม Luxury Sedan ไซส์เล็ก ดูเหมือน Series-3 LCI จะก้าวขึ้นนำหน้า เนื่องจากออกขายมานานกว่า และมีตัว LCI ที่จัดเต็มด้านองคาพยพกับสมรรถนะ แต่ราชาตราดาวที่พยายามหวนคืนกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์ก็เป็นรถหรูที่มีความน่าใช้งานอยู่ไม่น้อย ทั้งสองคันใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรเหมือนกัน มีกำลัง อัตราเร่งและอัตราสิ้นเปลืองใกล้เคียงกัน จุดเด่นของรถยนต์แบรนด์ตราดาวก็คือการถ่ายเทศักยภาพบางอย่างของ S-Class ลงไปใน New C-Class นั่นก็คือความนวลของระบบรองรับและความสบายที่หาได้ยากในรถซีดานไซส์กะทัดรัด 

...

ขอต้อนรับสู่โลกใหม่ที่อุดมไปด้วยระบบดิจิทัลอันก้าวล้ำและมีประสิทธิภาพ (มากยิ่งขึ้น) นี่คือ Mercedes-Benz New C-Class ใหม่ รหัสตัวถัง W206 รถซีดานไซส์เล็กรุ่นล่าสุดที่ครบทั้งความไฮเทคและสมรรถนะ ทั้งสองอย่างถูกควบรวมเข้าด้วยกัน เพื่อการเอาชนะคู่แข่งที่แข็งแกร่งอย่าง BMW Series-3 กับ Audi A4 การสร้างขอบเขตของความสะดวกสบายที่พร้อมรองรับโลกแห่งอนาคต ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงระบบขับเคลื่อนที่เกิดขึ้นทั่วโลก New C-Class เป็นรถ Mercedes-Benz ซีรีส์คลาสสิกรุ่นแรกที่ใช้การผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างช่วงล่างและระบบส่งกำลัง มีการปรับมาตรฐานการขับของรถรุ่นนี้ให้สูงขึ้น และเนื่องจาก C-Class เป็นหนึ่งในซีรีส์ที่มีปริมาณการผลิตสูงสุดของแบรนด์ตราดาว การใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเป็นระบบ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ส่วนหนึ่ง ก่อนที่ C-Class จะกลายเป็นยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (ในอนาคตอันใกล้) Mercedes-Benz C-Class Sedan รุ่นใหม่ เดินทางมาถึงตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยแล้วในช่วงกลางปี 2022 ด้วยภาพลักษณ์ที่ยังคงยึดโยงกับคำขวัญเดิมๆ นั่นก็คือความเป็น Baby S-Class นั่นเอง

ทศวรรษที่ผ่านมา C-Class เป็นโมเดลยอดนิยมรุ่นขายดีของ Mercedes-Benz โดยมีปริมาณการขายสูงสุด นับตั้งแต่มีการเปิดตัวกว่า 2.5 ล้านคัน C-Class กลายเป็นยานพาหนะที่ถูกส่งออกไปขายทั่วโลกและประเทศจีนก็กลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของ C-Class Sedan นับจากปี 2016 นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี และอังกฤษ ยังเป็นตลาดใหญ่ที่สุดสำหรับ C-Class Sedan และ C-Class ตัวถัง Wagon ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา C-Class Sedan และ Wagon โดยเฉพาะรถรุ่นที่ผ่านมา (W205) ถูกส่งมอบให้กับลูกค้ามากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก

...

เรื่องราวความสำเร็จของ C-Class เริ่มต้นขึ้นในปี 1982 เมื่อ Mercedes-Benz เปิดตัวรถรุ่น 190 เนื่องจากเป็นรถยนต์ที่เล็กที่สุด ในกลุ่มยานยนต์ของ Mercedes-Benz ในขณะนั้น 190 จึงได้รับฉายาว่า Baby Benz เครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีประสิทธิภาพ เช่น 190 E 2.5-16 Evolution ขุมกำลังแบบสปอร์ต ประจำการด้วยเครื่องยนต์สี่วาล์วต่อสูบ ความจุ 2.5 ลิตร ที่สร้างชื่อเสียงซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสนามแข่ง รวมไปถึงยานยนต์พลังงานไฟฟ้า 190 E Elektro ซึ่งเป็นรถทดลองจากซีรีส์ 201 ซึ่งถูกเปิดตัวในงานแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยี "ฮันโนเวอร์" เมื่อปี 1990 ตามด้วยงานแสดงรถยนต์เจนีวามอเตอร์โชว์ในปี 1991 ระบบขับเคลื่อนของ 190 E Elektro ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าแม่เหล็กถาวรสองตัว แต่ละตัวมีกำลัง 21 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่โซเดียม/นิกเกิลคลอไรด์ มอเตอร์ขับเคลื่อนส่งกำลังไปยังล้อคู่หลังเช่นเดียวกับ EQS450 ที่กำลังโลดแล่นอยู่ในปัจจุบัน

...

หลังจากปรากฏการณ์ 190E (W201) Mercedes-Benz นำรถ C-Class เจนแรกสุดมาเปิดตัวเป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม 1993 แต่ก่อนหน้านั้นมีการส่งมอบรถยนต์ Mercedes-Benz ไซส์เล็ก มากกว่า 10.5 ล้านคัน ให้กับลูกค้ามาตั้งแต่ปี 1982 หลังจากนั้นโมเดล C-Class ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของลูกค้าใหม่ในการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ Luxury โดยเฉพาะในประเทศจีนและเกาหลีใต้ C-Class Sedan เป็นรถยนต์พรีเมียมที่ถูกเลือกเป็นรถหรูคันแรกของครอบครัว โดยมีผู้ซื้อเฉลี่ยประมาณ 50% C-Class Sedan ยังเป็นรถที่ดึงดูดลูกค้าคุณสุภาพสตรีในสัดส่วนที่สูงเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ ครึ่งหนึ่งของรถ C-Class ถูกซื้อโดยคุณผู้หญิง

...

Mercedes-Benz สร้างมาตรฐานใหม่ ไม่เพียงแต่ในด้านวิศวกรรม แต่ยังลงลึกไปถึงรูปทรงของตัวถังที่กว้างขึ้น รถรุ่น Wagon ที่เปิดตัวในปี 2000 เป็นรถเก๋งขนาดกลาง หลังจากนั้นมีการเปิดตัว C-Class Sports Coupe ซึ่งเป็นรูปแบบตัวถังใหม่ทั้งหมด การเปิดตัว C-Class รุ่นที่ 4 ออกสู่ตลาดในปี 2007 (พ.ศ.2550) ทำให้โลกยนตรกรรมได้เห็นรถที่มีการออกแบบใหม่ นับเป็นครั้งแรกที่ดีไซน์ส่วนหน้าของ Mercedes-Benz ตัวถัง Sedan ขนาดเล็ก จะแตกต่างกันไปตามรุ่นและอุปกรณ์ มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของสัญลักษณ์ดาวสามแฉกดั้งเดิมบนฝากระโปรงหน้า ซึ่งย้ายไปติดอยู่กึ่งกลางกระจังหน้า ด้วยรถเวอร์ชันสปอร์ตของ AMG

C-Class ใหม่ รหัส W206 ถูกปรับให้ดูอ่อนเยาว์ จากงานดีไซน์ไฟหน้าและกระจังหน้าใหม่หมด สัดส่วนด้านข้างแสดงออกถึงไดนามิก การผสมผสานระหว่างระยะโอเวอร์แฮงค์ด้านหน้าที่สั้นกุด ระยะฐานล้อยาวเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้กับห้องโดยสาร และระยะโอเวอร์แฮงค์ด้านหลังที่ลงตัว ฝากระโปรงหน้าแบบสปอร์ตพร้อมพาวเวอร์โดม เน้นรูปลักษณ์ของการเคลื่อนไหวแบบพุ่งทะยานไปข้างหน้า พาวเวอร์โดมที่เคยอยู่ในรถ AMG ถูกโยกมาใส่บนฝากระโปรงหน้าของ New C-Class เพื่อสร้างแรงดึงดูดด้านสายตา สำหรับ W205 ซึ่งเป็น C-Class รุ่นก่อนหน้า แสดงถึงความก้าวหน้าในแง่ของความน่าดึงดูดที่มีมูลค่าจากงานตกแต่งภายใน ส่วน C-Class ใหม่ W206 นั้นก้าวไปไกลกว่าในแง่ของความหรูหราที่เชื่อมโยงกับอุปกรณ์แบบใหม่ที่ทันสมัย ภายในก็ยังคงทำตามแนวคิดเดิม นั่นก็คือการใช้ไฮไลต์ของรถรุ่นเรือธงอย่าง S-Class ใหม่ มาปรับแต่งให้เข้ากับห้องโดยสารที่มีขนาดกะทัดรัดกว่าพี่ใหญ่รุ่นเรือธง เพิ่มความสปอร์ตด้วยรูปแบบของอุปกรณ์ไฮเทคและตกแต่งด้วยวัสดุหรูหราราคาแพงเหมือนเดิม

กระจังหน้าของ C220d รุ่น Avantgarde สีขาว Polar White ใช้พลาสติกสีดำดีไซน์แนวตั้ง New C-Class W206 ทุกรุ่น มีกระจังหน้าที่ติดตั้งตราสัญลักษณ์ดาวสามแฉกตรงกลาง การออกแบบใหม่ในลักษณะของกระจังหน้าที่มีความแตกต่างกันในรายละเอียด ไฟหน้า LED พร้อมไฟหรี่ LED Daytime Running Light น่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่ C220d AMG Dynamic ไม่มีระบบไฟ Multi Beam LED โดยแทนที่ด้วยไฟหน้า LED High Performance Headlamps กันชนหน้ามีองค์ประกอบของชิ้นงานตกแต่งในช่องระบายอากาศ ขณะที่กระจังหน้าและกันชนหน้าตกแต่งด้วยโครเมียม รุ่น Avantgarde กระจังหน้าพลาสติกสีดำทรงช่องตระแกรงซี่ถี่ ทรงของกันชนโดยเฉพาะการตกแต่งด้วยพลาสติกสีดำลายตระแกรงทำให้ดูสปอร์ตขึ้นเล็กน้อย

พื้นผิวตัวถังที่ลื่นไหล สร้างเอฟเฟกต์เวลากระทบกับแสงแดด ดีไซเนอร์ลดจำนวนเส้นสายรอบตัวถังให้เหลือน้อยที่สุด เส้นแนวยื่นด้านข้างที่กลมกลืนมากยิ่งขึ้น รูปลักษณ์แบบสปอร์ตซีดานที่ปราดเปรียว ความกว้างของแทร็กที่มากกว่าเดิม รวมไปถึงล้ออัลลอยลายใหม่แบบครีบเทอร์ไบน์ ขนาด 18 นิ้ว ยาง bridgestone turanza ยางหน้า 225/45 R18 ยางหลัง 245/40 R18 มิติตัวถัง มีขนาดความยาว 4,793 มิลลิเมตร ยาวขึ้น 10 มิลลิเมตร กว้าง 1,820 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 10 มิลลิเมตร สูง 1,446 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,865 มิลลิเมตร ที่เก็บสัมภาระด้านท้าย ขนาด 455 ลิตร ความจุถังเชื้อเพลิง 66 ลิตร

บั้นท้ายโค้งมน ขอบของฝากระโปรงท้ายยกสันนูนเพื่อเพิ่มมิติมุมมอง ไฟท้าย LED คุณภาพสูง ดึงดูดสายตาด้วยรูปลักษณ์ของไฟท้ายแบบสองชิ้น เลนส์ไฟถอยสีขาวอยู่ตรงมุมของไฟท้าย ตำแหน่งของไฟเลี้ยวที่อยู่ตรงกึ่งกลาง มองเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งกลางวันและกลางคืนจากความเข้มและกำลังในการส่องสว่างของหลอด LED เป็นครั้งแรกที่ไฟท้ายมีดีไซน์แบบสองชิ้นใน C-Class โดยแบ่งฟังก์ชันไฟระหว่างส่วนด้านข้างของบั้นท้ายและฝากระโปรงท้าย การตัดแต่งเสริมเฉพาะเส้นในกันชนหลัง ทำให้มุมมองด้านหลังดูผสมผสานกันอย่างกลมกลืน จุดที่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นก็คือท่อไอเสียปลอมที่ใส่มาให้แต่มันไม่ใช่ของจริง ท่อจริงอยู่ใต้กันชนหลัง มีการปรับปลายท่อให้งอลงด้านล่างเพื่อทำให้ค่าไอเสียดีขึ้น 

งานตกแต่งภายในโดยเฉพาะแผงหน้าปัดของ W206 มีการแบ่งโซนการใช้งาน ทั้งส่วนบนและล่าง แดชบอร์ดคอนโซล มีลักษณะคล้ายปีกของอากาศยาน พร้อมช่องแอร์ทรงกลมแบบใหม่ที่มีดีไซน์แปลกตา ทำให้นึกถึงส่วนหน้าของเครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ต ลอกแบบมาจาก Mercedes-Benz The New S-Class V223 ด้วยการตกแต่งที่งดงาม ความเฉียบคมของชิ้นงาน จากคอนโซลกลางไปยังแดชบอร์ด โฟกัสของคนขับเพิ่มความสปอร์ตด้วยแผงหน้าปัด TFT LCD และจอแสดงผลส่วนกลางที่วางองศาของจอภาพให้เอียงไปทางฝั่งคนขับเล็กน้อยประมาณหกองศา เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งาน จอภาพมาตรวัดของคนขับ ติดตั้งหน้าจอ TFT thin film transistor ความละเอียดสูง ขนาด 12.3 นิ้ว เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน มาตรวัดจอภาพแบบ Panorama แตกต่างไปจาก C-Class W205 ที่ใช้หน้าปัดทรงกลมแบบคลาสสิก การแสดงผลของหน้าปัดมาตรวัดสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้อย่างหลากหลาย ทั้งแบบสปอร์ต แบบคลาสสิก รวมไปถึงรูปแบบของระบบนำทางและระบบความปลอดภัยที่สามารถนำขึ้นมาแสดงผลบนจอภาพมาตรวัดได้อย่างคมชัด

ระบบดิจิทัลยุคใหม่ ปรากฏอยู่ในจอแสดงผลส่วนกลางที่คล้ายกับ New S-Class จอกลางแนวตั้ง สามารถควบคุมและแสดงผลการทำงานของระบบต่างๆ การปรับตั้งและเชื่อมต่อฯ ผ่านการสั่งงานบนหน้าจอระบบสัมผัสคุณภาพสูง การวางจอภาพในแนวตั้งทำให้มองเห็นได้ชัดเจนและเกิดประโยชน์สูงสุดเมื่อใช้ระบบนำทางด้วยดาวเทียมหรือกล้องมองรอบคัน หน้าจอสัมผัสออกแบบให้ดูเหมือนลอยอยู่เหนือแดชบอร์ด เช่นเดียวกับชุดแดชบอร์ดที่หรูหรา หน้าจอมอนิเตอร์กลางปรับองศาให้เอียงเล็กน้อยไปทางคนขับ จอแสดงผลส่วนกลางขนาด 11.9 นิ้ว เป็นอุปกรณ์มาตรฐานของ New C-Class ทุกรุ่นอีกด้วย จอแสดงผลส่วนกลางยังมีการตกแต่งที่ลงลึกในด้านรายละเอียด เช่น การล้อมรอบจอภาพด้วยสีดำเงาวาวและขอบสีเงินที่ตัดกับสีดำและขยายไปยังคอนโซลกลางได้อย่างลงตัว รายละเอียดการตกแต่งที่ประณีต การตัดขอบด้วยโครเมียมคุณภาพสูง ช่วยให้ห้องโดยสารของ C220d AMG Dynamic น่ามองมากยิ่งขึ้นและเหมือนกับห้องโดยสารของ New S-Class ที่ถูกย่อสัดส่วน

แผงประตูเรียบง่ายโดยมีปุ่มปรับตั้งเบาะพร้อมหน่วยความจำ 3 ระดับ มาให้เหมือนเดิม กรวยลำโพงที่เต็มไปด้วยรายละเอียด ปุ่มควบคุมกระจกไฟฟ้า ช่องใส่ของกระจุกกระจิก เแผงประตูตรงกลางในตำแหน่งที่วางแขนในตัวมีการพัฒนาจากพื้นผิวแนวตั้งเป็นแนวนอน สะท้อนการออกแบบให้เชื่อมโยงกับคอนโซลกลาง สามารถใช้เป็นที่จับหรือปิดได้

การออกแบบเบาะนั่งใน C-Class ใหม่ ใช้ชั้นและพื้นผิวที่อ่อนนุ่มห่อหุ้มด้วยหนังแท้ พนักพิงศีรษะได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยใช้การยึดติดตัวเบาะเข้ากับพนักพิงด้วยแท่งพลาสติก แดชบอร์ดที่หุ้มด้วย MB-Tex พร้อมเส้นคาดที่ทำให้มีความหรูหรา สำหรับ C-Class เวอร์ชัน Avantgarde แสดงพื้นผิวเรียบง่ายแต่หรู ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ มีแผ่นอะลูมิเนียมฝังอยู่ตามส่วนโค้งของแผงหน้าปัด จอภาพมาตรวัดและจอแสดงผลกลางที่คล้ายกับ S-Class ใหม่ รูปทรงของจอภาพมาตรวัด ถูกปรับให้เข้ากับการแสดงผลแบบใหม่ถึงสามรูปแบบ (แบบ Sport / Classic / คลาสสิก และแบบ Normal) อีกสามโหมดสำหรับการแสดงผลในระบบนำทางดิจิทัล ระบบความปลอดภัย การตั้งค่า ใน "สปอร์ตโหมด" จอภาพมาตรวัดใช้โทนสีแดงที่เร้าใจ วัดรอบเครื่องยนต์และวัดความเร็วแสดงผลเป็นตัวเลขอยู่ตรงกลาง C-Class 220d Avantgarde ยังมาพร้อมกับระบบแสง Ambient Light LED ตกแต่งภายในปรับเปลี่ยนเฉดสีได้ 64 สี

MBUX รุ่นล่าสุด
เช่นเดียวกับ S-Class ใหม่ C-Class รุ่นล่าสุด มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ MBUX รุ่นที่สอง (Mercedes-Benz User Experience) ภายในของ W206 เป็นระบบดิจิทัลที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น เนื่องจากทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์มีความก้าวล้ำ (อย่างมาก) ภาพที่สวยงามบนจอแสดงผลความละเอียดสูง ทำให้ง่ายต่อการควบคุมรถ การปรับตั้งฟังก์ชันต่างๆ รวมถึงความสะดวกสบายที่ใส่มาให้อย่างเต็มที่ จอแสดงผลสำหรับคนขับและจอภาพมอนิเตอร์กลาง นำเสนอความสุนทรียภาพแบบองค์รวม ข้อมูลต่างๆ ถูกนำเสนอในลักษณะที่มีโครงสร้างอย่างชัดเจน เข้าและออกจากเมนูต่างๆ ได้รวดเร็วขึ้น Mercedes-Benz ได้พัฒนารูปแบบการแสดงผลที่สวยงามสำหรับ S-Class ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นพื้นฐานสำหรับรุ่นอื่นๆ อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะใน New C-Class รูปลักษณ์ของหน้าจอสามารถปรับให้เข้ากับรูปแบบการแสดงผลได้ตามต้องการ หน้าปัดมาตรวัดแบบ Classic ใช้มาตรวัดทรงกลมที่มีรูปแบบคุ้นเคย การแสดงผลที่คมชัดของจอ TFT

ระบบสั่งงานด้วยเสียง Hey Mercedes

Hey Mercedes กับซอฟต์แวร์ใหม่ สามารถโต้ตอบและเรียนรู้ได้มากขึ้น โดยเปิดใช้งานบริการออนไลน์ในแอป Mercedes me นอกจากนี้การสั่งงานบางอย่างสามารถทำได้แม้ไม่มีคีย์เวิร์ดเปิดใช้งาน Hey Mercedes ซึ่งรวมถึงการรับโทรศัพท์ ระบบสั่งงานด้วยเสียงแบบใหม่ ยังสามารถอธิบายฟังก์ชันของรถอีกด้วย ตัวอย่างเช่น สามารถแนะนำ เมื่อถูกถามถึงวิธีเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนด้วยบลูทูธ หรือตำแหน่งที่จะพบกับชุดปฐมพยาบาล ระบบนี้ ยังสามารถจดจำเสียงของผู้โดยสารได้ คนขับสามารถโหลดโปรไฟล์ส่วนตัวโดยใช้การควบคุมด้วยเสียง เมื่อมีการอัปเดตซอฟต์แวร์ใหม่จาก Mercedes-Benz จะมีข้อความปรากฏขึ้นบนหน้าจอ MBUX โดยแสดงผลผ่านแอป Mercedes Me ซอฟต์แวร์สามารถดาวน์โหลดและติดตั้งทันที หรือกำหนดเวลาไว้ในภายหลัง Mercedes-Benz ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารเคลื่อนที่แบบใหม่ เพื่อถ่ายโอนข้อมูลได้อย่างปลอดภัย การอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ Over-the-air (OTA) แนะนำคุณลักษณะใหม่ของการใช้งาน

ความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการปล่อยมลพิษจำนวนมากของเครื่องยนต์ดีเซล หลังจากเมื่อหลายปีก่อน เกิดเรื่องอื้อฉาวการโกงตัวเลขมลพิษของ Volkswagen ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์เกิดการตื่นตัวในเรื่องของตัวเลขการปล่อย Co2 เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ Mercedes-Benz ต้องพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ตรงตามมาตรฐานการปล่อยมลพิษทั่วโลกในอนาคต เช่น Real Driving Emissions (RDE) และการทดสอบยานพาหนะ (WLTP) ขุมกำลังดีเซลขนาดเล็กรุ่นใหม่ที่ประจำการอยู่ใน New C-Class W206 CKD นั่นก็คือ เครื่องยนต์ Mercedes-Benz OM 654 M รุ่นดัดแปลง ช่วยลดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและการปล่อย CO2 ลง 13 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่มีกำลังเพิ่มขึ้นอีก 24 แรงม้า (201 แรงม้า 440 นิวตันเมตร) เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ดีเซล OM 651

สำหรับ OM 654 เป็นเครื่องยนต์ดีเซลแบบแถวเรียงสี่สูบ ความจุ 2.0 ลิตร 1,950 ซีซี อัดอากาศด้วยเทอร์โบเดี่ยวรุ่นแรกในตระกูลเครื่องยนต์ใหม่ของ Mercedes น้ำหนัก 168 กิโลกรัม ถือเป็นเครื่องดีเซลที่มีประสิทธิภาพรุ่นสุดท้าย ก่อนที่รถยนต์ทั้งหมดของแบรนด์ตราดาวจะเปลี่ยนไปขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 7.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จุดเด่นของเครื่องยนต์รุ่นนี้ก็คือ มีเสียงการทำงานที่เบา แรงสั่นสะเทือนน้อยลงและมีแรงบิดค่อนข้างกว้าง รอบขึ้นเร็วแม้จะเป็นดีเซลแต่มีเทอร์โบประสิทธิภาพสูงคอยเอาเปรียบเชิงกล เกียร์ 9-G ไหลลื่นและราบเรียบไม่มีอาการกระตุกกระชาก อัตราทดที่ครอบคลุมในเกียร์ 8-9 ช่วยลดรอบเครื่องยนต์ลงมาเหลือ 2800 รอบแม้ความเร็วจะทะยานไปเกือบ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 

การสร้างเครื่องยนต์ดีเซลที่จะต้องปรับให้ตรงตามมาตรฐานมลพิษที่เข้มงวด และยังคงทำงานได้ดี Mercedes-Benz เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนวัสดุทำบล็อกเครื่องยนต์ที่ออกแบบและปรับเปลี่ยนใหม่หมด โดยใช้ประสบการณ์ด้านการพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลมานานกว่า 80 ปี ผสมผสานกับแพลตฟอร์มใหม่ เครื่องยนต์ OM 654 เป็นเครื่องยนต์ดีเซลสี่สูบ บล็อกอะลูมิเนียมขนาดกะทัดรัด สามารถทนต่อแรงดันภายในสูงสุดได้ถึง 2,973.27 psi ช่วยลดน้ำหนักชิ้นส่วนต่างๆ ลงได้มากกว่าบล็อกเหล็กหล่อถึง 17 เปอร์เซ็นต์

ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และการปฏิบัติตามข้อกำหนดการปล่อยมลพิษระดับใหม่ เริ่มต้นด้วยการปรับส่วนประกอบภายในให้เหมาะสม เพิ่มระบบ EQ Boost ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่อยู่ในระบบเกียร์ 9G Tronic ช่วยในการออกตัว กำลัง 20 แรงม้า แรงบิดมอเตอร์ 200 นิวตันเมตร เครื่องยนต์ OM 654 ใช้ลูกสูบเหล็กที่มีการออกแบบห้องเผาไหม้แบบขั้นบันได เนื่องจากความสามารถในการลดการปล่อยอนุภาค ตัวเลขมลพิษที่ลดลง เป็นผลมาจากการเพิ่มปริมาณอากาศที่เครื่องยนต์สามารถรับเข้าไปได้ และปริมาณความร้อนที่สะสมอยู่ในบริเวณที่เกิดการเผาไหม้

วัสดุเหล็กสำหรับลูกสูบ ช่วยเพิ่มการกักเก็บความร้อนในกระบอกสูบ และเพิ่มการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพทางอุณหพลศาสตร์ของเครื่องยนต์ ลดระยะเวลารอบการเผาไหม้ที่เกิดขึ้นจริง โลหะเหล็กยังช่วยให้ระยะห่างระหว่างลูกสูบและผนังกระบอกสูบมีความสม่ำเสมอมากขึ้น (อะลูมิเนียมจะขยายตัวเมื่อถูกความร้อน) การขยายตัวของลูกสูบน้อยลง เมื่อรวมกับการเคลือบผนังกระบอกสูบ Nanoslide ที่มีแรงเสียดทานต่ำเป็นพิเศษของ Mercedes ช่วยลดแรงเสียดทานได้ 40 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของลูกสูบให้ดียิ่งขึ้น เพลาข้อเหวี่ยงจะถูกชดเชยไปทางด้านไอดีของบล็อก 0.5 นิ้ว และใช้ก้านสูบขนาด 6 นิ้ว (154 มม.) การจัดเรียงนี้ช่วยลดแรงด้านข้างของลูกสูบได้ถึง 75 เปอร์เซ็นต์ เมื่อขับทางไกล มีอัตราสิ้นเปลืองประมาณ 14.2 กิโลเมตรต่อลิตร (โหมด Comfort) เชื้อเพลิงหนึ่งถัง 66 ลิตร ขับแบบผสมผสาน เร็วบ้างช้าบ้าง วิ่งได้ไกลกว่า 750 กิโลมตร ถือว่าประหยัดใช้ได้  

ข้อดีของเพลาข้อเหวี่ยงแบบใหม่ ช่วยเพิ่มพื้นที่ว่างด้านไอเสียของบล็อก สำหรับระบบปล่อยมลพิษขนาดกะทัดรัดแบบใหม่ ที่ติดตั้งกับเครื่องยนต์โดยตรง การปรับตั้งที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ระบบการปล่อยมลพิษเฉพาะรถยนต์ อุปกรณ์ประกอบด้วย ตัวเร่งปฏิกิริยาออกซิเดชันดีเซล และตัวกรองอนุภาคดีเซล การเคลือบตัวเร่งปฏิกิริยา ฉนวน และติดตั้งในตำแหน่งที่ใกล้เครื่องยนต์ของ diesel particulate filter (DPF) ทำให้ระบบสูญเสียความร้อนต่ำ มีการปรับอุณหภูมิการทำงานให้เหมาะสม ทำให้ปล่อยมลพิษลดลง และประหยัดเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น DPF มีพื้นที่ผสม พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับไอเสียที่เกิดจากการเผาไหม้น้ำมันดีเซล เพื่อกระจายไปยังตัวกรองอนุภาคไอเสียอย่างสม่ำเสมอ และระเหยอย่างรวดเร็วเพื่อลดการปล่อย NOx นอกจากนี้ ยังใช้วาล์วหมุนเวียนไอเสียแบบหลายทาง โดยผสมผสานก๊าซแรงดันสูงและแรงดันต่ำที่ระบายความร้อนด้วยระบบทำความเย็น เพื่อลดการปล่อยไอเสียที่ไม่ผ่านการบำบัดตลอดช่วงรอบต่อนาที ในขณะที่มีการปรับการเผาไหม้เพื่อให้เหมาะสมกับอัตราสิ้นเปลือง นั่นก็คือ เน้นความประหยัดเชื้อเพลิง

เกียร์ 9G-TRONIC มีการพัฒนาเพิ่มเติม ปั๊มน้ำมันเสริมไฟฟ้าช่วยลดอัตราการส่งเชิงกลลง 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งดีต่อประสิทธิภาพของชุดส่งกำลัง นอกจากนี้ ยังใช้ระบบควบคุมการรับส่งข้อมูลแบบครบวงจรรุ่นใหม่ มีโปรเซสเซอร์แบบมัลติคอร์ พร้อมเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแรงบิดแบบใหม่ นอกจากการส่งกำลังที่มีความลื่นไหลและต่อเนื่องแล้ว อัตราทดเกียร์ทั้ง 9 สปีดยังครอบคลุมการใช้งาน ทั้งขับในย่านความเร็วต่ำในเมืองและพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงบนไฮเวย์ ทุกโหมดจะมีการทำงานผสานกันเพื่อการตอบสนองของเกียร์ จะใช้เกียร์ D แล้วปล่อยให้ซอฟแวร์เกียร์ทำหน้าที่ไปตามเรื่องตามราวบนทางไฮเวย หรือจะเปลี่ยนเกียร์เองในโหมดแมนนวลผ่าน Paddle Shift ก็ได้ทั้งนั้น การปรับอัตราทดที่ลงตัว โดยเฉพาะเมื่อต้องการทำความเร็วผ่านโหมด Sport อัตราสิ้นเปลืองก็ยังทำได้ดี ไม่ตะกละกินจุแม้จะคาอยู่เกียร์ 4-5 เพื่อคงแรงบิดในจุดที่ดีที่สุดสำหรับการเร่งความเร็วเพื่อแซง 

การจ่ายน้ำมันหล่อลื่นและการระบายความร้อนโดยใช้ปั๊มสองตัว เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการจ่ายน้ำมันหล่อลื่นแบบสังเคราะห์ ในรุ่นที่ 2 ที่มีความทนทาน และทนต่อแรงเฉือน เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ในเวลาเดียวกัน ระบบเกียร์ 9G-TRONIC ติดตั้งปั๊มสองตัว ปั๊มหลักเชิงกลที่ลดขนาดลงอย่างมากซึ่งติดตั้งอยู่นอกแกน โดยอยู่ถัดจากเพลาหลักและขับเคลื่อนด้วยโซ่ ในระบบเกียร์อัตโนมัติรุ่นเก่า เช่น 7G-TRONIC ปั๊มน้ำมันหล่อลื่นหลัก จะพ่วงต่อกับเพลาส่งกำลังและทำหน้าที่ขับเคลื่อนปั๊มโดยตรง ด้วยเหตุนี้ปั๊มเซลล์ใบพัดแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง จึงถูกวางไว้ข้างเพลาหลัก บริเวณแกนด้านนอก และมีการลดขนาดลงเพื่อให้เหมาะสมกับการติดตั้ง ปั๊มหลักเชิงกล ช่วยให้มั่นใจได้ว่า การจ่ายน้ำมันหล่อลื่นไปยังเกียร์อัตโนมัติที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า จะมีความเสถียรและเมื่อเครื่องยนต์สันดาปภายในทำงาน จะมีการสำรองโดยปั๊มเสริมไฟฟ้าแยกต่างหาก ในแง่หนึ่ง การออกแบบในลักษณะดังกล่าวนี้ ช่วยทำให้ระบบหล่อลื่นของเกียร์ สามารถควบคุมการไหลของน้ำมันหล่อลื่นและสารหล่อเย็นได้ตามความต้องการ

ในขณะเดียวกัน 9G-TRONIC จะได้รับประโยชน์จากระบบ Auto Start Stop กลไกไฟฟ้าของ starter alternator ระบบจะส่งถ่ายน้ำมันหล่อลื่นเกียร์เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เมื่อผู้ขับยกคันเร่ง รถจะยังคงไหลไปข้างหน้า โดยมีความเร็วเกือบจะคงที่ และค่อยๆ ลดความเร็วลงช้าๆ การทำงานอย่างรวดเร็วของเกียร์ ด้วยการเข้าสู่ตำแหน่งเกียร์ที่สอดรับกับความเร็วที่ใช้อยู่ในคาบเวลานั้นๆ การปลดระบบส่งกำลังเข้าสู่เกียร์ว่าง เมื่อผู้ขับยกคันเร่ง จะช่วยลดการสูญเสียเชื้อเพลิงโดยไม่จำเป็น และช่วยทำให้ใช้พลังงานในรูปของแรงเฉื่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนกว่าผู้ขับจะแตะเบรก หรือคันเร่งอีกครั้ง 

C-Class ใหม่รุ่น C220d Avantgarde ติดตั้งระบบกันสะเทือนแบบ AGILITY CONTROL เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนประกอบหลักของระบบกันสะเทือนที่กำหนดค่าแบบไดนามิก คือ 4 link ที่ด้านหน้าและ Multi Link ที่ด้านหลัง ติดตั้งกับเฟรมย่อย ระบบกันสะเทือนของ New C-Class Avantgarde เป็นพื้นฐานของระบบกันสะเทือนในยานยนต์ระดับสูงของแบรนด์ตราดาว เน้นความสะดวกสบายในการขับเคลื่อนและเสียงการทำงานที่ลดลง การควบคุมทิศทางที่คล่องตัว และความสนุกในการขับเมื่อใช้ความเร็ว ฟิลลิ่งของช่วงล่างออกมาในแบบนุ่มหนึบหนักแน่นตามสไตล์ระบบรองรับของแบรนด์ตราดาว สัมผัสของช่วงล่างออกมาสูสีกับ BMW 320d LCI M Sport แบบกินกันไม่ลงอยู่ที่ความชอบส่วนตัว ดูเหมือนพวงมาลัยของ BMW Series-3 G20 จะคมกว่านิดๆ แต่ C-Class W206 มีพวงมาลัย The new DIRECT SELECT ที่แม่นยำพอๆกัน น้ำหนักของพวงมาลัยไฟฟ้า ผ่อนสั้นผ่อนยาวไปตามสปีดความเร็ว ขับเร็วพวงมาลัยจะปรับหน่วงให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อถอยเข้าออกในที่คับแคบ พวงมาลัยให้ความรู้สึกเบาเพื่อทำให้ง่ายต่อการถอยเข้าออกจากพื้นที่จอดเล็กๆ 

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเจเนอเรชันล่าสุดนี้คือการมุ่งเน้นไปที่ความสบาย การขับขี่นั้นให้สัมผัสที่นุ่มกว่า BMW 3 Series อย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าถ้าอยากหนึบหนับมากกว่านี้ ยังมี C300e AMG Line ซึ่งมาพร้อมกับระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ตและต่ำกว่ามาตรฐาน 15 มิลลิเมตร แต่ถ้าคุณต้องการความเป็นรถบ้านที่เน้นการใช้งาน รุ่น Avantgarde เหมาะสมทั้งสมรรถนะและราคา 

Mercedes เป็นรถที่คุณสามารถใช้ระยะทางและใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่อขับมันอย่างมีความสุขบนมอเตอร์เวย์ นี่คือรถที่นุ่มนวล มั่นใจกับระบบความปลอดภัยแบบใหม่ ความอึดของเครื่องดีเซล และสามารถขับได้ไกลเกือบๆ 800 กิโลเมตร ถ้าไม่เข่นคันเร่งมากเกิน แม้จะไม่ครบเท่ากับรุ่นปลั๊กอินไฮบริดที่แพงกว่า แต่ก็ดีสำหรับการใช้งานซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับรถราคาเฉียดๆ สามล้าน C-Class C220d ใหม่เป็นรถที่หล่อเหลาและมีความสามารถ ขับทดสอบนาน 8 วันมันให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับความสะดวกสบาย ความประณีต และคุณภาพของ Audi A4 มากกว่าไดนามิกของ BMW 3-Series LCI รุ่น 320d M Sport มีห้องโดยสารที่หรูหรา พร้อมเทคโนโลยีระดับ S-Class เครื่องยนต์ไม่ได้น่าพึงพอใจที่สุดในการใช้งาน แต่ก็มีประสิทธิภาพด้านความประหยัดและความอึด รวมถึงการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถยนต์ในคลาสเดียวกัน.


รายละเอียดด้านเทคนิค C 220 d Avantgarde 

สีตัวถัง สีขาว Polar White / สีดำ Obsidian Black / สีเทา Graphite Grey และ สีเงิน High-tech Silver

เครื่องยนต์ดีเซล แถวเรียง /4 สูบ/4 วาล์วต่อสูบ เทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์

ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 1,993 ซีซี
กำลังสูงสุด 147 กิโลวัตต์ 200 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที 
แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ที่  1800-2800
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 7.3 วินาที
ความเร็วสูงสุด 245 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ความจุถังเชื้อเพลิง 66 ลิตร 
ความจุห้องเก็บสัมภาระส่วนท้าย 455 ลิตร 
ระบบส่งกำลัง เกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC) พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
(Steering -wheel Gearshift Paddles)
ล้อและยาง
ล้ออัลลอยขอบ 18 นิ้ว
ยางหน้า 225/45 R18
ยางหลัง 245/40 R18
มิติตัวถัง กว้าง 1,820 มิลลิเมตร ยาว 4,751 มิลลิเมตร สูง 1,437 มิลลิเมตร 

ระบบความปลอดภัย
ถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตําแหน่ง สําหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตําแหน่ง สําหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า
ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง ป้องกันศีรษะ 4 ตําแหน่ง สําหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
ถุงลมนิรภัยบริเวณหัวเข่า สําหรับผู้ขับขี่
เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด (5 ที่นั่ง)
โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP® (Electronic Stability Program)
ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti - lock Braking System)
ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชัน HOLD และ Hill -Start Assist
ไฟเบรกกะพริบฉุกเฉิน (Adaptive Brake Light)
ระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ (Active Brake Assist)
ระบบรักษาระดับความเร็ว (Cruise control) และระบบจํากัดความเร็ว (SPEEDTRONIC)
ระบบเตือนเพื่อนํารถเข้าศูนย์บริการ (ASSYST service interval indicator)
ระบบเตือนแรงดันลมยาง (Tyre pressure loss warning system)
ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST)
ระบบช่วยการนํารถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist with PARKTRONIC)
กล้องแสดงภาพด้านหลัง ขณะถอยรถ (Reversing camera)
ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist)
ระบบแจ้งเตือนยานพาหนะขณะเปิดประตูรถ (Exit Warning Function)
ระบบแจ้งเตือนสถานะเข็มขัดนิรภัยสําหรับผู้โดยสารตอนหลัง

อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก
ใบปัดนํ้าฝนทํางานโดยอัตโนมัติ พร้อมเซ็นเซอร์วัดปริมาณนํ้าฝน
ไฟหน้าแบบ LED High Performance
ไฟส่องทางใต้กระจกมองข้างเป็นรูปตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์
ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง ไฟท้าย และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED
กระจกมองข้างปรับระดับและพับเก็บด้วยระบบไฟฟ้า
กระจกมองข้างด้านผู้ขับขี่และกระจกส่องหลังปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ
ตกแต่งรอบคันแบบ Avantgarde
ระบบกุญแจแบบ KEYLESS - GO comfort package
ระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้มือ (HANDS - FREE ACCESS)
ช่วงล่างแบบ AGILITY CONTROL
แผ่นรองกันกระแทกใต้ห้องเครื่องยนต์
ล้ออัลลอยแบบ multi - spoke ขนาด 18"
ยางรถยนต์แบบ Run - flat

อุปกรณ์มาตรฐานภายใน
ฟังก์ชัน ECO start / stop
ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMATIC แบบ 2 โซน
ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ DYNAMIC SELECT
เบาะนั่งแบบ Comfort seats
เบาะนั่งคู่หน้าพร้อมระบบดันหลัง 4 ทิศทาง แบบ Lumbar support
เบาะนั่งคู่หน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจํา
เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลัง พับได้แบบ 1 /3 และ 2/3
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ 3 ก้าน หุ้มหนัง
ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบ Remote engine start 
ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ (Push Start)
ตกแต่งห้องโดยสารแบบ AVANTGARDE interior
วัสดุตกแต่งห้องโดยสารแบบ Silver grey diamond-pattern trim
แผงคอนโซลกลางแบบ high - gloss black สีดํา
ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารปรับได้ 64 เฉดสี
หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบ Digital ขนาด 12.3"
หน้าจอแสดงผลบริเวณคอนโซลกลางขนาด 11.9"
ระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย (Wireless charging)
สําหรับที่นั่งด้านหน้า
กาบบันไดสเตนเลส พร้อมสัญลักษณ์ Mercedes - Benz แบบเรืองแสง
ชุดอุปกรณ์ช่วยจัดเก็บสัมภาระ และ ช่องเก็บที่แผ่นหลังเบาะคู่หน้าแบบ
Stowage Space package
ที่วางแก้วนํ้าบริเวณคอนโซลกลาง
ระบบจดจําโปรไฟล์ผู้ขับขี่ ด้วยการสแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint scanner)
ช่อง USB Type C บริเวณที่เท้าแขนสําหรับที่นั่งคู่หน้า 2 ช่อง

ระบบความบันเทิงและการสื่อสาร
ฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการรองรับ Apple CarPlay™ และ Android Auto
ระบบขอความช่วยเหลืออัตโนมัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
อุปกรณ์สื่อสารด้วยสัญญาณ LTE สําหรับบริการ Mercedes me connect
ระบบมัลติมิเดียแบบ MBUX

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/