ซุปเปอร์คาร์ McLAREN รุ่น 720S คือรถสปอร์ตที่รวมเอาทุกสิ่งในจักรกลยานยนต์ความเร็วสูงที่คุณชื่นชอบมาใส่ไว้ทั้งหมด การหลอมรวมเทคโนโลยีมารวมกันไว้ในรถคันนี้ ทำให้ความฝันของนักขับกลายเป็นความจริงได้อย่างน่าทึ่ง ลองคิดดู สมมติว่าคุณชอบกินเค้กช็อกโกแลตก้อนโต แต่คุณยัดเค้กหมดทั้งก้อนเข้าปากไม่ได้ เพราะปากของมนุษย์ไม่ได้กว้างเหมือนจระเข้ ค่าย McLaren คือแบรนด์ที่พยายามเสกเค้กก้อนโตนั้นให้พอดิบพอดีแล้วทำให้มันยัดเข้าปากคุณทั้งก้อนได้อย่างน่าอัศจรรย์ รถซุปเปอร์คาร์รุ่น 720S นั้นใช้เครื่องยนต์ V8 ที่มีพลังมากกว่า 650S แต่กลับเบากว่าถึง 18 กิโลกรัม (น้ำหนักรถเปล่าไม่รวมของเหลวหล่อลื่นและของเหลวในระบบระบายความร้อน 1,283 กิโลกรัม)
...
ความแรงของ 720S ทำให้ต้องออกแบบระบบหล่อเย็นที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ภาพรวมของตัวรถลู่ลมขึ้นด้วยงานดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว และแม้จะลื่นลมขึ้นแต่กลับมีแรงกดหรือ Downforce มากขึ้น แรงกดนั้นสำคัญมากเมื่อทำความเร็วทั้งทางตรงและโค้ง นอกจากเรื่องความแรงที่ทาบรัศมีรถสปอร์ตรุ่นพี่อย่าง 675LT ได้แล้ว ค่าย McLaren ยังเคลมว่าสปอร์ตคาร์รุ่นใหม่คันนี้ขับได้สบายขึ้น การนั่งที่พอดิบพอดีสบายพอๆ กับ 570GT ทัศนวิสัยก็ดีเยี่ยมอย่างกับนั่งอยู่ในรถ P51 Mustang รุ่นที่หลังคา Canopy ปูดโปนออกมาเห็นได้รอบทิศ ซึ่งปกติซูเปอร์คาร์มักจะมีทัศนวิสัยด้านหลังย่ำแย่ห่วยแตกเต็มทนเนื่องจากการเอาเครื่องยนต์วางไว้กลางลำตัว และมันยังไม่ใช่แค่นั้น
...
ซุปเปอร์คาร์ที่โดนใจนักเลงรถ ต้องมีดีไซน์ที่ทำให้เด็กผู้ชายเห็นแล้วตาลุกวาว แม้ว่า McLaren จะชอบออกแบบรถสปอร์ตให้ดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน แต่ก็เข้าใจว่าเสือที่ดีต้องซ่อนเล็บเอาไว้ภายในอุ้งเท้าและเล็บต้องคมกริบเสมอ!
มองจากด้านข้าง ตามปกติ ซุปเปอร์คาร์จะต้องมีช่องรับอากาศด้านข้างโตๆ โดยเฉพาะพวกที่วางตำแหน่งเครื่องยนต์เอาไว้ที่กลางลำตัว แต่รูปทรงของ 720S กลับแบนติดดินและไหลลื่นจนมองไม่เห็นเครื่องยนต์ทั้งจากด้านหลังและด้านข้าง คุณจะต้องเดินเข้ามาใกล้ๆ รถ แล้วมองลงไปที่ประตู ถึงจะเห็นว่าไส้ในของประตูคาร์บอนมันกลวง ในความกลวงนี้ บอดี้ของรถในส่วนนี้จะทำหน้าที่ลำเลียงอากาศเข้าสู่รูรับอากาศที่ซ่อนเอาไว้อย่างแนบเนียน คุณต้องมองจากมุมหน้าเฉียงขึ้นด้านบนถึงจะเห็น นี่คือรายละเอียดที่มีความสลับซับซ้อนจากงานวิศวกรรมที่ McLAREN พยายามนำเสนอกับลูกค้าผู้แสนดีและมีเงินเยอะ (มาก)
...
...
เมื่อคุณเปิดประตูออกด้วยการยกขึ้น เจ้าประตูแบบ Dihedral ทรงปีกนกนี้ก็จะสวิงตัวขึ้นอย่างช้าๆ และเปิดโอบมาถึงส่วนบนของหลังคารถเลยทีเดียว ลักษณะการเปิดประตูของมันดูซับซ้อนซ่อนเงื่อน แต่จุดยึดกลับออกแบบมาอย่างเรียบง่าย การที่ประตูเปิดขึ้นนั้นกินพื้นที่บริเวณหลังคายาวลงมาจนถึงชายล่างสุดของรถ การออกแบบในลักษณะดังกล่าวทำให้เจ้าของรถสามารถเข้าออกจากค็อกพิตได้ง่าย คุณไม่จำเป็นต้องมีรูปร่างแบบนักยิมนาสติกโอลิมปิก แม้ตัวจะอ้วนกลมจากความมั่งมีศรีสุขก็ลุกออกมาจากรถได้ไวโคตรๆ แถมการเปิดประตูแบบนี้ก็จะทำให้กินเนื้อที่ด้านข้าง (เวลาเปิดประตู) น้อยลงกว่ารุ่น 650S ถึง 155 มิลลิเมตร 720S สามารถเปิดประตูได้สูงถึง 80 องศาเกือบตั้งตรงเป็นมุมฉาก มันคือการเอาแนวคิดที่ซับซ้อนมาปรับแล้วทำให้ดูง่ายขึ้น แต่เบื้องหลังของประตูทรงอวกาศคือวิศวกรรมที่ซับซ้อนสุดๆ!
เมื่อทิ้งตัวลงบนเบาะนั่งคาร์บอนหุ้มหนังกลับที่บางเฉียบ มองไปด้านหลังก็จะเห็นส่วนโหนกนูนออกมาคล้ายกับจมูกเครื่องบินทิ้งระเบิดทัพฟ้าเยอรมนีรุ่น Heinkel จากสงครามโลกครั้งที่สอง ทัศนวิสัยโดยรวมของ 720S กลับโปร่งตามากและมองได้รอบตัวจนไม่น่าเชื่อว่านี่คือซุปเปอร์คาร์จอมโหดโคตรแรงที่มีพลังทำลายล้างมากถึง 720 แรงม้า
กระจกบานหลังของรถมีหน้าตาที่ไม่ธรรมดา และไม่เหมือนกระจกอะไรก็ตามที่คุณเคยเห็นจากรถรุ่นอื่น อย่างที่ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ Rob Melville บอกว่า มันคือ Glasshouse แบบที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน “เราอยากให้ด้านข้างของรถดูสะอาดตาและไม่ซ้ำกับแบรนด์คู่แข่ง กระจกบังลมบานหลังจะกลายเป็นเอกลักษณ์ของรถสปอร์ตในตระกูล Super Series ของ McLAREN (พวก 570S จะนับเป็น Sport Series และ P1 ถือเป็น Ultimate Series โดย Super Series คือรุ่นที่คั่นกลางระหว่างสองคลาสนี้) รถ Super Series จะมีดีไซน์ที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งอกตั้งใจและเทคนิคของการออกแบบที่ล้ำยุคสุดติ่ง ตอนแรกที่ผมร่างแบบมามันไม่ใช่แบบนี้หรอก แต่ทีมงานของ McLAREN คิดได้ว่าทัศนวิสัยมุมมองขณะขับเคลื่อนเป็นเรื่องสำคัญ ก็เลยทำกระจกบานหลังเป็นทรงหยดน้ำตาและทำให้มันดูโปร่งมาก”
จากนั้นก็ลองมาดูปุ่มต่างๆ บริเวณคอนโซลกลาง ลองกดลงไปก็พบว่า หน้าปัดสามารถพับเก็บลงได้ ซึ่งพอพับหน้าปัดมาตรวัดแล้วจะมีมาตรวัดแสดงผลเหลืออยู่เพื่อคอยแจ้งข้อมูลที่สำคัญ แต่มันจะลีบมากและเป็นมาตรวัดที่โชว์เฉพาะค่าที่จำเป็นต่อการขับซิ่งจริงๆ เหมือนกับพวกรถ F1 ถ้ากางหน้าปัดออกมา คุณจะได้ข้อมูลทุกอย่างที่ต้องการ ขึ้นอยู่กับว่าจะปรับไปโหมดไหน ถ้าเป็นโหมด Comfort มันจะโชว์ค่าน้อยลงทำให้มองแล้วสบายตา แต่ถ้าไปที่โหมด Track สำหรับการขับซิ่งในสนามแข่ง ค่าอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการซัดรถก็จะโชว์ข้อมูลครบมากขึ้น แต่ถ้ากดโหมด Active Dynamic Panel ส่วนของหน้าปัดไปที่ Track หรือกดปุ่มพับหน้าปัดเอง ตัวแผงมาตรวัดจะล้มตัวมาข้างหน้าแล้วเลื่อนเข้าเก็บ เหลือเพียงจอโชว์ค่าบางค่าที่จำเป็น Melville อธิบาย “วิธีนี้ ทำให้ไม่ต้องไปเสียสมาธิกับการดูข้อมูลที่ไม่จำเป็น มีแค่ชิฟท์ไลท์สำหรับการเปลี่ยนเกียร์ในรอบสูงสุดแบบรถ F1 มันมีมาตรวัดรอบ ความเร็ว และเกียร์ แค่นั้นก็พอแล้วละครับ”
ยังไม่จบเรื่องปุ่ม สวิตช์ต่างๆ ของ McLaren 720S ดูแข็งแรงและออกแบบได้ดี ปุ่มต่างๆ ทำจากอะลูมิเนียมแท้ๆ ไม่ใช่พลาสติกชุบที่ดูราคาถูกอย่างของ 650S แค่ลองแตะให้ครบทุกปุ่ม คุณจะเริ่มอยากสตาร์ตแล้วก็ขโมยรถไปขับซิ่งเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องระวังรถกระบะที่ชอบไล่กวดอยู่เหมือนกัน!!
สปอยเลอร์หลังปรับองศาได้ตามการขับขี่ และมีความกว้างซ้ายจรดขวายาวจนสุดของบอดี้ วิงหลังมีขนาดที่โตกว่าของ 650S สามารถกางขึ้นตั้งตรงเป็นแนวชันเพื่อกลายร่างเป็นเบรกอากาศได้ภายในเวลาแค่ครึ่งวินาทีไม่เกินนั้นเมื่อคนขับกระทืบแป้นเบรกแบบเต็มเหนี่ยว การทำงานของวิงหลังก็ไม่ได้มีค่าที่ตายตัว มันจะกางตั้งชันมากหรือน้อยอยู่ที่เซนเซอร์และกล่องสมองกลอิเล็กทรอนิกส์ที่รับหน้าที่ในการสั่งงาน โดยทำการคำนวณจากค่าของความเร็วและอาการต่างๆ ที่รถส่งถ่ายออกมา รวมถึงการถ่ายน้ำหนักของตัวรถ วิงหลังแบบ Active มอบแรงกดส่วนท้ายหรือ Downforce มากขึ้นกว่าเดิมอย่างมหาศาล!
SCULPTED WITH LOVE…AND CFD
ช่องรับอากาศที่ซุ้มล้อ รับอากาศแรงดันสูงจากล้อหน้าแล้วหาช่องระบายออก ทำให้รถลื่นลมขึ้น ส่วนประกอบนี้ทำจากอะลูมิเนียม มันจะนำอากาศส่งต่อไปที่ร่องในประตูก่อนเข้าไปที่หม้อน้ำด้านหลัง อากาศที่เย็นและไหลเป็นกระแสตรงกว่าจะไหลผ่านส่วนไหล่ของรถแถวๆ เสา A pillar ส่วนอากาศที่เป็นลมวนแรงๆ จะมาจากด้านข้าง กว่าจะได้รูปทรงแบบนี้ วิศวกรต้องรื้องานต้นแบบ แกะ ประกอบ วิจัย ทำบอดี้รถเป็นชั้นๆ หลายต่อหลายครั้งกว่าจะจบ การออกแบบแยกส่วน ทำให้อากาศแบบไหลเป็นเส้นตรงรวมถึงบังคับลมที่หมุนวนให้แยกจากกัน
SHRINK-WRAPPED
ในการออกแบบ McLAREN 720S นั้น เป้าหมายก็คือการจับให้ลมไหลเข้าส่วนที่ระบายความร้อนเช่นหม้อน้ำได้ดีที่สุด หม้อน้ำเหล่านี้อยู่ลึกกว่าผิวนอกของรถแค่ 15 มิลลิเมตร มีแค่แผ่นคาร์บอนไฟเบอร์บางๆ เท่านั้นที่กั้นระหว่างหม้อน้ำกับอากาศภายนอก วิศวกรของ McLAREN ต้องพยายามมากในการออกแบบเพื่อกำจัดแบบบอดี้ส่วนที่ไม่จำเป็นออก เรื่องแบบนี้คนอื่นเขาไม่ทำกัน มีแต่บริษัทรถสปอร์ตและรถแข่งเก่าแก่ของอังกฤษเท่านั้นที่ทำ ตัวรถยังมีรายละเอียดมากกว่านี้อีกถ้าคุณมองลึกเข้าไปส่วนอื่นไม่ว่าจะเป็นตัวถัง เครื่องยนต์ ช่วงล่าง ระบบเบรกและเทคนิคของการปรับรูปทรงให้เชื่อมโยงกับหลักอากาศพลศาสตร์ที่ถูกต้อง
A MCLAREN, BUT NOT SLAVISHLY SO
เมื่อมองดูลวดลายบนกระจกหลังของรถ เปรียบเทียบกับทัศนวิสัยรอบคัน จะเข้าใจในกฎการออกแบบของ McLaren อันที่จริง McLaren จะทำให้มันเหมือนกันในรถทุกคลาส ก็คงดี แต่ Mark Vinnels ผู้บริหารฝ่ายพัฒนารถบอกว่า จะทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะ 720S ต้องมีเอกลักษณ์ตามแบบของรถ Super Series ที่ไม่เหมือน Series อื่นๆของแบรนด์ มันจะต้องแตกต่างและขับได้ดีเหมือนรถแข่งที่สามารถใช้งานได้ทุกวันไม่ว่าจะขับไปทำงานหรือขับไปสนามแข่งรถ
VR DESIGNED
McLAREN นำเอาเทคโนโลยี Virtual Reality มาใช้มากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนที่ต้องเอาพาร์ตหลายอย่างเข้ามาประกบด้วยกัน เช่นส่วนล่างของหางหลัง ถ้าไม่ใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยแบบนี้ จะปั้นโมเดลขนาดเท่าจริงมาลองทำเลยก็ได้ แต่เวลาแก้ทีนึงก็งานช้าง งั้นทำไมต้องเลี่ยงเทคโนโลยีด้วยล่ะ? นักออกแบบชั้นหัวกะทิในค่ายใช้โปรแกรมนี้ออกแบบรถรุ่นใหม่ไปแล้วบางส่วน รถคันนี้มีภายในแบบใหม่ด้วย พอใช้ Virtual Reality ช่วย ก็สามารถร่างแบบเสร็จด้วยคอมพิวเตอร์แล้วสวมแว่น VR ทำเป็นลองนั่งมองไปรอบๆ ทำให้วิศวกรรู้ว่า งานนี้มันจะจบแบบไหนก่อนที่ผู้บริหารจะเซ็นอนุมัติเบื้องต้นด้วยซ้ำ
THE EYES HAVE IT
ดิฟฟิวเซอร์หน้ามีลักษณะคล้ายกับรถรุ่นพี่แสนแพงอย่าง McLAREN P1 ไฟหน้ามีช่องรับลมแฝงเข้าไว้ด้วยกัน ช่องนี้จะรับอากาศจากข้างหน้าเข้าไปในรถและมีหน้าที่สร้าง Downforce ต่อจากนั้น กระแสลมที่ไหลผ่านถึงจะไประบายความร้อนต่อในส่วนของระบบเบรก
SWEATING THE SMALL STUFF
Downforce เป็นเรื่องใหญ่สำหรับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการสร้างรถแข่ง F1 ค่าย McLAREN นั้นคลุกคลีอยู่กับการแข่งรถมานานกว่า 50 ปี ประสิทธิภาพความลู่ลมก็เช่นกัน ถ้าทำระบบหล่อเย็นให้เบาลงได้ 20 กิโลกรัม นั่นก็เป็นเรื่องดี McLAREN พยายามเค้นการออกแบบทุกเม็ดเพื่อรายละเอียดแบบนี้มาตลอด ยางก็สำคัญ McLAREN เป็นลูกค้ายอดแย่ของ Pirelli และสร้างปัญหาให้บริษัทยางชั้นนำของโลกจากอิตาลีกลับไปทำการบ้านอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเนื้อยาง ความรู้สึกเวลาขับที่ถ่ายเทขึ้นมายังพวงมาลัย ความแข็งของแก้มยาง น้ำหนักยาง การลดแรงต้านการหมุน ทุกเรื่องต้องทำให้ได้ตามที่ McLAREN กำหนด ยางต้องมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ใช่แค่ดีแต่ต้องเกาะถนนดีกว่ายางในรุ่น 650S อีก 6% ยางหน้า P-ZERO CORSA ไซส์ 245/35ZR19 93Y ยางหลัง 305/30ZR20 103Y
3-Performance close to scary
McLaren มีแผนชัดเจนที่จะทำรถพลังไฮบริดรุ่นอื่นๆ อีก อย่างที่ทำมาแล้วกับ P1 และ P1GTR แต่ 720S ยังไม่มีมอเตอร์ มันใช้เครื่อง V8 เทอร์โบคู่ที่ McLaren พัฒนามานานแล้ว รหัสเครื่องคือ M840T พวกเขาเคลมว่าชิ้นส่วนเกือบ 50% เป็นชิ้นใหม่ที่ไม่ได้ยกมาจากรถรุ่นอื่นๆ เช่น ท่อร่วมไอดี ลูกสูบ เพลาข้อเหวี่ยง ฝาสูบ เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ และระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่มี 2 หัวฉีดต่อ 1 สูบ เป็นการฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงในท่อร่วมไอดี การทำงานของหัวฉีดไฟฟ้า จะเป็นการทำงานแค่ 8 หรือ 16 หัวฉีด ขึ้นตรงกับการประมวลผลของ ECU ระบบอัดอากาศแบบทวินเทอร์โบ ตัวเทอร์โบเป็นแบบ Twin Scroll มีรอบในการหมุน 160,000 รอบต่อนาที ชุด Wastegates หรือส่วนควบคุมวงจรการทำงานของเทอร์โบ ปรับจูนมาเป็นการควบคุมด้วยไฟฟ้า มีส่วนช่วยในการระบายแรงดันได้เร็วขึ้นขณะถอนคันเร่ง การขยายช่วงชักออกไปอีก 3.6 มิลลิเมตร ทำให้ได้ความจุเพิ่มจาก 3.8 เป็น 4.0 ลิตร การปรับท่อระบายไอเสียมาใช้โลหะไทเทเนียม พร้อมชุดเฮดเดอร์แบบแยกสองวงจร จัดวางในรูปแบบไขว้ เป็นอีกหนึ่งเทคนิคจากรถแข่ง F1 ชุดท่อไอเสียไทเทเนียมลดน้ำหนักได้อีก 1.1 กิโลกรัม แรงม้าสูงสุด 710 แรงม้า (BHP หรือ 720PS) ที่ 7,500 รอบต่อนาที แรงบิด 568lb ft หรือ 770 Nm ที่ 5,500-6,500 รอบต่อนาที ในขณะที่ 650S มี 641 bhp และ 500lb ft (677 Nm)
กำลังที่เพิ่มขึ้นกับน้ำหนักที่ลดลง ทำให้สร้างอัตราเร่ง 0-62 ไมล์/ชั่วโมง (0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ได้ภายในเวลา 2.9 วินาที 0-124 ไมล์/ชั่วโมงใน 7.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 212 ไมล์/ชั่วโมง และควอเตอร์ไมล์ภายใน 10.3 วินาที แต่แค่ตัวเลข ไม่ได้บอกทุกอย่างที่เกี่ยวกับรถคันนี้ “จริงๆ จะทำให้แรงกว่านี้ไม่ได้ยาก แต่ถ้าทำแบบนั้นก็ไม่ใช่ McLaren” Haydn Baker ผอ. คุมไลน์รถ Super Series บอก “เราต้องการทำให้รถตอบสนองคันเร่งไวขึ้น นั่นคือจุดหลัก ต้องปรับตั้งหลายจุดและเปลี่ยนเทอร์โบเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังแรงบิดที่มีความต่อเนื่อง ขนาดของเทอร์โบใน 720S เมื่อเทียบกับเทอร์โบตัวต้นฉบับจากซัพพลายเออร์ญี่ปุ่น ของ 720S จะมีขนาดเล็กกว่าและดีไซน์ต่างกัน หรือเทียบกับ 650S คันนั้นจะใช้เทอร์โบ Single Scroll แต่ 720S เป็น Twin Scroll นั่นก็ทำให้รถตอบสนองได้ดีขึ้น กังหันไอเสียก็ทำมาจากไทเทเนียมผสมอะลูมิเนียม ทำให้มีแรงเฉื่อยในตัวรถลงเมื่อเทียบกับกังหัน Inconel ใน 650S ระยะทางเดินอากาศจากกังหันไอดี ไปสู่ท่อไอดีก็ถูกออกแบบให้สั้นลง ทั้งหมดนี้ทำเพื่อเพิ่มการตอบสนองดีขึ้นในรอบต่ำ McLAREN มองว่าการตอบสนองรอบต่ำของ 650S ยังไม่ดีพอ และในรอบสูง รถทำแรงม้าได้เพิ่มมากขึ้นเพราะเครื่องยนต์ถูกขยายความจุเป็น 4.0 ลิตร และด้วยขนาดของระบบอัดอากาศหรือเทอร์โบที่ใหญ่ขึ้นกว่า 650S ทำให้ 720S วิ่งได้ราวกับจะเหาะ!!
Baker และทีมของเขาพยายามปรับจูนเสียงเครื่องด้วย เพราะที่ผ่านมาลูกค้าหลายคนบอกว่า รุ่น 650S ท่อระบายยังเงียบเกินไปไม่สาแก่ใจวัยรุ่น ระบบไอเสียของ 720S พัฒนามาจากของ 675LT ซึ่ง McLAREN ใช้รถรุ่นนั้นเป็นจุดเริ่มในการพัฒนา เจ้าปีศาจหางยาว 675LT นั้น มีท่อร่วมไอเสียที่มีระบบส่งไอเสียข้ามฝั่งลูกสูบเพื่อให้ได้ความยาวการเดินไอเสียที่เหมาะสม ในรถคันนี้ก็เช่นกัน และก็เจอปัญหาว่าจะออกแบบเฮดเดอร์ยังไงให้อยู่ในพื้นที่ห้องเครื่องที่มีขนาดจำกัด วิศวกรเลยหล่อท่อเข้ากับเฮดเดอร์ตัวหลักให้เป็นชิ้นเดียวกัน และมันทำให้ 720S มีเสียงท่อและเสียงสูดอากาศอย่างหิวกระหายในแบบที่ลูกค้าชอบ
4-It’s a plaful McLaren
McLaren มีแนวคิดว่า 720S จะต้องเป็นรถระดับ 700 ม้าที่เจ้าของขับแล้วมีความสุข แต่จะทำยังไงในเมื่อทักษะของลูกค้าแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนชอบแบบนั้นอีกคนกลับไม่ชอบ แล้วจะทำอย่างไรให้ถูกใจทั้งหมด
คำตอบอยู่ที่ Variable Drift Control ซึ่งเหมือนกับระบบที่ใช้ใน AMG GT R แต่ในขณะที่ AMG เป็นสวิตช์หมุน ของ McLaren ทำเป็นจอดิจิทัล หน้าที่ของมันคือการสั่งระบบช่วยการทรงตัว ว่าจะยอมให้รถหลุดหรือปัดได้มากแค่ไหนก่อนที่ระบบจะเข้ามาวุ่นวาย ก่อนหน้านี้ ESC จะปรับได้เป็นระดับๆ แต่ละระดับจะตอบสนองต่างกันมาก ตอนนี้ McLAREN ปรับจูนตัวควบคุมจนทำให้ลูกค้าสามารถเลือกปรับโหมดการขับได้หลายระดับอย่างละเอียดและคมมากขึ้น คุณจะปรับให้รถท้ายออกได้มากแค่ไหน ก็แล้วแต่ความเสี้ยนและฝีไม้ลายมือของคุณเองเลย ซึ่งถ้าจะใช้ ก็ต้องอยู่ในโหมด Sport หรือ Track แล้วก็สามารถเก็บค่าอย่างที่คุณตั้งเอาไว้ได้ตามใจ เวลาขับก็จะสามารถสนุก และมั่นใจไปพร้อมๆ กันได้มากขึ้น รถจะไปในแบบที่คุณต้องการไม่ว่าจะเกาะโค้งเป็นตุ๊กแกหรือสาดท้ายออกแบบดริฟต์ก็ทำได้ทั้งนั้น
5-It has the cleverest chassis since Mansell’s Williams
จำรถแข่ง F1 รุ่น FW-14B ของทีม Williams ปี 1992 ได้ไหม? นั่นคือรถ F1 ที่ใกล้เคียงความสมบูรณ์แบบ 100% ที่สุดแล้ว ช่วงล่าง Active Suspension, เกียร์กึ่งอัตโนมัติ, ABS, Traction Control และเครื่องยนต์ 3.5 V10 ของ Renault มันพาทั้งโลกของ F1 เข้าสู่อีกระดับของความเกาะถนน, Downforce และความเร็ว Nigel Mansell กับ Williams คว้าชัยชนะหลายครั้ง จน Mansell ได้เป็นนักขับคนแรกที่ชนะ 9 ครั้งใน 1 ฤดูกาล พอ McLaren เปิดตัว MP4-12C นั่นก็นับได้ว่าเป็นรถที่มีระบบรองรับหรือช่วงล่างที่ซับซ้อนมาก แต่พอเอามาขายจริงๆ แล้วเจอนักทดสอบกับสื่อมวลชน พวกเขาก็บอกว่าช่วงล่าง Proactive Chassis Control นั้นให้ความรู้สึกไม่ค่อยสมจริง บางคนบอกรู้สึกไร้ชีวิตชีวาไปเลย ทั้งที่ McLaren เองเคลมไว้ว่ามันเป็นช่วงล่างที่ตอบสนองดีเท่า Ferrari 458 แต่นุ่มนวลเท่า BMW 7 Series
Haydn Baker เล่าว่า พอได้ยินแบบนั้นก็เหมือนเอามีดมาแทงกันเลย แต่เรารู้ตัวครับ เพราะในทีมเราเองก็มีคนที่คิดแบบนั้น เราก็ต้องยอมรับแล้วก็ต้องหาทางแก้กันต่อไป ในวันนี้กับ 720S ผมเชื่อว่าเราแก้ปัญหาทุกอย่างที่เคยโดนด่ามาแล้ว และแก้ได้แบบจบ ซึ่งก็น่าจะจริง เพราะ 720S มีเซนเซอร์ช่วงล่างมากถึง 21 ตัว มากกว่า 650S ถึง 12 ตัว และมี Accelerometer ในล้อแต่ละข้าง มีซอฟต์แวร์ตัวใหม่ที่ฉลาดขึ้น กล่องควบคุมจะคอยคำนวณการบังคับรถ โดยหาค่าที่ดีที่สุดอยู่ตลอดเวลา มันใช้การคำนวณจากฐานโปรแกรมซึ่งพัฒนามาจากทุกสิ่งที่ McLAREN เรียนรู้มาในอดีตจากประสบการณ์จริงในสนามแข่ง สปริงของ 720S แข็งขึ้นกว่า 650S เพื่อที่จะได้รู้สึกหนึบๆ แต่เอาเข้าจริงมันกลับขับบนถนนขรุขระได้นุ่มและนิ่งขึ้น ความมั่นใจก็มากขึ้น หน้าทิ่มหรือยกน้อยลง อาการยวบตัวแทบไม่มี คุมได้ง่ายมาก แถมยังได้ยาง Pirelli ใหม่ที่เกาะขึ้นทำให้ทำเวลารอบสนามได้เร็วขึ้น
มุมต่างๆ ของศูนย์ล้อก็เปลี่ยนใหม่หมดทั้งหน้าและหลังโดยใช้เทคนิคที่เรียนรู้มาจาก 675LT และ P1 พวงมาลัยของ 720S จะหนักกว่า 650S ซึ่งเบาเกินไป แต่ใกล้เคียงกับ 570GT พวกอังกฤษต้องการรถที่ขับบนถนนขรุขระแล้วสบาย แต่วิ่งบนสนามก็ต้องดีที่สุด McLAREN จะขายรถเป็นพันๆ คันก็ต้องเข้าใจครับว่าเจ้าของรถทั่วโลกเขาก็อยากได้รถที่ขับในสนามแข่งแล้วชนะคนอื่น แต่ก็ต้องใช้ขับไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ โมนาโค พัทยาหรือแม้แต่หัวหินได้
นอกจากนี้ พัฒนาการต่างๆ ที่มี ยังรวมไปถึงน้ำหนักของ Proactive Chassis Control II ที่เบากว่ารุ่นแรก 16 กิโลกรัม แล้วช่วงล่าง (Unsprung weight) ก็เบาลงเพราะใช้เบรกที่น้ำหนักเบา แต่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าแต่ก่อน เป็นเบรกที่ McLaren พัฒนาเองหลังบ้าน
6- IRIS is dead
ระบบสวิตช์ควบคุมความบันเทิงของเดิมที่อยู่ใน MP4-12C กับ 650S คือระบบ IRIS ซึ่งใช้ยากและทำงานช้า แต่ระบบของ 720S เปลี่ยนมาใช้ McLAREN Driver Interface (MDI) ซึ่งใช้มือปัดจอไปมาแล้วตอบสนองไวมาก ใช้งานง่ายขึ้น บนจอกลางนั้นสามารถแสดงค่าการทำงานได้ 3 ฟังก์ชันพร้อมกัน ชอบให้อันไหนอยู่บนหรือล่างก็เอามือเลื่อนได้ และทีเด็ดที่เหนือกว่า IRIS มากคือ ถ้ามันมีอะไรบนจอกลางแล้วคุณอยากให้ข้อมูลนั้นไปอยู่บนหน้าปัดด้วย ก็แค่เอามือกดจอกลางตรงฟังก์ชันนั้นๆ ค้างไว้ แล้วจะมีคำสั่งโผล่มาให้เลือกกด Export แล้วไม่ว่าจะเป็นวิทยุ เพลงที่เล่น หรือระบบนำทางที่เลือก มันก็จะไปโชว์บนหน้าปัดด้วย
สิ่งใหม่อีกอย่างที่มีคือ Track Telemetry และ Track Telemetry with Camera ซึ่งเก็บข้อมูลการวิ่งของรถได้ละเอียดมาก พอเชื่อมกับกล้องแล้ว คุณจะได้ภาพการวิ่งของคุณในสนามพร้อมข้อมูลต่างๆของรถขึ้นโชว์ นั่งดูเล่นที่บ้านก็ได้ ถ้าสมมติว่ามีรอบไหนทำเวลาดีที่สุด ก็เอาข้อมูลนั้นโหลดเข้าไปบนหน้าปัด พอคุณออกไปวิ่งสนามนั้นอีกครั้ง รถก็จะคอยจับเวลาเทียบให้คุณว่าตอนนี้วิ่งช้า/เร็วกว่าตอนนั้นมากน้อยแค่ไหน
7-The CEOs over the moon
McLaren กำลังสร้างยอดขายที่ดี นั่นทำให้เกิดความกดดันพอสมควร ในปี 2015 พวกเขาขายรถได้ 1,654 คัน แต่พอเป็น 2016 เขาขายรถกันไป 3,286 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 99.3% ภายในเดือนมิถุนายนนี้ พวกเขาจะสร้าง 650S คันสุดท้ายและส่งมอบลูกค้า ส่วน 720S ก็จะถูกประกอบขึ้นในอัตรา 7 คันต่อวัน
การขับทดสอบในพีระเซอร์กิตช่วงสั้นๆ แค่ 2 รอบสนามจากการเชื้อเชิญของค่ายนิชคาร์ผู้นำเข้าแบรนด์ McLAREN อาจได้ความรู้สึกที่รถส่งถ่ายออกมาไม่มากนักเนื่องจากเป็นรอบของสื่อมวลชนที่เชิญมาขับในช่วงเช้าตรู่แค่ 4 คน หลังจากนั้นจึงเป็นรอบของลูกค้าในช่วงบ่าย McLAREN 720S ขับได้สบายกว่า 675LT ที่ผมเคยไปขับในเซปังเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ก็ต้องระวังเพราะยังมีคนรอขับอยู่อีกเพียบทำให้ไปเต็มๆ ไม่ได้! มันเป็นรถที่สามารถเร่งความเร็วได้อย่างเหลือเชื่อ กดลงไปเมื่อไหร่ก็จะระเบิดตูมออกมาเมื่อนั้น และต้องระวังให้ดีๆ การออกแบบแป้นเบรกที่แปลกประหลาดคล้ายรถแข่งโดยแป้นเบรกจะเยื้องไปทางซ้ายมากกว่ารถสปอร์ตซุปเปอร์คาร์ทั่วไปเพื่อเอื้ออำนวยให้ใช้เท้าข้างซ้ายเบรก ซึ่งแรกๆ เมื่อได้ลองเบรกด้วยเท้าข้างซ้ายดูก็พบว่ามันไม่ถนัดเอาซะเลย คงต้องใช้เวลาเรียนรู้และเพิ่มความคุ้นเคยกันนานพอสมควรสำหรับการใช้เท้าข้างที่ไม่ถนัดในการเบรก
สนามพีระนั้นมีอันตรายแอบแฝงอยู่และไม่ค่อยเปิดโอกาสสำหรับคนที่ทำผิดพลาด เนื่องจากระยะจากแทรคถึงกำแพงมีไม่มากนัก เคยมีสื่อมวลชนขับพลาดหลุดโค้งแล้วฟาดกำแพงจนรถทดสอบเสียหายยับเยินมาแล้ว ผมต้องลดความเสี้ยนลงแล้วเพิ่มความระวังเมื่อใกล้ถึงบริเวณ 100R รวมถึงโค้งรูปตัวเอสที่ชอบเหวี่ยงรถออกจากแทรค ดีที่ผู้จัดตั้งกรวยยางเพื่อทำให้เข้าไลน์ได้ถูกต้อง รวมถึงยังมีตำแหน่งไพลอนที่บอกถึงการใช้เบรกให้อีกตะหาก พวงมาลัยไฟฟ้ามีน้ำหนักที่ขึ้นตรงกับสปีดความเร็วและโหมดที่ปรับตั้ง มันแม่นยำและมีนำ้หนักที่ดีเยี่ยม เบากว่าพวงมาลัยของ 675LT เยอะมากแต่ไม่ได้เบาจนขาดสัมผัสที่ดี มอเตอร์ไฟฟ้าที่คอยควบคุมแรงดันของเหลวในระบบบังคับเลี้ยวถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น ในย่านความเร็วสูง พวงมาลัยจะปรับหน่วงน้ำหนักจนรู้สึกได้ว่ายิ่งขับเร็วเท่าไรมันก็จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเท่านั้น ช่วงล่างก็สบายกว่า 675LT ไม่แข็งโป๊กจนรู้สึกกระด้างและนั่งไม่สบาย การออกแบบปรับจูนให้ระบบรองรับมีทั้งความหนึบแน่นและโอนอ่อนผ่อนคลายในทางขุรขระทำได้ยากแต่ 720S สอบผ่านในจุดนี้ได้อย่างสบาย ส่วนระบบเบรกแบบคาร์บอนเซรามิกก็ดีเยี่ยม เสียงเครื่องยนต์ในรอบสูงสร้างความเร้าใจได้ดีแต่ไม่ดิบเท่าเสียงของ 675LT ที่เจ๋งก็คือ เครื่องยนต์ของ 720S ไม่มีอาการรอรอบเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกครั้งที่คุณกดคันเร่งก็จะได้ยินเสียงสูดอากาศดังสนั่นพร้อมๆ กับการระเบิดพลังงานจากเครื่องยนต์จนกลายมาเป็นแรงบิดที่กระชากลากถูสุดๆ ดึงหนักต่อเนื่องยาวนานจนทางตรงในพีระเซอร์กิตกลายเป็นทางสั้นๆ ที่ทำให้ต้องระวัง
สมรรถนะอันสุดยอดของ 720S พอจะทำให้คุณลืมเรื่องราคาค่าตัวที่แพงแสบไส้ออกไปได้บ้าง ของเล่นคนรวยคันนี้มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 26.5 ล้านบาท จนทะยานไปแตะ 30 ล้านหากใส่ออปชั่นมาเต็มๆแบบมีอะไรก็เอาหมด ด้วยจำนวนเงินมหาศาลขนาดนั้น คุณจะได้ซุปเปอร์คาร์ที่มีเทคนิคแพรวพราวล้ำสมัยราวกับพัฒนาขึ้นมาสำหรับการเดินทางในอวกาศ และคุณก็จะได้รถสปอร์ตที่พวกกระบะขาซิ่งชอบไล่ล่ามากเป็นพิเศษ ระวังให้ดีๆ ตอนเบรกก็แล้วกันละครับ!
McLAREN 720S TECHNICAL SPECIFICATION
POWERTRAIN
Engine M840T
Engine capacity (cc) 3,994
Format 90° V8
Technology Twin Electrically-Actuated Twin Scroll Turbochargers, dry
sump
Valvetrain 32 valve, DOHC, VVT
Max rpm 8,500
Power 720PS (710bhp) (527kW) @ 7,250rpm
Torque 770Nm (568lb-ft) @ 5,500rpm
Transmission 7-Speed + Reverse Seamless Shift Gearbox (SSG)
CHASSIS
Suspension Type Double Wishbone, Adaptive Dampers, Proactive Chassis
Control II
Differential Open differential with Brake Steer
Driver Aids
Anti-Lock Braking System (ABS), Traction Control System
(TCS), Electronic Stability Control (ESC), Launch Control,
Variable Drift Control (VDC), Hill Hold Assist
Wheel Sizes
19 x 9.0 J Front, 20 x 11.0 J Rear
Tyre Sizes 245 / 35 / R19 Front, 305 / 30 / R20 Rear
Tyre Type Pirelli P Zero™
BODY
Dry Weight,
Kgs (lightest) / lbs (lightest) 1,322 (1,283), 2,917 (2,828)
Body Structure Carbon Fibre Monocage II
PERFORMANCE
Maximum Speed 341 km/h, 212mph
0-100kph (0-62 mph) 2.9s
0-200kph (0-124 mph) 7.8s
0-60 mph 2.8s
0-100 mph 5.5s
0-400 metres (1/4 mile) 10.5s
100-0kph (62-0 mph), metres (feet) 30 (98)
200-0kph (124-0 mph), metres (feet) 122 (400)
EFFICIENCY*
Fuel Consumption EU,
mpg (litres / 100kms)
Urban: 17.1 (16.5)
Extra-Urban: 38.2 (7.4)
Combined: 26.4 (10.7)
CO₂ Emissions EU 249g/km
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/