ทุกวันนี้ วัฒนธรรมของพวกอเมริกันได้แพร่ระบาดไปทั่ว ตั้งแต่การยุติลงของสงครามโลกครั้งที่สอง คุณจะพบว่า Hollywood และ KFC ตลอดจน Nike และ McDonalds ได้เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของคุณแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ของใช้ส่วนตัวไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ที่ประกอบในไทย หรือคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่ผลิตในจีนก็มักจะประทับตราแบรนด์อเมริกันอยู่เสมอ และตอนนี้ก็จะมีตราสัญลักษณ์ในวงการรถยนต์ที่ยืนยงมานานกว่า 55 ปี โผล่ออกมาให้เห็น นั่นก็คือ Ford Mustang เจเนอเรชั่นที่ 6 ซึ่งมาพร้อมกับการเฉลิมฉลองครบวาระ 55 ปี แต่ไม่มีอะไรที่รับประกันได้เลยว่า นี่คือ Mustang ที่ดีที่สุด เนื่องจากการจูนรถสปอร์ตเจ้าแห่งตำนานของ Ford นั้น ยังคงยึดติดกับอารมณ์เดิมๆ นั่นก็คือความพยศของสายพันธุ์ม้าป่า ที่รอให้นักขับเอาออกไปค้นหาความจริง เจเนอเรชั่นที่ 6 มาถึงพร้อมกับการทำตัวให้น่ารักมากกว่าเดิม ด้วยการสลัดทิ้งช่วงล่างหลังแบบทอร์ชั่นบีม โดยหันมาคบหากับช่วงล่างหลังแบบอิสระที่ควบคุมได้ง่ายขึ้น

นอกจากนั้นยังมีรุ่นพวงมาลัยขวา และรุ่นเครื่องเล็กออกมาให้เลือกสำหรับบางประเทศที่ขับรถสวนทางกับชาวบ้านเค้า เครื่องยนต์ 2.3 ลิตร เทอร์โบ ถูกเสริมเข้ามาเอาใจพวกที่อยากได้ม้า แต่มีเงินไม่มากพอสำหรับการสอยรุ่น GT V8 รุ่นเครื่องเล็กของพี่ม้ายังถูกผลิตออกมาสำหรับบางพื้นที่ที่เข้มงวดกวดขันในเรื่องค่ามลพิษ โดยเฉพาะในยุโรปนั้น เครื่องยนต์ไซล์ยักษ์จะมีภาษีที่แพงแสบไส้ ทำให้ EcoBoost 2.3 ลิตร เทอร์โบ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักเลงรถสปอร์ตหน้าใหม่ที่มีใจฝักใฝ่ม้าป่า Mustang 

...

เครื่องยนต์และช่วงล่างของมันเปลี่ยนแปลงไปก็จริง แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ก็คือ อารมณ์ของการควบคุมหลังพวงมาลัยที่ยังคงมีอาการพยศอยู่เหมือนเดิม สำนัก Ford Performance นั้นสามารถเซ็ตรถดีๆ อย่าง Raptor และ Focus ST รวมไปถึงมหากาฬอย่าง Ford GT40 ให้มีการยึดเกาะที่ดี เร่งเร็วและควบคุมง่าย แต่ไม่ใช่กับ Mustang สำหรับรถรุ่นเจน 6 นั้น มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นทรงของรถที่สวยงามดุดันมากกว่าเดิม ช่วงล่างหลังแบบมัลติลิ้งค์ เพลาขับที่ได้รับการอัพเกรดและระบบอัดอากาศที่ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในรถ Mustang เครื่องยนต์ EcoBoost แรงใช้ได้แต่ก็ไม่ได้ดุเท่ากับเจ้าม้าเครื่องใหญ่ แถมยังมีการคงเอกลักษณ์เดิมๆ เอาไว้ นั่นก็คือเสียงท่อที่ดังกระหึ่มราวกับเครื่องยนต์ V8 เป็นเสียงคำรามในรอบสูง ที่ยังคงความเป็น Mustang แท้ๆ เอาไว้อย่างเหนียวแน่น การกระทำดังกล่าวของทีม  Ford Performance สามารถซื้อใจลูกค้าได้อย่างไม่ยากเย็นนัก 

...

...

...

เจเนอเรชั่นล่าสุดของม้าป่าจากอเมริกาเหนือ คือการเฉลิมฉลองครบ 55 ปี ของรถสปอร์ตแห่งตำนานม้าด่วน Mustang เป็นรถที่มีประวัติศาสตร์ในวงการยนตรกรรมยาวนานพอๆ กับคนที่เกิดในปี พ.ศ. 2508 หรือ ค.ศ. 1965 ม้าป่าเป็นรถสปอร์ตอเมริกันที่มีคนจำนวนไม่น้อยอยากได้เป็นเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นทรง Coupe หรือ Convertible พี่ม้าถือเป็นรถสายพันธุ์สุดคลาสสิกที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันได้อย่างลงตัว มันมาพร้อมเรือนร่างที่ใหญ่โตตามสไตล์ของรถมัสเซิลคาร์ สำหรับ Ford Mustang รุ่นที่ 6 ถูกเปิดตัวเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2013 หลังจากนั้น รถรุ่นปรับโฉมเพิ่มอุปกรณ์ก็ถูกส่งออกมาจากโรงงาน Ford อย่างต่อเนื่อง Mustang เป็นรถสปอร์ตในตำนานรุ่นแรกที่มีการผลิตเวอร์ชั่นพวงมาลัยขวาและวางจำหน่ายไปทั่วโลกรวมถึงไทยที่ Ford Motor Thailand นำรุ่นตกแต่งพิเศษครบ 55 ปี เข้ามาขายในราคา 3.5  ล้านบาท ในรุ่นเครื่องเล็ก 2.3 Eco Boost คุณจะได้รถสองประตูคันโตที่มีส่วนหน้ายาวเหยียดและส่วนท้ายที่สั้นกุด ท่านั่งขับที่แสนสบาย จากพื้นที่ของห้องโดยสารทซึ่งใหญ่กว่ารถคู่แข่งในทุกมิติ แม้จะวางเครื่องเล็กที่ไม่โหดและดุดันเท่ากับรุ่น GT V8 แต่เสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดผ่านท่อระบายไอเสียที่ได้รับการปรับแต่งจากสำนัก Ford Performance บวกกับความดิบของไดนามิกที่แปลกแยกและแตกต่าง สร้างเอกลักษณ์และสไตล์ที่ยากจะลอกเลียนแบบ โดยเฉพาะอาการท้ายกวาดที่มีทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ รอให้นักเลงรถได้ออกไปค้นหาความบันเทิงที่มาพร้อมกับความเสียว! 

เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 4 สูบ ขนาด 2.3 ลิตรของ Mustang 2.3 55 Anniversary รุ่นรองท็อป ติดตั้งระบบอัดอากาศเทอร์โบประสิทธิภาพสูง เป็นเครื่องยนต์ที่ประจำการอยู่ใน Fortd Focus ST ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของแรงบิดจากเครื่องไซส์เล็ก ระบบส่งกำลังติดตั้งเกียร์ใหม่ 10 สปีด มีส่วนช่วยในการเพิ่มสมรรถนะ ในด้านของการถ่ายเทแรงบิดในแต่ละเกียร์ ไม่ว่าจะเป็นการเร่งความเร็วที่ต้องการอัตราทดตีนต้นจี๊ดๆ รวมไปถึงการวิ่งด้วยความเร็วเดินทางคงที่ในเกียร์สุดท้ายหรือเกียร์ 10 ช่วยทำให้เครื่องยนต์กินน้ำมันน้อยลง Ford Mustang 2.3 55 Anniversary ยังเป็นรถสปอร์ตที่ขับได้ดี มีรูปลักษณ์ สมรรถนะ และเสียงเครื่องยนต์เป็นไปตามแบบฉบับของรถสปอร์ตระดับตำนาน ผสมกับความประณีต ทันสมัย พร้อมประสิทธิภาพของการขับแบบรถยนต์ยุคใหม่ ทำให้ใครก็ตามที่ชอบขับรถทางไกลรู้สึกหลงใหลไปกับงานวิศวกรรมของอเมริกัน

รุ่น 2.3 EcoBoost 310 แรงม้า ซึ่งไม่ค่อยจะแรงเท่าที่ควร แต่ในความที่ไม่แรงมาก ทำให้ควบคุมง่ายและปลอดภัย เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ไม่เน้นกำลังแต่เน้นที่รูปทรงแถมยังประหยัดได้อีก 1,200,000 บาท ส่วนรุ่นสูงสุด GT V8 ที่มีม้าตุนอยู่ใต้ฝากระโปรงมากถึง 460 ตัวพร้อมแรงบิดระดับทะลุมิติที่ 556 นิวตันเมตร อันนั้นต้องระวังให้ดีๆ ถ้าคิดจะปล่อยม้ากันแบบหมดคอก Ford เป็นผู้ผลิตรถสปอร์ตที่เคยเป็นตำนานในสนามแข่งอย่าง GT40 รวมถึงรถแรลลี่ที่ดิบโหดอย่าง Ford RS200 รถแข่งทางฝุ่นที่มีประสิทธิภาพสูง และที่ลืมไม่ลงก็คือ ชัยชนะในสนามแข่ง F1 จากทีมงานของ Ford Cosworth การสั่งนำเข้าม้าป่า Mustang ทั้งสองรุ่นสองเครื่องยนต์ มาขายในประเทศไทย ด้วยรถรุ่นพิเศษ ฉลองครบรอบ 55 ปี จึงเป็นเรื่องที่ดี เช่นเดียวกับ Mustang รุ่นแรกๆ ที่กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ เจ้า 2.3 Eco Boost เป็นรถที่มีกล้ามพอท้วมๆ จากเครื่องยนต์ 4 สูบ ที่มีความจุ 2,300 ซีซี ฝากระโปรงหน้ายาว บั้นท้ายถูกหั่นให้สั้นกุดพร้อมไฟท้ายสไตล์เดิมที่เรียกร้องความสนใจของนักเลงรถ 

Mustang มีเส้นสายที่สวยงามโดยเลียนแบบรูปทรงของ Mustang รุ่นแรกๆ ที่เคยประสบความสำเร็จในอดีต รูปทรงของมันผสมผสานกันระหว่างความเรียบง่ายและความทันสมัยของรถสปอร์ตยุคใหม่ แต่ก็ยังมีบางจุดบางตำแหน่งที่แปลกตา และแตกต่างจากรถสปอร์ตของฝั่งยุโรป ไฟหน้า LED พร้อมกลไกการทำงานของระบบไฟแบบอัตโนมัติ ฝากระโปรงหน้ายาวเหยียด เสาหน้าลาดเอียงพร้อมแนวโค้งของหลังคาสไตล์รถสปอร์ต ไฟท้าย LED ออกแบบอย่างสวยงาม สปอยเลอร์หลังพร้อมครีบรีดอากาศและวิงหลังสำหรับสร้างแรงกดส่วนท้ายเมื่อทำความเร็ว Mustang รุ่น 2.3 Eco Boost แตกต่างจากรุ่น GT V8 5.0 เช่น กระจังหน้าของรุ่นเครื่องเล็กเป็นพลาสติกสีดำด้าน ส่วนกระจังของรุ่นสูงสุดเป็นพลาสติกสีดำเงา เบรกหน้าของรุ่นรองใช้คาร์ลิปเปอร์ 4 พอต ส่วนเบรกของรุ่นท็อปสุดใช้เบรก 4 พอตของ Brembo และบริเวณแผงพลาสติกที่ตกแต่งอยู่ตรงกลางฝาท้ายที่เชื่อมต่อกับไฟท้ายทั้งสองข้าง รุ่นรองจะเป็นโลโก้สัญลักษณ์รูปม้า ส่วนรุ่นสูงสุดประทับตัวอักษร GT เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่านี่คือ Mustang ที่วางเครื่องยนต์ไซล์ยักษ์ขนาด 5.0 ลิตร! 

มิติตัวถังของ Mustang มีความยาวถึง 4,879 มิลลิเมตร กว้าง 2,097 มิลลิเมตร สูง 1,382 มิลลิเมตร ความกว้างล้อคู่หน้า 1,584 มิลลิเมตร ความกว้างล้อคู่หลัง 1,653 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,720 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,720 กิโลกรัม ล้ออัลลอย Performance pack wheel สีดำด้าน คู่หน้าขนาด 19 x 9" ยางล้อหน้า Pirelli P ZERO ขนาด 255/40 ZR19 ส่วนล้อหลังขนาด 19 x 9.5" ยาง P ZERO ขนาด 275/40 ZR19

Mustang ยุคใหม่ มีดีไซน์ห้องโดยสารที่ทันสมัย โดยมีรูปแบบที่เชื่อมโยงกับงานภายในของ Mustang ในอดีต Ford เป็นแบรนด์ที่นิยมใช้พลาสติกเกรดกลางๆ ไม่ว่าจะเป็น Raptor หรือเจ้าม้าป่าสายเท่ก็มีงานตกแต่งที่อุดมไปด้วยชิ้นงานพลาสติกอันหลากหลาย จุดที่ยังคงแอบอิงกับความคลาสสิกของรถรุ่นเก่าก็คือ อุโมงค์เกียร์ขนาดยักษ์ ออกแบบโดยแบ่งพื้นที่ของคนขับและผู้โดยสารออกจากกันอย่างชัดเจน แดชบอร์ดแบบสองฝั่งที่มีความสมมาตร มีรูปแบบที่ทันสมัยและสวยงาม ใช้พลาสติกสีเงินเลียนแบบงานอะลูมิเนียมคาดตรงกลาง ช่องแอร์ทรงกลมที่อยู่กึ่งกลางของคอนโซล จอมอนิเตอร์ระบบสัมผัสของ Ford หน้าตาคุ้นๆ คล้ายกับ Everest Ranger และ Raptor สั่งงานด้วยการแตะสัมผัสบริเวณหน้าจอภาพ เบาะ Recaro ของรุ่นฉลองครบรอบ 55 ปี เป็นเบาะสปอร์ตจากแบรนด์ แบบสปอร์ตนั่งนิ่มสบายทั้งก้นและแผ่นหลัง เบาะปรับไฟฟ้าคู่หน้าเฉพาะการเดินหน้าและถอยร่นตัวเบาะ ถ้าจะปรับเอียงพนักพิงหลังก็ต้องปรับด้วยมือ ส่วนเบาะหลังมีพื้นที่คับแคบเหมาะกับเด็กตัวเล็กมากกว่าจะให้ผู้ใหญ่ตัวโตเข้าไปนั่ง

รุ่นฉลองครบรอบ 55 ปี ของ Mustang จัดเบาะแบบสปอร์ตของ Recaro ซึ่งมักติดตั้งอยู่ใน Mustang รุ่นพิเศษที่มีเรี่ยวแรงมหาศาล เบาะ Recaro ปรับเลื่อนเดินหน้า ถอยหลังและปรับระดับความสูงด้วยไฟฟ้า ส่วนการปรับพนักพิงหลังใช้ปรับแบบแมนนวลโยกคันปรับที่บริเวณด้านข้าง เบาะ Recaro ยังออกแบบให้มีการปรับดุนแผ่นหลังเพื่อเพิ่มความกระชับขณะขับขี่ ส่วนเบาะหลังมีพื้นที่แค่พอสำหรับเด็กที่มีอายุไม่เกินสิบขวบ หากเอาคนตัวสูงไปนั่งเบาะหลังก็จะพบกับความคับแคบที่ทำให้ไม่สบายตัว เบาะหลังของ Mustang จึงเหมาะกับการวางกระเป๋า ของกระจุกกระจิก ให้น้องชิวาวา ปอมเมอเรเนียน หรือแมวเปอร์เซียนอนเล่น มากกว่าจะให้คนรูปร่างสูงใหญ่เข้าไปนั่ง! 

จอภาพมาตรวัดแบบ TFT LCD ขนาด 12 นิ้ว ใหญ่โตมองเห็นได้อย่างชัดเจน มาตรวัดแบบทรงกระบอกที่ปรับเปลี่ยนจากการใช้เข็มวัดรอบและวัดความเร็วมาเป็นจอภาพที่มีความคมชัดพร้อมลูกเล่นที่พ่วงการปรับตั้งค่าได้อย่างหลากหลาย พวงมาลัยทรงสามก้านพร้อมสวิตช์ปรับตั้งระบบต่างๆ เต็มไปหมด พวงมาลัยให้อารมณ์ย้อนๆ ตอนมองไปที่รูปม้า แป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift เล็กไปนิด ถ้ามีขนาดเท่ากับ Raptor จะดีงามกว่านี้มาก พวงมาลัยไฟฟ้าปรับตั้งได้ 4 ทิศทาง ควบรวมกับน้ำหนักที่ดีจากมอเตอร์ตัวเล็กๆ ที่คอยควบคุมน้ำหนักของพวงมาลัยให้แปรผันไปตามความเร็วกับโหมดของการขับเคลื่อน

แดชบอร์ดประทับตราสัญลักษณ์ 55th anniversary หน้าจอมอนิเตอร์ระบบสัมผัส ขนาด 8 นิ้ว ติดตั้งระบบให้ความบันเทิง Ford SYNC 3 ต่อเชื่อมกับ Bluttooth, Wi-Fi รองรับ Apple CarPlay/Android ใต้จอมอนิเตอร์มีช่องใส่แผ่น CD ช่องเสียบ USB ระบบนำทางและกำหนดพิกัดด้วยดาวเทียม ใต้จอภาพเป็นชุดควบคุมของระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกฝั่งหรือ Dual-zone สวิตช์ปรับตั้งโหมดการขับเคลื่อน และสวิตช์สตาร์ตเครื่องยนต์

โหมดการขับเคลื่อนของ Ford Mustang 2.3 Eco Boost เริ่มจาก Normal / Sport + / Track / Wet mode / โหมดแข่งทางตรง!! เรียกว่าจัดมาครบทุกโหมด สำหรับการปรับโหมดต่างๆ ผ่านสวิตช์ควบคุมบริเวญคอนโซลกลาง หน้าจอภาพมาตรวัด TFT Thin film transistor จะปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามโหมดขับเคลื่อนนั้นๆ เพื่อแสดงผลของการวัดและการจับเวลาต่อรอบ มาตรวัดรอบจะปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามโหมดต่างๆ เพื่อทำให้สามารถอ่านค่าได้ง่าย ส่วนจอภาพ MID ที่รวมอยู่ในจอภาพ TFT แสดงผลการวัดอุณหภูมิของน้ำในระบบระบายความร้อน อุณหภูมิของเครื่องยนต์และระดับการบูสของเทอร์โบ ตำแหน่งเกียร์ ทริปมิเตอร์ ระดับเชื้อเพลิงในถัง คำนวนอัตราสิ้นเปลืองและระยะทางต่อเชื้อเพลิงที่เหลืออยู่ในถัง อุณหภูมิภายนอก และเข็มทิศ 

เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 4 สูบ 4 วาล์วต่อสูบ DOHC ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 2,261 ซีซี อัตราส่วนกำลังอัด 9.5:1 ความกว้างกระบอกสูบ 87.5 มิลลิเมตร ช่วงชัก 94.0 มิลลิเมตร ระบบวาล์ว Direct Acting Mechanical Buckets ระบบจ่ายเชื้อเพลิงไดเรคอินเจคชั่น ระบบระบายไอเสีย Dual Bright Exhaust with Rolled tips กำลังสูงสุด 228 กิโลวัตต์ หรือ 310 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 44.8 กิโลกรัม/เมตร หรือ 447 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 5.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 233 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 10 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อย CO2 225 กรัม ต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร ระบบส่งกำลัง ติดตั้งเกียร์อัตโนมัติขับเคลื่อนล้อหลัง 10 สปีด SelectShift® Automatic Transmission with manual override พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift ความจุถังเชื้อเพลิง 59 ลิตร น้ำหนัก 1,660 กิโลกรัม ระบบบังคับเลี้ยวใช้พวงมาลัยไฟฟ้า Selectable-Effort Electric Power Assisted (EPAS) ระบบรองรับด้านหน้าแบบ Macpherson strut double ball joint Suspension ด้านหลังเป็นแบบ Independent integral rear link ล้ออัลลอยขอบ 19 นิ้วสีดำด้าน Machined-face Aluminum with low gloss Ebony Painted pockets (รุ่น 2.3 Eco Boost) ระบบเบรก ด้านหน้า ติดตั้งจานเบรกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 353 มิลลิเมตร คาร์ลิปเปอร์ 4 พอต ส่วนด้านหลังใช้จานเบรกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 330 มิลลิเมตร คาร์ลิปเปอร์เบรกแบบ single-piston calipers


Ford Thailand นำเข้า Mustang รุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 55 ปี โดยมีการติดตั้งออปชันเสริมสำหรับการขับที่หลากหลาย และมีวางขายในประเทศไทยสองรุ่น คือ


Mustang รุ่น 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack ราคา 4,899,000 บาท

Mustang รุ่น 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack ราคา 3,699,000 บาท (คันทดสอบ) 

Mustang รุ่นพิเศษ มีโหมด Good Neighbor Mod ที่เป็นมิตรต่อเพื่อนบ้าน เหมาะสำหรับการขับขี่ตอนเช้าตรู่และยามดึก โดยชุดท่อไอเสีย Active Valve Performance Exhaust จะปิดวาว์ลบายพาส ช่วยลดเสียงของเครื่องยนต์ นอกจากนี้ ยังมีระบบ Electronic Line Lock ฟีเจอร์ซึ่งทำงานเฉพาะกับเบรกคู่หน้าสามารถเบิร์นยางคู่หลังได้ ขณะรถจอดนิ่งก่อนออกตัว และ Rapid Red ก็คือสีแดงแสบสันของรถทดสอบ Mustang รุ่น 2.3 EcoBoost ทรงของรถมีส่วนที่คล้ายกับม้าป่ารุ่นคลาสสิก นั่นก็คือ Mustang Fastback ปี 1966 ซึ่งเป็นรถที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับ Ford ในการแข่งขัน Trans Am ของยุค Rock&Roll การมาถึงของ Mustang รุ่นพิเศษ 55th anniversary ถือเป็นการฉลองครบอายุ 55 ปี ที่มาพร้อมกับความหล่อและอุปกรณ์เสริมประสิทธิภาพการขับแบบพอหอมปากหอมคอ นี่คือเจ้าม้าที่พยายามสลัดรูปแบบเดิมและเดินหน้าไปสู่อนาคต นับจากการเปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน ปี คศ. 1964 วันนี้Mustang ทันสมัยมากยิ่งขึ้นและขับได้ดีจากเทคนิคใหม่ๆ ที่ได้รับการใส่ใจดูแลจากสำนัก Ford Performance พี่ม้ากลายเป็นรถ World Car ที่มีขายอยู่ในโชว์รูมของ Ford ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ด้วยรูปแบบของรถพวงมาลัยขวาสเปคยุโรป จุดที่ผมชอบก็คือ ไฟท้าย LED แบ่งออกเป็นฝั่งละสามแถบ ฝากระโปรงหน้าใหญ่และยาวเหยียด ซึ่งมีส่วนทำให้หน้ารถดูโหนกนูน รุ่นเครื่องยนต์ 2.3 ลิตร ได้รับความนิยมพอสมควรในไทย แต่ส่วนใหญ่ลูกค้ามักจะถอยออกมาจากเกรย์มาร์เก็ตและบางส่วนก็ซื้อตรงๆ จากตัวแทนจำหน่ายของ Ford Thailand 

เครื่องยนต์เบนซิน 2.3 ลิตร EcoBoost มีบางส่วนคล้ายกับเครื่องยนต์ของ Ford Focus ST รุ่นท็อปสุด ทำให้ Mustang รุ่นเครื่องเล็ก เป็นรถที่นำระบบอัดอากาศเทอร์โบมาใช้เป็นครั้งแรกในสายการผลิต เทอร์โบแบบ Twin Scroll เค้นกำลังได้ 310 แรงม้า แรงบิดพอได้ที่ 447 นิวตันเมตร ส่วนตัวเลขสมรรถนะ เร่งจาก 0-100 ได้ใน 5.5 วินาที แต่ถ้าจะพูดกันถึงเรื่องของอัตราเร่งแล้วละก็ Mustang มีโหมดพิเศษ ที่สามารถออกตัวในลักษณะเบิร์นยางจนควันท่วม ล้อจะฟรีและทิ้งรอยยางยาวเหยียด หากคุณมีเงินมากพอที่จะเปลี่ยนยางได้ตามใจชอบก็จะพบกับความบันเทิงที่คล้ายรถแข่ง ภายในของมันอุดมไปด้วยพลาสติกในสไตล์ Retro แต่รถรุ่นใหม่คันนี้ ใช้พลาสติกเกรดดีขึ้น โดยมีบางจุดที่ให้สัมผัสนุ่มนิ่ม จากการหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์พร้อมสอดไส้ฟองน้ำอยู่ภายในเพื่อทำให้มันมีผิวสัมผัสที่ดี คุณภาพงานประกอบยังคงเป็นรองรถสปอร์ตจากฝั่งยุโรป จอมัลติมีเดียแบบสัมผัส สวิตช์ปรับโหมดที่มีให้เลือกหลากหลาย จนสามารถปรับการตอบสนองของพวงมาลัยไฟฟ้าได้ถึง 3 ระดับ คุณภาพของความประณีตจากงานตกแต่งภายในนั้น ไม่อาจเทียบได้กับ BMW new Series-4 / Mercedes-Benz E-Coupe หรือแม้กระทั่ง Audi A5 Coupe แต่คุณจะเห็นความพยายามของ Ford Performance ที่ใช้การปรับปรุงให้ดีขึ้น และดีจนกระทั่งการมาถึงของรถรุ่นพิเศษ 55th anniversary

ผมมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกของกรุงเทพฯ เส้นทาง สุพรรณบุรี-กาญจนบุรี ถูกใช้ทดสอบรถรุ่นนี้อีกครั้ง เนื่องจากถนนโล่งและเป็นวันที่มีอากาศโคตรจะดี Mustang วิ่งผ่านหุบเขาสีเขียวที่อีกนิดเดียวมันก็จะแห้งและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลตามฤดูกาล ผมชอบเส้นทางที่นี่ เพราะมีโค้งไม่โหดมาก และถนนมีขนาดที่พอเหมาะสำหรับขับทดสอบเจ้ามัสเซิลคาร์ขวัญใจของพวกอเมริกันชน วิวสองข้างทางก็งดงามราวกับภาพวาดในปฏิทิน แถมยังเงียบสงบปราศจากรถสิบแปดล้อหรือรถบรรทุกอ้อย โดยเฉพาะเส้นทางที่จะมุ่งไปยังเขาโจก ออกมาจากกรุงเทพฯจนมาถึงแยกบายพาสเลี่ยงตัวเมืองสุพรรณฯ ด้วยการขับแบบปกติ พี่ม้ายังคงทำตัวสุภาพเรียบร้อย ไม่กระโชกโฮกฮากจากการใช้คันเร่งอย่างระมัดระวัง พวงมาลัยไฟฟ้าในโหมดปกติเท่าที่รับรู้จากสัมผัส มันไม่ใช่พวงมาลัยที่จะตอบสนองไวเหมือนรถเยอรมัน แต่ก็เป็นชุดบังคับเลี้ยวแบบใหม่ที่ดีมากแล้วเมื่อเทียบกับพวงมาลัยเพาเวอร์ไฮดรอลิกของรถ Mustang ในยุค 80 มันสามารถหักเลี้ยวได้ตามสั่งแต่ไม่คมเท่าที่ควร เนื่องจากระยะโอเวอร์แฮงค์หน้านั้นยาวเหยียด ปุ่มปรับการตอบสนองของพวงมาลัยที่จัดมาให้ถึง 3 ระดับ ในระดับสุดท้ายกับโหมด Track นั้นค่อนข้างหนักไปนิด และเหมาะกับการขับในสนามแข่งมากกว่า บางคนก็ชอบแบบปานกลาง หรือหนักสุดไปเลย ซึ่งดูเหมือนการตอบสนองจะดีขึ้น ล้อหน้าเกาะถนนได้ดี แต่เข้าโค้งแล้วมีอาการยวบยาบนิดๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของรถสปอร์ตคันโตใส่ล้อใหญ่กับยางเส้นเขื่อง พี่ม้ารุ่นเครื่องเล็กยังเป็นรถที่ขับง่าย นั่นหมายความว่ามันชอบทำตัวขัดแย้งกับรถรุ่นพี่ ด้วยการวางเครื่องเล็กและมีน้ำหนักมากถึง 1.7 ตัน แต่ดันเร็วได้พอๆ กับ Focus ST  

นานมาแล้วที่ผมเคยลองขับ Mustang รุ่นปี 78 ของเจ้านายเก่า ซึ่งใช้ช่วงล่างหลังแบบคานแข็งทอร์ชั่นบีม ช่วงล่างในลักษณะดังกล่าวมีต้นทุนไม่มาก และเป็นที่นิยมของรถยนต์ราคาถูกมาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบัน Mustang เปลี่ยนระบบรองรับด้านหลัง มาเป็นแบบอิสระที่ทำงานได้ดีขึ้น มัลติลิ้งค์ได้เข้ามาช่วยควบคุมองคาพยพส่วนท้ายของพี่ม้าให้นิ่งขึ้นมากกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้ส่วนท้ายอยู่นิ่งกับที่เมื่อระเบิดพลังงานอย่างเต็มเหนี่ยว ทุกวันนี้ คุณสามารถเข้าโค้งในรถ Mustang ได้อย่างมั่นใจ แต่ก็ต้องใส่มาไม่แรงมากจนเกินขีดจำกัดของรถ แรงสั่นสะเทือนและอาการแกว่งตัวลดลงไปมาก ยิ่งกดทางตรงมันก็จะวิ่งได้อย่างน่าประทับใจ พอก่อนถึงหัวโค้งก็ลดความเร็วลงไปตามสภาพของโค้ง ยิ่งถ้าเป็นโค้งมุมแคบก็ต้องใช้เบรกกันหนักหน่อย แต่งพวงมาลัยให้พอดีกับหัวโค้ง แล้วเลี้ยวเนียนๆเข้าไปอยู่กลางโค้ง ก่อนที่จะมองไปข้างหน้าให้ไกลที่สุด แล้วลงคันเร่งจนสุดตอนที่หน้ารถกำลังจะพ้นจากส่วนปลายของโค้ง การกระทำในลักษณะดังกล่าว จะสนุกที่สุดตอนที่ส่วนท้ายของมันเริ่มต้นที่จะออกอาการบาน อาการนี้จะโผล่มาแบบค่อยเป็นค่อยไป แก้ได้ด้วยการขยับปรับแต่งพวงมาลัย ไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับส่วนท้ายที่กำลังบานออกเล็กน้อย หัวรถและบั้นท้ายของมันก็จะกลับเข้ามาอยู่ในร่องในรอยแบบไม่ยากเย็นนัก 

ถนนที่เป็นทางหลวงชนบทแถบเขาโจกนั้นโล่งมากแทบจะไม่มีรถราสัญจร ทำให้ผมสามารถเพิ่มความเร็วได้ตามใจชอบ โดยเฉพาะทางตรงยาวสุดลูกหูลูกตาระยะ 3,000 เมตร ที่มองเห็นได้จนเกือบจะสุดทาง เครื่องยนต์เทอร์โบ 4 สูบ มีความหยืดหยุ่นที่ใช้ได้ แรงบิดสูงสุดมีให้ใช้งานตั้งแต่ 1,800 รอบต่อนาที เป็นเครื่องยนต์ที่ไม่ได้วิเศษสุดๆ แต่ถูกจูนจนมีความเหมาะสมที่จะวางลงในรถสปอร์ตเจ้าแห่งตำนาน ในบรรดาเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเทอร์โบสมรรถนะสูงนั้น เครื่องยนต์ 2 ลิตร ของ AMG ถือว่าเค้นแรงม้าออกมาได้มากที่สุด ส่วนเครื่องยนต์ EcoBoost นั้นถือว่าอยู่ในอันดับกลางๆ ยังไม่สามารถต่อกรได้แม้กระทั่งเครื่องยนต์ของ VW Golf 2.0GTi หรือแม้แต่สายแรงหายใจเองอย่างเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร VTEC ใน Honda S2000 ส่วนอาการรอรอบของพี่ม้าก็มีแต่ไม่ได้มากมายอะไร พอลากรอบสูง เสียงท่อของเครื่อง 2.3 EcoBoost จะกระหึ่มออกมาคล้ายเครื่องยนต์ V8 เกิดจากการปรับแต่งท่อระบายไอเสีย ให้มีโทนเสียงที่เหมือนกับรถอเมริกันเครื่องโต (แต่แอบเบากว่าเล็กน้อย) ซึ่งถือเป็นเรื่องที่มีความตั้งใจที่จะทำให้มันออกมาดูดี เหมือนเสียงของรถรุ่นพี่อย่าง Mustang GT V8

วิธีขับพี่ม้าก็คือ คุณจะต้องรู้อาการของมันว่าในบางจังหวะ รถอาจมีอาการดีดดิ้นบ้าง ซึ่งถือเป็นอาการธรรมชาติของพี่ม้า โดยเฉพาะการเข้าโค้งมุมแคบเร็วจี๋ ถ้าขับแบบปกติค่อยเป็นค่อยไปแบบเข้าใจรถ บาลานซ์ทุกอย่างก็จะ OK แต่อย่าไปหวังว่ามันจะเป็นรถสปอร์ตที่ประหยัดน้ำมัน การขับในเมืองสลับกับออกทางไกลทำได้ประมาณ 10 กิโลเมตรต่อลิตร ถือว่าไม่ได้ดุเดือดอะไรแต่ก็ไม่ได้ประหยัด และถ้าเกิดความเสี้ยน กดโหมดแรงแล้วขับเร็วต่อเนื่องเมื่อไหร่ คุณก็จะเห็นว่าเข็มวัดเชื้อเพลิงนั้นดิ่งลงล่างอย่างรวดเร็ว มันไม่สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้ดีเท่ากับพวกเครื่องเบนซิน 2.0 ลิตรของเยอรมันก็จริง แต่ถือว่ายังซดน้อยกว่าจอมโหดอย่าง GT V8 ก็แล้วกัน! 

ปีที่ผ่านมา (2562) ผมได้มีโอกาสลองขับ Mustang GT V8 ไปสามร้อยยอด ต้องบอกว่า พละกำลังโดยเฉพาะแรงบิดนั้น เหนือชั้นกว่าเครื่อง 2.3 มาก เครื่อง 5.0 ลิตร แบบหายใจเองโดยไม่พึ่งพาระบบอัดอากาศนั้นมีแรงม้ามากถึง 460 ตัว ออกตัวเร็วๆ เมื่อไหร่เป็นได้เรื่องเมื่อนั้น! แรงบิด 556 นิวตันเมตรที่ปลดปล่อยออกมาอย่างฉับพลันทันที จะทำให้บั้นท้ายของพี่ม้ารุ่นเครื่องโตนั้นดีดดิ้นอย่างรุนแรง นักขับบางคนที่มีฝีไม้ลายมือกลับชอบอาการดังกล่าว แต่มืออย่างผมนั้นต้องใช้ความระวังอย่างที่สุดถ้าคิดจะเล่นแบบยัดเต็มเหนี่ยว มันเป็นม้าป่าที่คุณสามารถเผายางได้ทุกโค้งและกวาดท้ายได้ง่ายดายกว่าการเดินเข้าไปซื้อของใน 7-11 นั่นคือเสน่ห์และเล่ห์กลของรุ่น V8 แถมด้วยเสียงเครื่องไซล์ยักษ์ที่ครางกระหึ่มกึกก้องในรอบสูง ถ้าคุณชอบให้ชาวบ้านร้านตลาดมองเป็นตาเดียว ด้วยเสียงคำรามที่หนักแน่น ก็จงเดินไปที่รุ่น V8 แล้วควักเงินเพิ่ม แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้ชื่นชอบความบ้าพลัง ขอแค่หล่อและขับสนุกเป็นพอ ก็หยิบกุญแจของรุ่น 2.3 ไปได้เลย มันไม่ได้เป็นรถสปอร์ตที่มีไดนามิกโดดเด่นเหมือนพวกคูเป้เยอรมัน แต่ขับแล้วรู้สึกได้ถึงความแตกต่างในด้านอารมณ์ความเป็นรถอเมริกัน และมันก็ยังเป็นรถคูเป้คันโตที่เท่ได้ตลอดเวลาเท่าที่คุณต้องการ!    

ในโลกใบนี้ ยังมี BMW Audi และ Mercedes ที่ผลิตรถสปอร์ตดีๆออกมาอย่างต่อเนื่อง 55 ปีที่ผ่านไปของพี่ม้านั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ของวงการรถยนต์ Mustang ในทุกวันนี้ มีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก มันเป็นรถสปอร์ตที่ยังคงคาร์แลคเตอร์เดิมๆเอาไว้อย่างครบถ้วน เหมาะสำหรับคนที่หลงใหลในรถมัสเซิลคาร์ และมีความปรารถนาที่จะได้ครอบครองรถสปอร์ตของอเมริกันสักครั้งหนึ่งในชีวิต ความเป็นอเมริกันอย่างแรงกล้าของมัน ทำให้รถ Mustang มีประกายที่โดดเด่นในด้านรูปลักษณ์แต่ไม่ใช่กับการขับที่ยังคงเป็นรองรถเยอรมัน ถือเป็นรถที่มีความเป็นเอกเทศ เท่ไม่ซ้ำใครและขับสนุกพอใช้ได้ แต่ถ้าจะเอาให้ดี ขอให้เพิ่มเงินอีก 1,200,0000 เพื่อไปที่รุ่น V8 จะจบทุกอย่างครับ. 



ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน

3-point safety belt restraint system for all seating positions
Glove-Box-Door-Integrated Knee Airbag Open image overlay for Glove-Box-Door-Integrated Knee Airbag
AdvanceTrac® with Electronic Stability Control (ESC)
Belt-Minder® front safety belt reminder
Driver's knee airbag
Dual front airbags
Front-seat side-impact airbags
LATCH Lower Anchors and Tether Anchors for Children
Personal Safety System™ for driver and front passenger
Safety Canopy® side-curtain airbags
SOS Post-Crash Alert System™
Auto High-Beam Headlamps

Mustang รุ่นพิเศษ 55th anniversary มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ 

สีน้ำเงิน เวโลซิตี้ บลู (Velocity Blue)
สีส้ม ทวิสเตอร์ ออเรนจ์ (Twister Orange)
สีแดง แรพิด เรด (Rapid Red)
สีเทา แมคเนติค เมทัลลิค (Magnetic Metallic)

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/