แค่รถกระบะทำไมถึงแพงจัง! ควักไป 1.7 ล้าน มีทอนมาหมื่นเดียวเท่านั้น Ranger Raptor กระบะตัวเต็มของ Ford นั้นมีดีอย่างไรถึงขายได้แล้ว 3,000 คัน เจ้า Ranger Raptor ไม่ได้ทำตัวปลอมๆ เหมือนกับกระบะค่ายอื่น แค่โผล่มาไทยในรูปแบบสติกเกอร์สวยๆ กับชุดแต่งที่หลอกคนซื้อให้ดูแรง แต่ไม่ได้แรงขึ้นมาแม้แต่นิดเดียวเหมือนในโฆษณาแบบที่กระบะเจ้าอื่นนิยมทำกันเป็นว่าเล่นเท่านั้น การปรุงแต่งประสิทธิภาพของ Ranger รุ่นมาตรฐาน ให้กลายเป็น Raptor จากสำนัก Ford Performance เริ่มจากเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร รุ่นใหม่ ระบบส่งกำลังอัตโนมัติแบบใหม่ที่มีอัตราทด 10 สปีดพร้อม Paddle Shift ชุดขับเคลื่อนสี่ล้อพร้อมโหมดการขับเคลื่อน 6 รูปแบบ ช่วงล่างหน้าหลังแบบพิเศษที่แตกต่างจาก Ragger รุ่น Wildtrak ราวฟ้ากับดิน รวมไปถึงการเปลี่ยนกันสะเทือนหลังจากแหนบมาเป็นมัลติลิงค์ที่ต้องเสียภาษีแพงขึ้น กลายเป็นที่มาของราคา 1.69 ล้านบาท เป็นรถปิกอัพ 4 ประตู ขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมโหมด 6 รูปแบบ ที่แพงสุดในไทย ณ เวลานี้!
...
แชสซีใหม่ที่หนาบึ้กของ Raptor ออกแบบมาเพื่อรับงานหนัก เอาไปขับลุยไม่ต้องกลัวบิดหรือแตก แชสซีของ Ranger Raptor ได้รับการออกแบบใหม่มาเป็นพิเศษสำหรับการขับขี่ออฟโรดความเร็วสูง มีความแกร่งมากพอที่จะรับแรงกระแทกที่เกิดจากการขับบนทางวิบาก ระบบกันสะเทือนหลังแบบใหม่รวมถึงระบบวัตต์ลิงค์และสปริงคอยล์โอเวอร์ช็อกทำให้เพลาเคลื่อนที่มั่นคง ช่วยเรื่องการทรงตัวและการควบคุมรถ
...
...
แชสซีด้านหน้าเพิ่มความแข็งแรงของจุดยึดหูโช้คที่ถูกขยายความสูงขึ้นมา ระบบกันสะเทือนหลังเป็นแบบคอยล์โอเวอร์ช็อก รวมถึงระบบวัตต์ลิงค์ ช่วยให้เพลาเคลื่อนที่ขึ้น-ลงได้อย่างอิสระ โดยที่มีการขยับตัวในแนวราบน้อย ชุดตะขอเกี่ยว 2 ชุดด้านหน้าและด้านหลังที่รองรับน้ำหนักจากการลากจูงได้ 3.8 ตัน โครงสร้างแท่นยึดยางอะไหล่ที่ถูกเสริมความแข็งแรงเพื่อรองรับยางอะไหล่ขนาด 17 นิ้ว รองรับโช้คแบบ Position Sensitive Damping (PSD)
...
ขุมกำลังซึ่งเป็นที่มาของสมรรถนะและแรงบิด 500 นิวตันเมตร เป็นเครื่องดีเซล 2.0 ลิตร อัดอากาศด้วยเทอร์โบคู่ หรือ Bi-Turbo ใช้เทอร์โบสองตัวกับอินเตอร์คูลเลอร์คอยลดอุณหภูมิของไอดี เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรรุ่นใหม่กลายเป็นหัวใจใหม่ที่มีราคาค่าตัวไม่ถูก จากเทคโนโลยีใหม่ที่ Ford ประดังเข้าไปเพื่อความแรง เครื่องยนต์ดีเซล EcoBlue TDCi 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.0 ลิตร 1,996 ซีซี. อัดอากาศด้วยเทอร์โบคู่ High-Pressure (HP Turbo) เทอร์โบแรงดันสูง และ Low-Pressure (LP Turbo) เทอร์โบแรงดันต่ำ ควบคุมด้วยวาล์ว (Bypass) กำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย Paddle Shift เครื่องยนต์ตัวเล็กและมีน้ำหนักเบา บูสแรงบิดด้วยเทอร์โบ 2 ตัว กำลังแรงม้านั้นไม่เท่าไหร่ แต่ตัวเลขแรงบิด 500 นิวตันเมตรบนเครื่องดีเซลแค่ 2 ลิตรไม่ได้ล้อกันเล่นๆ วิ่งดีทั้งทางราบและทางวิบากจากกำลังที่เหลือล้นของมัน เครื่องดีเซลสองลิตรเทอร์โบของเยอรมันทั้ง BMW และ Mercedes Benz ที่ขายในไทยยังทำแรงบิดได้แค่ 400-430 นิวตันเมตรเท่านั้นเอง!
ระบบส่งกำลังใช้เกียร์ใหม่ 10 สปีดที่ประจำการอยู่ใน Ford Ranger และ Everest รุ่น Bi-Turbo วิศวกรของ Ford ปรับแต่งเกียร์ 10 สปีด โดยปรับอัตราทดให้ครอบคลุมทุกย่านของรอบเครื่องยนต์ ปรับตั้งชุดทรานเฟอร์ของเกียร์ให้มีความแข็งแกร่งรับแรงไ้ด้เยอะขึ้นเมื่อต้องทดแรงบิดถ่ายไปยังล้อขับเคลื่อน เกียร์ 10 สปีดติดตั้ง Paddle Shift ทำจากอัลลอยเอาไว้ที่หลังพวงมาลัยเพื่อความรวดเร็วในการเปลี่ยนเกียร์ เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดลูกนี้ ยกมาทั้งยวงจากรถรุ่นพี่อย่าง Raptor F-150 และเป็นเกียร์รุ่นเดียวกับ Ford Mustang V8 รุ่นใหม่ เกียร์ผลิตจากวัสดุเหล็กกล้า อลูมิเนียมอัลลอยและคอมโพสิท เพื่อให้มีความทนทานและมีน้ำหนักเบา ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์มาพร้อมกับอัลกอริทึมที่เรียนรู้รูปแบบการขับขี่ที่ชาญฉลาด เมื่อเทียบกับ Ranger Biturbo เครื่องยนต์บวกเกียร์ 10 สปีดและระบบรองรับแบบพิเศษของ Ranger Raptor ทำให้กระบะชอบกระโจนรุ่นนี้มีราคาสูงกว่าเกือบๆ 6 แสนบาท
ช่วงล่างหลังที่เคยเป็นแหนบของ Ranger รุ่นมาตรฐานก็โดนกระชากทิ้ง แล้วแทนที่ด้วยปีกนกอลูมิเนียม ขึ้นรูปด้วยแรงดันสูงพร้อมระบบวัตต์ลิงค์แบบใหม่ โช้คอัพหมาจิ้งจอกบอกราคาให้ได้ยินแล้วถึงกับสะดุ้ง โช้คอัพผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษโดย Fox Racing Shox ใช้ลูกสูบขนาด 46.6 มิลลิเมตร ทั้งคู่หน้าและหลัง ช่วงล่างถูกออกแบบมาให้มีระยะการให้ตัวของล้อสูงเพื่อความสามารถในการซับแรงกระแทกขณะขับออฟโรด ด้วยระบบบายพาสภายใน (Internal Bypass technology) ไม่ใช่โช้คอัพรถกระบะปกติอย่างแน่นอนที่สุด ชุดโช้คอัพประสิทธิภาพสูงของ Ranger Raptor ใส่ของแพงมาจากอเมริกา หมดห่วงเรื่องความหนึบรวมถึงอาการโคลงตัว ช่วงล่างหน้าก็เช่นกัน ทั้งปีกนกอลูมิเนียม โช้คหมาจิ้งจอก สปริงแต่ง ทั้งหน้าทั้งหลังทั้งหมดทั้งปวงของช่วงล่างว่ากันเหนาะๆ 2 แสน เป็นระบบรองรับที่ตอบสนองได้ดีทั้งทางเรียบและทางออฟโรด
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ต้องต่อเชื่อมกับโหมดการขับขี่ให้มีความหลากหลาย อิเล็กทรอนิกส์ที่ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์และชุดส่งกำลัง ทำงานคู่ขนานกับโหมดการขับเคลื่อนระบบ Terrain Management System (TMS) สำหรับโหมดการขับของ Ranger Raptor มีทั้งหมด 6 รูปแบบ ใช้เลือกโหมดจากปุ่มบนพวงมาลัย ซึ่งแต่ละโหมดได้รับการทดสอบและปรับแต่งเพื่อให้เทคโนโลยีทั้งหมดทำงานประสานกัน ประกอบด้วย
โหมดขับเคลื่อนของ Ranger Raptor
ขับเคลื่อน 2 ล้อ (2WD)
Normal : โหมดปกติ
Sport : สปอร์ต เกียร์เปลี่ยนไวขึ้น คารอบเครื่องไว้สูง
4WD ขับเคลื่อน 4 ล้อ Grass / Gravel / Snow : หญ้า กรวด/หิน หิมะ เปลี่ยนเกียร์นุ่มนวลขึ้น ออกตัวด้วยเกียร์ 2 ลดการลื่นไถลของล้อรถ
Mud / Sand : ใช้เกียร์ต่ำ ปรับการตอบสนองของระบบ Traction Control
Rock : หิน ใช้ความเร็วต่ำ
Baja : บาฮา ปรับการตอบสนองเครื่องยนต์ให้เหมาะกับการขับแบบ Off-Road ความเร็วสูง ตัดการทำงานระบบ Traction Control ปรับการตอบสนองของระบบส่งกำลัง (เกียร์) และคารอบเครื่องไว้สูง
Ranger Raptor มีมิติตัวถังยาว 5,398 มิลลิเมตร กว้าง 2,038 มิลลิเมตร สูง 1,873 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า 1,710 มิลลิเมตร หลัง 1,710 มิลลิเมตร ความสูงจากพื้นถึงใต้ท้อง 283 มิลลิเมตร เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ทุกแง่มุมของ Ranger Raptor ได้รับการออกแบบมาโดยมีสมรรถนะของเครื่องยนต์ ระบบเกียร์และระบบรองรับเป็นหัวใจหลัก ช่วงล้อที่ถูกขยายให้กว้างขึ้น บวกกับความสูงของตัวรถที่เพิ่มขึ้น แก้มข้างรถที่ขยายออกเพื่อให้มีความสอดคล้องกับแทรคของล้อที่กว้างกว่า Ranger รุ่นมาตรฐาน โช้คอัพของ FOX Racing Shox ปีกนกอลูมิเนียม รวมถึงล้อและยางที่ถูกออกแบบให้สามารถรองรับการขับขี่แบบออฟโรด รูปลักษณ์ที่ดุดันสื่อถึงสมรรถนะที่เหนือกว่ารถกระบะไซส์กลางทุกรุ่นที่มีขายในประเทศไทย Ranger Raptor ที่มีดีเอ็นเอของ Ford Performance ได้กลายมาเป็นรถออฟโรดสมรรถนะสูงที่ผลิตจากโรงงานในประเทศไทย
ล้อ และ ยาง
ล้อขนาด 17 นิ้ว
ยาง All-Terrain T/A KO2 BF Goodrich ขนาด 285/70 R17
เส้นผ่านศูนย์กลางยาง 838 มิลลิเมตร กว้าง 285 มิลลิเมตร
ระบบเบรก
คาลิปเปอร์เบรกคู่หน้า แบบลูกสูบคู่ เส้นผ่านศูนย์กลาง 54 มิลลิเมตร
เบรกคู่หน้า : ดิสก์เบรก พร้อมครีบระบายความร้อน ขนาด 332 x 32 มิลลิเมตร
เบรกคู่หลัง : ดิสก์เบรก พร้อมครีบระบายความร้อน ขนาด 332 x 24 มิลลิเมตร
ดิสก์เบรกด้านหลัง พร้อมระบบ Brake Actuation Master Cylinder
Ford Motor Thailand เชิญสื่อมวลชนบินลงภาคใต้ไปยังจังหวัดพังงาเพื่อทดสอบ Ranger Raptor เป็นการขับทดสอบครั้งที่เท่าไหร่จำไม่ได้แล้วเพราะ Ford Motor Thailand เชิญเยอะมาก เส้นทางจากภูเก็ตไปยังจังหวัดพังงาผ่านเขาหลักมุ่งตรงไปที่ท่าเรือบ้านน้ำเค็มเพื่อลงเรือข้ามไปยังเกาะคอเขา เกาะที่อยู่ใกล้กับสันดอนทรายที่สงบและสวยงามของบ้านน้ำเค็ม หลังจากขับทดสอบในป่าดิบแล้งของเมืองดาร์วิน ผมพบว่าตัวเองกำลังหวดเจ้า Raptor ท่ามกลางการตอบสนองที่ดีของระบบรองรับขั้นเทพและพวงมาลัยที่จูนมาอย่างลงตัว
บนทางเรียบแบบลาดยาง อาการโคลงตัวเมื่อขับเร็วยังคงมีอยู่บ้าง เป็นธรรมชาติของกระบะยกสูง แต่ก็ถือว่ายอมรับได้เนื่องจากใช้ช่วลล่างหลังแตกต่างจากกระบะทั่วไป ทำให้อาการในย่านความเร็วสูงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ความมาดมั่นของระบบรองรับกับแชสซีแข็งโป๊ก ทำให้มันวิ่งผ่านโค้งได้ดีพอใช้ เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ดีเซลไบเทอร์โบให้ประสิทธิภาพออกมาในลักษณะกลางๆ ไม่ได้แรงจนกระชากให้แผ่นหลังของคุณติดเบาะ แต่ตอบสนองต่อการเร่งความเร็วที่ให้ความรู้สึกว่องไวใช้ได้
เกียร์ 10 สปีดกับโหมดขับเคลื่อน 2 ล้อหลังแบบ 2Hi ผลักดันเจ้า Raptor ไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยวได้ดั่งใจ มันเป็นรถที่มีพวงมาลัยดีมาก โดยเฉพาะอัตราทดที่ขึ้นตรงกับโหมดและความเร็วที่ใช้ ขับช้าพวงมาลัยก็โอนอ่อนผ่อนคลาย พอหวดเร็วขึ้นพวงมาลัยไฟฟ้าจะปรับน้ำหนักแบบอัตโนมัติให้มีความกระชับรัดกุมเพื่อส่งถ่ายความแม่นยำ แค่ขยับพวงมาลัยนิดเดียวมันก็จะหันไปตามทิศทางที่คุณต้องการ ทำให้การควบคุมมีความง่ายดายไม่ต้องมานั่งแต่งนั่งขยับพวงมาลัยเหมือนรถกระบะบางรุ่น!
จุดเด่นของ Raptor นอกจากเครื่องยนต์และช่วงล่างแล้วชุดส่งกำลังหรือเกียร์แบบ 10 สปีด ยังเป็นระบบเกียร์ที่ Ford มีความภูมิใจในการนำเสนอและมีประสิทธิภาพดีในการทดกำลัง เกียร์ออโต้ 10 อัตราทดเชื่อมโยงกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อหรือเกียร์ขับสี่ของ Raptor นั้นตอบสนองได้อย่างไหลลื่น เมื่อวิ่งด้วยความเร็วคงที่ 100-110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วยทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงในย่านความเร็วเดินทาง อัตราทดในเกียร์ 10 ลดรอบเครื่องยนต์ทำให้เกิดความประหยัด การเปลี่ยนอัตราทดลื่นไหลไม่มีรอยต่อของเกียร์ให้รู้สึก เป็นชุดส่งกำลังที่ปราศจากอาการกระตุกหรือกระชากที่อาจทำให้ลูกค้าเสียอารมณ์ เกียร์ 10 สปีด เปลี่ยนจังหวะด้วยตัวของมันเองไปตามความเร็วที่ไหลขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลา แป้น Paddle Shift ทำงานได้ดีเมื่อคุณต้องการควบคุมการเปลี่ยนจังหวะของอัตราทดด้วยตัวเอง พวงมาลัยไฟฟ้าตอบสนองอย่างว่องไวในการบังคับทิศทาง แม้จะมีอาการโคลงออกมาบ้างในย่านความเร็วสูงแต่ก็ยังถือว่าขับสบายได้อารมณ์กันอย่างครบๆ แบบถึงพริกถึงขิง แต่ช่วงล่างที่ดีทำให้การนั่งโดยสารบนเบาะด้านหลังมีความสบายเนื้อสบายตัว นั่งชิลกว่าเบาะหลังของ Ford Everest นิดๆ เนื่องจากอาการโคลงตัวที่น้อยกว่า
เครื่องดีเซล 2.0 ลิตร ไบเทอร์โบ กำลัง 213 แรงม้า พร้อมแรงบิดมหาโหด 500 นิวตันเมตร ไม่ได้แรงจนกระชากให้แผ่นหลังของคุณติดกับเบาะ แรงฉุดลากที่ดีสมน้ำสมเนื้อกับน้ำหนักตัวถัง 1.7 ตัน ตอบสนองได้ดีพอสมควรแต่อาจไม่ทันอกทันใจขาแรงที่ชอบออกตัวเร็วๆ แรงกดของฝ่าเท้ากับการพุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง ทำให้รู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างกระบะคู่แข่งรุ่นอื่นๆ น้ำหนักที่เบาลงของเครื่องดีเซลไซส์เล็กกับขนาดของตัวเครื่องที่กะทัดรัดซึ่งมีความจุแค่ 2 ลิตร ช่วยลดน้ำหนักส่วนเกินลงไปได้เยอะมาก เครื่องยนต์ 5 สูบ 3.2 ลิตรที่ใหญ่และกินเชื้อเพลิงกลายเป็นของโบราณทันทีเมื่อเครื่อง Bi-Turbo EcoBlue TDCi โผล่ออกมา เกียร์ 10 สปีดมีขนาดที่ทั้งใหญ่และยาว ทำให้อุโมงค์เกียร์กว้างใหญ่ราวกับถ้ำขุนน้ำนางนอน เพลากลางไซส์ยักษ์รับแรงบิดได้ดี ช่วยถ่ายเทแรงบิดจากเครื่องยนต์ผ่านเกียร์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เป็นอีกจุดที่ทำออกมาได้ดีและถือเป็นหัวใจหลักของระบบขับเคลื่อนใน Ford Ranger Raptor
สรุป
หลังจากเคยขับที่ดาร์วินและกลับมาขับทดสอบในประเทศไทยเป็นครั้งที่ 2 กระบะบ้าพลังไม่ใช่ Ranger Raptor แต่น่าจะเป็นกระบะบ้าช่วงล่างมากกว่าเพราะช่วงล่างแบบแหนบถูกโยนทิ้งแล้วแทนที่ด้วยช่วงล่างโช้คอัพและสปริงที่โคตรจะดีงาม บนทางดำเรียบๆ วิ่งดีทรงตัวดีนั่งสบาย แต่กำลังของมันแค่ 213 แรงม้าบนน้ำหนักตัว 2 ตันไม่ได้ดึงหนักดึงนานอะไร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ 11.89 วินาที สูสีกับ Ford Ranger Wildtrak แต่สิ่งที่แตกต่างนั่นก็คือช่วงล่างขั้นเทพที่วิ่งได้เนียนทั้งทางเรียบและออฟโรด
ช่วงล่างหมาจิ้งจอกสอดรับกับการทำตัวเป็นรถกระบะจากสำนัก Ford Performance เป็นระบบรองรับที่ดีที่สุดสำหรับรถกระบะที่มีขายในประเทศไทย เมื่อรูดผ่านทั้งทางลูกรัง ทางที่มีผิวขรุขระราวกับดาวอังคาร หรือลุยโหดไต่ระห่ำด้วยองศาที่ลาดชัน ทั้งคนนั่งและคนขับจะรู้สึกได้ถึงความสบาย จากอาการโคลงตัวและอาการกระเด้งกระดอนที่น้อยมาก เบาะหลังในกระบะทั่วไปนั่งแล้วคล้ายกับการนั่งหลังช้างที่โยกไปโยกมา แต่การนั่งในเบาะหลังของ Raptor จะทำให้คุณนั่งหลับได้ง่ายๆ ถ้าวิ่งบนที่ราบเรียบๆ การถ่ายเทน้ำหนักขณะเปลี่ยนทิศทางหรือเบรกก็ถือว่าทำออกมาได้ดี
โหมด Sport มีคันเร่งที่ตอบสนองได้ไวขึ้น พวงมาลัยหน่วงมือขึ้นมาอีกนิด การตอบสนองของเกียร์ ผ่าน ECU มักจะคาตำแหน่งเกียร์ 3-4-5 เพื่อเรียกแรงบิด เกียร์มีการกระโดดข้ามจาก 3-5-7-9 จากอัตราทดที่มีมาให้มากถึง 10 สปีดทำให้วิศวกรต้องปรับเฟืองทดให้สามารถข้ามเกียร์ได้อย่างรวดเร็วเพื่อการตอบสนองที่ดี ระบบเบรกของ Raptor ยังต้องปรับปรุงเนื่องจากต้องกดกันลึกพอสมควรถึงจะอยู่ อยากได้เบรกที่จับได้แน่นและเร็วกว่าเบรกเดิมๆ จากโรงงาน เนื่องจากลูกค้าที่ซื้อ Raptor เป็นพวกเท้าหนักสายโหดเกือบทุกคน!
เรื่องการลุยแหลกนั้นหายห่วง ด้วยความที่มีโหมดขับเคลื่อนเยอะมากถึง 6 โหมด คุณสามารถวางตำแหน่งที่ถูกต้องของรถด้วยความง่ายดายและเอาตัวรอดในเส้นทางที่ยากลำบาก ไม่ว่าจะขับบนทางลูกรัง ทราย โคลน หินหรือหญ้า เมื่อเทียบกับกระบะทั่วไปที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อก็สามารถลุยได้เหมือนกัน แต่ไม่มีโหมดที่จะช่วยให้ฟันฝ่าเส้นทางที่เป็นทรายลึก ใน Raptor ทุกอย่างง่ายๆ แค่กดปุ่มเลือกใช้โหมดให้ตรงกับสภาพของเส้นทางแค่นั้นก็พอ Ranger Raptor มีทุกอย่างที่จะช่วยให้การขับลุยกลายเป็นเรื่องง่ายดาย แค่คนขับมีทักษะในการควบคุมทิศทางและการใช้คันเร่งก็สามารถลุยฝ่าอุปสรรคได้อย่างสบายๆ จุดเด่นที่ดีงามของ Ranger Raptor อีกจุดก็คือการประกอบที่แน่นหนา เมื่อขับลุยฝ่าร่องสวนหรือหล่มลึกๆ แล้วไต่ขึ้นมาในลักษณะเอียงกระเท่เร่ ไม่มีเสียงลั่นของตัวถังดังเข้ามาให้ได้ยินแม้แต่น้อย รวมถึงคอนโซลและแดชบอร์ดก็ยังเงียบไม่ปรากฏว่ามีเสียงดังออดๆ แอดๆ ให้รำคาญใจ เป็นอีกจุดที่ทำออกมาได้โดนอยู่เหมือนกัน
Ford Ranger Raptor เป็นรถกระบะที่แพง แต่มีประสิทธิภาพสูง ออกแบบมาสำหรับการขับบนเส้นทางวิบากและไม่ได้แรงจนทำให้คุณขนหัวลุก คนที่ไม่มีโอกาสได้ลองขับแบบเต็มๆ ก็อาจมองว่าแพงหรือไร้สาระ แต่ถ้าได้ลองขับบนเส้นทางโหดๆ แค่ครั้งเดียว ก็จะเปลี่ยนความคิดนั้นทันที Ford เองก็ต้องดูแลลูกค้าให้ดีๆ โดยเฉพาะดีลเลอร์เขี้ยวๆ ที่ไม่เคยมีรถสำรองให้กับลูกค้ายามเมื่อรถที่ใช้งานเกิดอาการงอแงมีปัญหา จนกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกหงุดหงิด รถนั้นดีอยู่แล้ว แค่ปรับบริการหลังการขาย เอาใจลูกค้าให้มากเข้าไว้ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าของ Ranger Everest หรือ Raptor คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ชอบรถของ Ford แทบทั้งนั้น ควรปรับซัพพลายเออร์ที่ผลิตชิ้นส่วนให้ทนทานขึ้น ปากต่อปากของคนที่ใช้จะกระจายได้ดีกว่าโฆษณาที่ต้องกระโดดกันเป็นกบ เงิน 1,690,000 ที่จ่ายออกไปเพื่อแลกกับกระบะสายกระโดด ถ้าซื้อมาแล้วใช้แบบจัดเต็มทรงทั้งทางเรียบและทางฝุ่นรับรองว่า เกินคุ้ม ส่วนท่านที่คิดว่าซื้อมาแค่ขับบนทางเรียบทางดำ ไม่คิดจะเอาไปลุยเรียกสมรรถนะที่จัดมาแบบครบๆ ควรเปลี่ยนความคิดใหม่ ซื้อแค่ Wildtrak แล้วกำเงินอีก 5 แสนเอาไว้จ่ายค่าเทอมลูกดีกว่าครับ.
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/