ตลาดรถกระบะบ้านเราขณะนี้อยู่ในช่วงที่เปรียบได้ดังการลอยคออยู่กลางทะเลหลังเครื่องบินร่อนลงฉุกเฉิน มีหมอนรองนั่งของเบาะลอยตามคลื่นมา ไม่ว่าค่ายไหนก็ต้องพยายามยึดเกาะเอาไว้ ตีขา ส่งเสียงหรือทำอะไรก็ได้ให้คนอื่นรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ สามปีก่อนหน้านี้รถกระบะเคยขายได้ 4/10 คันจากยอดจดรถทั้งหมด ในปัจจุบันเหลือแค่ 2.5-2.8/10 คัน จะอยู่ยังไงไหว แต่จะลาจากไปก็ไม่ได้ ในขณะที่โลกกำลังเทใจให้กับความหรูและอุปกรณ์ที่บางอย่างก็ไม่จำเป็น Nissan สวนกระแสด้วยการส่งรุ่นย่อยที่ตัดอุปกรณ์เหมือนรถซาฟารีออสซี่..แต่มาในราคาที่ถูกลงและเครื่องแรงเท่าเดิม


...


ถือว่าค่อนข้างเซอร์ไพรสที่จู่ๆค่ายอินดี้ญี่ปุ่นอย่าง Nissan จะยังมีไม้ตายซ่อนเอาไว้สำหรับรถที่มีอายุการตลาดจำหน่ายมานานกว่า 10 ปีอย่าง Nissan Navara ได้อีก ผมอ่านเนื้อหาข่าวแล้วอัปเดตสรุปข้อมูลลงในเพจ Day Dream Drive ตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือ..กลายเป็นว่ามีคนชื่นชอบและยอดแชร์เยอะกว่าคอนเทนต์ปกติของทางเพจหลายเท่านัก น่าแปลก ทั้งที่ปกตินั้นขึ้นชื่อว่าเป็น Nissan เมื่อไหร่จะกระดิกนิ้วทำอะไรกลับมีแต่คนตำหนิติเตียนทุกครั้งไป

ในครั้งนี้ การเปิดตัวรุ่นย่อยเกรดราคาถูก เรียกว่า Calibre SL จะมีทั้งหมดสามรุ่นให้เลือก

Nissan Navara King Cab Calibre SL 7AT ราคา 758,000 บาท

Nissan Navara Double Cab Calibre SL 6MT ราคา 792,000 บาท

Nissan Navara Double Cab Calibre SL 7AT ราคา 842,000 บาท 

ซึ่งรถที่เราจะเน้นในบทความนี้ ขอดูกันที่ตัว 4 ประตูเกียร์อัตโนมัติ เพราะยุคนี้ ผู้คนเลิกกลัวกระบะเกียร์ออโต้พังกันไปเยอะแล้วไม่เหมือนสมัยเปลี่ยนศตวรรษใหม่ๆที่คนไม่ค่อยเชื่อว่ากระบะเกียร์ออโต้ก็ใช้ทน แถมสบายเท้าซ้ายอีกต่างหาก ไม่ต้องเทคนิคพราว เวลาเจ้าของรถเหนื่อยมากจะหยิบคุณแฟนมาขับแทนก็ไม่ลำบาก อีกประการหนึ่งก็คือ ถ้าเล่น Navara SL รุ่นเกียร์ธรรมดายกสูงนั้น คุณจะได้เครื่อง YS23DDT ซึ่งไม่ใช่ยาฆ่าแมลง แต่หมายถึงเป็นเครื่องเทอร์โบเดี่ยว 160 แรงม้าเท่านั้น แต่ถ้าเลือกรุ่นเกียร์อัตโนมัติเมื่อไหร่ คุณจะได้เครื่อง YS23DDTT ที่มีเทอร์โบ 2 สเตจรับรอบต่ำและสูง ซึ่งให้พลัง 190 แรงม้า กับแรงบิด 450 นิวตันเมตร ซึ่งใกล้เคียงกับ D-Max รุ่น 3.0 ลิตรเลยทีเดียว

...

ถ้าถามเรื่องจุดเด่นของ Nissan Navara Calibre SL รุ่น 4 ประตูเวอร์ชั่นล้อกระทะนี้...อย่างแรกเลยคือพละกำลังเครื่องยนต์นี่ล่ะครับ เพราะถ้าจะเอา 4 ประตูด้วย สูงด้วย เกียร์ออโต้ด้วย แล้วเอาราคาแปดแสนต้น (ไม่รวมส่วนลดที่ศูนย์) ไม่มีใครให้เครื่องสเป็คพลังสูงกับคุณหรอกครับนอกจาก Nissan ค่ายอื่นก็จะได้เครื่อง 150-170 แรงม้ากันเป็นส่วนมาก นอกจากนี้ แม้ว่าภายนอกดูทรงแล้วน่าจับทำรถซาฟารี ตัดอุปกรณ์ซะเหี้ยน แต่อุปกรณ์ข้างในบางอย่างก็แอบใจดีแถมให้ ตามนิสัย Nissan ซึ่งชอบทำอะไรให้คนประเภทมองผ่านๆเห็นแล้วหนีเลย แต่คนที่ยินดีจะนั่งอ่านต่อมากกว่า 3 บรรทัด อาจพบว่าจริงๆแล้วไม่กระจอก

...




...


ขอวกไปพูดถึงภายนอกสักนิด เนื่องจากเป็นรุ่นทำราคา กระจังหน้าก็เลยไม่ได้เป็นโครเมียมเงาวาว ตรงนี้บางคนกลับชอบกระจังหน้าสีดำๆครับเพราะดูดุน้องๆพวกรุ่น Black Edition โดยไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่ม ไฟหน้าเป็นแบบหลอดไส้ฮาโลเจนธรรมดา ไม่ไฮเทค แต่เวลาหลอดขาดก็หาซื้อเปลี่ยนใหม่ง่าย ด้านท้ายไม่มีระบบผ่อนแรงฝาปิดกระบะเวลาเปิด ซึ่งปกติก็จะมีให้แต่ตัวท้อปๆ ส่วนล้อ ก็อย่างที่เห็นว่าเป็นกระทะเหล็กธรรมดา แต่เป็นขนาด 17 นิ้วนะครับ ยางไซส์ 255 มม. เหมือนรุ่นอื่น แต่ Navara นั้นมากับน็อต 6 รู PCD แปลกๆ ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง ตรงนี้แหละครับที่อยากให้เลิกทำแบบนี้เสียที เพราะเวลาอยากจะหาล้อแต่งล้อซิ่งหรือล้อออฟโรดสวยๆใส่ ทางเลือกชาว Nissan มันจำกัดกว่าค่ายอื่น ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่คำถามคือ ถ้ามีแล้วเป็นข้อจำกัด จะทำไปทำไม


ถ้าอยากเก๋ในงงบประหยัด หาพวกล้ออัลลอย 17  นิ้วจากรุ่น Calibre E หรือพวก Pro Series ที่เจ้าของถอดออกขายมาใส่ก็ได้อยู่ครับ แนะนำล้อ 17 ของพวก Pro Series ที่ทำเป็นสีดำแล้ว มันดูโหดดี และใส่กับยางเดิมได้ ที่เหลือ คุณก็หากันชนแบบการ์ดชิ้นใหญ่ๆ ใส่หน้า/หลัง เติมบันไดข้างเก๋ๆ ติด Spot light (แต่เปิดเฉพาะเวลาต้องใช้ อย่าเปิดพร่ำเพรื่อ) ติด Snorkle ไว้ตอนลุยน้ำท่วมบ้างก็ได้ หรืองบเหลือเยอะ ก็หายางสไตล์ลุยที่เขียนยี่ห้อตรงแก้มเป็นสีขาวมาใส่ แค่นั้นก็ได้ลุคสหประชาชาติ พร้อมบรรเทาสาธารณะภัยไปบนความเท่แล้วล่ะครับ


ส่วนภายใน หน้าปัดเป็นสเป็คเดียวกับรุ่นท้อป คือมีจอ MID ที่ดูสวยอ่านค่าง่าย แอร์เป็นแบบลูกบิดจริง แต่ดูจากสวิตช์แอร์คือน่าจะแถมระบบฮีทเตอร์มาให้ ฮีทเตอร์นี่หลายคนชอบบอกเมืองไทยเมืองร้อน ให้มาทำบุพการีอะไร แต่คุณต้องนึกถึงคนที่ขับรถเขตภาคเหนือหรือเขตภูเขาครับ อากาศเย็นตลอดปีและบางวันก็หนาวจริง ของที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ ไม่ได้แปลว่าไม่มีค่าครับ และที่เหนือกว่าคาดก็คือ มี Cruise Control มาให้ ซึ่งปกติของแบบนี้มักจะพบแต่ในรุ่นสูงๆ ไม่มีทางเลยที่จะมาอยู่ในรถสเป็คราคาถูก ทั้งที่หากเป็น Cruise Control ธรรมดาไม่ใช่แบบ Adaptive ต้นทุนมีแค่สวิตช์กับสายไฟไม่กี่เส้น หลายค่ายเราก็พบว่าไปติดเพิ่มเองได้ด้วยงบไม่เกิน 3,000 บาท แต่ Nissan ใส่มาให้เลยโดยไม่ต้องลำบากไปติดเพิ่ม



เบาะผ้า เป็นผ้าคนละเกรดกับรุ่นอื่นๆที่แพงกว่า แต่คงเป็นเรื่องที่คนเลือกรุ่นใช้งานจริงจังเขารับกันได้ วัสดุนุ่มบนแดชบอร์ดก็เอาออก กระจกมองข้างพับมือ สิ่งที่จะดูเสียเปรียบชาวบ้านก็คงเป็นชุดเครื่องเสียงที่หน้าตาไม่ขี้เหร่ แต่คุยกับ Apple CarPlay หรือ Android Auto ไม่ได้สักอย่าง ก็คงต้องไปควักเงินซื้อจอ Android ใส่เอาเองจะหลักพันหรือหลักหมื่นแล้วแต่งบเจ้าของ แล้วก็จะได้ติดกล้องหลังเพิ่มไปด้วยเลย




ประมาณนี้ครับ แน่นอนว่าราคาถูกลงหลายหมื่นบาท ของมันก็ต้องมีหายบ้างเป็นธรรมดา แต่อุปกรณ์ช่วยเหลือในการขับไม่ให้ลงข้างทางอย่าง VDC กับ TCS ยังมีอยู่ ระบบ Active Limited Slip แบบใช้ ECU สั่งจับเบรกแยกข้างล้อก็ยังอยู่ ทำให้หากเป็นเรื่องการขับขี่เมื่อไหร่ คุณได้ความมั่นใจเท่าพวกตัวท้อปขับหลัง เพราะเครื่องยนต์ เกียร์ ช่วงล่าง เป็นแบบเดียวกัน


สิ่งที่ Nissan ค่อนข้างเสียเปรียบสำหรับการใช้งานเมื่อเทียบกับค่ายอื่นก็คือพื้นที่เบาะหลัง กับประตูหลัง มีขนาดเล็กและแคบกว่าของค่ายอื่น ดังนั้นจึงต้องพิจารณาด้วยว่า งานที่คุณทำ ชีวิตที่คุณใช้ จะมีคนตัวสูงหรือใหญ่นั่งเต็มคันตลอดหรือไม่ ถ้าปกติมีแต่คนตัวเล็กๆนั่งหลัง ก็ไม่ใช่ปัญหาครับ

ทีนี้ หากคุณกำลังมองหารถกระบะ 4 ประตูยกสูงเกียร์อัตโนมัติ รุ่นย่อยที่ไม่เน้นอุปกรณ์ แต่เน้นเรื่องราคาจากค่ายอื่นล่ะ?

ค่ายเจ้าตลาดอย่าง Toyota มี Hilux Revo-D Pre-runner รุ่น ENTRY AT ในราคา 931,000 บาท รุ่นนี้เหมาะสำหรับสายใช้งาน เน้นความทนทาน ซ่อมง่าย ไปที่ไหนก็มีศูนย์ ไปหนใดก็มีของแต่ง พลังเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร 150 แรงม้า ไม่ใช่จุดเด่นแต่ได้ในเรื่องความประหยัดถ้าขับดีๆ ส่วนใครอยากทำแรง ก็สามารถ Remap/แปะกล่องจูนเพิ่ม ทำนิดหน่อยก็สามารถได้พลังน้องๆ Navara จากโรงงานครับ ในเรื่องอุปกรณ์ หากมองจากภายนอก Revo จะดูดีกว่า Navara ตรงที่มีล้ออัลลอยทำสีเข้มขนาด 17 นิ้วจากโรงงานมาให้เลย และได้เปรียบตรงที่มีอู่นอกพร้อมสั่งของแต่งตั้งแต่กระจังหน้ายันกันชนท้าย มีทั้งของศูนย์แท้ ของเทียบ เลือกใส่ในภายหลังได้ตามชอบ ถ้าจะแต่งเป็นสไตล์สหประชาชาติ ก็ทำได้ดีไม่แพ้ Navara แน่นอน แต่ต้องระวังไม่ให้ออกมาแล้วดูเหมือนรถผู้ก่อการร้ายแทนที่จะเป็นผู้ก่อการดี

เรื่องอุปกรณ์ แลกคนละหมัดตุ้บตั้บกับ Nissan เพราะ Toyota ยังให้กุญแจพับแบบธรรมดาอยู่ และไม่มี Cruise Control ในขณะที่ Nissan ให้ Push Start/Smart Key ซึ่งเป็นของที่แพงมากถ้าจะทำเพิ่ม แต่ Cruise Control สองพันกว่าบาทถ้าจะเพิ่ม สิ่งที่ Toyota ให้มาเลยไม่ต้องทำเพิ่มคือชุดเครื่องเสียงจอ 8 นิ้ว ที่ต่อ Apple CarPlay/Android Auto ได้ แค่เติมกล้องหลังก็ใช้การได้ดีแล้วครับ ช่วงล่างในสไตล์ Toyota จะเน้นเรื่องบรรทุกหนักมากกว่าเรื่องความนุ่มนวล ถ้าวิ่งบรรทุกไม่เกิน 200 กิโลด้านท้าย Nissan ได้เปรียบทั้งความนุ่มและความเกาะถนน ส่วน Toyota มีพวงมาลัยที่เลี้ยวแล้วไม่ต้องสาวหลายรอบ คนทั่วไปขับแล้วรู้สึกถนัดคล่องตัวกว่า





ส่วนถ้าจะไปเทียบค่ายอินดี้ทางเลือกไม่ค่อยซ้ำใคร ผมว่าต้องไปดูทาง Ford ซึ่งมี Ranger XLS 2.0 6AT ซึ่งราคาปกติเขาคือ 924,000 บาท แต่ถ้าจัดไฟแนนซ์กับ Ford Leasing จะได้แคมเปญราคาลดเหลือ 799,000 บาทเท่านั้น กลายเป็นว่าถูกมาก แต่ก็ต้องดูว่าจบที่ศูนย์จริงๆจะได้เท่าไหร่กับทั้ง Nissan และ Ford 

จุดเด่นของ Ford มีด้วยกันหลายประการ อย่างแรกคือการเป็นรถที่ดูจะเน้นอุปกรณ์และเทคโนโลยีมากกว่า Toyota กับ Nissan เอาแค่ภายนอก ก็ให้มาแบบเกือบครบแล้ว แค่หาสติกเกอร์คุณภาพดีสีดำมาแปะตรงเสา B-Pillar ก็ดูมาดได้เหมือนรถราคาเฉียดล้าน (รถปี 2024 ปลายปี จะมีเสา B สีเดียวกับตัวรถ แต่ได้ล้อสีเทาเข้ม ส่วนรถปีก่อนหน้านั้นจะเป็นล้อสีเงิน เสา B-Pillar ดำ) ไฟหน้าเป็น LED แล้วและมีลูกเล่น เปิดไฟตัดหมอกตอนเลี้ยวเวลากลางคืนเพื่อใช้ต่างไฟ Cornering Light ส่องทางตอนเลี้ยวได้อีกต่างหาก ล้ออัลลอยก็มีให้แล้วหน้าตาดูไม่เลวด้วยถ้าเป็นรุ่นใหม่ที่พ่นสีเทาเข้ม 

คุณเปิดดูภายในจะเห็นว่า Ford ให้เบาะหนังมาแล้วในขณะที่ค่ายอื่นเป็นผ้า หน้าตาแดชบอร์ดและภายในก็ล้ำเกินเพื่อนเช่นกัน พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศ ซึ่งเข้ากับคนหลายไซส์ได้ดีกว่า Nissan จอกลางขนาด 10 นิ้ว และเชื่อมต่อ Apple CarPlay/Android Auto แบบไร้สายได้ด้วย แม้แต่หน้าปัดก็เป็นจอสีขนาดใหญ่ ดูทันสมัยกว่าใครเพื่อน 

เครื่องยนต์ของ Ford เป็นแบบเทอร์โบเดี่ยว 170 แรงม้า ซึ่งพอมาเจอตัวรถที่ค่อนข้างหนัก ทำให้อัตราเร่งไม่ถึงกับแรง แต่เวลาแซงลากรอบลื่นกว่า Toyota 2.4 อย่างรู้สึกได้ ช่วงล่างของ Ford เน้นการบรรทุกน้อยกว่าใครเพื่อน แต่ก็มีข้อดีตรงที่เวลาวิ่งบรรทุกเบาๆแล้วนุ่มนวลคล้ายรถเก๋งมากที่สุด ใครที่ไม่เน้นบรรทุกหรือสมบุกสมบัน น่าจะขับ Ranger แล้วแฮปปี้ที่สุด แต่ปัญหาก็อยู่ที่แม้อะไหล่บางอย่างจะไม่ได้แพง แต่เรื่องความทนทานของเครื่องยนต์ยังสู้รถจากญี่ปุ่นไม่ได้ คุณควรลองศึกษาเพิ่มเติมดูครับว่า มีอะไรที่เสื่อมไว อย่างน้อยหัวฉีดล่ะหนึ่งอย่างที่ไปไวกว่าเพื่อน ผมถึงบอกว่า ใช้เป็นรถแบบไม่วิ่งงานหนัก ก็จะคุมค่าดูแลได้ง่าย แต่ถ้าวิ่งแบบปีละแสนโล ผมยังเชียร์ค่ายเจ้าตลาดอยู่ อย่างน้อยตอนซ่อมก็ไม่ลำบาก ที่ไหนก็มีคนซ่อมได้

ตลาดกระบะตอนนี้ลำบากกันถ้วนหน้า การใช้จ่ายเงินของหลายครัวเรือนอยู่ในภาวะรัดเข็มขัด ที่ผ่านมา Nissan จะขาดรุ่นล่างๆที่ราคาดีแต่ยังเหลือของบางอย่างเช่นเกียร์อัตโนมัติ หรือรถที่ซื้อไปเน้นใช้จริงๆ ราคาสำคัญกว่าออปชั่น เป็นต้น





ถ้าคิดว่าจะมา Nissan ข้อดีของ Navara ในระดับราคาใกล้เคียงกันก็คือ ถ้าเป็นเกียร์ออโต้ ได้เครื่องสเป็คแรง 190 ม้า และมีอุปกรณ์บางอย่างที่เท่ากับรุ่นย่อยกลางๆของคู่แข่ง ถ้าซื้อใช้จริง ก็หาล้ออัลลอยตรงรุ่นที่ถอดขายกันมาใส่ หาจอ Android กับกล้องหลังใส่หน่อย ก็เพียงพอต่อการใช้งานได้ เริ่มต้นผ่อนต่ำสุดเดือนละ 4,999 บาทครับ


Pan Paitoonpong