AMG GT C Roadster เป็นรถที่สวยไม่ว่าคุณจะเปิดหรือปิดหลังคา มันมีตัวถังที่แบนและแผ่กว้างถึง 2,007 มิลลิเมตร กว้างพอๆ กับ Mercedes Maybach แต่ห้องโดยสารกลับไม่กว้างตามตัวเลขสัดส่วนขนาดของความกว้าง หลังคาผ้าความหนา 4 ชั้น ทำงานด้วยระบบไฟฟ้าที่ว่องไวพอๆ กับอัตราเร่ง มันใช้เวลาแค่ 11 วินาที ในการกางออกเพื่อปิดคลุมห้องโดยสารหรือพับเก็บอย่างแนบเนียนในสไตล์โรสเตอร์ มันเอาอุปกรณ์บางอย่างของ AMG GT R ติดตัวมาด้วย เช่น แทรคล้อหลังอย่างกว้างราวกับรถแข่ง GT3 อุโมงค์เกียร์ใหญ่โตพอๆ กับอู่จอดเรือดำน้ำ แต่เกียร์ดันไปแปะติดอยู่ที่เฟืองท้าย โช้คอัพไฟฟ้าปรับได้ก็ยังยกมาทั้งชุดจาก GT R รวมไปถึงราคาค่าตัว 16,800,000 บาท ที่ไม่มีการประนีประนอมของมัน 

...

ความดุดันก้าวร้าวของ GT C คล้ายกับรถแข่ง Mercedes AMG GT3 ที่วิ่งอยู่ในสนาม Nürburgring  24-hour กระจังหน้าทรงตะแกรงซี่ที่ใหญ่โตคล้ายปลาฉลามกำลังอ้าปากเพื่องับเหยื่อ Mercedes AMG GT C ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจาก Mercedes-Benz 300SLR 722 W196s เป็นรถสปอร์ตโรสเตอร์เปิดหลังคาที่ Stirling Moss ขับและคว้าชัยชนะในการแข่งขันระยะไกลสุดคลาสสิกในรายการ Mille Miglia เมื่อปี 1955 ช่องตะแกรงจำนวน 15 ช่องที่อยู่ในกรอบกระจังหน้าเปิดรับลมอย่างเต็มที่เพื่อระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์

...

...

...

ไฟหน้าแบบโปนๆ เป็นไฟ LED high performance headlamps กันชนหน้าปิดคลุมส่วนหน้าทั้งหมดโดยออกแบบช่องรับอากาศเพื่อระบายความร้อนให้กับอินเตอร์คูลเลอร์แบบแยกฝั่ง ด้านข้างตัวถังมีเหงือกปลาฉลามหรือช่องระบายความร้อนคาดสัญลักษณ์ V8 Bi-turbo ชายล่างด้านข้างตัวถังเดินเส้นด้วยงานพลาสติกโครเมี่ยมสีเงินดูแปลกตา ผืนหลังคาผ้าความหนา 4 ชั้นที่ลงตัวมีขนาดเล็กเหมาะสมกับการทำตัวเป็นสปอร์ตโรสเตอร์รุ่นสูงสุด บั้นท้ายคล้าย Porsche 911 แผ่กว้างและอวบอ้วนแต่สมส่วน ออกแบบได้ดีมากโดยเฉพาะกันชนหลัง ท่อระบายท้ายกับฝาท้ายที่สอดรับเหลี่ยมมุมอย่างพอดิบพอดี สปอยเลอร์หลังแบบแอคทีฟ Electrically extending rear aerofoil ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติเมื่อความเร็วทะลุผ่าน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือจะกดสวิตช์สั่งให้วิงหลังเล็กๆ ยกคาเอาไว้เพื่อความเท่ก็ยังได้ 

Mercedes-AMG GT C Roadster มีขนาดความยาวของตัวถัง 4,551 มิลลิเมตร ความกว้างแบนแต๊ดที่ 2,007 มิลลิเมตร กว้างยังกับรถเอสยูวี! ส่วนความสูงของสปอร์ตโรสเตอร์เปิดหลังคาคันนี้อยู่ที่ 1,259 มิลลิเมตร เตี้ยม่อต้อเข้าออกจากรถแต่ละครั้งต้องก้มๆ เงยๆ กันมากเป็นพิเศษ ตัวเลขความยาวฐานล้อวัดจากดุมล้อหน้าไปหลังอยู่ที่ 2,630 มิลลิเมตร ระยะห่างล้อคู่หน้า 1,678 มิลลิเมตร หลัง 1,695 มิลลิเมตร หนัก 1,678 กิโลกรัม

AMG GT C เป็นผลงานลำดับที่ 5 คลอดตามหลัง AMG GT S และมีสมรรถนะเป็นรองแค่ AMG GT R ซึ่งถือว่าเป็นตัวสุดของ AMG มันเป็นโรสเตอร์ที่ใกล้เคียงกับคำว่าซุปเปอร์คาร์จากอุปกรณ์แหล่มๆ ที่หยิบมาจาก AMG GT R ซุ้มล้อหลังที่กว้างกว่า GT S 57 มิลลิเมตร บวกกับการขยายความกว้างของล้อหลังอีก 44 มิลลิเมตร ทำให้ทรงของรถรุ่นนี้ดูกำยำ ยางคู่หลังก็ใหญ่กว่าเดิมอีก 10 มิลลิเมตร เป็นยางสปอร์ตประสิทธิภาพสูงของ Pirelli รุ่น P ZERO ไซส์ 305/30 ZR20 ห่อรัดอยู่รอบล้อ AMG ขอบ 20 นิ้ว ยางหน้าไซส์ 265/35 ZR19 เล็กกว่าล้อหลังเพื่อการตอบสนองที่ว่องไวเมื่อต้องเลี้ยวเร็วจิ้ดในโค้งมุมแคบ สำหรับระบบเบรกของ GT C เบรกหน้า AMG high-performance composite brake คาลิปเปอร์สีแดงหน้า 6 พอต  2 พอต ใช้จานเบรกคู่หน้าแบบ Perforated ขนาด 390 มิลลิเมตร จานคู่หลัง 360 มิลลิเมตร

เครื่องยนต์ของ Mercedes-AMG GT C วางตามยาวด้านหน้าขับเคลื่อนล้อหลังแบบ front mid-engine เพื่อการกระจายน้ำหนักที่เน้นความสมดุล การร่นเครื่องเข้าไปจนชิดกับผนังของห้องโดยสารด้านหน้าทำให้น้ำหนักส่วนใหญ่ตกที่กลางรถ ส่งผลไปถึงการทรงตัวที่ดีเยี่ยม เนื่องจากมีเรี่ยวแรงมหาศาล อัตราส่วนการกระจายน้ำหนักจะส่งผลไปถึงการทรงตัวและการเลี้ยว ถ้าทำออกมาดีก็จะทำให้ควบคุมได้ง่าย ซึ่ง GT C สามารถทำได้ สำหรับชุดส่งกำลัง เจ้าโรสเตอร์ยักษ์คันนี้ใช้เกียร์แบบพิเศษเทคโนโลยีจาก Mercedes-AMG GT3 ตัวรถ GT C จะกระจายน้ำหนักจากเพลาหน้าสู่เพลาหลัง 47.3-52.7% ตัวเลขสมรรถนะ เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 3.7 วินาที เพิ่มการตอบสนองเร็วด้วยชุดส่งกำลังคลัตช์คู่ขั้นเทพ ระบบเกียร์ AMG SPEEDSHIFT DCT 7G ติดตั้งเกียร์อยู่ส่วนท้ายต่อพ่วงกับเฟืองท้ายไฟฟ้าแบบตรงๆ ช่วยลดการสูญเสียพลังงานในรูปของแรงบิด พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Paddle Shift เปลี่ยนเกียร์เร็วแบบสายฟ้าแลบ พร้อม 5 โหมด เริ่มจาก COMFORT / SPORT / SPORT + / INDIVIDUAL ทุกโหมดรองรับการขับแบบเกียร์ธรรมดา พร้อมฟังก์ชั่นสูงสุด RACE START ที่ทำให้ขนบนหัวของคุณตั้งชัน!

เครื่องยนต์เบนซินฝาสูบแบบ V8 รหัส M178 DE40 DOHC 32 วาล์ว Direct Injection ปริมาตรความจุ 4.0 ลิตร 3,982 ซีซี ระบบอัดอากาศติดตั้งเทอร์โบคู่ เทอร์โบหนึ่งตัวรับผิดชอบการอัดอากาศให้กับกระบอกสูบทั้งสี่ สำหรับตัวเลขความกว้างกระบอกสูบอยู่ที่ 83.0 มิลลิเมตร ช่วงชัก 92.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.5:1 เครื่องยนต์ M178 ให้กำลังสูงสุด 558 แรงม้า ที่ 5,750–6,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 680 นิวตันเมตร ที่ 1,900–5,500 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 จังหวะ AMG Speedshift DCT ขับเคลื่อนล้อหลังติดตั้งอยู่กับเฟืองท้ายด้านหลัง Mercedes-AMG GTC กับเครื่องยนต์ AMG V8 เทอร์โบคู่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ฟังก์ชั่น RACE START ออกตัวแบบกระชากลากถู คล้ายการสตาร์ตอย่างรวดเร็วบนเส้นสตาร์ตในสนามแข่ง โหมด RACE ป้องกันการลื่นไหลของรถได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยระบบควบคุมการทรงตัวและช่วงล่างแบบปรับความแข็ง-อ่อนได้ ผนวกกับการทำงานที่แม่นยำของชุดบังคับเลี้ยวที่ปรับปรุงให้เหนือกว่า AMG GT S

เมื่อ 3 ปีก่อน การปรับแต่งในรถ AMG มีให้เลือกมากมายจนจำกันไม่ไหว ตั้งแต่ความดันลมยาง ระดับความแข็งของช่วงล่าง มุมของวิงหลังแบบแอคทีฟ แถมด้วยโหมดการขับอีก 4 รูปแบบที่ควบรวมโหมดสูงสุด RACE แทรคชั่นคอนโทรลที่ยกระดับความสามารถขึ้นไปเรื่อยๆ จนเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งจะขับรถเป็นก็สามารถขับ AMG GT R ได้ถ้าไม่ติดลูกบ้าจนเกินเหตุ นี่ยังไม่รวมการทำงานของระบบเกียร์สุดฉลาดปราดเปรื่องและระบบอัตโนมัติของช่วงล่างแบบปรับสามระดับ ผมกดปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์สีเงินยวง เครื่องติดขึ้นมาทันทีพร้อมเสียงคำรามกระหึ่มในรอบเดินเบา เมื่ออุณหภูมิเครื่องยนต์อยู่ในเกณฑ์ปกติไม่เย็นจนเกินไปก็เริ่มต้นการเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ในเมือง การขับ GT C ขับบนถนนปกติในกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยสภาพการจราจรที่หนาแน่น ผมปรับโหมดไปที่ COMFORT ซึ่งเป็นโหมดเริ่มต้นในการทำความคุ้นเคยกับเจ้า AMG GT C สีเงินยวง designo Iridium Silver Magno สวยงามดุดันราวกับ 300SLR 722 เมื่อ 60 ปีก่อน เหมือนกับการนำเอาอะลูมิเนียมเกรดสูงมาทำเป็นตัวถังโดยยังไม่ผ่านกระบวนการพ่นสี! ช่วงล่างแข็งราวกับหิน วิ่งไปตรงไหนถ้าผิวถนนไม่เรียบก็จะกระเด้งกระดอนทันที โดยเฉพาะเส้นทางที่กำลังก่อสร้างรถไฟฟ้า มันมีช่วงล่างที่แข็งมากและส่งถ่ายทุกสิ่งทุกอย่างที่วิ่งผ่านขึ้นมาให้ได้รับรู้ แม้แต่รถแข่ง GT3 บางรุ่นยังไม่แข็งขนาดนี้! ช่วงล่าง AMG RIDE CONTROL แม้จะคาอยู่ในโหมด COMFORT มันก็ยังแข็งอยู่ดี ให้อารมณ์ราวกับรถแข่งที่มีช่วงล่างแตกต่างจากรถบ้านราวฟ้ากับเหว น้ำหนักตัว 1.6 ตัน ทำให้มันหนักสูสีกับ Audi R8 V10 Spyder เบากว่า SLS AMG รุ่นพี่ที่ยุติสายการผลิตไปนานแล้ว วัสดุพวกอะลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์ที่ถูกนำมาใช้ รวมถึงหลังคาผ้าไฟฟ้าแบบเบาหวิว จนทำให้ AMG GT C มีน้ำหนักตัวและความแข็งแกร่งสูสีกับ Porsche 911 Turbo Cabriolet  / Lamborghini Huracan Spyder / BMW M8 Convertible 

น้ำหนักตัวไม่หนักมากจนเกินไปทำให้ AMG GT C คันนี้มีความคล่องตัวสูงลิบ อัตราส่วนการกระจายน้ำหนักที่ดีเป็นผลลัพธ์จากลักษณะของการวางเครื่องยนต์ เพลากลางและเกียร์ ระบบหล่อลื่นแบบ dry sump ช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงของรถ วิงหลังอัตโนมัติสร้างแรงกดส่วนท้าย แผ่นปิดใต้ท้องรถทำให้กระแสลมไหลผ่านอย่างรวดเร็วไม่หมุนวนเมื่อใช้ความเร็วสูง

ยาง P ZERO ไซส์ 265/35 ZR19 ที่ล้อหน้า และ 305/30 ZR20 ที่ล้อหลัง เพื่อสร้างความมั่นใจในเรื่องของแรงยึดเกาะในระดับสูงสุดเมื่อทำงานร่วมกับช่วงล่างอะลูมิเนียมพร้อมกลไกไฟฟ้า AMG RIDE CONTROL ปรับช่วงล่างได้ตามความต้องการถึง 3 ระดับ ความท้าทายก็คือ ตลอด 8 วันนี้ ผมจะทำยังไงก็ได้ไม่ให้รถทดสอบราคา 16,800,000 บาทคันนี้เกิดริ้วรอย ไม่ว่าจะขับบนไฮเวย์หรือทางหลวงชนบท เคล็ดลับของการขับจักรกลพลังสูงพวกนี้ก็คือ คุณต้องมีปฏิสัมพันธ์กับมัน หาจุดที่สมดุลสูงสุดในการวิ่งเข้าโค้งและใช้เกียร์ให้ถูกต้อง หรือไม่ก็ปล่อยให้เกียร์ทวินคลัตช์ทำงานไปตามเรื่องตามราวด้วยการคาอยู่ในโหมด D มองให้ไกลเข้าไว้และตัดสินใจให้รวดเร็ว

เครื่องยนต์ 6.2 ลิตร จอมตะกละ กลายเป็นอดีตและลาจากเราไปแล้ว ปัจจุบัน AMG หันไปจูนเครื่อง V8 4.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ ให้มีกำลังที่หลากหลายเพื่อวางในรถยนต์สมรรถนะสูงจาก Affdlterbach ทั้งสปอร์ตคูเป้ สปอร์ตเปิดหลังคา สปอร์ตซีดาน และซุปเปอร์เอสยูวีที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ แรงม้าสูงสุด 558 แรงม้า แรงบิดมากถึง 680 นิวตันเมตร เครื่องยนต์ตัวนี้มีกำลังมากมายมหาศาลตั้งแต่ต้นยันปลาย แรงบิดเริ่มจาก 1,900 รอบต่อนาที ไหลไปจนถึง 5,500 รอบต่อนาที ระบบส่งกำลังซึ่งใช้เกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 สปีด AMG Speedshift DCT แปะติดอยู่กับเฟืองท้ายโดยมีเพลากลางคาร์บอนไฟเบอร์รับหน้าที่ส่งถ่ายแรงบิดจากเครื่องยนต์ลงไปที่ล้อขับเคลื่อนคู่หลัง เกียร์ 1 เซ็ตยาว ส่วนเกียร์สุดท้ายและอัตราทดของเฟืองท้ายถูกทำให้สั้นลง ทำให้ AMG GT C เป็นรถที่ดึงแบบหนักข้อต่อเนื่องและยาวนาน ตัวเลขสมรรถนะ มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 3.7 วินาที ท็อปสปีดไปได้ถึง 314 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นรอง AMG GT R แค่นิดเดียวเท่านั้น ส่วนอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ในระดับ 5 กิโลเมตรเมื่อขับในเมือง และ 6.5 กิโลเมตรต่อลิตรเมื่อขับออกนอกเมือง 

กันสะเทือนแปรผัน AMG RIDE CONTROL กลืนกินเส้นทางเล็กๆ ในอำเภอศรีสวัสดิ์เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ขับไปสักพักคุณจะเริ่มชินกับการถ่ายน้ำหนัก อาการสั่นสะเทือนจากสภาพเส้นทางบางช่วงบางตอนที่ไม่มีความสม่ำเสมอ และเสียงท่อระบายท้ายที่ดังสนั่นหวั่นไหว ในย่านความเร็วต่ำมันก็ยังขึงตรึงแน่นราวกับตอกหมุด เมื่อใช้ความเร็วสูงขึ้นอาการสะเทือนก็เริ่มลดลงแต่การขับ AMG GT C บนถนนของประเทศไทยไม่สามารถจะไปให้เร็วได้ดั่งใจ ตัวแปรที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุเมื่อใช้ความเร็วมีอยู่เพียบ และแม้จะขับแบบปิดหลังคาแต่เสียงต่างๆ ก็ประดังเข้ามาในห้องโดยสารราวกับกำลังควบรถแข่งยังไงยังงั้น โครงสร้างรุ่นโรสเตอร์ถูกดามแชสซีให้มีความแข็งแรงมากกว่า AMG GT S ขณะที่ห้องโดยสารก็จัดวางมาดีแต่ดันมาตายน้ำตื้นตรงอุโมงค์เพลากลางที่ใหญ่โตราวกับอู่จอดเรือดำน้ำของรัสเซีย ทำให้การวางตำแหน่งของขาซ้ายไม่ดีเท่าที่ควร 

พูดถึงห้องโดยสารของ AMG GT C ทั้งหมดทั้งปวงของงานภายในขึ้นตรงกับการใช้ความเร็ว ห้องโดยสารถูกจัดวางมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะตำแหน่งคนขับซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของการใช้อุปกรณ์ต่างๆ เบาะ AMG high-performance seats สวยงามนั่งขับกระชับตัวดีมาก เบาะสปอร์ตปรับไฟฟ้าสามารถเอนได้เพื่อเผื่อไว้สำหรับคนขับที่ตัวสูงใหญ่ นั่งยาวๆ ได้ไม่เมื่อยหลัง แต่เบาะแข็งไปนิดนึง (เนื่องจากผมเพิ่งจะลงมาจากรถที่มีเบาะโคตรนิ่มอย่าง Lexus) หลังเบาะยังมีอุปกรณ์ Roll-Over Protection อุปกรณ์ความปลอดภัยเพื่อป้องกันศีรษะของคนขับและผู้โดยสารเมื่อเกิดการพลิกคว่ำเนื่องจากเป็นรถไร้หลังคา! งานติดตั้งและตกแต่งภายในออกมาในแบบเรียบๆ แต่มีมาตรฐานสูง แดชบอร์ดคอนโซลและอุโมงค์เพลากลางออกแบบให้กั้นตำแหน่งพื้นที่ของคนขับและผู้โดยสารออกจากกัน แดชบอร์ดหล่อจากพลาสติกขึ้นรูปหุ้มด้วยหนังสีดำสลับสีแดงแบบทูโทน ช่องแอร์ทรงกลม 4 ช่องคือเอกลักษณ์ของรถสปอร์ตในโมเดล GT จาก AMG 

คุณสามารถปรับจอภาพมอนิเตอร์ผ่านแผงควบคุม Mercedes-Benz Comand System หน้าจอมอนิเตอร์มีกล้องมองหลัง ระบบนำทางด้วยดาวเทียม ระบบให้ความบันเทิงเริงรมย์พวกวิทยุ เครื่องเล่น CD DVD USB และการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือสำหรับเปิดการใช้งานในฟังก์ชั่นบลูทูธ จอภาพมอนิเตอร์ยังแสดงผลการปรับตั้งค่าต่างๆ ของรถ เช่น โหมดการขับเคลี่อน ระบบปรับอากาศภายใน การปรับตั้งความแข็งอ่อนของช่วงล่าง พวงมาลัยและเสียงของท่อระบายท้าย เยอะแยะมากมายใช้ไม่หมด ส่วนเครื่องเสียง Mercedes-Benz Burmester Sound System มีมิติของเสียงที่ใช้ได้ แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้เปิดฟังเพราะต้องใช้สมาธิกันค่อนข้างมากในการควมคุมเจ้าโรสเตอร์สายแรงคันนี้ รวมถึงการเก็บเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก และความดังของท่อระบายท้ายที่เข้ามากลบเสียงเพลงเพราะๆ จนทำให้ต้องหันไปฟังเสียงการทำงานของเครื่องและท่อไปโดยปริยาย 

ซุ้มเกียร์ขนาดใหญ่แต่คันเกียร์ทวินคลัตช์มีขนาดเล็กนิดเดียว ซุ้มเกียร์วางอยู่บนอุโมงค์เพลากลาง ขนาบข้างด้วยสวิตช์ปรับตั้งต่างๆ เช่น ปุ่มปรับโหมดการขับเคลื่อน 5 รูปแบบ COMFORT / SPORT / SPORT + /INDIVIDUAL / RACE ปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ ปุ่มแทรคชั่นคอนโทรล ปุ่มปรับความแข็งของช่วงล่างแบบ 3 ระดับ ปุ่มควบคุมการทำงานของระบบส่งกำลัง Dual Clutch 7 สปีด AMG Speedshift DCT ปุ่มปิดหรือเปิดการทำงานของระบบ Auto Start / Stop อันนี้ผมเปิดใช้งานตลอด ไม่ได้อยากให้อากาศสะอาดขึ้น แต่มันช่วยประหยัดน้ำมันเวลาจอดรอการเคลื่อนตัวเมื่อติดสัญญาณไฟนานๆ ปุ่มสุดท้ายรูปท่อคือปุ่มปรับความดังของท่อระบายท้ายแบบ 3 ระดับ ขนาดคาอยู่ที่ COMFORT ตลอดการขับทดสอบ 8 วัน ท่อของ AMG GT C ก็ยังดังสนั่นลั่นโลกราวกับเรือเมล์ในคลองแสนแสบ! 

มาตรวัดแบบเข็มของ AMG อ่านค่าได้ง่าย มาตรวัดตัวเลขความเร็วด้านซ้ายให้มาถึง 360 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งจริงๆ เคลมมาว่าทำได้ถึง 317 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ผมไม่ได้ลองและไม่เคยคิดอยากจะลองขับให้ไปถึงความเร็วสูงสุด กึ่งกลางของมาตรวัดติดตั้งจอภาพ MID multi information display คอยแจ้งเตือนข้อมูลการขับขี่ในระบบต่างๆ แจ้งโหมดการขับเคลื่อน ตัวเลขความเร็วในขณะนั้น ตำแหน่งของเกียร์ อุณหภูมิภายนอก ทริปมิเตอร์ เวลา คำนวณอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง คำนวนระดับเชื้อเพลิงในถังต่อระยะทางที่สามารถวิ่งถึง อันนี้ค่อนข้างจะเที่ยงตรงดีเลยทีเดียว 

อำเภอหนองปรือเป็นเขตพรมแดนระหว่างกาญจนบุรีและสุพรรณบุรี เป็นทางหลวงชนบทเส้นเล็กสองเลนสวนที่มีรถน้อยและมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม โดยเฉพาะในโครงการพระราชดำริอ่างเก็บน้ำห้วยกระพร้อยนั้นสงบเงียบและเพียบพร้อมไปด้วยภูเขารายล้อมรอบๆ ถนน ทางที่รกร้างว่างเปล่าลัดเลาะไปรอบๆ พื้นที่ของอ่างเก็บน้ำขนาดยักษ์ เป็นสถานที่ขับทดสอบและบันทึกภาพรถที่ค่อนข้างปลอดภัยปราศจากรถราคับคั่ง ระยะทางวนรอบอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ประมาณ 5-6 กิโลเมตร เหมาะกับการขับรถท่องเที่ยวในวันหยุด แต่หาร้านอาหารและปั๊มน้ำมันยากเต็มกลืน เมื่อเจอเข้ากับโค้งแคบๆ สลับซ้ายทีขวาที พวงมาลัยไฟฟ้าของ AMG GT C ส่งถ่ายการเลี้ยวที่คมกริบออกมาให้สัมผัส พวงมาลัยของมันปรับปรุงให้มีสัมผัสที่ดีขึ้นมาก ดีกว่า AMG GT S รุ่นพี่ที่ออกมาขายก่อนหน้านี้ไม่นานนัก มันทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อผสานการทำงานกับช่วงล่างแบบสปอร์ต พวงมาลัยตึงไม้ตึงมือใช้ได้ มีน้ำหนักดีและสอดรับกับการขยับขึ้นลงของโช้คและสปริงอย่างที่สุด แม้หน้าจะยาวเหยียด แต่การเลี้ยวที่ว่องไวแม่นยำทำให้ GT C เป็นรถที่คุมทิศทางได้ง่าย ไม่ว่าจะขับช้าๆ ในเมือง หรือขับออกทางไกลไปกินลมชมวิว 

ชุดเพลาส่งกำลังที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ห่อหุ้มด้วยอะลูมิเนียมหุ้มเพลาจากเครื่องยนต์ไปจนถึงเกียร์ซึ่งวางอยู่ติดกับเพลาท้ายมีแรงฉุดลากมหาศาล หากไม่ระวังให้ดีๆ ทะลึ่งไปกระทืบคันเร่งแบบฉับพลันทันทีรับรองว่ามีเป๋หรือส่ายจนทำให้คุณเสียวสยอง แรงบิด 680 นิวตันเมตรไม่ใช่เรื่องที่จะมาล้อกันเล่น เจ้า AMG GT C เป็นจักรกลที่ต้องการคนขับที่มีประสบการณ์ หรือผ่านการอบรมขับขี่ในรถยนต์สมรรถนะสูงมาบ้างไม่มากก็น้อย พวกมือไก่อ่อนสอนขันหรือมืออนุบาลที่ยังควบคุมรถไม่ค่อยเก่งสมควรที่จะต้องใช้ความระวังให้จงหนัก แม้เบรกจะมีพลังแต่หากติดลูกบ้ามากเกินไปมันอาจพาคุณไปทิ่มกับเสาไฟ ฟาดต้นไม้หรือวิ่งแหกโค้งลงข้างทางเอาได้ง่ายๆ ผมพยายามหาที่โล่งๆ เพื่อลองอัตราเร่ง ในโหมด SPORT การเร่งความเร็วใน AMG GT C ไม่ได้เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เมื่อหมุนสวิตช์ปรับโหมดไปที่ตัว S (SPORT) รอบเครื่องจะตวัดเพิ่มขึ้นมาอีก 500 รอบต่อนาที เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการขับแบบซิ่ง และเมื่อกระแทกคันเร่งลงไปมันจะพุ่งแบบดีดตัวออกจากจุดหยุดนิ่งพร้อมแรงกระชากลากถูที่ทำให้คุณรู้สึกเสียวหรือมวนท้อง การพุ่งทะยานจะเกิดขึ้นไปเรื่อยๆ หากยังไม่ยอมยกเท้าออกจากคันเร่งมันจะมีความเร็วทะลุเกิน 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แค่แวบเดียวเท่านั้น GT C เป็นรถสปอร์ตที่มีเบรกดี หากไม่พอใจเบรกจากโรงงานก็ยังมีออปชั่นเสริมเป็นระบบเบรกแบบคาร์บอนเซรามิกให้เสียเงินเพิ่มอีกตะหาก

หลังคาผ้าความหนา 4 ชั้น ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า เปิด-ปิดรวดเร็วมากแค่ 11 วินาที หลังคาผ้าไฟฟ้าน้ำหนักเบา ยังทำงานเงียบกริบไม่มีเสียงดังของมอเตอร์เวลาพับเก็บหรือกางออกเพื่อปิดคลุมส่วนบน ต่างจาก SLC รุ่นน้องที่ใช้หลังคาโลหะแบบพับเก็บได้ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่า และมีเสียงดังกึกตอนกำลังจะปิดจนสุด (เป็นเสียงการทำงานปกติของหลังคาโลหะแบบพับได้) คุณสามารถขับไปพับไปที่ความเร็วไม่เกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้จะมีความหนาถึง 4 ชั้น แต่การเก็บเสียงก็ยังเป็นรองหลังคาผ้าขั้นเทพความหนา 3 ชั้นของ Mercedes-Benz S500 Cabriolet AMG Premium อยู่ดี และไม่ว่าจะเปิดหรือปิดหลังคา เจ้า AMG GT C ก็ยังมีทรงแบบดาราฮอลลีวูดที่ดึงดูดสายตาของผู้คน

ราคาค่าตัว 16.8 ล้านบาท กับอัตราสิ้นเปลือง 5 กิโล-ลิตร ไม่ใช่ประเด็นหลักในการตัดสินใจของมหาเศรษฐีที่กำลังเล็งรถรุ่นนี้ อาจมีข้อถกเถียงว่ามันคุ้มค่ากับเงินจำนวนมากที่ต้องจ่ายออกไปหรือไม่ แต่สำหรับของเล่นคนรวยคันนี้ มันคือความพึงพอใจล้วนๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้งานที่จะคิดว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม ฟิลลิ่งการขับออกไปในแบบรถแข่งไร้หลังคาซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เกิดความน่าสนใจของลูกค้าคนรวย ตัวเลขสมรรถนะต่างๆ ก็แอบอิงกับคำว่าซุปเปอร์คาร์เข้าไปทุกที โดยเฉพาะความเร็วสูงสุดที่ทะลุเกิน 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แสดงให้เห็นว่า GT C เป็นรถเปิดหลังคาที่เร็วสุดๆ และติดกลุ่มซุปเปอร์คาร์เปิดประทุนแบบไม่ต้องสงสัย

บนถนนลาดยางเรียบๆ เจ้าสัตว์ร้ายไร้หลังคาคันนี้วิ่งที่ย่านความเร็วต่ำได้เนียนพอสมควร แต่ยังห่างชั้นกับความสบายของ Mercedes-Benz S500 Cabriolet AMG Premium ในสนามแข่งที่ผมเคยลองเจ้าฝาแฝดอย่าง GT R แล้วก็พบว่ามันเป็นรถที่ถูกปรับปรุงให้เข้มข้นและเฉียบขาด เร็วกว่า GT C เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม GT C ก็นับว่าเป็นเครื่องจักรที่เร็วมากตราบใดที่คุณไม่ขับมันจนเกินลิมิตยางก็จะเกาะกับถนนได้อย่างน่าทึ่ง การมีช่วงล่าง ล้อยาง และเบรก ประสิทธิภาพสูงผสมกลมกลืนไปกับแชสซีสุดแข็งและย่านกำลังทะลุมิติ มันสร้างความมันในอารมณ์ได้ไม่น้อย น้ำหนักตัวที่ 1.6 ตันถือว่าเบาสำหรับรถที่มีเรี่ยวแรงมหาศาลขนาดนี้ สำหรับอาการท้ายสาด หากไม่ปิดแทรคชั่นคอนโทรลก็ต้องใช้รอบสูงอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าปิดเมื่อไหร่ก็ตัวใครตัวมันล่ะครับท่านผู้ชม

ระบบบังคับเลี้ยวที่บอกว่าดีงามนั้นเกิดจากพวงมาลัยไฟฟ้าอัตราทดแปรผันและมีมากกว่าหนึ่งระบบที่ทำงานอยู่ในนั้น มันให้ความรู้สึกหนักแน่นตลอดเวลาแต่บางจังหวะก็มีผ่อนสั้นผ่อนยาว ไม่เหมือน M4 CS ที่เอาแต่หนักราวกับพวงมาลัยของรถแข่ง การสั่งการจากคนขับส่งผลไปยังการทำงานที่ซับซ้อน โดยขึ้นตรงกับความเร็ว โหมดของการขับเคลื่อนและอัตราเร่งในขณะนั้นๆ ขณะที่กดออกตัวแรงๆ และรถเริ่มสไลด์ออกด้านข้าง (ไม่ควรทำอย่างยิ่งหากมีพื้นที่คับแคบ) อัตราทดของพวงมาลัยใน AMG GT C จะเพิ่มขึ้นทันทีเพื่อทำให้การแก้พวงมาลัยเพื่อปรับแต่งทิศทางของรถให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอยน้อยกว่าค่าปกติ การตอบสนองที่ว่องไวของชุดบังคับเลี้ยวในรถสปอร์ตตระกูล GT ของ AMG ช่วยทำให้รถกลับเข้าสู่ไลน์ของช่องทางวิ่ง คุณสามารถหมุนพวงมาลัยกลับจากตำแหน่งล็อกได้เร็วขึ้น การเปลี่ยนทิศทางในโหมด RACE เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทันทีที่ผมเริ่มต้นการหักพวงมาลัยด้วยมุมเลี้ยวแค่ไม่กี่องศา ส่วนหน้าของรถจะหันไปในทิศทางที่ต้องการอย่างรวดเร็วและต้องใช้ความระมัดระวังให้ดีๆ ส่วนโหมด COMFORT พวงมาลัยจะตอบสนองได้เนียนกว่าและไม่ไวจนเกินไป ซึ่งเป็นโหมดที่ผมใช้เกือบจะตลอดเส้นทางทดสอบ  

โหมด RACE ไม่เหมาะอย่างยิ่งบนถนนปกติ ในโหมดนี้โช้คและสปริงจะแข็งสุดๆ ปีกหลังถูกยกขึ้นเพื่อสร้างแรงกดส่วนท้ายป้องกันอาการท้ายดีดดิ้น พวงมาลัยขึงตึงแน่นตึบและรอบเครื่องจะตวัดอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมความพร้อมในการทำความเร็ว รวมถึงการทำงานของเกียร์ที่คึกคักเกินงาม จุดที่ชอบก็คือเมื่อใช้เบรกหนักๆ เกียร์จะเปลี่ยนลงให้ 1 หรือ 2 เกียร์เพื่อลดความเร็ว ตัวเบิ้ลรอบไฟฟ้าปลดปล่อยเสียงคำรามของท่อระบายท้ายขณะที่เกียร์เปลี่ยนลงต่ำเมื่อต้องลดความเร็วเพื่อมุดเข้าสู่หัวโค้ง มันได้คะแนนสูงมากในด้านความสมดุลและไดนามิก แต่ความแข็งของช่วงล่างใน AMG GT C กลับกลายเป็นศัตรูของเศรษฐีที่รักความสบาย เมื่อต้องแรงขนาดนั้นก็ไม่สามารถที่จะทำให้ช่วงล่างโอนอ่อนผ่อนคลายราวกับรถบ้านได้ สุดท้าย คุณต้องใช้สัญชาตญาณของตัวเองในการบังคับควบคุม และ GT C เองก็ไม่ใช่รถของพวกมือใหม่แต่อย่างใดทั้งสิ้น 

ถ้าคุณไม่ใช่นักแข่งก็ควรปล่อยให้ระบบเกียร์ AMG SPEEDSHIFT DCT 7G ทำหน้าที่ของมันไปตามเรื่องตามราว การปรับแบบนั้นจะดีกว่าใช้ Paddle Shift เปลี่ยนเกียร์เอง เนื่องจากเกียร์ที่มีคลัตช์สองชุดลูกนี้ทำงานได้เร็วและไวกว่าการเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวคุณเองมาก ในโหมด SPORT+ สมองกลไฟฟ้าที่ควบคุมการทำงานของระบบเกียร์จะคำนวณการเปลี่ยนเกียร์ขึ้น-ลง ให้สมบูรณ์แบบหรือเพอร์เฟกต์ที่สุด ความเจ๋งของเกียร์ยังลุกลามไปถึงการจัดอันดับของตำแหน่งและอัตราทดในแต่ละเกียร์ที่เข้ากับความเร็วและสภาพเส้นทางในขณะนั้น

Mercedes-AMG GTC ในสีเงินยวงสุดสวย designo Iridium Silver Magno เป็นสปอร์ตโรสเตอร์ที่โอ้อวดความร่ำรวย เป็นรถเปิดประทุนที่พอได้ลองขับแล้วจะรู้สึกสนุกสุดๆ โดยเฉพาะการเร่งความเร็วแบบกระชากทุกเกียร์ของมัน เป็นเครื่องจักรสังหารที่มาในเรือนร่างสุดสวยซึ่งแตะตาต้องใจผู้คนทั่วไป มันโดดเด่น เสียงดังสนั่นและแรงระเบิดระเบ้อ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีทั้งจุดเด่นและข้อด้อยในตัวของมันเองเช่นเดียวกับรถคู่แข่งอย่าง Porsche 911 Turbo Cabriolet / Audi R8 V10 Plus Spyder อาจไม่เจ๋งเท่า Ferrari 488 Spider / Lamboeghini Huracan Roadster หรือแม้แต่ McLaren 720s แต่ก็แรงกระชากกระชั้นจนทำให้คุณรู้สึกเสียวสยองได้ทุกครั้งเวลากระแทกคันเร่ง กลไกในทุกองคาพยพของมันบ่งบอกความเป็น AMG ได้ดีที่สุด เกือบจะเท่ากับ AMG GT R รวมถึงศักยภาพในการวิ่งทางไกล ถ้าคุณรับได้กับอาการสะเทือนซางอย่างกระด้าง มันก็จะมอบอารมณ์การขับที่แตกต่างจากสปอร์ตคูเป้หลังคาแข็งอย่างชัดเจน รูปลักษณ์ที่สะดุดตา ทั้งความสวยงามและดุดัน กับประสิทธิภาพที่มีอยู่จริง AMG GT C แสดงออกถึงความเป็นรถแรงจากแบรนด์ตราดาวได้อย่างสมบูรณ์แบบ แถมด้วยความหล่อเหลายามพับหลังคา ทำให้หน้าหนาวของปีนี้ยิ่งร้อนหนักข้อขึ้นล่ะครับ ว่าแล้วก็เดินไปถอย Mercedes-Benz S500 Cabriolet AMG Premium มาขับเล่นดีกว่า!! 


รายละเอียดด้านเทคนิค Mercedes - AMG GT C Roadster 
เครื่องยนต์ เบนซิน แบบ วี/8 สูบ พร้อมเทอร์โบคู่ และอินเตอร์คูลเลอร์ 
ปริมาตรกระบอกสูบ 3,982 ซีซี.
แรงม้าสูงสุด 410 กิโลวัตต์ 557 แรงม้า ที่ 5,750-6,750 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 680 นิวตันเมตร ที่ 2,100-5,500 รอบต่อนาที
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 3.7 วินาที 
ความเร็วสูงสุดโดยประมาณ 316 กม./ชม.
ความจุถังน้ำมัน 75 ลิตร
พื้นที่เก็บสัมภาระฝาท้าย 165 ลิตร
ระบบส่งกำลัง เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ (AMG SPEEDSHIFT DCT 7G) พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Steering-wheel Gearshift Paddles)
ขนาดล้อ และยาง-หน้า 265/35 ZR19 pirelli p zero
ขนาดล้อ และยาง-หลัง 305/30 ZR20 pirelli p zero
มิติตัวถัง กว้าง 2,075 มิลลิเมตร ยาว 4,551 มิลลิเมตร สูง 1,260 มิลลิเมตร


ระบบความปลอดภัย Mercedes - AMG GT C Roadster 
ถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร 
ถุงลมนิรภัยบริเวณหัวเข่าสำหรับผู้ขับขี่ (Kneebag) 
ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร 
ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้างป้องกันศีรษะ 2 ตำแหน่ง 
ไฟเบรกกะพริบฉุกเฉิน (Adaptive brake lights) 
เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด 2 ที่นั่ง 
กล้องแสดงภาพด้านหลัง และด้านหน้าขณะถอยจอด 
เซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวภายในห้องโดยสาร 
ระบบรักษาความเร็ว (cruise control) และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC) 
เซนเซอร์ช่วยในการนำรถเข้าจอด (PARKTRONIC) 
ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (PRE-SAFE® system) 
ระบบตรวจวัดแรงดันลมยางอัตโนมัติ (tyre pressure monitoring system) 
ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST)
ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชั่น HOLD และ Hill-Start Assist 
ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti - lock braking system) 
โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ESP®) 
Mercedes me connect 


อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก Mercedes - AMG GT C Roadster 
ใบปัดน้ำฝนทำงานโดยอัตโนมัติ พร้อมเซนเซอร์วัดปริมาณน้ำฝน 
กระจกมองข้างปรับระดับ และพับเก็บด้วยระบบไฟฟ้า 
กระจกมองข้างด้านผู้ขับขี่ และกระจกส่องหลังปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ 
ล้อ AMG 5 ก้านคู่ แบบ light alloy ล้อหน้า 19"/ล้อหลัง 20" 
ยางแบบสปอร์ต (Sports tyres) 
ระบบท่อไอเสีย AMG Performance exhaust system 
หลังคาแบบเปิดประทุน fabric soft top 
ระบบช่วงล่างแบบ AMG RIDE CONTROL sports suspension 
ไฟหน้าแบบ LED High Performance 
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist) 
ไฟท้ายแบบ LED ตกแต่งด้วยสีดำ 
เฟืองท้ายแบบ AMG electronic rear-axle limited-slip differential 
ระบบพวงมาลัยแบบ AMG speed-sensitive sports steering 
ระบบเบรกแบบ AMG high-performance composite brake ตกแต่งคาลิปเปอร์สีแดง 
สปอยเลอร์หลังแบบ Electrically extending rear aerofoil 


อุปกรณ์มาตรฐานภายใน Mercedes - AMG GT C Roadster 
ฟังก์ชั่น ECO start/stop 
ระบบกุญแจแบบ KEYLESS - GO 

พวงมาลัยแบบ AMG Performance steering wheel หุ้มด้วยหนัง nappa/DINAMICA microfibre สีดำ 
หน้าจอแสดงผลบนพวงมาลัยระบบสัมผัสแบบ AMG steering wheel buttons 

เบาะนั่งแบบ AMG Performance seat หุ้มด้วยหนัง nappa/DINAMICA microfibre สีดำ 

ด้านบนของคอนโซลหน้า และด้านบนของแผงประตูหุ้มด้วยหนัง 
ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMOTRONIC 
หลังคาหุ้มด้วย designo DINAMICA microfibre 
ระบบปฏิบัติการมัลติมีเดียแบบ COMAND Online ขนาด 10.25" แบบ 16:9 
มาตรวัดความเร็ว และวัดรอบเครื่องยนต์แบบ AMG instrument cluster ขนาด 12.3" 
ระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® 
ระบบควบคุม และสั่งงานด้วย Touchpad without controller 
ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ Smartphone integration 
ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apple Car Play®) 
ระบบสำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Bluetooth) 
หน้าจอแสดงผลบริเวณคอนโซลกลางแบบ AMG DRIVE UNIT in stylised V8
ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ AMG DYNAMIC SELECT 
ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร 
กาบบันไดเรืองแสงประตูหน้าแบบ AMG พร้อมสัญลักษณ์ »AMG« 
ภายในตกแต่งด้วย AMG Interior Piano Lacquer package.


อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/