Mercedes-Benz GLC250d ไม่ใช่รถสปอร์ตที่ทำมาสำหรับซัดแรงๆ บนถนนหรือเข้า-ออกโค้งได้อย่างรวดเร็วราวกับซุปเปอร์คาร์ แต่เป็นรถที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับคุณและครอบครัวใช้เดินทางในวันหยุดได้อย่างประหยัดและสะดวกสบาย! นี่คือรถอเนกประสงค์คู่แข่งของ BMW X3 / Audi Q5 / Porsche Macan และ Lexus NX เป็นทางเลือกที่เหมาะสมถ้าหากคุณกำลังมองหารถออฟโรดขับเคลื่อน 4 ล้อที่มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง เป็น SUV ที่ออกขายมาตั้งแต่ปี 2015 และใกล้ถึงเวลาที่จะต้องปรับโฉมในช่วงกลางปีนี้ เมื่อเวลาของการปรับโฉมมาถึง ราคา 3.2 ล้านบาทของ GLC250d รุ่น Off-Road ก็จะถูกหั่นให้ลดลงมากกว่าเดิมเพื่อกระตุ้นความอยากของลูกค้าที่ชื่นชอบรถยนต์จากแบรนด์ตราดาว

...

GLC มีดีมากพอที่จะทำให้ Mercedes-Benz ทะยานติดอันดับต้นๆ ของยอดขายรถยนต์แนวออฟโรดพรีเมียม ทั้งในเยอรมนีบ้านเกิด รวมถึงประเทศไทย แบรนด์ตราดาวติดตั้งเครื่องยนต์ 2 รุ่นใน GLC เริ่มจากเครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 4 สูบ ความจุ 2.1 ลิตร กำลัง 204 แรงม้า ในรุ่น 250d กับเครื่องยนต์ V6 ทวินเทอร์โบ ความจุ 3.0 ลิตร กำลัง 367 แรงม้าในรุ่น 43 AMG รถทดสอบที่ผมนำมาขับในอาทิตย์นี้ วางเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลไดเรคอินเจคชั่นประสิทธิภาพสูง รหัส OM651 มีปริมาตรความจุ 2,143 ซีซี. ฝาสูบแบบดับเบิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาร์ป DOHC แถวเรียง 4 สูบ 16 วาล์ว เทอร์โบคู่ พร้อม Intercooler ความกว้างกระบอกสูบ 83.0 มิลลิเมตร ช่วงชัก 99.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.2:1 กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 1,800 รอบ/นาที ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic พร้อม Paddle Shift ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ล้ออัลลอยขอบ 19 นิ้ว ยาง pirelli scorpion verde all season 235/55 R19 101Y เป็นยางรันแฟลตที่นุ่มนั่งสบายจากแก้มยางที่ไม่แข็งมากจนเกินไป เป็นรถที่ให้ความสบายเมื่อขับทางไกลพร้อมเครื่องยนต์และเกียร์ที่มีประสิทธิภาพดี

...

คำจำกัดความหรือนิยามของรถ SUV - Sport utility vehicle ที่ผลิตโดย Mercedes-Benz คือรถที่สามารถแล่นไปได้ในทุกพื้นที่และมีการขับขี่ที่สบายเหมือนรถเก๋ง นับเป็นความคาดหวังที่สูงมากในการที่จะเอาชนะรถ SUV คู่แข่ง ซึ่งทำตลาดมาก่อนหน้านี้อย่าง BMW X3 Audi Q5 และ Lexus NX ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบขับเคลื่อน เครื่องยนต์ ชุดส่งกำลัง แชสซี จุดศูนย์ถ่วงและอากาศพลศาสตร์ เป็นจุดที่ทำให้การสร้าง SUV รุ่นใหม่ของแบรนด์ตราดาวต้องใช้ความพยายามมากกว่าที่เคยเป็นมา ความสามารถและประสิทธิภาพของตัวรถอันสูงส่งที่ถูกกำหนดโดยแบรนด์คู่แข่ง ส่งผลให้ทีมวิศวกรของ Mercedes Benz มีงานล้นมือในการพัฒนา SUV รุ่นล่าสุดที่ใช้ชื่อว่า GLC ซึ่งทำออกมาได้ดีสมราคา ส่งผลให้รถรุ่นนี้ขายดีมากในประเทศไทย 

...

...

GLC250d 4MATIC Off-Road เป็นรถออฟโรดอเนกประสงค์ไซล์กลางที่มีมิติตัวถังใกล้เคียงกับ BMW X3 xDRIVE 20d X-LINE โดยมีความกว้างของตัวรถอยู่ที่ 1,890 มิลลิเมตร ยาว 4,656 มิลลิเมตร สูง 1,639 มิลลิเมตร ระยะห่างล้อคู่หน้า 1,621 หลัง 1,617 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อวัดจากดุมล้อหน้าไปหลัง 2,873 มิลลิเมตร สัดส่วนของความสูงจากพื้นถนนถึงใต้ท้อง 181 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,845 กิโลกรัม เทียบไซส์เทียบขนาดกับ BMW X3 xDRIVE 20d X-LINE ซึ่งมีความกว้างของตัวรถอยู่ที่ 1,881 มิลลิเมตร ยาว 4,657 มิลลิเมตร สูง 1,661 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อหน้า 1,616 หลัง 1,632 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อหน้า-หลัง 2,810 มิลลิเมตร สัดส่วนของความสูงจากพื้นถึงใต้ท้อง 204 มิลลิเมตร หนัก 1,850 กิโลกรัม 

จากตัวเลขดังกล่าว จะเห็นได้ว่ารถ SUV ไซส์กลางจากแบรนด์เยอรมนีทั้งสองคันมีขนาดเรือนร่างและน้ำหนักตัวที่พอฟัดพอเหวี่ยงแบบกินกันไม่ลง แต่ Mercedes Benz GLC มีเรือนร่างที่โค้งมนมากกว่า รูปลักษณ์ใหม่ของไฟหน้าและกระจังหน้าที่คล้ายกับใบหน้าของ SUV รุ่นพี่อย่างออฟโรดรุ่น GLE เพียงแต่ขนาดและสัดส่วนบั้นท้ายของ GLC เท่านั้นที่มีความแตกต่างในด้านขนาดและรูปแบบของตัวรถ ระบบอากาศพลศาสตร์ที่ผ่านการขัดเกลาในอุโมงค์ลมระหว่างการพัฒนาทำให้ตัวเลขค่าสัมประสิทธิแรงเสียดทานอากาศดีขึ้น (cd 0.31) วิศวกรรมระบบส่งกำลังขั้นสูงจาก Mercedes Benz ขยายขอบเขตด้าน Dynamic ของเกียร์ให้เหนือกว่ารถคู่แข่งในด้านอัตราทด การปล่อยมลพิษที่ลดลงและอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีขึ้นจากเกียร์แบบใหม่ที่มีให้ใช้งานมากถึง 9 สปีด ควบรวมการทำงานของเกียร์เข้ากับโหมดการขับเคลื่อน 4 รูปแบบ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ความสะดวกสบายในการนั่ง ความคล่องตัวแบบสปอร์ต การออกแบบที่ชัดเจนและตระการตาของ New GLC กลายเป็นมาตรฐานสำหรับครอบครัว SUV ของ Mercedes-Benz ในอนาคต

ห้องโดยสารของ GLC มีการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์พื้นที่ของการใช้งานที่เน้นความอเนกประสงค์บนความสบาย ภายในไล่จากคอนโซล เบาะกับงานตกแต่งที่มีความหรูหรามากกว่ารุ่นเดิม Mercedes-Benz ใช้รูปแบบภายในอันสง่างามของ C-Class W205 มาปรับใช้กับ GLC ด้วยการแปลงรูปแบบของคอนโซลและอุปกรณ์บางชิ้นที่ให้ทั้งความสะดวกสบายและความสวยงาม อุปกรณ์ราคาแพงพวกเบาะหนัง ARTICO สีน้ำตาล แผงประตู-ปุ่มและสวิตช์สำหรับสั่งงานที่เน้นความหรูหราน่าใช้ เป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังรถคู่แข่งด้วยงานออกแบบและตกแต่งห้องโดยสารที่อ้างอิงความหรูกับโมเดลรุ่นพี่อย่าง S-Class การปรับรุ่นแยกย่อยสำหรับการตกแต่งภายในที่มีความแตกต่างอย่างชัดเจน อุปกรณ์พวกอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัยสอดคล้องกับมาตรฐานอันสูงส่งที่ถูกกำหนดโดยตัวรถรุ่นพี่อย่าง New GLE งานตกแต่งภายในของ GLC250d รุ่นถูกสุดมีความประณีตบรรจง จากงานประกอบสำหรับการเชื่อมโยงบรรยากาศภายในห้องโดยสารสไตล์ Mercedes-Benz ผนวกเข้ากับการใช้งานผ่านผิวสัมผัสของวัสดุชั้นสูง เช่น หนัง ลายไม้ที่จัดทำอย่างพิถีพิถันที่มีทั้งรายละเอียดและผิวสัมผัส 

แดชบอร์ดและคอนโซลกลางมีขนาดใหญ่จากรูปแบบของแดชบอร์ดใน C-Class W250 มาปรับขนาดให้เข้ากับพื้นที่ภายในของ GLC แผงคอนโซลแบบชิ้นเดียววางช่องระบายอากาศทรงกลม พนักเท้าแขนเชื่อมกับอุโมงค์เพลากลางแบ่งเขตแดนของพื้นที่ระหว่างคนขับกับผู้โดยสารตอนหน้าอย่างชัดเจน เส้นสายลวดลายของภายในที่มีความชัดเจนในตัวตน สร้างความรู้สึกของการเปิดพื้นที่และความพิถีพิถันของงานตกแต่งด้วยบรรยากาศที่มีความทันสมัยเทียบเท่า GLE ผู้พี่ ทัชแพด หรือจอแสดงผลส่วนกลาง สั่งงานด้วยระบบสัมผัสเป็นอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อลดปุ่มกดหรือสวิตช์สั่งงานที่รกรุงรังในรถยุคก่อน ห้องโดยสารโดยเฉพาะเบาะนั่งออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ คอนโซลกลางใช้งานไม้สีน้ำตาลที่ให้ความรู้สึกถึงความเคร่งขรึมในฐานะที่เป็นยนตรกรรมแนวออฟโรด

ต่ำลงมาจากจอมอนิเตอร์เป็นช่องแอร์ทรงกลม 3 วง กับแผงควบคุมอุณหภูมิดิจิตอลที่ใช้งานได้ง่ายขึ้น ระบบแป้นสั่งงานแบบสัมผัสหรือทัชแพดครอบคลุมการใช้งานโดยสามารถเขียนตัวอักษรหรือตัวเลข ระบบ Comand Online สื่อสารกับโลกภายนอกด้วยอินเทอร์เน็ต ตำแหน่งศูนย์กลางของการแสดงผลแบบบูรณาการด้วยแผงควบคุมระบบอากาศ ซึ่งจะแสดงผลที่หน้าจอสำหรับการปรับตั้งระบบแอร์ในห้องโดยสาร ฟังก์ชั่นอันหลากหลายของการปรับตั้งที่ทำออกมาให้มีความน่าใช้งานผสมกับความง่ายในการเข้า-ออกจากเมนู จอภาพและกราฟิกที่สร้างความคมชัดด้วยรูปแบบที่น่าสนใจแต่รุ่น 250d Off-Road ไม่มีระบบนำทางด้วยดาวเทียมมาให้ หากอยากได้ก็ต้องควักกระเป๋าเพิ่ม

GLC มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ภายในด้วยการเพิ่มพื้นที่ของห้องโดยสารให้กว้างมากขึ้น พื้นที่ที่เพิ่มเข้ามาสำหรับผู้โดยสารตอนหน้าและหลัง การเพิ่มขึ้นของความยาวตัวถังใน GLC เมื่อเทียบกับ GLK รุ่นก่อนหน้านี้ เกิดขึ้นจากงานออกแบบที่มีประสิทธิภาพโดยพยายามปรับพื้นที่ภายในให้เกิดประโยชน์กับการใช้งานมากที่สุด เกือบทุกปัจจัยขึ้นตรงกับความสะดวกสบาย พื้นที่สำหรับวางเท้าถูกขยายขึ้นอีก 34 มิลลิเมตร ตามวัตถุประสงค์หลักของการออกแบบ เพื่อทำให้สามารถเข้าและออกจากรถได้สะดวกมากขึ้น วิศวกรของ Mercedes-Benz ออกแบบขนาดของพื้นที่เก็บสัมภาระโดยมีระดับพื้นที่โหลดสัมภาระให้พอเพียงต่อการใช้งาน เบาะนั่งด้านหลังใช้รูปแบบของการพับ 40/20/40 ปริมาตรของพื้นที่เก็บสัมภาระส่วนท้ายที่ 580 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังลงราบกับพื้นจะได้พื้นที่มากถึง 1,600 ลิตร เพิ่มอีก 50 ลิตรจากโมเดลเก่า เพิ่มความสะดวกสบายสำหรับการโหลดสัมภาระยกเข้าไปยังพื้นที่เก็บของ โดยมีสัดส่วนความสูงของแนวฝาท้ายลดลงอีก 40 มิลลิเมตร ฝาท้ายเปิด-ปิดได้ด้วยการกดปุ่ม แต่ไม่มีเซนเซอร์ที่ใช้เท้ากวาดใต้ฝากระโปรงหลังเนื่องจากเป็นรุ่นต่ำสุดนั่นเอง 

ตำแหน่งท่านั่งที่ลงตัวกับเบาะปรับไฟฟ้าที่ไม่มีหน่วยความจำมาให้ในรุ่นถูกสุด ออปชั่นที่โดนหั่นเพื่อทำราคาให้ถูกลงอาจไม่มีความจำเป็นในการใช้งานมากเท่ากับการควบคุมที่ยอดเยี่ยมของมัน GLC250d เป็นรถที่ขับได้ง่าย แม้จะสูงใหญ่มากกว่ารถเก๋งทั่วๆไปแต่การออกแบบชุดบังคับเลี้ยวที่แม่นยำ ทำให้การขับขี่ใช้งานในเมืองไม่ได้สร้างความยากลำบากอะไรเมื่อเข้าไปในตรอกซอกซอยที่คับแคบ รถคันทดสอบใส่ยางรันแฟลตขอบ 19 นิ้วที่มีแก้มยางสูงพอใช้ได้ ล้อกับยางที่ผ่านการคำนวนให้มีความเหมาะสมกับระบบรองรับทำให้เจ้าออฟโรดตราดาวคันนี้ขับได้ดีสูสีกับรถคู่แข่ง สิ่งที่ทำให้รู้สึกชอบก็คือความนิ่มนวลของช่วงล่างและการเก็บเสียงที่สามารถผลึกห้องโดยสารและปิดกั้นเสียงแปลกปลอมจากภายนอกได้อย่างเนียน แรงบิด 500 นิวตันเมตร ในโหมด Comfort สามารถเรียกกำลังออกมาใช้งานได้อย่างง่ายดาย แค่กดคันเร่งให้ลึกลงหน่อยมันก็จะพาคุณทะยานไปตามฝ่าเท้าได้อย่างที่ต้องการ เครื่องยนต์ดีเซล OM651 ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหมุนด้วยรอบสูงอย่างต่อเนื่อง แค่ 2,000 รอบต่อนาทีก็เหลือกำลังลาก แรงบิดรอบต่ำมาเต็มและมาเร็ว ทำให้ไม่มีถนนโล่งมากพอในการปลดปล่อยฝูงม้า 204 ตัวออกมาจนหมดไส้หมดพุง! 

พวงมาลัยของรถยุโรปยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Mercedes-Benz BMW หรือ Audi ทำออกมาได้ดีสูสีกันในด้านความแม่นยำและน้ำหนักที่แปรผันไปตามความเร็วและสามารถทำงานร่วมกับระบบความปลอดภัยอื่นๆ ได้ พวงมาลัยของ CLC ให้ความรู้สึกถึงการสื่อสารกับผิวถนนที่ดี มีน้ำหนักที่หน่วงมือปรับเปลี่ยนไปตามความเร็ว ในย่านความเร็วต่ำก็ปรับมาให้เบาสบายมือสำหรับการหักเลี้ยวจากที่จอดคับแคบหรือเลี้ยวกลับลำแบบยูเทิร์นโดยไม่สร้างความยากลำบากในการควบคุม เมื่อขับเร็วขึ้นน้ำหนักของพวงมาลัยก็จะหน่วงมือมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้โหมด Sport และ Sport + เป็นพวงมาลัยยุคใหม่ที่ตอบสนองได้ดีทั้งทางตรงและการควบคุมทิศทางในโค้ง ช่วงล่างแบบมาตรฐานก็หนึบแน่นใช้ได้ ถ้ารู้จักหยอดเมื่อเจอกับหลุมบ่อหรือขับบนผิวถนนแบบทางลูกรัง หากใช้ความเร็วที่เหมาะสมก็จะเป็นรถที่นั่งหรือขับได้อย่างเนียนตา 

GLC ทุกรุ่นติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ 4MATIC สามารถกระจายถ่ายเทแรงบิดแบบผกผันจากล้อหน้าไปล้อหลังหรือจากล้อหลังมายังล้อหน้าได้ 45% ถึง 55% ขึ้นอยู่กับสภาพเส้นทางที่วิ่งผ่าน การกระจายแรงบิดระหว่างเพลาหน้าและเพลาหลังเชื่อมโยงกับระบบควบคุมการทรงตัว ESP® / ASR และ 4ETS ระบบควบคุมการจัดการแบบไดนามิกนี้ มีให้สำหรับการควบคุมที่เหนือชั้นกว่ารถคู่แข่ง (ยกเว้น ultra quattro ของ Audi Q5) และสามารถคาดเดาได้อย่างชัดเจนจากการทำงานที่แม่นยำ คลัตช์หลายแผ่นที่แตกต่างกันในชุดขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ช่วยเพิ่มการยึดเกาะระหว่างยางกับผิวถนน การขับบนหิมะหรือน้ำแข็ง แรงล็อกขั้นพื้นฐาน 50 นิวตันเมตร ระหว่างเพลาหน้าและเพลาหลังกับการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อต้องลากจูงวัตถุที่ส่งผลกับเสถียรภาพของตัวรถ

ระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 9G-TRONIC หรือเกียร์อัตโนมัติแบบ 9 อัตราทดรุ่นล่าสุดสร้างโดยวิศวกรของ Mercedes Benz ถูกติดตั้งให้เป็นเกียร์มาตรฐานใน GLC250d 4MATIC และ GLC43 4MATIC ทั้งนี้ เพื่อให้เหนือกว่าเกียร์แบบ 8 สปีดในรถคู่แข่งอย่าง BMW X3 โดยขึ้นอยู่กับโหมดที่ผู้ขับขี่ทำการเลือกสำหรับการควบคุมแบบ DYNAMIC เกียร์ 9 สปีดแบบใหม่ที่มีอัตราทดเพิ่มขึ้นมาอีก 2 ตำแหน่งเข้ามาแทนที่เกียร์รุ่นเก่า ซึ่งมีแค่ 7 สปีด ครอบคลุมทุกสภาพเส้นทาง โดยเน้นไปที่ความคล่องตัวและการตอบสนองที่ดีของเครื่องยนต์ โดยเฉพาะย่านของแรงบิดที่กว้างมากยิ่งขึ้น เกียร์โอเวอร์ไดรฟ์หรือเกียร์ 9 ช่วยลดรอบเครื่องยนต์ และทำให้ประหยัดเชื้อเพลิง ศักยภาพในการส่งกำลังที่เหนือกว่าเกียร์แบบอื่นๆ โดยเน้นไปที่คุณประโยชน์ของการขับใช้งานได้อย่างเต็มที่ เกียร์อัตโนมัติแบบใหม่ของ Mercedes-Benz ใน GLC ยังมีการเปลี่ยนแปลงอัตราทดด้วยความว่องไวอย่างน่าประทับใจ จากความแม่นยำและเรียบเนียนราวกับเกียร์ CVT มอบอัตราเร่งที่สมบูรณ์แบบสำหรับการเร่งความเร็วเพื่อแซง ผสานกับความนิ่มนวลเมื่อเปลี่ยนเกียร์ขึ้น-ลงรวมถึงการกระโดดข้ามของเกียร์เมื่อเปลี่ยนอัตราทดด้วยความรวดเร็ว โดยเฉพาะการเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำด้วยแป้น Paddle Shift 

โหมดการขับเคลื่อน 5 รูปแบบปรับผ่านสวิตช์ DYNAMIC SELECT กับโปรแกรมการขับที่เป็นมาตรฐานที่ติดตั้งมาให้จากโรงงานเช่นเดียวกับ BMW X3 ที่ใช้เกียร์ ZF 8 สปีด ใน GLC250d โหมดการขับเคลื่อนเริ่มจาก ECO ที่เน้นการขับไปเรื่อยๆ เพื่อประหยัดเชื้อเพลิงด้วยคันเร่งไฟฟ้าที่ตอบสนองอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อลดอัตราสิ้นเปลือง โหมด COMFORT เป็นโหมดมาตรฐานเมื่อทำการสตาร์ตเครื่องยนต์ ใช้งานสำหรับการขับทั้งในและนอกเมืองโดยให้การตอบสนองแบบกลางๆ โหมด SPORT คันเร่งไฟฟ้าไวขึ้นและเกียร์เปลี่ยนช้าลงเพื่อคาอยู่ในตำแหน่งเกียร์ที่มีแรงบิดสูงสุด โดยเฉพาะ เกียร์ 4-5 ส่วนโหมด SPORT + ทุกสิ่งทุกอย่างของ GLC250d จะว่องไวและตอบสนองอย่างรวดเร็วสำหรับการขับที่รีบเร่งและไม่สนใจกับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ส่วนโหมดสุดท้าย Individual สามารถล้วงลึกเข้าไปปรับตั้งการตอบสนองของ เครื่องยนต์ พวงมาลัย และระบบควบคุมอุณหภูมิ

โหมด ECO ซึ่งเป็นโหมดประหยัดพลังงานสำหรับการวิ่งบนทางสายรองก่อนที่จะไปโผล่บนไฮเวย์ โหมดประหยัดใน GLC250d ให้ความรู้สึกนิ่มนวลชวนฝันแบบลอยไปเรื่อยๆบนผิวถนนเมื่อพบเจอกับทางเรียบ ในโหมดประหยัดนั้นการวิ่งแบบเรื่อยๆมาเรียงๆบน GLC คล้ายกับการทำตัวเป็นรถที่ขับได้สองแบบสองบุคลิก ขับช้าก็จะได้ความประหยัดพอขับเร็วๆ ก็จะได้ความสนุก กำลัง 204 แรงม้ากับแรงบิด 500 นิวตันเมตร มากพอที่จะกดคันเร่งแซงรถช้าแม้จะคาอยู่ในโหมดต่ำสุด การตอบสนองของพวงมาลัยนั้นแม้จะเบาสบายมือ แต่ยังมีความมั่นคงและแม่นยำจากการปรับเซตน้ำหนักของพวงมาลัยผ่าน ECU ชุดส่งกำลังแบบใหม่ 9G Tronic ที่มีอัตราทดมากถึง 9 ตำแหน่งจะปรับตัวเองไหลขึ้นไปยังเกียร์สูงหรือเกียร์ 9 อย่างรวดเร็วเพื่อลดรอบเครื่องยนต์ ระบบ Auto Start/Stop ทำงานทันทีที่ตัวรถหยุดนิ่งเมื่อขับมาจอดรอสัญญาณไฟจราจร เมื่อเครื่องยนต์ดับตัวเองลงในระหว่างที่จอดรอสัญญาณไฟเขียว ระบบปรับอากาศยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องแต่คอมเพรสเซอร์แอร์นั้นหยุดทำงานตามเครื่องยนต์ไปด้วย หากติดไฟแดงนานๆ แล้วเซ็นเซอร์ตรวจพบว่าอุณหภูมิภายในห้องโดยสารกำลังสูงขึ้น ระบบจะสั่งให้เครื่องยนต์ติดเองแบบอัตโนมัติเพื่อทำให้คอมแอร์กลับมาทำงานอีกครั้งแล้วส่งไอเย็นกลับมาหมุนเวียนเป็นวงจรการทำงานที่มีความต่อเนื่องและราบรื่นของ GLC250d ในโหมด ECO

โหมดการขับเคลื่อนปกติทั่วไปหรือ Comfort ให้ความรู้สึกว่าคันเร่งนั้นไวขึ้นมาอีกนิด พวงมาลัยจากที่เคยยืดหยุ่นผ่อนคลายก็กลับมากระชับตึงไม้ตึงมือมากกว่าโหมดต่ำสุด โหมด Comfort เหมาะกับการใช้วิ่งสลับทั้งในและนอกเมือง เกียร์ 9 สปีดที่เหนือชั้นทำงานอย่างขยันขันแข็งในการเปลี่ยนอัตราทดขึ้น-ลงไปตามสภาพทางความเร็วของตัวรถที่ผกผันอยู่ตลอดเวลาและการใช้คันเร่ง เทียบกับเกียร์ 8 สปีดของ BMW X3 ในด้านความรู้สึกแล้วออกมาสูสีแบบกินกันกันไม่ลง เกียร์ 9G Tronic ของ GLC จะได้เปรียบเกียร์ ZF 8 Speed ของ BMW X3 xDRIVE 20d อยู่นิดๆ ตรงที่มีอัตราทดเหนือกว่าอยู่ 1 ตำแหน่ง นอกเหนือไปจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวคุณเองผ่านแป้น Paddle Shift หรือให้มันเกียร์เปลี่ยนเองแบบอัตโนมัติในตำแหน่ง D เกียร์ของ BMW และ Mercedes-Benz ก็มีประสิทธิภาพดีพอฟัดพอเหวี่ยงด้วยกันทั้งคู่ เป็นชุดส่งกำลังที่มีให้คุณทั้งความราบเรียบไร้อาการกระตุกกระชาก มอบอารมณ์เนียนๆ ด้วยการทำงานไหลขึ้น-ลงอย่างต่อเนื่องคล้ายกับการทำงานของเกียร์ CVT แต่อย่าลืมว่าเกียร์แบบฟันเฟืองทอร์คคอนเวอร์เตอร์ของทั้งสองแบรนด์นั้นมีกลไกภายในที่สลับซับซ้อน ประกอบไปด้วยเฟืองทดกำลังต่างขนาดจำนวนมาก สมองกลไฟฟ้าที่ควบคุมการทำงานและช่องทางเดินของน้ำมันเกียร์ที่ใช้ในการหล่อลื่น ขนาดและน้ำหนักของเกียร์ที่มากกว่า บวกกับราคาค่าตัวที่แพงกว่าเกียร์ CVT ในรถญี่ปุ่นมากมายหลายเท่า สมรรถนะอันยอดเยี่ยมของ GLC ส่วนหนึ่งเกิดจากการถือกำเนิดเกิดขึ้นมาหลังการปรากฏตัวของ BMW X3  Mercedes Benz ใช้ความพยายามในการที่จะทำให้ GLC เป็นรถออฟโรดรุ่นใหม่ที่มีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนได้มากกว่า เป็นรถที่มีเสถียรภาพ คล่องตัวและมีเครื่องยนต์ความจุแค่ 2,143  ซีซี แต่สามารถฉุดลากตัวรถที่มีน้ำหนักมากถึง 1835 กิโลกรัมให้ปลิวไปตามสายลมได้อย่างสบายๆ การตอบสนองของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ 4MATIC ทำให้เกิดความมั่นใจ ช่วงล่างโอนอ่อนผ่อนคลายมากกว่า X3 ทำให้นั่งได้นุ่มสบายก้นแม้จะวิ่งผ่านผิวถนนที่ไม่เรียบหรือไม่มีความสม่ำเสมอ ช่วงล่างแบบใหม่ที่มีอะลูมินั่มอัลลอยเสริมเข้ามาในจุดที่ต้องรับแรง เมื่อจับผู้โดยสารเต็มทั้ง 5 ที่นั่งบวกสัมภาระเต็มคันก็ยังไม่กระทบกับประสิทธิภาพของตัวรถแต่อย่างใดทั้งสิ้น

สำหรับแพ็กเกจ Off-Road ที่อยู่ในรุ่นสูงสุดของ GLC43 (ไม่มีใน GLC250d Off-Road) ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อเพิ่มเติมความสามารถในการลุยทางวิบาก ประกอบด้วยโปรแกรมการขับ 5 รูปแบบที่ครอบคลุมลักษณะของการใช้งานที่เน้นความสมบุกสมบัน แพ็กเกจ Off-Road จะมีการทำงานร่วมแกนกับ AIR BODY ควบคุมตัวรถด้วยการเพิ่มหรือลดความสูงไปตามโปรแกรมการขับเคลื่อนที่ปรับตั้งได้ ระดับสูงสุดของการลุย ช่วงล่างแบบ Air Matic จะยกความสูงเพิ่มขึ้นอีก 50 มิลลิเมตร การควบคุมกระจายแรงบิดขึ้นตรงกับคอมพิวเตอร์ส่วนกลางที่จะคอยประเมินผลตรวจจับล้อที่เกิดอาการลื่นไถล โดยจะทำการลดแรงบิดในล้อที่หมุนฟรีแล้วถ่ายเทแรงบิดไปยังล้อที่ยึดเกาะกับผิวถนน ออฟชั่นเสริมออฟโรดโปรแกรมถูกออกแบบมาสำหรับการวิ่งฝ่าเส้นทางทุรกันดาน ใช้ลากจูงรถพ่วง อำนวยความสะดวกสำหรับการขับใช้งานเมื่อออกจากเส้นทางปกติเพื่อการลุย แพ็กเกจ Off-Road เชื่อมต่อไปถึงระบบเฝ้าระวัง Gemtex underride ที่เน้นความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะวิ่งแบบไต่เนินชันหรือไหลลงจากทางที่มีความลาดชันมากๆ ระบบซึ่งเป็นไปตามชื่อย่อของ DSR ทำงานอัตโนมัติโดยรักษาความเร็วให้คงที่ขณะขับขึ้นหรือลงเนินลาดชัน ถ่ายเทแรงบิดด้วยความเรียบเนียนปราศจากอาการกระตุกกระชาก 

ในขณะที่ GLK รุ่นเก่านั้นมีทั้งอาการโคลงตัวกับแรงเหวี่ยงหนักๆ ในโค้ง แต่ใน New GLC 250 4MATIC ผมสามารถเข้าโค้งกว้างๆด้วยความเร็วสูงได้อย่างมั่นใจ พัฒนาการที่ก้าวกระโดดของแชสซีส์และระบบรองรับซึ่งเคยตกเป็นรองรถศัตรูตัวฉกาจอย่าง BMW X3 ในอดีต หนทางในการแก้ทางมวยที่ Mercedes Benz ทำการศึกษามาเป็นอย่างดีก็คือทำอย่างไรก็ได้เพื่อจะให้ GLC250d มีการขับขี่ที่เหนือกว่า BMW X3 หรือแม้แต่ Porsche Macan เจ้า GLC มีแชสซีที่ยอดเยี่ยม โครงสร้างของตัวรถแข็งแกร่งขึ้นมากแต่กลับมีน้ำหนักตัวที่เบาลง ฐานล้อของ GLC เมื่อเทียบกับ X3 แล้วยาวกว่าเล็กน้อยแต่ส่งผลไปถึงความรู้สึกของการนั่งและการขับที่เต็มไปด้วยความมั่นคง ช่วงล่างด้านหน้าแบบดับเบิลวิชโบนทำจากอัลลอยทั้งดุ้น แพหลังของเจ้านี่ก็ยังทำมาจากอัลลอยที่นอกจากจะเบาและแข็งแรงแล้ว ยังให้ความรู้สึกหนึบหนับราวกับทากาวไว้ที่ล้อขับเคลื่อนหลัก หากทำออกมาไม่ได้เรื่องได้ราวแบบขอไปที ระบบรองรับของรถยนต์แบบออฟโรดก็จะกลายเป็นตัวบั่นทอนสมรรถนะของตัวรถไปโดยปริยายเนื่องจากขนาดความสูง จุดที่สตรัทมีการขยับตัวอยู่บ้างและทำให้อาการของรถประเภทนี้ไม่ดีเท่ากับรถเก๋งเมื่อต้องหวดเข้าโค้งแรงๆ การปรับแต่งระบบรองรับทั้งด้านหน้าและด้านหลังให้เคลื่อนไหวได้เล็กน้อยตามต้องการ รถจึงขยับไปในทิศทางเดียวกันทั่วทั้งคันขณะเข้าโค้ง ช่วงล่างของ GLC ช่วยขจัดอาการดึงที่พวงมาลัยไม่ว่าจะเป็นตอนที่คนขับเร่งเครื่องยนต์หรือขับเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง เป็นวิธีที่ให้ความยืดหยุ่นกับตัวรถที่ส่งผลดีต่อการควบคุมตั้งแต่ย่านความเร็วต่ำไปจนถึงความเร็วสูง

ระบบห้ามล้อของ GLC250d 4MATIC Off-Road เป็นจานเบรกเหล็กธรรมดาไม่ได้เจาะรูระบายความร้อนเหมือนรุ่น AMG คาร์ลิปเปอร์อัลลอยสีเทาก็ไม่มีตราสัญลักษณ์ Merceds-Benz เหมือนรุ่นที่แพงกว่า เป็นชุดเบรกที่ทำงานได้ดี เมื่อลองวิ่งลงมาจากเนินเขาแล้วใช้เบรกหนักๆ จานเบรกและพลังในการหยุดยั้งดีเยี่ยม GLC250d มีระยะเบรกจาก 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจนหยุดนิ่งสนิทแค่ 35 เมตร เท่ากับรถสปอร์ตคันเล็กเลยทีเดียว ส่วนระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC จะส่งแรงบิดไปที่ล้อหลังมากกว่าล้อหน้าเมื่อขับบนถนนปกติ โดยมี Torque Vectoring ที่สามารถช่วยให้ล้อหน้าส่งกำลังขับเคลื่อนได้ 50% ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ช่วยทำให้รถมีความเสถียรเมื่อวิ่งอยู่บนไฮเวย์และช่วยให้คุณเอาตัวรอดได้เมื่อขับลุยฝ่าทางวิบาก ยาง pirelli รุ่น scorpion verde แบบ all season ไซล์ 235/55R19 101Y เป็นยางรัลแฟลตที่ค่อนข้างนุ่มนวล แก้มยางไม่ได้แข็งกระด้างเหมือนยางรันแฟลตทั่วๆ ไป เป็นส่วนผสมที่ลงตัวเมื่อต้องทำงานร่วมกับช่วงล่างของ GLC มันให้ทั้งความสบายและความหนึบ ทำให้ล้อขอบ 21 นิ้วของ GLC 43AMG ดูด้อยประสิทธิภาพบนทางตรงกันไปเลยทีเดียว ล้อใหญ่เกินไปไม่ใช่เรื่องที่ดีและการมีล้อแค่ 19 นิ้วก็เหมาะสมกันดีอยู่แล้วบนถนนในประเทศไทยที่ไม่ค่อยจะมีความสม่ำเสมอ ถ้าจะเอาสวยแบบเต็มซุ้ม เล่นกันถึงขอบ 21-22 นิ้ว คุณก็จะพบกับราคาที่แพงแสบไส้ของยางและอาการสะเทือนและโคลงเคลงในแบบที่จะทำให้ขับไม่สนุก! แก้มยางที่เตี้ยสุดๆ เมื่ออยู่ในล้อไซส์ยักษ์อาจเกิดความเสียหายได้ตลอดเวลาเมื่อขับแบบขาดความระมัดระวัง

โหมด Sport ถูกผมกดใช้งานเมื่อวิ่งอยู่บนทางหลวงชนบทที่จะมุ่งหน้าไปยังอำเภอบ้านไร่ในจังหวัดอุทัยธานี สัมผัสในโหมด Sport ให้ความรู้สึกถึงการตอบสนองของคันเร่งไฟฟ้าไวขึ้นมาก ส่วนอัตราเร่งของ GLC รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล จาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ที่ 7.9 วินาที โหมด Sport สร้างความกระฉับกระเฉงโดยเฉพาะอัตราเร่งที่ดุดันเกินปริมาตรความจุแค่ 2.1 ลิตรของเครื่องยนต์ดีเซลจาก Mercedes-Benz ระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบผนวกอินเตอร์คูลเลอร์สำหรับการลดอุณหภูมิไอดีก่อนประจุอัดเข้าไปยังห้องเผาไหม้ สร้างแรงบิดที่กลายมาเป็นการวิ่งแบบว่องไวปราดเปรียว เมื่อถนนโล่ง เจ้า GLC250d ในโหมด Sport ทะยานพุ่งไปข้างหน้าอย่างร่าเริง เครื่องยนต์และเกียร์ทำงานอย่างขยันขันแข็งช่วยทำให้สมรรถนะของมันเกือบจะขึ้นไปเทียบชั้นกับ Porsche Macan ในรุ่นมาตรฐานเลยทีเดียว แชสซีส์ที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพสำแดงฤทธิ์เดชออกมาให้เห็นเมื่อต้องเปลี่ยนช่องทางแบบเร็วๆ คล้ายกับการมุดเข้ามุดออกของรถซิ่ง โหมด Sport ไม่ต้องมานั่งเรียนรู้จังหวะจะโคนของการใช้คันเร่งแต่อย่างใดทั้งสิ้น แค่กระแทกคันเร่งลงไปจนสุดมันก็จะพุ่งทะยานไปตามแรงฝ่าเท้าทันที GLC เป็นรถ SUV ไซส์กลางที่มีเครื่องยนต์ พวงมาลัยและเบรกในระดับสุดยอด โดยเฉพาะตอนพุ่งเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมั่นคง ทำให้ผมสามารถทะยานผ่านเนินเขาแถวอุทัยธานีด้วยความว่องไวทันใจนึกกันจริงๆ 

จุดเด่นใน GLC ทุกรุ่นทุกเครื่องยนต์ก็คือ การวิ่งใช้งานในชีวิตประจำวันที่น่าประทับใจ การเก็บเสียงที่ยอดเยี่ยม เครื่องยนต์และเกียร์รวมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อทำงานผสานกันอย่างราบรื่นต่อเนื่องครอบคลุมทุกโหมดของการขับเคลื่อน ทุกสิ่งทุกอย่างใน GLC ถูกปรับปรุงทั้งในด้านภาพลักษณ์และคุณภาพของงานประกอบ พร้อมด้วยการเสริมประสิทธิภาพของการขับขี่ด้วยตัวช่วยอิเล็กทรอนิกส์นับสิบรายการเพื่อทำออกมาให้เหนือชั้นกว่ารถคู่แข่ง GLC250d เครื่องยนต์ดีเซล เป็นรุ่นที่ขายดีและทำเงินมหาศาลให้กับ Mercedes-Benz Thailand ไม่มีความจำเป็นจะต้องจ่ายแพงกว่าเพื่อเลือกรุ่นที่มีออปชั่นเยอะๆ รวมถึงระบบกันสะเทือนแบบปรับระดับได้หรือ Air Matic ที่ไม่เหมาะกับถนนหนทางในประเทศไทย

130 ปีของแบรนด์ตราดาว Mercedes-Benz ได้สร้างสรรค์ยานยนต์หลากหลายรูปแบบขึ้นมาบนโลกใบนี้เพื่อการใช้งานที่แตกต่างและช่วยเสริมภาพลักษณ์ความสำเร็จในหน้าที่การงานของคุณที่แปรเปลี่ยนมาเป็นเงิน Mercerdes-Benz GLC รุ่นตัดออปชั่น Off-Road สอบผ่านและดีพอที่จะเป็นพาหนะตัวลุยคันใหม่ของคุณ หากไม่สนใจรถ GLC รุ่นปรับโฉม 2019 ที่จะโผล่ออกมาในเดือนพฤษภาคมนี้ รอราคาให้โฉมปัจจุบันลงมาอีกหน่อยก็น่าสอยยิ่งนักละครับท่านผู้ชม โดยเฉพาะราคาไม่ถึงสามล้านของ GLC250d 4MATIC Off-Road ก็น่าจะได้เห็นกันเมื่อรุ่นปรับโฉมใกล้ถูกวางขาย!

รุ่นและราคา
Mercedes-Benz GLC 250d 4MATIC Off-Road (นำเข้า) 3,790,000 บาท

Mercedes-Benz GLC 250d 4MATIC Off-Road (ประกอบในประเทศ) 3,240,000 บาท (คันทดสอบ)

Mercedes-Benz  GLC 250d 4MATIC AMG Dynamic (AMG Plus นำเข้า) 4,240,000 บาท

Mercedes-Benz GLC 250d 4MATIC AMG Dynamic (ประกอบในประเทศ) 3,690,000 บาท 


รายละเอียดด้านเทคนิค GLC 250 d 4MATIC OFF - ROAD ราคา 3,240,000 บาท  
เครื่องยนต์ ดีเซล แถวเรียง / 4 สูบ / 4 วาล์วต่อสูบ เทอร์โบคู่‹ พร้อมอินเตอรคูลเลอร์
ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 2,143 ซีซี.
แรงม้าสูงสุด 150 กิโลวัตต 204 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600-1,800 รอบต่อนาที)
อัตราเร‹ง 0 -100 กม. / ชม. 7.6 วินาที
ความเร็วสูงสุดโดยประมาณ 222 กม. / ชม.
ความจุถังน้ำมัน  66 ลิตร
พื้นที่บรรทุกสัมภาระ  ไม่พับเบาะหลัง 550 ลิตร พับเบาะหลัง 1,600 ลิตร 
ระบบส่งกำลัง เกียรอัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G - TRONIC) 
พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Steering - wheel Gearshift Paddles
ขนาดล้อและยางหน้า-หลัง 8x19" ยาง pirelli scorpion verde all season 235 / 55 R19 101Y

มิติตัวถัง กว้าง 1,890 มิลลิเมตร ยาว 4,656 มิลลิเมตร สูง 1,639 มิลลิเมตร 

ระบบความปลอดภัย GLC 250 d 4MATIC OFF - ROAD 
ถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้Œขับขี่และผู้Œโดยสาร 
ถุงลมนิรภัยด้านข้าง สำหรับผู้Œขับขี่และผู้โดยสารด้Œานหน้า 
ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง ป้องกันศีรษะ 4 ตำแหน‹ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด 5 ที่นั่ง 
โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP® (Electronic Stability Program) 
ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti - lock braking system) 
ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชั่น HOLD และ Hill - Start Assist 
ไฟเบรกกะพริบฉุกเฉิน (adaptive brake light) 
ระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ (Active Brake Assist) 
ระบบรักษาระดับความเร็ว (cruise control) และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC)
ระบบเตือนเพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ (ASSYST service interval indicator) 
ระบบเตือนแรงดันลมยาง (tyre pressure loss warning system) 
ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) 
เซ็นเซอร์ช่วยในการนำรถเข้าจอด (PARKTRONIC) 
ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ(Active Parking Assist) 
กล้องแสดงภาพด้านหลัง ขณะถอยรถ (reversing camera)

อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก
ใบปัดน้ำฝนทำงานโดยอัตโนมัติ พร้อมเซนเซอร์วัดปริมาณน้ำฝน 
ไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System 
ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (ALS - Active Light System) 
ระบบเพิ่มความส่องสว‹างขณะเลี้ยวโค้Œง (cornering light) 
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ(Adaptive Highbeam Assist) 
ไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน
ไฟเลี้ยวที่กระจกมองขŒาง ไฟท้าย และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED 
กระจกมองข้างปรับระดับและพับเก็บด้วยระบบไฟฟ้า 
กระจกมองข้างด้านผู้Œขับขี่และกระจกส่องหลังปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ 
กุญแจรีโมตคอนโทรล 
ระบบเปิด - ปิดบานประตูท้ายอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า 
ระบบกันสะเทือนแบบคอมฟอร์ต
บันไดข้างสเตนเลสดีไซน์สปอร์ต 
ปลายท่อไอเสียเสริมโครเมี่ยม 2 ท่อ
ล้ออัลลอย แบบ 5 ก้าน ขนาด 19" 
ยางรถยนตแบบ Run - flat

อุปกรณ์มาตรฐานภายใน GLC 250 d 4MATIC OFF - ROAD 
ฟังก์ชั่น ECO start/stop 
ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMATIC แบบ 2 โซน 
เบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO 
เบาะนั่งสำหรับผูŒขับขี่และผู้Œโดยสารด้านหน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า 
เบาะนั่งผู้Œโดยสารด้านหลังพับไดŒ้แบบ 1/3 และ 2/3 
เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังปรับองศาได้ พร้Œอมกล่องเก็บของ ตาข่ายสัมภาระซ้าย -ขวา 
ฟังก์ชั่นพับพนักพิงผู้Œโดยสารด้Œานหลังอัตโนมัติ 
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 
พวงมาลัยนิรภัยพร้อมพาวเวอร์ ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ 
ฟังก์ชั่นปรับสมดุลอากาศภายในหŒองโดยสาร (AIR BALANCE)
ม่านบังแดดประตูหลังซ้าย - ขวา
ปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ (Push Start)
ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารแบบ 3 สี (ambient lighting) 
วิทยุ- ซีดี MB Audio 20 
ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย touchpad 
ระบบสำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Bluetooth) 


อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/