Lexus วิจัยและพัฒนารถยนต์เครื่องยนต์ลูกผสมแบบ Hybrid มานานแล้วโดยใช้เทคโนโลยีร่วมกับ Toyota เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความประหยัด งานวิศวกรรมที่มีตัวอักษร h ต่อท้ายรุ่นคือยานยนต์ที่มาพร้อมกับรูปแบบของการขับขี่ในอนาคต การผลิตรถยนต์ Hybrid ของ Lexus นอกจากจะมาพร้อมกับความหรูแล้ว แบรนด์หรูจากญี่ปุ่นเจ้านี้ยังพยายามทำยอดขายไล่บี้รถคู่แข่งจากยุโรปโดยเฉพาะดินแดนในแถบอเมริกาเหนือที่มียอดขายดีพอสมควร และนี่คือยานยนต์ปฏิวัติคันล่าสุด มันคือ Lexus CT200h รุ่นปรับโฉม รถแฮตช์แบค 5 ประตูที่พกพาความปราดเปรียวหรูหราคู่กับความประหยัดได้อย่างกลมกลืน


...


แนวคิดในการออกแบบรถยนต์ที่ใช้ระบบ Hybrid ของ Lexus CT200h รถ Sport-Hatchback 5 ประตูรุ่นล่าสุดมีความแตกต่างจากบริษัทแม่อย่าง Toyota ที่ผลิตรถรุ่น Prius ออกสู่ตลาดที่มุ่งเน้นในการประหยัดเชื้อเพลิงเป็นหลัก ลูกค้าที่เลือกใช้รถเครื่องยนต์ลูกผสมของ Lexus ในรุ่น Hybrid ส่วนใหญ่แล้วต้องการความหรูหราบนสมรรถนะที่สมกับราคาค่าตัวที่แพงกว่ารถ Toyota ไปไกลลิบ สิ่งที่ได้รับกลับมาในการจ่ายเงินกว่า 2 ล้านบาท คือ ประสิทธิภาพของการควบคุมที่อยู่ในระดับบน มอเตอร์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ถูกจับมาวางไว้ในระบบส่งกำลังและใช้แรงดันไฟฟ้า 650 โวลต์ ผลิตกำลังได้ 60 กิโลวัตต์พร้อมด้วยแรงบิดแบบท้วมๆ พอประมาณที่ 207 นิวตันเมตร บนเรือนร่างแบบรถสปอร์ตแฮตช์แบค 5 ประตูที่ร้อนแรงและดุดัน แต่มีความประหยัดจากเครื่องยนต์ 1.8 ลิตรที่มีการทำงานร่วมกันกับชุดมอเตอร์ไฟฟ้าและ Inverter ตัวแปลงกระแสไฟ



...

CT200h คันทดสอบรุ่น Premium ราคา 2,630,000 บาท นำเอารูปทรงที่ปราดเปรียวของรถต้นแบบอย่าง Concept-Car LF-Ch มาใช้ทั้งหมด มุมมองด้านหน้ากระจังแบบใหม่ที่เฉียบคมกว่าเดิม คาดรอบๆ กระจังหน้าทรงใหม่ด้วยเส้นโครเมียม ใจกลางแปะตราสัญลักษณ์หัวลูกศรสีน้ำเงินของ Lexus เน้นด้วยเส้นสายที่เฉียบคมจากไฟหน้า LED ทำจากพลาสติกโพลิเมอร์ใสแจ๋วห่อหุ้มพร้อมด้วยไฟ Daytime Running Lights LED มุมทั้งสองข้างของตัวสปอยเลอร์หน้าติดตั้งไฟตัดหมอก LED ที่เปลี่ยนจากทรงกลมมาเป็นแบบสี่เหลี่ยม ฝากระโปรงหน้าผลิตด้วยอะลูมินัมอัลลอย ถูกยกนูนขึ้นเล็กน้อยโดยทำเป็นรูปตัววีเพื่อเน้นถึงขอบมุมที่ทำให้มีมิติในการมอง บริเวณใต้ไฟหน้ายังมีช่องติดตั้งหัวฉีดน้ำล้างไฟหน้ามาให้เพื่อความสะดวกในการล้างโคมไฟหากขับไปลุยฝน

...



...
ด้านข้างถูกออกแบบตามสไตล์รถ Sport Hathback ที่ร้อนแรงของ Lexus ชายล่างของประตูด้านข้างทั้งสี่บานทำเป็นขอบมุม ไล่แนวจากใต้แนวของบังโคลนหน้าแล้วยกขอบขึ้นเล็กน้อยก่อนถึงซุ้มล้อหลัง บานประตูทั้งสี่ไม่มีขอบคิ้วกันกระแทกติดตั้งมาให้ ซึ่งเป็นไปตามแนวทางของการดีไซน์เส้นสายด้านข้างของตัวรถรุ่นใหม่ๆ ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เสา A มีองศาของความลาดเอียงมากกว่าปกติแบบรถสปอร์ต แนวของหลังคามีความโค้งมนเล็กน้อยในบริเวณที่ใกล้กับกระจกประตูบานหลัง ซึ่งถูกออกแบบให้ดูกลมกลืนลื่นไหลไปกับกระแสลม กระจกข้างแบบ Slingshot ประตูหลังมีขอบยกสูงขึ้นแบบรถ Hathback สมัยใหม่ทั่วไปของพวกค่ายรถจากฝั่งยุโรป เสา C หรือเสาท้ายออกแบบได้อย่างลงตัว สอดรับกันดีกับกระจกของฝาท้าย ผืนหลังคาแบบทูโทนใช้สีเทาตัดกับสีขาวมุกของตัวถังเพื่อสร้างมุมมองที่แปลกและแตกต่างไปจาก CT200h รุ่นก่อนปรับโฉม

Lexus CT200h คันทดสอบใช้ล้ออัลลอยน้ำหนักเบา ขนาดความกว้าง 16 นิ้ว หุ้มรัดเอาไว้ด้วยยาง Yogohama Advan ไซส์ 205/55/R16 โดยในตัวรถรุ่น F-Sport ล้ออัลลอยจะใช้สีเทาเข้มเพื่อความดุดัน ส่วนรุ่น Luxury ใช้ล้อสีเงินสว่างตาแบบปกติทั่วไป




มุมมองส่วนท้ายแบนกว้าง เป็นไปตามดีไซน์ของรถแบบ Hybrid ที่ต้องการลดแรงต้านของกระแสอากาศ เพื่อลดการใช้เชื้อเพลิง ยิ่งลู่ลมเท่าไรก็ยิ่งประหยัดมากขึ้นเท่านั้น ระบบแอร์โรไดนามิกส์ของ CT200h มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทานของอากาศ (Cd) ต่ำใกล้เคียง Toyota Prius Model 2010 ที่ 0.29 มุมมองของส่วนท้ายมีความเป็นรูปเหลี่ยมแท่งๆ ตันๆ ไฟท้ายแบบใหม่สวยงามลงตัว ใช้หลอด LED ให้แสงสว่างทั้งไฟหรี่ ไฟเบรกและไฟถอย ฝากระโปรงท้ายทำจากอะลูมินัมอัลลอยแบบเดียวกับฝากระโปรงหน้า ด้านบนมีการยกสันนูนขึ้นตรงกลางเล็กน้อยเพื่อเพิ่มเติมมิติ กระจกบานฝาท้ายยังมีใบปัดน้ำฝนเล็กๆ ติดมาให้ ฝากระโปรงท้ายยังคงใช้มือเปิด-ปิดไม่ได้มีฝาท้ายแบบไฟฟ้าเหมือนเดิม สปอยเลอร์หลังแบบใหม่เรียบมากจนขาดรายละเอียดไปบ้างแต่ยังมีร่องด้านชายล่างเป็นแนวยาวขนานไปกับชิ้นสปอยเลอร์ รวมถึงพลาสติกสะท้อนแสงสีแดงทั้งสองมุมช่วยเพิ่มทัศนวิสัยเมื่อขับขี่ตอนกลางคืน






ภายใน Cockpit ของ Lexus CT200h มีความเป็นรถสปอร์ตอยู่ใน DNA ตั้งแต่แรกเห็น เบาะคู่หน้ายังใช้การปรับด้วยมือแบบแมนนวล ขณะที่คู่แข่งที่มีราคาถูกกว่าใช้เบาะปรับไฟฟ้า เป็นอีกจุดที่ Lexus ต้องปรับปรุง เบาะหุ้มด้วยหนังแท้สีน้ำตาลคุณภาพสูง ตัวเบาะถูกออกแบบให้นั่งได้กระชับตัวผู้ขับขี่ แต่อาจนั่งไม่สบายเท่ากับ ES300h ถ้าคนนั่งมีรูปร่างใหญ่โตหรืออวบอ้วนเกินพิกัด พนักพิงศีรษะทำงานได้ดีจากการดีไซน์ นุ่มและโอบกระชับทั้งตัวเบาะและหมอนรองศีรษะ ตำแหน่งของการนั่งขับสามารถปรับให้ต่ำหรือสูงได้จากชุดมอเตอร์ไฟฟ้าภายในตัวเบาะ





แดชบอร์ดทรงเรียบที่มีดีไซน์เน้นให้ดูกว้างขึ้น เกิดจากการจงใจออกแบบของวิศวกร Lexus จอมัลติฟังก์ชันขนาด 10.3 นิ้ว ตรงบริเวณกึ่งกลางของแดชบอร์ด ใหญ่โตกว่ารุ่นที่แล้วซึ่งมีขนาดความกว้างหน้าจอแค่ 6 นิ้ว ทำหน้าที่เป็นจอมอนิเตอร์ของระบบต่างๆ ในตัวรถ เช่น ระบบนำทางด้วยดาวเทียม ระบบการทำงานของ Lexus Hybrid Drive ที่สามารถแจ้งเตือนเป็นภาพการทำงานของระบบส่งถ่ายกำลังระหว่างเครื่องยนต์กับชุดมอเตอร์ไฟฟ้า ทำหน้าที่เป็นมอนิเตอร์ของกล้องด้านหลัง เมื่อผู้ขับใส่ตำแหน่งเกียร์ R เพื่อถอยหลัง บนจอยังมีเส้นสีแดงเป็นแนวระนาบเพื่อกะระยะในการถอย พร้อมเซนเซอร์สัญญาณเสียงเมื่อถอยเข้าไปใกล้กับวัตถุกีดขวาง







ต่ำลงมาจากจอภาพมอนิเตอร์กลางขนาดใหญ่ เป็นช่องแอร์ทรงสี่เหลี่ยมกับชุดควบคุมอุณหภูมิแบบดิจิตอล แยกส่วนการปรับความเย็น ชุดควบคุมแอร์มีความยาวขนานไปกับแนวของแดชบอร์ดได้อย่างกลมกลืน คอนโซลกลางด้านขวาเป็นที่อยู่ของชุดเกียร์ไฟฟ้าแบบ E-CVT มีก้านเกียร์อันเล็กๆ เงาแววด้วยงานโครเมียมที่มีการใช้งานคล้ายคลึงกันกับเจ้า Prius แต่มีรูปแบบที่ดูดีกว่า ชุดเครื่องเสียงอยู่ด้านซ้ายมือรองรับได้ทั้ง CD DVD MP3 AM FM พร้อมจุดต่อเชื่อม USB พลังขับในชุดเครื่องเสียงกับลำโพง 9 ตำแหน่งของ CT200h เหลือเฟือไม่ต้องไปดิ้นรนเสียเงินเพิ่ม เครื่องเสียง Lexus ใน CT200h ให้สุ้มเสียงที่ชัดเจนพร้อมมิติที่นุ่มลึกในระดับที่ดี ถ้าคุณไม่ใช่พวกที่ชอบเปิดเพลงในรถดังชนิดแก้วหูแทบทะลุ



ต่ำลงมาอีกนิดเป็นแป้นทรงกลมของการปรับโหมดการขับที่มีให้เลือก 4 แบบ คือ EV Mode / ECO Mode / NORMAL Mode และ Sport Mode พร้อมปุ่มเล็กๆ สองตำแหน่งที่เอาไว้ปรับขดลวดในเบาะ เพื่ออุ่นตัวเบาะสำหรับรถเมืองหนาว แต่ไม่ยักกะมีลมเย็นเหมือนรถรุ่นพี่ ยังงงๆ ว่าทำไม Lexus ไม่ให้พัดลมใต้เบาะคู่หน้าแบบ RC200t / GS200t / IS200t / RX200t ที่สามารถเปิดไล่ความร้อนในตัวเบาะเมื่อจอดตากแดดได้ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวรถรุ่นนี้มีมาตรฐานเดียวในการประกอบที่ญี่ปุ่นแล้วส่งออกไปทำตลาดทั่วโลก โดยเน้นที่สหรัฐอเมริกากับยุโรปซึ่งมีสภาพอากาศที่หนาวเย็นนั่นเอง






Lexus CT200h ในรุ่น Premium ยังมีปุ่ม Remote Touch Connetted Drive ที่ใช้สั่งงานระบบต่างๆ ผ่านจอมัลติฟังก์ชันคล้ายกับปุ่ม i-Drive ของ BMW และรถยนต์หรูหราจากฝั่งยุโรปที่มีจอกับปุ่มปรับโหมดต่างๆ มาให้ใช้งานเพื่อเพิ่มเติมความสะดวกสบาย การใช้งานจริงยังเป็นรองระบบปฏิบัติการ iDRIVE ของ BMW ซึ่งเป็นแป้นทรงกลม 5 ทิศทางที่ควบคุมการทำงานได้เร็วและง่ายกว่ามาก


มาตรวัดแบบ TFT ปรับเปลี่ยนสีในจอได้เมื่อคุณปรับโหมดการขับในตำแหน่งของ ECO Mode มาตรวัดซ้ายมือจะปรับเปลี่ยนระบบเป็นแบบหน่วยวัดพลังงานของการชาร์จไฟ การประสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้โทนสีฟ้าสดใส แต่เมื่อปรับมาที่ Sport Mode มาตรวัดด้านซ้ายจะแปรเปลี่ยนมาเป็นวงวัดรอบเครื่องยนต์แทนพร้อมด้วยโทนสีแดงที่เร้าใจ ลูกเล่นของมาตรวัดช่วยทำให้ตัวรถมีความน่าใช้งานเพิ่มขึ้น มาตรวัดของมันยังแจ้งตำแหน่งของการขับเคลื่อนตลอดเวลา รวมถึงยังมีจอ LCD เล็กๆ ใต้มาตรวัดเชื้อเพลิงคอยแจ้งเตือนถึงระบบต่างๆ ทริปมิเตอร์กับสัญลักษณ์พร้อมสัญญาณเสียงเตือนเมื่อไม่ได้รัดเข็มขัดในระหว่างรถเคลื่อนตัว ปุ่ม Start-Stop ออกแบบได้ดีและอยู่ในตำแหน่งที่ง่ายต่อการใช้งาน วงพวงมาลัยแบบสามก้านหุ้มด้วยหนังแท้ ตัดเย็บอย่างประณีตบรรจงด้วยการเดินตะเข็บด้ายสีขาวตัดกับหนังแท้สีดำ ก้านพวงมาลัยมีสวิตช์มัลติมาให้ปรับเปลี่ยนเครื่องเสียงและโทรศัพท์ พวงมาลัยสามารถปรับตำแหน่งได้สี่ทิศทางเพื่อความเหมาะสมกับรูปร่างของผู้ขับขี่




CT200h ใช้เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 4 กระบอกสูบปริมาตรความจุ 1.8 ลิตร DOHC ใช้อะลูมิเนียมทั้งบล็อก วางตามขวางด้านหน้า-ขับเคลื่อนล้อหน้า เครื่องยนต์ตัวนี้ใช้ระบบ Atkinson Cycle ที่มีการพัฒนาให้ระยะชักขึ้นของลูกสูบสั้นลงด้วยการเพิ่มกลไกระหว่างชุดก้านสูบกับเพลาข้อเหวี่ยง สิ่งที่ตามมาคืออัตราส่วนกำลังอัดที่สูงขึ้นทำให้ได้กำลังจากเครื่องยนต์มากขึ้น พร้อมด้วยระบบวาล์วแปรผัน VVT-i กับชุด Exhaust Heat Recovery ช่วยอุ่นเครื่องยนต์ให้อยู่ในอุณหภูมิของการทำงานเร็วขึ้น ส่วนชุดมอเตอร์ไฟฟ้าของระบบ Hybrid ประกอบด้วยตัวมอเตอร์ที่อยู่ในชุดส่งกำลัง E-CVT เครื่องกำเนิดไฟฟ้าและอุปกรณ์แยกกำลังหรือ Power Split Device โดยพลังงานของทั้งสองแหล่ง (เครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า) ในระบบ Full Hybrid จะถูกผสมผสานรวมกันด้วยชุดอัตราทดเกียร์แบบแปรผัน E-CVT มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 82 แรงม้า จะมีการทำงานร่วมกันกับเครื่องยนต์เพื่อช่วยในเรื่องของอัตราเร่งแล้ว ยังเป็นแหล่งพลังงานในโหมด EV ซึ่งจะใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวขับเคลื่อนตัวรถ ให้แรงบิด 207 นิวตันเมตร ตั้งแต่ชุดมอเตอร์เริ่มหมุนไปจนถึง 13,000 รอบต่อนาที มอเตอร์มีขนาดเล็กลงและใช้แม่เหล็กไฟฟ้าถาวร Synchronous


-Start And Low To Mid-Range Speed / EV Mode ในขณะที่ออกตัวต่อเนื่องไปในย่านความเร็วต่ำ ระบบ Lexus Hybrid Drive จะใช้แรงขับจากมอเตอร์ไฟฟ้าแต่เพียงอย่างเดียว โดยเครื่องยนต์ยังไม่ทำงาน แต่ในจังหวะที่มอเตอร์เริ่มฉุดรถให้เคลื่อนที่เครื่องยนต์จะหมุนตามไปด้วยและทำการสตาร์ตตัวเองโดยอัตโนมัติ เพื่อให้พร้อมทำงาน เมื่อความเร็วของรถเกินกว่า 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบ Lexus Hybrid Drive จะปรับการทำงานจากมอเตอร์ไฟฟ้ามาเป็นเครื่องยนต์แทน
-Driving Under Normal Mode ในการขับเคลื่อนแบบปกติ ทั้งเครื่องยนต์และชุดมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบส่งกำลังจะทำงานไปพร้อมกัน แรงบิดของเครื่องยนต์ส่วนหนึ่งจะถูกส่งไปยังเกียร์ E-CVT และส่งต่อไปยังล้อขับเคลื่อนคู่หน้า แรงบิดอีกส่วนหนึ่งจะถูกส่งไปหมุนชุดเจนเนอเรเตอร์เพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าผ่านไปยังชุด Power Control Unit แล้วทำการแปลงกระแสไฟเป็น High-Voltage เพื่อป้อนให้กับชุดมอเตอร์ไฟฟ้าโดยตรง พลังงานไฟฟ้าสำรองที่กักเก็บอยู่ในแบตเตอรี่ท้ายรถจะยังไม่ถูกนำออกมาใช้ในการทำงานของโหมดนี้ ส่วนการแบ่งกำลังขับเคลื่อนทั้งสองระบบจะเป็นหน้าที่ของชุดกลไก Power Split Device
-Driving Under Power Mode (Sport) เมื่อทำการปรับเปลี่ยนโหมดการขับมาเป็นการเรียกกำลังในการเร่งความเร็ว ขณะที่ผู้ขับกดคันเร่งจนจมมิดเพื่อแซงรถช้า ระบบ Lexus Hybrid Drive ยังคงควบคุมการทำงานของระบบทุกอย่างให้เหมือนกับสภาวะปกติ แต่มีความรวดเร็วมากขึ้นทั้งชุดคันเร่งไฟฟ้าแบบ Drive By Wire อัตราทดของเกียร์ E-CVT ที่กระชับฉับไวขึ้น แรงเคลื่อน 12 โวลต์จากชุดแบตเตอรี่จะถูกแปลงไปเป็น High-Voltage ที่ชุด Power Control Unit แล้วทำการส่งกระแสไฟฟ้าที่แปลงแล้วไปยังชุดมอเตอร์เพื่อสร้างแรงบิดสูงสุด พวงมาลัยไฟฟ้า EPS จะมีอัตราทดที่กระชับขึ้น พร้อมด้วยระบบควบคุมการทรงตัวที่มีทั้ง VSC และ TRC คอยแทรกแซงหากตัวรถเริ่มมีอาการไม่ยึดเกาะกับผิวถนน รถ Lexus CT200h มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร ใน 10.32 วินาที และมีความเร็วสูงสุดที่ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่มากนักตามลักษณะของรถยนต์ประหยัดพลังงานในยุคใหม่ที่อาจดูขัดแย้งกับรูปโฉมแบบสปอร์ตไปบ้าง


Battery
Lexus CT200h ใช้แบตเตอรี่กำลังสูงชนิด นิกเกิล เมทัล ไฮไดรด์ ขนาด 201.6 โวลต์ ผ่านการควบคุมโดยซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่ทำหน้าที่จัดการกับพลังงานโดยแบตเตอรี่ถูกติดตั้งเอาไว้ใต้ที่เก็บสัมภาระของฝากระโปรงท้าย ส่วนระบบการชารจ์ไฟนั้นจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อรถยนต์ทำงาน โดยไม่มีความจำเป็นต้องทำการชาร์จกระแสไฟเพิ่มเติมจากภายนอกแต่อย่างใดทั้งสิ้น ในระหว่างการขับขี่ใช้งาน ในกรณีที่ระบบ Lexus Hybrid Drive ตรวจพบว่ากระแสไฟในแบตเตอรี่ลดลงเกินกว่าระดับที่กำหนด ชุดควบคุมจะสั่งให้ติดเครื่องยนต์ทันทีเพื่อทำการปั่นชุดเจนเนอเรเตอร์ แล้วชาร์จกระแสไฟป้อนกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ทันที



ระบบรองรับหรือช่วงล่างของรถ CT200h ด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สัน สตรัท คอยล์สปริง โช้คอัพแก๊ส เหล็กกันโคลงพร้อมด้วยชุดเหล็กค้ำยันเบ้าโช้คด้านหน้า เพื่อเพิ่มเติมประสิทธิภาพในการยึดเกาะและต่อต้านการบิดตัวเมื่อขับเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ส่วนด้านหลังเป็นแบบดับเบิ้ลวิชโบน คอยล์สปริง เหล็กกันโคลงกับตัวยึดกันสะบัดด้านหลัง ชุดห้ามล้อด้านหน้าเป็นแบบดิสเบรก พร้อมช่องระบายความร้อน จานดิสหน้าขนาด 255 มิลลิเมตร ส่วนด้านหลังเป็นดิสเบรกที่มีจานใหญ่ขึ้นเป็น 279 มิลลิเมตร พร้อมกลไกอิเล็กทรอนิกส์ ABS- Anti-Lock Brake System / BA-Brake Assist รวมถึงระบบที่ช่วยในเรื่องของการทรงตัวเช่น VSC-Vehicle Stability Control / TRC-Tracton Control System



ระบบความปลอดภัยจัดเต็มด้วยถุงลมนิรภัยเสริมความปลอดภัยในทุกด้านของรถยนต์ถึง 8 ตำแหน่ง sensor-controlled SRS ที่ควบคุมด้วยระบบเซ็นเซอร์ในบริเวณคนขับ ผู้โดยสารตอนหน้าและในห้องผู้โดยสารเพื่อความปลอดภัย PRE-CRASH SAFETY SYSTEM ระบบเซ็นเซอร์อัจฉริยะ PCS รอบคันเพื่อเตือนภัยและหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ LANE KEEPING ASSIST ระบบ Lane Keeping Assist จะส่งสัญญาณเตือนบนจอ หากขับไปยังอีกหนึ่งเลนโดยไม่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยว และส่งสัญญาณเตือนบริเวณพวงมาลัยเพื่อความปลอดภัยของทุกการขับขี่ DYNAMIC RADAR CRUISE CONTROL ระบบ Dynamic Radar Cruise Control จะช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันข้างหน้าไม่ให้เข้าใกล้จนเกินไป




ราคาค่าตัว 2.6 ล้านบาทของ Lexus CT200h Premium ทำให้มันมีคู่แข่งโดยตรงคือ BMW 118i M-Sport ราคา 1.99 ล้านบาท / Volvo V60 T4F 1.99 ล้านบาท / Honda CRZ 1.97 ล้านบาท MINI Cooper D ราคา 2,440,000 บาท ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวว่าจะเลือกเอาแบบไหน Lexus CT200h Premium ทำตัวเป็นยนตรกรรมแบบ Sport-Hybrid ซึ่งวางระบบ Hybrid เต็มรูปแบบเป็นจุดขายโดยเน้นความประหยัดบนสมรรถนะของการขับเคลื่อนที่พอตัว กำลังจากเครื่องยนต์ 1.8 ลิตรและมอเตอร์ไฟฟ้า เมื่อทั้งสองระบบทำงานพร้อมกันแล้วถูกส่งถ่ายไปยังล้อขับเคลื่อนซึ่งเป็นล้อคู่หน้าแบบ Full Hybrid เครื่องยนต์ระบบ Atkinson ขนาด 1.8 ลิตร 1,798 ซีซี เป็นเครื่องยนต์เบนซินคล้ายคลึงกับ Toyota Prius แต่ Lexus ได้เพิ่มเติมโหมดการขับขี่แบบสปอร์ตลงไป เพื่อสร้างความเร้าใจและความแตกต่างในการใช้งานบนรูปแบบแฮตช์แบคที่ร้อนแรง




เครื่องยนต์ให้กำลัง 99 แรงม้าที่ 5,200 รอบต่อนาที กับแรงบิด 142 นิวตันเมตรที่ 2,800-4,400 รอบต่อนาที ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงของ Lexus CT200h ถูกพัฒนาหน่วยควบคุมกำลังไฟฟ้าขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานไฟฟ้า ชุด Hybrid ยังประกอบไปด้วยมอเตอร์กำลังสูงที่ทำหน้าที่ทั้งส่งถ่ายแรงบิดกับแปลงกระแสไฟฟ้ากำลังสูงจากหน่วยควบคุมกำลังไฟฟ้าให้เป็นพลังงานสำหรับการขับเคลื่อน มอเตอร์ไฟฟ้าของ CT200h มีแรงเคลื่อนไฟฟ้าสูงสุดที่ 650 โวลต์ ให้กำลังสูงสุด 60 กิโลวัตต์ กับมีแรงบิดในระดับ 207 นิวตันเมตร เมื่อควบรวมการทำงานของทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์เข้าด้วยกัน CT200h จะมีเรี่ยวแรง 134 แรงม้า โดยมีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 10.3 วินาที




ห้องเครื่องยนต์ของเจ้า CT200h อัดแน่นไปด้วยเครื่อง Atkinson Cycle ระบบส่งกำลังแบบ E-CVT - Continuously Variable Transmission เป็นเกียร์สายพานพูเล่ย์โดยฝังมอเตอร์เอาไว้ภายในเกียร์ มอเตอร์ไฟฟ้ากับเจนเนอเรเตอร์ที่ใช้สตาร์ตหรือดับเครื่องยนต์ชั่วขณะรวมถึงการชาร์จไฟให้กับแบตเตอรี่ที่อยู่ด้านหลัง ห้องเครื่องยนต์ของ CT200h เต็มไปด้วยอุปกรณ์จ่ายไฟที่จำเป็นในระบบ Hybrid ระบบส่งกำลังหรือเกียร์แบบแปรผันต่อเนื่องควบคุมด้วยไฟฟ้า Electrically Controlled Continuously Variable Transmission รับงานผสมผสานแรงบิดของเครื่องยนต์และมอเตอร์ โดยส่งถ่ายกำลังในรูปแบบ Split Device ผ่านมอเตอร์และเจนเนอเรเตอร์ ทำให้มันสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 40 กิโลเมตรไปได้ไกล 2 กิโลเมตรโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียวๆ เมื่อผู้ขับขี่ต้องการกำลังเพิ่มโดยกดคันเร่งลงลึก เครื่องยนต์ VVT-i จะเข้ามารับหน้าที่แทนหรือผสมผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับการขับเคลื่อนที่ต้องการความรวดเร็วทันอกทันใจ ระบบ Hybrid ของ Lexus CT200h ถูกออกแบบมาเพื่อเน้นการทำงานด้านพลังงานไฟฟ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทำให้มันกลายเป็นรถแฮตช์แบคที่ประหยัดเชื้อเพลิงและปล่อยมลพิษต่ำ สิ่งที่พิเศษกว่ารถคู่แข่งคือเจ้า CT200h คันนี้แทบจะไม่มีการปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ และสิ่งเจือปนอื่นๆ ที่เป็นพิษต่ออากาศในขณะที่เครื่องยนต์ดับและมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามารับหน้าที่แทนในการขับเคลื่อนหรือจอดนิ่งอยู่กับที่




การขับทดสอบ CT200h แบบเต็มระบบทั้งในเมืองและนอกเมือง เมื่ออยู่ในห้องโดยสารของยานยนต์ตระกูล Lexus สิ่งแรกที่คุณสามารถสัมผัสได้คือความหรูหราของวัสดุและอุปกรณ์ภายในซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับแบรนด์ Toyota วัสดุราคาแพงประดับประดาอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นพลาสติกเกรดสูง หนังแท้และพรมเนื้อหนา ตำแหน่งท่านั่งจัดวางมาเป็นอย่างดีเพื่อการควบคุม จากการวางตำแหน่งของพวงมาลัย เบาะและแป้นคันเร่งกับแป้นเบรก
แผงคอนโซลโฟมขึ้นรูปห่อหุ้มด้วยวัสดุประเภทหนังเทียมสีเทาเข้ม ที่แปลกตาทุกครั้งเมื่อขับขี่ใช้งานรถยนต์รุ่นนี้ก็คือหัวเกียร์ CVT ทรงประหลาดคล้ายกับพัตเตอร์ของนักกอล์ฟ หัวเกียร์สั้นกุดใช้งานโดยโยกคันเกียร์ซึ่งควบคุมการทำงานด้วยระบบไฟฟ้าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเข้าตำแหน่ง D เพื่อเดินหน้า ตำแหน่ง N สำหรับการปลดเป็นเกียร์ว่างและตำแหน่ง R เพื่อการถอยหลังรวมถึงตำแหน่ง B เพื่อลดความเร็ว
เมื่อโยกคันเกียร์ มันจะเด้งกลับมาคาที่ตำแหน่งเดิมทุกครั้งซึ่งทำให้มีความสะดวกต่อการใช้งาน แต่สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นชินกับคันเกียร์ในลักษณะนี้คงต้องใช้เวลาปรับตัวกันบ้างแต่ไม่นานนัก ความสะดวกที่ได้รับผ่านการใช้งานจะทำให้เกิดความพึงพอใจ เกียร์แบบจอยสติ๊กที่คล้ายคลึงกันกับ Prius เนื่องจากรถยนต์ทั้งสองรุ่นใช้เครื่องยนต์และชุดส่งกำลังที่เหมือนกัน




เมื่อกดปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ เจ้า CT200h ก็พร้อมที่จะแล่นไปข้างหน้าด้วยกำลังไฟฟ้าหากมีประจุไฟมากพอในแบตเตอรี่ Hybrid ความเงียบและไร้มลพิษเมื่อมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานที่ความเร็วต่ำเป็นจุดเด่นของระบบ Full Hybrid ที่ Lexus เลือกใช้ สำหรับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเมื่อลองทดสอบขับขี่ในกรุงเทพมหานครท่ามกลางสภาพการจราจรที่สาหัสสากรรจ์ด้วยโหมด ECO-EV มันทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยได้ถึง 19.7 กิโลเมตรต่อลิตร ไม่น้อยหน้ารถยนต์ Hybrid อย่าง Prius แต่อย่างใดทั้งสิ้น ที่เจ๋งมากคือคอมเพรชเซอร์แอร์ไฟฟ้าที่ยังคงทำงานแม้ระบบจะสั่งให้เครื่องยนต์ดับตัวเองเมื่อจอดนิ่งสนิท คอมฯ แอร์ไฟฟ้า อย่างที่เคยบอกว่ามันมีความเหมาะสมกับสภาพอากาศในเมืองไทยที่ร้อนตับแตกกันแทบจะทุกฤดูมีอากาศเย็นแค่ไม่กี่วันในหนึ่งปี




วิศวกรของค่ายหัวลูกศรพัฒนาระบบ Hybrid มานานแล้ว ในปัจจุบันบริษัทผลิตยานยนต์หรูหราของประเทศญี่ปุ่นเจ้านี้จึงมีผลิตภัณฑ์ในรูปแบบยานยนต์พลังงานผสมอยู่หลายรุ่น โดยเฉพาะตลาดรถหรูในสหรัฐอเมริกาที่ Lexus ได้รับความนิยมค่อนข้างสูงจากคนอเมริกันที่ชอบใช้รถยนต์คุณภาพดีที่ผลิตโดยค่ายรถแดนปลาดิบ เครื่องยนต์และระบบ Hybrid ถูกออกแบบให้มีการทำงานที่สอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์แบบ ล่าสุดก็เพิ่งจะปล่อยรถรุ่นเรือธง LS500h เครื่องยนต์ V6 กับมอเตอร์ไฟฟ้าออกมาเพื่อแข่งกับ BMW 740Le และ Mercedes Benz S500e เมื่อขับใช้งานด้วยความเร็วต่ำ หากมีไฟเต็มแบตเตอรี่ของ CT200h จะเคลื่อนที่ด้วยกำลังไฟแต่เพียงอย่างเดียวโดยทำระยะทางสั้นๆ ได้ 2 กิโลเมตร การขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าทำได้อย่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติและว่องไวในแบบที่มันควรจะเป็น การเร่งความเร็วในโหมดประหยัดหรือ ECO Mode แม้คันเร่งจะถูกปรับให้ลดการตอบสนองในโหมดนี้ แต่ย่านของกำลังแรงบิดนั้นถูกควบคุมด้วย ECU ทันทีที่คันเร่งไฟฟ้าถูกกดลงจนสุด มันจะทะยานออกตัวในแบบรถยนต์แฮตช์แบคที่วางเครื่อง 1.8 ลิตรทั่วไปพร้อมๆ กับการประสานการทำงานของมอเตอร์และเครื่องยนต์ ให้ความรู้สึกคล่องตัวและปราดเปรียว




เมื่อปุ่มปรับโหมดการขับขี่โดยหมุนไปทางขวาสุดเพื่อเข้าสู่โหมดสปอร์ต ในโหมดนี้ทุกอย่างบน CT200h จะตอบสนองเร็วขึ้น พลังในรูปของแรงบิดจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานประสานกันไปทั้งสองระบบเพื่อสร้างอัตราเร่งที่ทันอกทันใจไปตามรูปแบบสปอร์ตแฮตช์แบคของตัวรถ มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้มันแปรสภาพเป็นรถสปอร์ตได้ไม่ถนัดนัก นั่นก็คือระบบส่งกำลังแบบ CVT ที่ราบเรียบลื่นไหลไร้รอยต่อจนบางครั้งเหมือนดูอาการน่าเบื่ออยู่บ้างเหมือนกัน ความเป็นยนตรกรรมแบบ Hybrid ทำให้มันต้องวางมอเตอร์ไว้ในเกียร์ CVT ด้วยเหตุผลของพื้นที่และค่าทางกลศาสตร์ของเกียร์แบบนี้ซึ่งมีความเหมาะสมกับรถยนต์ Hybrid ส่วนสิ่งที่ค่อนข้างขัดแย้งกับพลังงานของมันก็คือช่วงล่างแบบสปอร์ตที่หนึบแน่นและออกแบบมาเพื่อรองรับแรงม้าเยอะๆ มากกว่าที่จะเอามาใส่ในรถ Hybrid ซึ่งมีเรี่ยวแรงเพียงแค่ 134 แรงม้า ช่วงล่างบางจังหวะมีอาการแข็งกระด้างในย่านความเร็วต่ำเมื่อเจอกับผิวถนนที่ไม่เรียบ แต่ก็แลกกลับด้วยความหนึบแน่นในย่านความเร็วสูง ดูเหมือนขัดแย้งแต่ก็มีความกลมกลืนกันอย่างแปลกประหลาดตาม Concept ของผู้บริหารจาก Lexus ที่ต้องการรถยนต์สองบุคลิกในร่างเดียวกันนั่นเอง




CT200h รุ่นปรับโฉมนอกจากจะมีเรือนร่างที่สวยงามแล้ว มันยังมีระบบ Hybrid ที่เป็นเลิศด้านเทคโนโลยีประหยัดเชื้อเพลิงของวงการยนตรกรรมก่อนที่จะก้าวย่างไปสู่รถไฟฟ้าเต็มรูปแบบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ สิ่งที่ขัดแย้งอย่างรุนแรงใน CT200h คันนี้คือช่วงล่างแบบสปอร์ตที่ไม่เคยเข้ากันได้กับกำลังอันน้อยนิดแค่ 134 แรงม้า ช่วงล่างออกแนวหนึบมากจนบางครั้งส่งถ่ายความกระด้างให้รู้สึกอย่างชัดเจน มันควรจะเป็นช่วงล่างของรถท่ีมีกำลัง 250 แรงม้ามากกว่ารถ Hybrid จ่ายกับข้าวแบบนี้ เมื่อใช้ความเร็วบนไฮเวย์ การปรับให้ CT200h เข้าสู่โหมดสปอร์ตคุณจะได้การตอบสนองที่ทันอกทันใจมากยิ่งขึ้น คันเร่งไฟฟ้าที่เคยทำงานแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ ในโหมด ECO เปลี่ยนตัวเองทันทีด้านความรู้สึก กดลงไปมันจะลากรอบขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง หน้าปัดมาตรวัดในโหมด ECO ที่เป็นสีน้ำเงินก็เปลี่ยนเป็นสีแดง หน่วยวัดพลังงานที่มาตรวัดด้านซ้ายของกรอบหน้าปัดในโหมด ECO กลายสภาพเป็นวัดรอบสีแดงส้มที่เร้าและคอยกระตุ้นให้คุณลงคันเร่งลึกลงไปอีก




ช่วงล่างแข็งๆ ในย่านความเร็วต่ำแปรเปลี่ยนความรู้สึกและสัมผัสกลับมาเหมาะเจาะพอดิบพอดีกับการใช้ความเร็วในย่าน 140-170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้ความรู้สึกหนึบแน่น ถ่ายเทและดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ช่วงล่างแบบสปอร์ตที่หลายคนไม่ชอบของ CT200 คายพิษสงไปตลอดทางหากคุณไม่ยอมผ่อนคันเร่ง มันจะกินเชื้อเพลิงมากขึ้นจนถึงขั้นขัดแย้งกับระบบ parallel hybrid แต่คนที่ซื้อรถยี่ห้อนี้ส่วนใหญ่แน่ใจว่ามันไม่ได้มีเอาไว้แค่คลาน




ยาง Yokohama รุ่น Advan ไซส์ 205/55/R16 ให้สัมผัสที่ดีของพวงมาลัยนอกเหนือไปจากระบบบังคับเลี้ยวแบบไฟฟ้าที่มีอัตราทดแปรผันซึ่งค่อนข้างกระชับ จังหวะและระยะตลอดจนมุมของการหมุนมีความเป็นธรรมชาติ พวงมาลัยที่เซตตัวเองให้นิ่งในย่านความเร็วสูงและเบาสบายมือเมื่อต้องถอยเข้า-ออก มอบการใช้งานที่ดีน่าพึงพอใจ พวงมาลัยที่ไวแต่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเมื่อขับเร็วคือรสชาติของ Lexus ทุกรุ่นในปัจจุบัน สัมผัสของมันจะลดหลั่นกันไปตามโมเดลและราคาค่าตัว แต่ทุกคันให้ความรู้สึกที่ดีเทียบเท่ายนตรกรรมจากยุโรป ช่วยไม่ได้ที่ฝรั่งนักทดสอบจะไม่ค่อยชอบของดีจากเอเชียที่พยายามทำตัวเทียบเคียงรถยุโรปอย่างเจ้าหัวลูกศรคันนี้ หากคุณเปิดใจของตัวเองให้กว้างมากขึ้น สิ่งที่ไม่ดีในรถคันนี้ก็มีเพียงแค่ราคาของมันเท่านั้นที่สามารถซื้อ BMW 118i M-Sport แล้วยังเหลือเงินทอนอีกถึง 6 แสนบาท! มันแพงหูดับตับทะลุอย่างไร้สาเหตุ ค่าตัว 2.6 ล้านทำให้มันไปได้ไม่ค่อยดีนักในตลาดรถหรูแบบ Hybrid




งานประกอบตัวถังและแชสซีทำออกมาได้ดีมาก ทำให้ขับแล้วรู้สึกได้ถึงความหนักแน่น ทั้งน้ำหนักของการเปิดปิดประตูที่แตกต่างจากรถญี่ปุ่นทั่วไป การถ่ายเทน้ำหนักแม้จะอัดในโค้งด้วยความเร็วสูงแต่กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนรถขับเคลื่อนล้อหน้าแต่อย่างใด วิศวกรรมโครงสร้างที่ดี การกระจายน้ำหนักที่ลงตัวกับงานออกแบบตัวถังที่คำนึงถึงระบบอากาศพลศาสตร์ เจ้า CT200h F-Sport มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานของอากาศ 0.28 รูปทรงของมันลู่ลมมากพอที่จะช่วยให้มอเตอร์และเครื่องยนต์ไม่ต้องรับภารกรรมมากนัก สำหรับอัตราเฉลี่ยค่าสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนอกเมืองทำได้ 21.5 กิโลเมตรต่อลิตร เป็นการขับแบบปกติที่ไม่เน้นความเร็วต่อเนื่อง ส่วนในเมืองทำได้ 18.6 กิโลเมตรต่อลิตร แต่ขับได้ระยะทางไม่มากนักเนื่องจากสภาพการจราจรหนาแน่นเกินไป




มันเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าที่ขับเข้าโค้งได้ดีในกลุ่มรถ Hybrid จากช่วงล่างแบบสปอร์ตและพวงมาลัยแปรผันไฟฟ้า ยนตรกรรม CT200h เป็นรถที่ดูแล้วไม่เหมือนใคร มีความเป็นตัวตนสูงจากแบรนด์ที่ค้ำอยู่ซึ่งหมายถึงยานยนต์พรีเมียมที่แตกต่างไปจากยนตรกรรมยี่ห้ออื่นๆ ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดย Lexus และมันถูกอกถูกใจคนอเมริกันเนื่องจากถือกำเนิดและถูกทดสอบที่นั่นก่อนที่จะผลิตออกขาย ห้องโดยสารสวยงาม วัสดุที่ใช้เทียบชั้นกับรถยุโรปราคาแพง มองให้ดีคุณจะเห็นและสัมผัสได้ถึงความแตกต่างทั้งดีไซน์และวัสดุที่ใช้ตกแต่ง ระบบ Full Hybrid ของ Lexus ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตลอดระยะเวลา 7 วันกับระยะทางทดสอบอีก 700 กิโลเมตรที่ได้อยู่ร่วมกัน ไม่อยากจะบอกเลยว่ารถรุ่นนี้ได้รับการลดหย่อนภาษีในประเทศอังกฤษจากค่ามลพิษที่ดีของมันและการทำตัวเป็นรถ Hybrid ที่เมืองผู้ดี CT200h รุ่นนี้มีราคาเพียง 1.18 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ 2.6 ล้านบาทในบ้านเราแล้วก็แค่พูดไม่ออกได้แต่กลอกหน้าเท่านั้นเองครับ.

Lexus CT200h รุ่นปรับโฉมปี 2017 มีให้เลือก 12 สี
- Sonic Quartz
- Graphite Black Glass Flake
- Deep Blue Mica
- Mercury Gray Mica
- Red Mica Crystal Shine
- Sparkling Meteor Metallic
- Sonic Titanium
- Madder Red
- Black
- Amber Crystal Shine
- White Nova Glass Flake *เฉพาะ รุ่น F Sport
- Lava Orange Crystal Shine *เฉพาะ รุ่น F Sport
ราคาจำหน่าย Lexus CT200h ปี 2017
- CT200h Luxury Fabric 1,999,000 บาท
- CT200h Luxury Leather 2,345,000บาท
- CT200h Premium 2,630,000 บาท
(คันทดสอบ)
- CT200h F Sport 2,965,000 บาท
*สำหรับสีทูโทนบนหลังคา ราคาจะเพิ่มขึ้น 20,000 บาท จากราคาที่แสดงข้างต้น
LEXUS CT200h Premium Minor Change 2017
แบบ............................................แฮตช์แบค 5 ประตู Sub-Compact
เครื่องยนต์..................................แถวเรียง 4 สูบ 1.8 ลิตร DOHC VVT-i รหัส2ZR-FXE
ปริมาตรความจุกระบอกสูบ................1,798 ซี.ซี.
แรงม้าสูงสุด................................98 แรงม้าที่ 5,200 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด...............................142 นิวตันเมตรที่ 2,800-4,400 รอบต่อนาที
ระบบจ่ายเชื้อเพลิง.....................หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ EFI
ชุดมอเตอร์
กำลังไฟฟ้าสูงสุด.........................650 โวลต์
กำลังสูงสุด..................................60 กิโลวัตต์
กำลังรวมสูงสุด (เครื่องยนต์+มอเตอร์ไฟฟ้า).....136 แรงม้า
แบตเตอรี่...................................Sealed Ni-MH (Nickle Metal Hydride
โมดูล...........................................168 Cells 201.6 V
การต่อเชื่อม.................................แบบอนุกรม
ความจุกระแสไฟ..........................6.5 Ah (3h)
อัตราเร่ง.......................................0-100 กิโลเมตรใน 10.23 วินาที
ความเร็วสูงสุด.............................180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
อัตราการลิ้นเปลืองเชื้อเพลิง........19-21 กิโลเมตรต่อลิตร
มาตรฐานการปล่อยมลพิษ...........EURO V
ระบบกันสะเทือน
ด้านหน้า.......................................แม็คเฟอร์สันสตรัท โช้คอัพแก๊ส สปริง เหล็กกันโคลง เหล็กค้ำโช้ค
ด้านหลัง.......................................ดับเบิ้ลวิชโบน สปริง เหล็กกันโคลง
ระบบส่งกำลัง...............................เกียร์อัตโนมัติ E-CVT
ลักษณะการวางเครื่องยนต์...............เครื่องยนต์วางตามขวางด้านหน้า-ขับเคลื่อนล้อหน้า
ระบบบังคับเลี้ยว..........................Rack And Pinion-EPS
ล้อและยาง....................................อัลลอยขนาด 16 นิ้ว ยาง Yogohama ขนาด 205/55/R16
ความจุถังเชื้อเพลิง........................45 ลิตร
มิติตัวถัง
ความยาว....................................4,350 มิลลิเมตร
ความกว้าง..................................1,765 มิลลิเมตร
ความสูง......................................1,455 มิลลิเมตร
ฐานล้อ.......................................2,600 มิลลิเมตร
ความกว้างฐานล้อหน้า......................1,525 มิลลิเมตร
ความกว้างฐานล้อหลัง......................1,520 มิลลิเมตร
น้ำหนัก.......................................1,465 กิโลกรัม
รัศมีวงเลี้ยว..................................5.2 เมตร
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/