หลังจากเปิดตัว New E-Class รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล E220d ก็หมดลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการทำตลาดของ MERCEDES BENZ THAILAND ที่ต้องเดินตามนโยบายของบริษัทแม่จากเยอรมนีที่หันมาเน้นรถประหยัดพลังงานและปล่อยมลพิษต่ำ แบรนด์ตราดาวในไทยจัดรถรักษ์โลกอย่าง E350e Exclusive PLUG in HYBRID ยานยนต์เสียบปลั๊กชาร์จที่เข้ามาทดแทนรุ่นดีเซลซึ่งกำลังไปได้ดีในตลาดรถหรูของประเทศไทย!

ราคา Mercedes Benz E350e Plug in Hybrid
Mercedes Benz E350e Avantgarde ราคา 3,580,000 บาท
Mercedes Benz E350e Exclusive ราคา 3,790,000 บาท (คันทดสอบ)
Mercedes Benz E350e AMG Dynamic ราคา 4,130,000 บาท

...

E350e Exclusive วางเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1,991 ซีซี กำลัง 211 แรงม้า แรงบิดจากเครื่องยนต์ 350 นิวตันเมตร ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งในเกียร์ 9-G Tronic มีแรงม้า 88 ตัว มากเกินพอสำหรับถนนทุกสายบนโลกใบนี้ แรงบิดของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ระบบประสานพลังงานในรูปแบบ parallel hybrid ของ Mercedes ทำให้เจ้า E350e วิ่งในโหมด ECO โดยมีอัตราสิ้นเปลืองที่ 11-14 กิโลเมตรต่อลิตร (แล้วแต่โหมดและลักษณะของการขับขี่) ส่วนแรงบิดล้นๆ ในโหมด Sport+ เมื่อพลังงานถูกปล่อยลงพื้นเต็มที่ มันจะสร้างแรงดึงตื้อในการพุ่งทะยานราวกับรถสปอร์ต จากตัวเลข 0-100 ที่เร้าใจคล้ายรถสปอร์ตพลังสูงทั้งๆ ที่วางเครื่องยนต์ตัวเล็กขนาด 2 ลิตรเท่านั้น!


ตัวถังของ New E-Class มีความยาวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน New E-Class E350e Exclusive Plug in Hybrid มีระยะฐานล้อยาวขึ้นอีกเล็กน้อย โดยมีความยาวฐานล้อเพิ่มขึ้น 65 มิลลิเมตร (รุ่นที่แล้ว 2,874 มิลลิเมตร เป็น 2,939 มิลลิเมตร) ความยาวตัวถังโดยรวมเพิ่มขึ้น 43 มิลลิเมตร (4,880 มิลลิเมตรในรุ่นที่ผ่านมา เป็น 4,923 มิลลิเมตร) สัดส่วนของความยาวที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้พื้นที่ประโยชน์ใช้สอยของผู้โดยสารทั้งหมดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ในส่วนของการวางเท้า พื้นที่ความกว้างเพิ่มขึ้น 20 มิลลิเมตร ที่ด้านหน้า และ 7 มิลลิเมตร ที่ด้านหลัง ระยะโอเวอร์แฮงก์ที่สั้นลง ฝากระโปรงหน้าที่ยื่นยาว และการวางเส้นสายของแนวหลังคาที่โค้งมนสไตล์รถคูเป้ (คล้าย CLS) การทอดตัวเป็นเส้นโค้งของผืนหลังคา ลากจากเสาหน้าไปจนถึงเสาท้าย

...

...

E350e Exclusive มีรูปลักษณ์งดงามตามแนวทางของรถยนต์ตระกูล E-Class โดย E350e Avantgarde มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ LED High Performance สำหรับรุ่น The E350e Exclusive และ The E350e AMG Dynamic มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED ระบบส่องสว่าง (ILS – Intelligent Light System), ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (ALS – Active Light System) ระบบเพิ่มความแรงของแสงส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (cornering light) ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist Plus) Mercedes Benz New E-Class W213 รุ่น E350e Exclusive Plug in Hybrid เพิ่มเติมความหล่อของรถผู้บริหารด้วยกระจังหน้าสไตล์คลาสสิก โลโก้ตราดาวบนฝากระโปรงหน้า พร้อมกล้องกับเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหรอบตัว ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว และสีดำที่เคร่งขรึมสุดติ่ง 

...

เทคโนโลยี MULTIBEAM LED ที่ Mercedes ติดตั้งใช้กับรถยนต์ในตระกูล E-Class นั้น ได้รับรางวัล “Red Dot Award” ซึ่งเป็นรางวัลระดับโลกด้านการออกแบบ โดยรางวัลนี้ถือเป็นเครื่องรับรองถึงผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบให้เพิ่มประสิทธิภาพในการส่องสว่างโดยไม่ไปรบกวนรถยนต์คันอื่น นวัตกรรมล้ำสมัยและคุณภาพในการผลิตถูกบรรจุอยู่ในไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED เป็นก้าวสำคัญทางวิศวกรรมยานยนต์ โดยโคมไฟหน้าแต่ละโคมจะประกอบด้วยหลอด LED ประสิทธิภาพสูงจำนวน 84 หลอดที่ทำงานเป็นอิสระ

ชุดไฟหน้าสามารถส่องพื้นถนนข้างหน้ารถได้โดยอัตโนมัติ โดยมีระดับความเข้มของแสงจากหลอดไฟ LED ที่สว่างและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ไม่รบกวนสายตาของผู้ขับรถยนต์คันอื่น เทคโนโลยีไฟหน้า MULTIBEAM LED สะท้อนให้เห็นถึงคุณลักษณะของรถยนต์ตระกูล New E-Class ที่ล้ำสมัยและมีความอัจฉริยะ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการเรียงตัวของชุดไฟสำหรับการขับขี่ตอนกลางวันที่มีลักษณะโค้งเป็นวงคล้ายคิ้วของมนุษย์ รวมไปถึงการประกอบชุดโคมไฟโดยใช้วัสดุคุณภาพสูง

ยอมรับว่าไฟหน้า MULTIBEAM LED ช่วยทำให้ขับตอนกลางคืนได้ปลอดภัยมากขึ้นจริงๆ ขับทดสอบจากกาญจบุรี มาทางสุพรรณฯ ในช่วง 19.00 น. เป็นถนนสายที่ไม่ค่อยมีรถใช้ เปลี่ยวและมืดมาก บางจังหวะไฟในระบบอัตโนมัติส่องไปถึงยอดไม้ พอเข้าโค้ง วิ่งผ่านป้าย หรือมีรถสวนมาไกลๆ ลำแสง LED ในระบบ MULTIBEAM ปรับลดองศาลงโดยมองเห็นการทำงานได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเศษยางจากรถบรรทุกยักษ์ หมาแมวข้างถนน หรือมอเตอร์ไซค์ไม่มีไฟท้ายก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนไกลลิบ ไฟพุ่งเป็นลำสว่างเจิดจ้าแรงมากจนคิดว่าต้องแยงตารถที่สวนมาแน่ๆ แต่ไม่มีใครยกไฟสูงใส่สักคันแสดงว่ามันทำงานได้ตามที่โปรแกรมไว้ เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ช่วยทำให้การมองเห็นตอนกลางคืนไกลถึง 620 เมตร

Mertens Jane วิศวกรระบบไฟส่องสว่างของ Mercedes Benz คือคุณลุงที่ประจำอยู่ในห้องมืดในวันทดสอบตอนเปิดตัว คุณลุงที่เชี่ยวชาญระบบส่องสว่างในรถยนต์ยุคใหม่ อธิบายถึงระบบไฟส่องสว่าง multibeam led headlights technology ใน New E-Class ว่า ระบบไฟของรถรุ่นนี้มีการทำงานร่วมกันถึงสามแกนหลักๆ คือ องศาของพวงมาลัย เซนเซอร์ตรวจจับด้านหน้าและกล้อง โดยระบบจะปรับระดับความสูงของไฟ รวมถึงแบ่งช่องลดความแรงของไฟขณะที่มีรถวิ่งสวนมาในแบบอัตโนมัติ เพื่อไม่ทำให้ไฟหน้าไปแยงตา แต่ยังคงความสว่างในส่วนที่ไม่ส่องหรือแยงตารถคันอื่น การปรับไฟแบบอัตโนมัติทั้งความเข้มและทิศทางของแสง ยังครอบคลุมสภาพเวดล้อมต่างๆ รวมถึงอุณหภูมิและสภาพอากาศ สำหรับไฟท้ายมีการออกแบบหลอด LED ใหม่ เพื่อให้แสงสว่างที่คมชัด แถมยังปรับระดับความแรงของแสงไฟท้ายและไฟเบรกแบบอัตโนมัติ เพื่อไม่ทำให้รบกวนรถยนต์คันอื่นๆ ขณะติดสัญญาณไฟจราจร

Mercedes-Benz New E-Class E350e มาพร้อมกับไฟหน้าประสิทธิภาพสูง เป็นเทคโนโลยีระบบส่องสว่างแบบใหม่ล่าสุด Multibeam LED ฟังก์ชั่นไฟหน้าจะถูกจัดกลุ่มภายใต้เลนส์พลาสติกใสแจ๋ว ทำจากโพลีคาร์บอเนตที่ให้ความคมชัดและป้องกันริ้วรอยด้วยการเคลือบสารป้องกันรอยขีดข่วน เพื่อความคงทน ไฟท้ายชิ้นเดียวที่มีการออกแบบกรอบไฟใหม่ รูปแบบและลักษณะของไฟท้ายมีการปรับปรุงแสงสว่างที่ไม่รบกวนรถด้านหลัง ไฟท้ายแบบใหม่ถูกออกแบบให้เป็นไฮไลต์ของตัวรถ ด้วยการเพิ่มเติมรายละเอียดภายในของไฟท้าย โดยทำออกมาคล้ายกับละอองดาวในทางช้างเผือก จากการเรืองแสงของเทคโนโลยีสะท้อนแสงล่าสุด ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่มีโครงสร้างพื้นผิวแปลกแยกจากไฟท้ายแบบปกติ แสงด้านหลังจากไฟท้ายใช้เทคโนโลยี LED ทั้งหมด ในแง่ของความปลอดภัย ยกตัวอย่างเช่น ความเข้มของแสงไฟจากหลอดไฟเบรก ตัวชี้วัดทิศทางในระบบสัญญาณไฟเลี้ยวให้ความคมชัดที่แตกต่างกันระหว่างกลางวันและกลางคืน

ห้องโดยสารของรถยนต์ The E-Class คือผลลัพธ์ของการตีความตามแนวคิด Contemporary Luxury ผ่านการออกแบบห้องโดยสารเพื่อทำให้ดูกว้างขวาง อุปกรณ์ตกแต่งคุณภาพสูง สอดคล้องกับปรัชญา Sensual Purity ของแบรนด์ E350e ได้รับการออกแบบให้เบาะที่นั่งตอนหลังสามารถพับลง แบบ 1/3 และ 2/3 เพื่อความสะดวกในการบรรจุสัมภาระ รุ่น E350e Avantgarde และ E350e Exclusive มีภายในที่ได้รับการตกแต่งในสไตล์หรูหรา เบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO แดชบอร์ดตกแต่งด้วยงานลายไม้เน้นความเคร่งขรึมแนวรถผู้บริหาร พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง nappa ในขณะที่ E350e AMG Dynamic รุ่นสูงสุดติดตั้งเบาะนั่งหุ้มหนัง nappa, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ตท้ายตัดหุ้มหนัง nappa

รุ่น E350e Exclusive และ E350e AMG Dynamic ใช้หน้าจอแสดงผลข้อมูลแบบ widescreen cockpit โดยเพิ่มความพิเศษสำหรับ E350e AMG Dynamic รุ่นสูงสุดติดตั้งระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up Display) จอภาพมาตรวัดและจอมอนิเตอร์กลางหลอมรวมเป็นจอขนาดยักษ์ที่ใหญ่สุดๆราวกับกำลังนั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขกที่ตกแต่งอย่างหรูหรา

เบาะหนังสีนำ้ตาลคู่หน้าของ New E-Class W213 รุ่น E350e Exclusive Plug in Hybrid ปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ ชิ้นงานลายไม้สีน้ำตาลกรุบริเวณกลางแดชบอร์ดและแผงประตู ไล่มาจนถึงคอนโซลกลางซึ่งเป็นที่อยู่ของแป้นควบคุม Mercedes Benz Comand Controller และสวิตช์ปรับตั้งโหมดการขับเคลื่อนหรือ Mercedes Benz Dynamic Select และเนื่องจาก E350e Exclusive Plug in Hybrid ติดตั้งระบบรองรับแบบ Air MATIC หรือ Air Suspension จึงมีสวิตช์แยกย่อยเพื่อปรับระดับความแข็ง-อ่อนของช่วงล่าง ภายในโทนสีน้ำตาลให้ความรู้สึกภูมิฐานและเหมาะกับการเป็นยานพาหนะของผู้บริหารระดับสูงจากโทนสีที่เลือกใช้ตกแต่งภายใน 

ระบบมัลติมีเดียของ E350e Exclusive Plug in Hybrid คันทดสอบซึ่งเป็นรุ่นรองท็อป จัดระบบเสียงของ Mercedes Benz ที่มีราคาถูกกว่าระบบเสียงรอบทิศทางของ Burmester® สังเกตได้ที่กรวยลำโพงสีดำไม่มีตราสัญลักษณ์ Burmester® เครื่องเสียงรุ่นมาตรฐานพร้อมกับระบบ COMAND Online ชุดควบคุม Controller, ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย Touchpad, ระบบสั่งการด้วยเสียง (LINGUATRONIC) เฉพาะภาษาอังกฤษ, ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apple CarPlay™) และ Android (Android Auto) รวมถึงการติดตั้งระบบแผนที่นำทาง พร้อมเพิ่มสุนทรียภาพในการโดยสารด้วยระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ปรับสีได้ถึง 64 สี

E350e มาพร้อมกับระบบ “Mercedes-Benz Intelligent Drive” เพื่อให้ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุด ด้วยระบบการช่วยเหลือและระบบความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ โดยระบบดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากแนวคิดการปกป้องก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุเข้าไว้ด้วยกันภายใต้ระบบควบคุมอัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียวที่ทำงานสอดประสานกัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Parking Pilot including Active Parking Assist) ระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย (Wireless charging for mobile phone) โดย E350e Avantgarde จะมาพร้อมกับกล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยรถ ในขณะที่ E350e Exclusive และ E350e AMG Dynamic มาพร้อมกับกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง รวมถึงระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า (Distance Pilot DISTRONIC) และระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist) ที่ติดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในรถยนต์รุ่นนี้

เครื่องยนต์ที่ติดตั้งอยู่ใต้ฝากระโปรงเป็นเครื่องยนต์เบนซินรุ่นเดียวกันกับ C350e เป็นขุมกำลังแบบ 4 สูบ ปริมาตรความจุ 2 ลิตร หรือ 1,991 ซีซี ให้กำลังเพียวๆ 155 กิโลวัตต์ หรือ 211 แรงม้า ที่ 5500 รอบต่อนาที แรงบิดจากเครื่องยนต์ 350 นิวตันเมตร ที่ 1200-4000 รอบต่อนาที ส่วนระบบไฮบริดใน E350e ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 65 กิโลวัตต์ หรือ 88 แรงม้า มอเตอร์มีแรงบิด 440 นิวตันเมตร ตัวเลขสมรรถนะ เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบส่งกำลัง ใช้เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 9G – TRONIC) พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์พวงมาลัย Steering – wheel Gearshift Paddles

เจนเนอร์เรเตอร์ ระบบเบรกสะสมพลังงาน แบตเตอรี่ไฮบริดและอุปกรณ์ในการชาร์จไฟสำหรับใช้กับไฟบ้านทั่วไป เกียร์ออโต้ 9 สปีด 9-G Tronic ที่ Mercedes Benz ผลิตขึ้นเองทั้งลูกยังมีอัตราทดที่ครอบคลุม มอเตอร์ไฟฟ้าที่ฝังอยู่ในเกียร์ส่งถ่ายแรงบิดสอดรับกับเครื่องยนต์ขณะทำงาน โดยเทแรงบิดในขณะที่แบตฯ ยังมีกระแสไฟฟ้าเต็มลงสู่ล้อหลังซึ่งเป็นล้อขับเคลื่อนให้ขับใช้งานได้อย่างประหยัดพร้อมๆ ไปกับความคล่องตัวและความแรงของระบบพลังงานผสม หากคุณเสียบปลั๊กชาร์จไฟไว้ทั้งคืน มันสามารถวิ่งด้วยมอเตอร์เพียวๆ ไกลถึง 25 กิโลเมตร (เคลมมาประมาณ 30 กิโลเมตร) การขับใช้งานขึ้นอยู่กับฝ่าเท้าของคุณเองว่าจะไปให้เร็วหรือขับแบบไหลไปเรื่อยๆ เมื่อแบตเตอรี่มีกระแสไฟไม่พอก็แค่กดโหมดให้ทำการชาร์จไฟเข้าแบตฯ ได้แบบอัตโนมัติ แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลาและระยะทางพอสมควรในการวิ่งชาร์จเพื่อสำรองกระแสไฟฟ้าเอาไว้ใช้เพื่อความประหยัดและความสะอาดของอากาศรอบๆ ตัวคุณ

เมื่อเอามาวิ่งทดสอบทั้งในและนอกเมือง เครื่องยนต์เบนซิน 2 ลิตร อัดอากาศด้วยเทอร์โบ ให้ความรู้สึกถึงการตอบสนองที่ว่องไว รวมถึงระบบไฮบริดที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าฝังไว้ในเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีดก็ถูกปรับจูนมาเพื่อการคายประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นอัตราสิ้นเปลืองหรือกำลังในการเร่งแซง เสียงเครื่องยนต์เปลี่ยนไปตามโหมดของการขับขี่ หากขับด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนๆ E350e จะวิ่งอย่างเงียบเชียบไปได้ไกลเกือบๆ 25 กิโลเมตร ในส่วนของระบบสำรองพลังงานจากการเหยียบแป้นเบรกหรือ regenerative braking system มาใช้ ระบบเบรกสะสมพลังงานช่วยผสานการทำงานระหว่างการเหยียบแป้นเบรกของผู้ขับขี่และการใช้ระบบเบรกแบบไฟฟ้า เมื่อผู้ขับใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า ส่วนโหมดการขับเคลื่อนของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดจากแบรนด์ตราดาว สามารถเลือกขับได้อย่างหลากหลาย ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความต้องการของผู้ขับโดยตรง!

โหมดขับเคลื่อน

HYBRID
การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยระบบจะเน้นไปที่การใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้มากที่สุด และใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเท่าที่จำเป็น หากกระแสไฟในแบตเตอรี่มีปริมาณต่ำกว่า 20% ระบบจะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเท่านั้น และถ้าผู้ขับขี่ปรับเกียร์อัตโนมัติเป็นโหมดสปอร์ต (S) รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว มอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่ทำงาน

E-MODE
สามารถขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ (ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว) ได้จนถึงความเร็ว 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นระยะทางสูงสุด 33 กิโลเมตร โดยไม่มีการคายไอเสีย (ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานของแบตเตอรี่และความเร็วที่ใช้) โดยเฉพาะการขับขี่ในเมืองที่การทำงานของระบบนี้ สามารถครอบคลุมการใช้งานได้เป็นอย่างดี ผู้ขับขี่จะต้องไม่กดแป้นคันเร่งจนเกินแรงต้าน หากกดแป้นคันเร่งเกินแรงต้านเมื่อใด เครื่องยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนรถยนต์ทันที

E-SAVE
ในขณะที่เริ่มต้นใช้ E-SAVE ระดับกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ high-volt ในขณะนั้นจะถูกบันทึกค่าไว้ จากนั้นระบบจะใช้เครื่องยนต์เป็นหลักในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้มีปริมาณเท่าเดิมกับตอนเริ่มต้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการวางแผนการเดินทางล่วงหน้า ว่ากำลังจะต้องเดินทางเข้าเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น หลังจากชาร์จแบตเตอรี่ high-volt จนเต็มแล้ว ควรเลือก E-SAVE ในการเริ่มต้นเดินทางก่อนที่จะเข้าเมือง เมื่อขับถึงในเมืองก็จะมีปริมาณกระแสไฟสูงสุดที่จะใช้ E-MODE สำหรับการเดินทางในเมืองได้อย่างเต็มที่

CHARGE
การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่ high-volt จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลางในขณะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และจะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเลยเพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ high-volt อย่างต่อเนื่อง แรงหมุนของเครื่องยนต์จะถูกนำมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าไปสะสมไว้ในแบตเตอรี่ และจะมีการแปลงพลังงานจลน์ที่เกิดจากการชะลอความเร็วหรือการเบรกให้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าและเก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่

เมื่อชาร์จไฟเต็ม ระบบจะปรับไปที่การทำงานในรูปแบบ E-SAVE โดยอัตโนมัติ ระบบควบคุมจะทำงานอัตโนมัติเพื่อปรับการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าให้เหมาะสม เพื่อการขับขี่ที่ประหยัดพลังงานและช่วยให้รถสามารถเก็บพลังงานสำรองได้ โดยระบบจะตรวจจับแรงกดที่แป้นคันเร่งเพื่อส่งสัญญาณเตือนให้ผู้ขับขี่ผ่อนแรงกดที่แป้นคันเร่งตามความเหมาะสม หากรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าและผู้ขับขี่เหยียบแป้นคันเร่งจนถึงจุดที่มีการตั้งค่าไว้ ระบบจะสลับการทำงานไปใช้เครื่องยนต์ให้โดยอัตโนมัติ โดยระบบการจัดการพลังงานนี้ทำงานด้วยข้อมูล 2 ประเภท คือ ข้อมูลเส้นทาง ผ่านการตรวจจับอัตโนมัติ หรือใช้ค่าจากโหมดการทำงานของระบบ Plug in Hybrid 4 แบบ ข้อมูลจากผู้ขับขี่ ผ่านการตรวจจับจากโหมดการปรับเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ 3 แบบ ตามที่ผู้ขับเลือกใช้

E350e เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรได้ในเวลา 6.2 วินาที ท็อปสปีดทำได้ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การขับใช้งานบนถนนเมื่อขับแบบประหยัดจะมีตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำมาก โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 40-47 กิโลเมตรต่อลิตร (เมื่อใช้ระบบไฮบริด) ส่วนตัวเลขอัตราการปล่อย Co2 อยู่ที่ 57 กรัมต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร เมื่อลองขับแบบใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน E350e แสดงจุดแข็งออกมาด้วยการวิ่งที่เต็มไปด้วยความมั่นคง แม้จะไม่นิ่งเท่ากับ S500e แต่การขับทางไกลจากกรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดกาญจณบุรี อำเภอหนองปรือ ระยะทางไปกลับ 400 กิโลเมตร ท่ามกลางสายฝนประจำฤดูที่ตกแบบไม่ลืมหูลืมตา เจ้า E350e ก็มีความสามารถมากพอในการเอาตัวรอดจากไดนามิกที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ เทคโนโลยีล้ำยุคในโลกดิจิตอลกับระบบความปลอดภัยขั้นก้าวหน้าทำให้ E350e รุ่น Exclusive เป็นรถไฮบริดที่น่าใช้ แต่ก็ยังเป็นรองรุ่นดีเซล E220d ที่ไม่มีรถให้ซื้อ! เมื่อเทียบกันในด้านของความประหยัดเนื่องจาก New E-Class รุ่นดีเซล E220d นั้น เชื้อเพลิง 1 ถัง สามารถวิ่งทำระยะทางได้เกือบๆ 1,000 กิโลเมตรเลยทีเดียว!

ตัวเลขอัตราเร่งของ E350e Exclusive เมื่ออัดจากจุดหยุดนิ่งไปที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เจ้า E350e ที่มีน้ำหนักตัว 1.8 ตัน ทำได้ในเวลาเพียงแค่ 6.2 วินาที เป็นตัวเลขที่เคลมมาจากโรงงาน พอนำมาทดสอบจับเวลาด้วยตัวเอง อัตราเร่งที่ทำได้ 6.8 วินาทีคือความเร็วในระดับสปอร์ตคาร์ ให้ความรู้สึกได้ถึงแรงดึงหนักต่อเนื่องยาวนาน ระบบส่งกำลังที่เป็นเกียร์รุ่นใหม่แบบ 9 สปีด 9G-Tronic มีอัตราทดที่ไหลลื่นไร้รอยต่อ เมื่อลองใช้ความเร็วสูงบนไฮเวย์ คุณจะรู้ทันทีว่า E350e เป็นรถที่มีทั้งความประหยัดและความสนุก

โช้คอัพกันสะเทือนหน้า-หลังแบบ AIR MATIC ยุบตัวด้วยค่าและมุมที่เหมาะสม ส่งผลให้มันมีการยึดเกาะถนนที่มั่นคง  นิ่มนวลนั่งสบายและพร้อมที่จะถ่ายเทประสิทธิภาพของระบบรองรับเมื่อขับผ่านผิวถนนที่ไม่เรียบหรือการขับที่ใช้ความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับชุดบังคับเลี้ยวไฟฟ้าที่ขึ้นตรงต่อโหมดของการขับเคลื่อน โหมดสูงสุด Individual สามารถปรับแยกย่อยได้ทั้งเครื่องยนต์ การตอบสนองของระบบช่วงล่างแบบถุงลม การทำงานของพวงมาลัยไฟฟ้าอัตราทดแปรผันที่ปรับแยกได้ ทำให้เกิดความหลากหลายในการขับใช้งาน เพิ่มความมั่นใจในการทะยานผ่านทางโค้งยาวๆ บนไฮเวย์ ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ four-link fornt axle coil springe gas-pressure shock absorbers, stabiliser พร้อมระบบ AIR MATIC มีส่วนช่วยเป็นอย่างมากในการทำให้ล้อหน้าเกาะติดหนึบอยู่กับพื้นถนน 

EQ หรือ ELECTRIC INTELLIGENCE by MERCEDES BENZ มีให้คุณทั้งพละกำลังในแบบผสมผสานเครื่องยนต์บวกมอเตอร์ไฟฟ้า ห้องโดยสารที่เงียบงันราวกับอยู่ในถ้ำ รวมไปถึงความละเอียดอ่อนของช่วงล่างแบบถุงลมปรับตั้งด้วยไฟฟ้าที่ให้สัมผัสนุ่มนวลราวกับพรมวิเศษ การนำเอาโลหะทั้งเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมมาใช้เป็นเปลือกตัวถังและโครงสร้างหลักของแชสซี โดยคำนึงถึงน้ำหนักที่จะต้องถูกตัดทอนลงไปเพื่อไม่ทำให้น้ำหนักตัวบานเบอะเนื่องจากต้องพ่วงน้ำหนักของแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบไฮบริด ในฐานะที่ทำตัวเป็นยานยนต์พลังงานผสม เส้นทางทดสอบบางช่วงบางตอนที่ต้องวิ่งผ่านผิวทางที่มีความหลากหลายพร้อมสายฝนที่กระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา ประกอบไปด้วยทางตรงยาว โค้งขึ้นลงเนินเขา และโค้งมุมแคบ เหมาะกับการทดสอบประสิทธิภาพของรถยนต์พลังงานปลั๊กอินไฮบริดจากแบรนด์ตราดาว 

ความกระฉับกระเฉงแบบไดนามิกของแชสซีผสมกับกำลังในรูปแรงบิดจากมอเตอร์และเครื่องยนต์ 4 สูบอัดเทอร์โบ ทำให้ผมสามารถควบเจ้า E350e ขึ้น-ลงเนินเขาสูงในแถบภาคใต้ของประเทศไทยได้ราวกับกำลังควบซีดานคันเล็กที่มีกำลังเหลือเฟือ New E-Class รุ่นไฟฟ้า E350e ถือเป็นการนำเอาสิ่งดีๆ มาผสมผสานกับเทคโนโลยีใหม่ของระบบขับเคลื่อนแบบเสียบปลั๊กชาร์จไฟ เป็นรถซาลูนหรูที่มีความประหยัดแต่ก็ต้องเสียบปลั๊กชาร์จทุกครั้งที่จอดถึงจะประหยัดกันสุดๆ หากลืมชาร์จหรือไม่มีที่เสียบไฟสำหรับชาร์จตามจุดจอดรถ มันก็จะรับประทานเชื้อเพลิงแทบจะไม่ต่างไปจากรถเบนซินเครื่อง 2 ลิตรทั่วไป ข้อสำคัญก็คืออย่าลืมชาร์จไฟไม่งั้นมันจะกินเชื้อเพลิงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน การวิ่งไปชาร์จไปจะไม่ประหยัดเท่ากับการเสียบปลั๊กชาร์จ รู้อย่างนี้ก็ควรจะหาที่จอดซึ่งสามารถเสียบปลั๊กชาร์จได้ แค่นั้นก็จะได้ความประหยัดและความแรงตามที่ต้องการ

ระบบกันสะเทือนแบบถุงลม AIR-MATIC พร้อมระบบควบคุมอัตโนมัติให้ประสิทธิภาพดีกว่าโช้คอัพแบบปกติที่ปรับไม่ได้ ทำให้ E350e เหมาะกับการขับทางใกล้ในเมืองและทางไกลข้ามจังหวัด โหมด EV วิ่งด้วยมอเตอร์เพียวๆ โดยไม่ติดเครื่องยนต์นั้นเหมาะสมกับการใช้งานในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น Mercedes Benz เคลมว่า ด้วยการชาร์จไฟทิ้งไว้ทั้งคืน ตัวเลขที่แจ้งมาจากโรงงานว่าคุณสามารถขับ E350e ได้ไกลถึง 33 กิโลเมตร โดยที่เครื่องยนต์ไม่ทำงานนั้น พอเอาเข้าจริงๆ เมื่อเริ่มต้นการขับทดสอบ หลังจากขับออกจากบ้านได้ไม่นานนักด้วยกระแสไฟฟ้าที่เต็มแบตเตอรี่ มันวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตฯ ได้ระยะทางประมาณ 24 กิโลเมตร ด้วยความเร็วเดินทางประมาณ 100-110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์เบนซิน 2 ลิตร 211 แรงม้า สตาร์ตตัวเองขึ้นมาอย่างนิ่มนวลเมื่อระบบ HYBRID ตรวจพบว่าแบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออนมีกระแสไฟน้อยลงจนเกือบจะหมด เครื่องยนต์ที่ติดขึ้นมา เข้ามารับหน้าที่ในการขับเคลื่อน โดยทำงานผสมผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบไฮบริด ทันทีที่คันเร่งถูกกดลงลึกเพื่อการเร่งแซงมอเตอร์จะเข้ามาเสริมแรงบิดร่วมกับเครื่องยนต์ทันที 

ข้อดีของรถยนต์แบบ PLUG in HYBRID ก็คือ คุณสามารถขับมันด้วยมอเตอร์เพียวๆ ได้ระยะทางไกลมากกว่ารถไฮบริดแบบไม่มีระบบเสียบปลั๊กชาร์จ แบตเตอรี่ขนาดความจุ 8.7 กิโลวัตต์ มีน้ำหนักประมาณ 114 กิโลกรัม หนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แบตฯ ถูกวางไว้ที่ใต้เพลาขับด้านหลังโดยมีระบบหล่อเย็นจากน้ำและวัสดุป้องกันการกระแทก รวมไปถึงฝาปิดที่ผลิตจากแผ่นโลหะปิดทับไว้อีกชั้นหนึ่ง แบตเตอรี่ของ E350e สามารถชาร์จไฟให้เต็มได้ภายในเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง โดยสามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในโหมด EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลจนทำให้รู้สึกแปลกใจ อย่าลืมชาร์จไฟไว้เสมอเมื่อขับ Plug in Hybrid ของ Mercedes Benz มันจะทำให้คุณประทับใจในความประหยัด หากไม่ชาร์จแล้ววิ่งเพียวๆ ด้วยเครื่องยนต์โดยไม่มีไฟอยู่ในแบตเตอรี่ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงก็แทบจะไม่แตกต่างไปจากรถทั่วไป ออกจะกินเปลืองไปด้วยซ้ำเมื่อใช้โหมด Sport + 

จุดเด่นของ E350e Exclusive ราคา 4.7 ล้านบาทก็คือ

1-ความสบายหลังพวงมาลัย การควบคุมที่อยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยมไม่เป็นรอง BMW 530e Plug in Hybrid

2-ระบบไฟส่องสว่าง MULTIBEAM LED ช่วยทำให้การขับรถตอนกลางคืนมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

3-เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้ามีกำลังเหลือเฟือในการเร่งความเร็วเพื่อแซง

4-ระบบรองรับแบบ AIR MATIC คือที่สุดของความสบายแต่อาจทำให้รู้สึกแย่เมื่อเห็นบิลค่าซ่อม

5-อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงทำได้ 14 กิโลเมตรต่อลิตร ในโหมด ECO และหล่นลงมาเหลือแค่ 10.7 กิโลเมตรต่อลิตรเมื่อใช้โหมดชาร์จแบตฯแบบวิ่งไปชาร์จไป

จะใช้งานรถเสียบปลั๊กชาร์จให้ประหยัดจริงๆ จังๆ คุณต้องเสียบปลั๊กไฟชาร์จไว้ 3 ชั่วโมง จะประหยัดกว่าการชาร์จแบบขับไปชาร์จไฟไปมาก ส่วนระยะทาง 33 กิโลเมตรเมื่อวิ่งด้วยมอเตอร์เพียวๆ ในลักษณะไฟเต็มแบตฯที่เคลมมาจากโรงงาน เมื่อทดลองขับด้วยมอเตอร์แต่เพียงอย่างเดียวในโหมด EV ทำได้จริงแค่ 24 กิโลเมตร หากใช้ขับอยู่แต่ในเมืองก็ถือว่าประหยัดใช้ได้เลยทีเดียว เครื่องยนต์แทบไม่ติดถ้าขับใกล้ๆไม่เกิน 24 กิโลเมตร แต่คุณจะซื้อ New E-Class ราคา 3.7 ล้านมาแค่ใช้ขับในเมืองทำไม ในเมื่อมันขับทางไกลได้ดีมาก แถมยังมีรถที่ประหยัดและถูกกว่ารุ่นนี้อีกมาก E350e เป็นรถที่ใช้ขับออกทางไกลได้อย่างยอดเยี่ยม แต่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเป็นรองรุ่น E220d เทพแห่งดีเซลที่ทำระยะทางได้ถึง 1,000 กิโลเมตรด้วยเชื้อเพลิงเพียงแค่ถังเดียวเท่านั้น แล้วทำไมถึงเลิกขายก็ไม่รู้? 

Mercedes Benz E350e AMG Dynamic
Specifications
เครื่องยนต์...........................................เบนซิน 4 สูบ เทอร์โบ
วาล์ว................................................. 4 วาล์วต่อสูบ
ปริมาตรความจุกระบอกสูบ........................1,991 ซีซี
แรงม้าสูงสุด......................................... 155 กิโลวัตต์ 211 แรงม้า ที่ 5,500-6,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด........................................350 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที
มอเตอร์ไฟฟ้า.......................................65 กิโลวัตต์ 88 แรงม้า
แรงบิดจากมอเตอร์ไฟฟ้า.......................... 440 นิวตันเมตร
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง............. 6.2 วินาที
ความเร็วสูงสุด......................................250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ความจุถังเชื้อเพลิง................................66 ลิตร
ระบบส่งกำลัง......................................เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 9-G Tronic แบบ DIRECT-SELECT พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Paddle Shift
ล้อและยาง............................................อัลลอย 19 นิ้ว
ยางหน้า............................................... 245/40R19 98Y Pirelli P ZERO
ยางหลัง.................................................275/35R19 100Y Pirelli P ZERO

มิติตัวถัง
ความกว้าง............................................1,852 มิลลิเมตร
ความยาว.............................................4,923 มิลลิเมตร
ความสูง...............................................1,468 มิลลิเมตร

ระบบความปลอดภัย
ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE system
ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง PRE-SAFE Rear system
ถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 4 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร หน้า-หลัง
เข็มขัดนิรภัย 3 จุด 5 ตำแหน่ง

โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP-electronic stability program
ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS- anti-lock braking system
ระบบช่วยเบรก Active Brake Assist
ระบบรักษาความเร็ว cruise control และระบบจำกัดความเร็ว speedtronic
ระบบแจ้งเตือนนำรถเข้าศูนย์บริการ assyst service interval indicator
ระบบแจ้งเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ attention assist
ระบบช่วยนำรถเข้าจอดแบบอัตโนมัติ parktronic
กล้องแสดงภาพด้านหลังพร้อมเส้นระนาบกะระยะ reversing camera
กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง
ใบปัดน้ำฝนทำงานอัตโนมัติพร้อมเซนเซอร์วัดปริมาณน้ำฝน


ไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED intelligent light system
ระบบปรับองศาโคมไฟหน้าตามการหักเลี้ยวของพวงมาลัย Active Light system
ระบบเพิ่มกำลังส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง cornering light
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ adaptive highbeam assist
ไฟหรี่กลางวัน LED Daytime running light
ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง ไฟเบรกดวงที่สามหลอด LED
ไฟท้ายแบบ LED เทคโนโลยีไฟเบอร์ออปติก
กระจกมองข้างพับเก็บและปรับระดับด้วยไฟฟ้า
กระจกมองข้างด้านคนขับและกระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ
กุญแจรีโมตคอนโทรล ควบคุมด้วยคลื่นวิทยุ สั่งงานเปิด-ปิดเซนทรัลล็อกและเปิดฝาท้าย
ระบบกุญแจแบบ KEYLESS-GO
หลังคาพาโนรามิกซันรูฟระบบไฟฟ้า
ระบบกันสะเทือนแบบถุงลม AIR-MATIC พร้อมระบบควบคุมอัตโนมัติ
แผ่นรองกันกระแทกใต้ห้องเครื่องยนต์
ล้ออัลลอยขนาด19 นิ้ว AMG Multi spoke
ยางแบบรันแฟลตอุปกรณ์มาตรฐานภายใน
ฟังก์ชั่น ECO start/stop
โหมดเกียร์อัตโนมัติ E/E+/S
คันเร่งไฟฟ้าแบบ Haptic ควบคุมการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า/เครื่องยนต์
ระบบแสดงข้อมูลตรงหน้าคนขับ head-up display
เบาะนั่งหุ้มหนัง nappa
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นสามก้านหุ้มหนัง
พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ
เบาะคู่หน้าและคู่หลังปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ
ปลั๊กไฟ 220 โวลต์ สำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าไม่เกิน 150 วัตต์ บริเวณคอนโซลกลางที่นั่งด้านหลัง
ม่านบังแดดหลังไฟฟ้า
นาฬิกาแบบอนาล็อก
ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMOTRONIC แบบ 2 โซนพร้อมฟังก์ชั่น pre-entry climate control
ฟังก์ชั่นปรับสมดุลอากาศภายในห้องโดยสาร AIR BALANCE packge
ระบบ COMAND Online
ระบบนำทางด้วยดาวเทียม navigation system
ระบบสั่งงานด้วยเสียง LINGUATRONIC เฉพาะภาษาอังกฤษ
ระบบเชื่อมต่อสื่อบันเทิง media interface
ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ bluetooth
ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย touchpad
ระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester surround sound system
ไฟเรืองแสงภายในห้องโดยสาร 64 สี ambient lighting
กาบบันไดเรืองแสงพร้อมสัญลักษณ์ Mercedes Benz
ชุดคันเร่งและเบรกแบบสปอร์ต

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://web.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/