ถ้าให้มองหารถสักคันที่ราคามือสองไม่ต้องขายบ้านซื้อ แล้วเป็นรถที่มาจากยุค 90s ที่มีความลงตัวระหว่างการใช้งานที่ยังพอเอามาขับเดินทางไกลได้ไม่ต้องหวั่นเหมือนขับรถวินเทจยุค 60s และมีกลิ่นแก่มากพอที่ทำให้รู้สึกถึงความต่างจากรถยุคนี้ ว่ารถที่ทำมาเพื่อขับตามนิยามคน Gen X เป็นอย่างไร Nissan Cefiro A31 คือรถรุ่นหนึ่งที่อยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายแล้วสำหรับคนฐานะปานกลางที่อยากเล่นรถเก่าสามารถซื้อหามาไว้ได้ คอลัมน์รถไทยรัฐวันอาทิตย์นี้ ลองมาเล่าเรื่องของ Cefiro A31 และร่วมแชร์ประสบการณ์กัน

เริ่มต้นด้วยการบอกเลยว่านี่คือรถในฝันของผมสมัยเด็กๆเลยครับ ครั้งแรกที่เห็นรถคันนี้ คือจากปกหนังสือรวมเล่มประจำปีที่ชื่อ “แหล่งรถ 1988” ซึ่งรถบนปกก็คือ Nissan Cefiro ที่เพิ่งเปิดตัวไปในญี่ปุ่น (หนังสือนั้นน่าจะพิมพ์จำหน่ายในปี 1989) เป็นหนังสือของลูกชายท่านนิคม ผู้ใหญ่จังหวัดสุโขทัยในสมัยนั้นซึ่งพ่อผมรู้จักและไปมาหาสู่ประจำ มันเป็นรถที่เห็นแล้วกระตุ้นเซนส์ในหัวเลยว่า เราต้องเป็นเจ้าของมันให้ได้! แล้วผมในฐานะเด็กประถมก็เริ่มหยอดกระปุก จนคุณแม่เห็นแล้วก็อดขำมิได้ แต่ในตอนหลังแม่เห็นความตั้งใจก็เลยบอกว่า ใส่ๆเงินมันลงไป สิ้นปีเปิดดูมีเท่าไหร่แม่จะสมทบด้วยเงินจำนวนเท่ากัน

...

35 ปีผ่านไป กระปุกนั้นเน่าสลายไปแล้วและผมก็ยังไม่ได้เป็นเจ้าของ A31 สักคัน..แต่ถ้าคุณอยากได้มัน ก็อย่ารอนานครับเพราะจำนวนรถที่สภาพดีและเดิมจริงเหลือน้อยมากชนิดที่ว่าถ้าเจอคันไหนสภาพได้สัก 80% ขอแค่โครงรถยังดีก็น่าซื้อเก็บไว้แล้วค่อยๆบูรณะทีหลังแล้วล่ะครับ ผมคิดว่ารถคันนี้คือสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์แห่งยุครุ่งเรืองของ Nissan ไทยยุคสยามกลการ มันคือยุคที่รถของ Nissan มีรุ่นที่เซ็กซี่ รุ่นที่ทั้งวัยรุ่นกับวัยดึกนึกอยากได้ รถที่แค่เห็นทรงคนก็ซื้อเลยโดยไม่ต้องอ่านบททดสอบสื่อมวลชน (สมัยนั้นยังไม่มีคำว่า “รีวิว” ใช้กันแพร่หลาย)

Cefiro A31 เปิดตัวที่ญี่ปุ่นในวันที่ 1 กันยายนปี 1988 โดยตัวรถนั้นมีหลายส่วนที่แชร์กันใช้กับรถคู่แฝดอย่าง Nissan Laurel, Nissan Skyline R32 Sedan ซึ่งรถสามรุ่นนี้จะถูกขายโดย “เครือข่ายดีลเลอร์” ที่แตกต่างกัน (ตามแนวนิยมญี่ปุ่นสมัยนั้น) คู่แข่งของเขาสายตรงก็คือ Toyota Mark II, Chaser และ Cresta ซึ่งต่างก็เป็นรถซีดานเครื่องวางตามยาวขับเคลื่อนล้อหลัง (และสี่ล้อในบางรุ่น) ทั้งนั้น ภาพลักษณ์ของเจ้า A31 นั้น ถูกวางให้สอดอยู่ตรงกลางระหว่าง Laurel ที่สวยสงบเสงี่ยมแบบผู้ใหญ่ กับ Skyline ที่ดูสปอร์ตแบบวัยรุ่น A31 จึงมีสัดส่วนที่ลงตัวเหมือนสาวหุ่นขยันเข้าฟิตเนส แล้วแต่งหน้าตาทาลิปสติกคมคาย วิศวกร Nissan พยายามทำทรงรถให้ฉีกกฎของความเป็นกล่องที่ทำให้รถซีดานดูน่าเบื่อ และยังได้ความลู่ลมค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน Cd=0.32 กลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือ..คนที่เป็นวัยรุ่นตอนปลายหรือวัยกลางคนตอนต้น มีแฟนแล้ว แต่ยังไม่มีลูก..ครับ

ส่วนภายในนั้น แม้ในเอกสารเปิดตัวจะบอกว่า “ทำให้ผู้โดยสารรู้สึกสบาย” แต่คงมีแต่แมวกับคนตัวผอมแหละครับที่รู้สึกแบบนั้น เพราะในขณะที่ตัวรถยาวแถวๆ 4.7 เมตร หรือประมาณ Civic รุ่นปัจจุบัน แต่พื้นที่ในรถนั้นโหลยโท่ยมากเพราะประตูแต่ละบานเล็ก หลังคาลาดเตี้ย คนเป็นโรคกลัวที่แคบไม่น่าจะอยากนั่งในรถรุ่นนี้ เทียบกับรถจากยุคเดียวกันในบ้านเรา รถขับเคลื่อนล้อหน้าอย่าง Bluebird ATTESA หรือ Honda Accord ตาเพชรให้บรรยากาศโล่งสบายกว่ากันคนละเรื่อง สมัยก่อนเขามีปรัชญาการออกแบบที่ว่า “Man Maximum, Machine Minimum” หรือการออกแบบให้กลไกต่างๆใช้พื้นที่น้อยเพื่อให้ผู้โดยสารมีพื้นที่กว้างสบาย แต่ A31 นี่คือ “Machine Maximum, Man Minimum” จริงๆครับ จะเปิดท้ายใส่ถุงกอล์ฟก็เจอยางอะไหล่วางขวางไว้ด้านข้างอีกเอ้า แต่ไอ้ความที่ตัวแคบหลังคาเตี้ยแต่กระโปรงหน้ายาว ก็ทำให้สามารถวางเครื่องหกสูบเรียงหรือ V8 ได้ ทำให้นักเลงรถชื่นชอบกันมาก เพราะเมืองไทยยุคนั้นซีดานญี่ปุ่นพิกัด 2.0 ลิตรไม่มีใครทำแบบขับหลังเลยครับ ถ้าจะเอาต้องไปพึ่งฝั่งยุโรป

...

แต่จุดเด่นอย่างหนึ่งของเขาที่ผมชอบคือ เบาะหน้าฝั่งคนนั่งที่เรียกว่า Partner Comfort Seat ครับ คือเบาะเอาใจคู่ขา ซึ่งตรงพนักพิงหลังสามารถปรับท่อนบนให้งอขึ้นได้ แผ่นหลังตอนล่างจะเอนให้สบายหน่อยแล้วแผ่นหลังตอนบนตั้งขึ้นหน่อยก็ได้ เซอร์วิสแบบสุดๆ แต่หลังจากนั้นมาก็ไม่เคยเห็นอุปกรณ์แบบนี้ใน Nissan ประเทศไทยเลยสักรุ่น

...

สำหรับทางด้านเทคนิค ในช่วงแรกที่เปิดตัว มีเครื่องยนต์ RB ตระกูล PLASMA สามแบบ (สมัยนั้น Toyota ก็เรียกเครื่องของเขาว่าตระกูลเลเซอร์ แต่สะกดเป็น Lasre-สรุปจะปล่อยพลังใส่กันอีกนานไหม) ทุกเครื่องเป็น 6 สูบเรียง ไล่พลังตั้งแต่ RB20E 12 วาล์วแคมชาฟท์เดี่ยว 125 แรงม้า ขึ้นมาอีกระดับเป็น RB20DE 24 วาล์วทวินแคม 155 แรงม้า และแรงสุดกับ RB20DET 24 วาล์วเทอร์โบ 205 แรงม้า แรงบิด 27.0 กก.ม. ซึ่งสมัยนั้นเครื่องตัวหลังนี้ก็จะวางใน Skyline GT-S ด้วย ถ้าผมจำไม่ผิด เครื่อง Skyline GT-S มี 215 แรงม้าและมีโบลวออฟวาล์วมาให้จากโรงงานเลย ส่วนระบบส่งกำลัง มีแบบเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 4 กับ 5 จังหวะ ซึ่งเกียร์อัตโนมัตินี้ควบคุมโดยระบบสมองกลทำงานประสานกันระหว่างเครื่องยนต์กับเกียร์ DUET-EA (DUal Engine Transmission Electronic Automatic) ให้การชิฟท์เกียร์นุ่มและตอบสนองไว

...

รถญี่ปุ่นที่พัฒนาก่อนประเทศจะฟองสบู่แตก มันจะมีอะไรล้ำๆมากครับที่บ้านเราไม่เคยรู้ (ส่วนหนึ่งเพราะราวๆปี 1979-1992 ประเทศไทยตั้งกำแพงภาษีรถนำเข้าสูงมากและรถประกอบในก็ไม่มีออปชั่นไฮเทคเพราะโลกการสื่อสารยังไม่เปิดกว้าง) อย่าง Cefiro นี้จะมีช่วงล่างสามสเป็คจากโรงงาน คือสเป็คธรรมดา สเป็คสปอร์ต และช่วงล่าง DUET-SS ซึ่งใช้โซนาร์ยิงไปตรวจสภาพถนนข้างหน้ารถแล้วเอาสัญญาณมาสั่งกล่องคุมวาล์วปรับความแข็ง/อ่อนของโช้คอัพ และยังปรับความแข็ง 3 ระดับได้จากสวิตช์บนแดชบอร์ดด้วย และนอกจากนี้ยังมีระบบเลี้ยว 4 ล้อ HICAS ให้เลือกสั่งได้อีกต่างหาก นี่ยังไม่นับของพื้นๆอย่างไฟหน้าเปิดปิดอัตโนมัติและแอร์ออโต้นะครับ

ตอนแรกผมเข้าใจว่า Cefiro คือรถที่ผลิตมาขายเฉพาะคนญี่ปุ่น แต่ความจริงมาทราบภายหลังครับว่า มีการผลิตส่งออกไปตุรกี ละตินอเมริกาและประเทศในแถบรอยต่อระหว่างเอเชียกับยุโรป มีเวอร์ชั่นพวงมาลัยซ้ายด้วย รถพวกนี้ก็จะมีชื่อการตลาดที่ต่างออกไป ไม่เรียกว่า Cefiro แต่เรียกว่า Nissan Laurel Altima แต่มักจะได้เครื่องยนต์สเป็คง่อยหน่อย 2.0 ลิตร สี่สูบ คาร์บิวเรเตอร์ ไม่ก็ RB24E ที่เอาเครื่อง RB20E มาขยายความจุอะไรพวกนี้

ทีนี้ ในไทยน่ะ..ตามที่คุณ J!MMY แห่ง Headlightmag แกเคยเล่าไว้ ทีมงานสยามกลการ ในยุคคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช อันมีกุนซือเป็น คุณประพัฒน์ เกตุมงคล ไปเจอรถรุ่นนี้ที่ญี่ปุ่น ผมก็ขอใช้ภาษาง่ายๆว่า ทีมไทยบอก “เห้ย ขอมาขายหน่อยดิ” แล้วญี่ปุ่นก็บอกว่า “ไม่ได้ รุ่นนี้เราไม่ได้ทำมาขายคนไทยว่ะ” ประมาณนั้น แต่ทีมไทยเรายุคนั้นไม่ธรรมดาครับ เราไปงัดกับฝั่งญี่ปุ่นจนทางญี่ปุ่นต้องยอมอนุมัติให้ตั้งไลน์ประกอบ Cefiro ขายในไทย ทีนี้ ตอนแรก ญี่ปุ่นก็จัดสเป็คมาให้แบบโคตรน่าตีมือ คือถ้าจำไม่ผิด เอาตัว Townride รุ่นล่าง เครื่อง 12 วาล์ว อุปกรณ์โล้นๆมา ก็ทีมสยามกลการนี่ล่ะครับกลับไปเจรจามาอีกจนได้อุปกรณ์ดีๆมาเยอะ แม้ว่าจะยังได้เครื่องรุ่นแรงน้อยสุดก็เถอะ

เวอร์ชั่นไทยเรา เปิดตัวในวันที่ 13 มีนาคมปี 1990 โดยใช้สโลแกนว่า “ลีลาแห่งอนาคต” บ้านเราได้เครื่อง 12 วาล์ว 121 แรงม้า ต่างจากตัวเลขฝั่งญี่ปุ่นอาจจะเพราะผมจำผิดไม่ก็หน่วยแรงม้าต่างหรือเป็นที่การปรับเครื่องให้เข้ากับน้ำมันในบ้านเราซึ่งอยู่ในช่วงที่น้ำมันยังมีสารตะกั่วอยู่ มีจุดเด่นในการขายเยอะแยะ เพราะเราได้ช่วงล่างโซนาร์ DUET-SS มาด้วยอย่างเหลือเชื่อพร้อมล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว ในช่วงเปิดตัวมีเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ ราคาตอนแรกๆทะลุล้านครับ บางคนด่ากราดเลย รถญี่ปุ่นบ้าอะไรวะ คันใหญ่กว่า Corona นิดเดียว

ราคายังกะ Crown คือ..คุณครับตอนนั้น Corona กับ Accord ตัวท้อปราคายังไม่แตะ 8 แสนบาทเลย Cefiro เล่นซะล้านบาท..ถ้าเป็นสมัยนี้ เด็กๆเขาจะพิมพ์ว่า “ราคานี้ พี่เก็บไว้เถอะครับ”

แต่มันไม่ใช่น่ะสิหลาน...รถแพงฉิบ แต่ทรงมันสวย อาว่าไอ้เรื่องขับหลังมันไม่ได้เกี่ยวหรอกสำหรับคนส่วนมากที่ซื้อเพราะรูปลักษณ์ของ Cefiro มันล้ำไปไกลกว่ารถในตลาดสมัยนั้นมาก Accord ตาเพชรที่ว่าสวยแล้วยังแพ้ทรงเสน่ห์หน้ายาวท้ายยาวหลังคาลาดเหมือนรถสปอร์ตของ Cefiro เลยด้วยซ้ำ ผู้คนก็แห่กันซื้อ สมัยนั้น ดารา คนดัง ก็แห่กันซื้อครับ เสี่ยตา ปัญญา นิรันด์กุล พี่แหม่มจินตหรา พี่โอ วรุฒ วรธรรม ก็ซื้อ จำได้ว่าสมัยนั้นมีช่วงหนึ่งพี่โอแกงานแสดงหนักมาก จนไปจอดแล้วหลับคาแยกไฟแดงโดยที่เครื่องยังติดอยู่ ใครมาเคาะแกก็ไม่ตื่นครับ พลเมืองดีเลยต้องทุบกระจกเปิดประตูปลุกแล้วหาคนมาช่วยขับรถให้แบบงงๆ

หลายคนเห็นหน้าตารถแล้วจะนึกว่า A31 ต้องแรงสะใจเหมือนจรวดสกั๊ดของซัดดัม (ช่วงนั้นมีสงครามอ่าวเปอร์เซียยุคจอร์จบุชคนพ่อด้วย) แต่พอลองทดสอบจริงๆ ก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ คุณเอ๋ย Cefiro น่ะตัวหนัก 1.33 ตันนะครับ แรงม้าก็มีแค่ 121 ตัวและยังใส่ล้อกว้าง 205/60R15 ภาระที่ต้องลากมันก็เลยเยอะ ถ้าวัดอัตราเร่งกัน Accord ตาเพชรหัวฉีดกินเรียบครับ และพูดถึงอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงก็กินดุเช่นกัน เพราะ 6 สูบ ขับหลัง ตัวหนัก คือสรุป..มีอะไรดีบ้างถามจริงถ้าไม่ได้ว่าเอามาโมดิฟาย ไม่แรง กินดุ อืด แต่ช่วงล่างดีในระดับคลาสของมัน อุปกรณ์ล้ำกว่าคนอื่นในคลาสของมัน..จริงๆแล้วมันเป็นเพราะหน้าตารถมันได้แหละครับ

ต่อมาในปี 1992 ปลายปี บ้านเราก็มีรุ่น 24 วาล์วเปิดตัวมา และหน้าตาของรุ่นนี้ก็ได้รับการอัปเดตตามเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ในขณะที่รุ่น 12 วาล์วยังใช้โฉมเดิม จุดที่เปลี่ยนภายนอกของรุ่น 24 วาล์วก็คือ ไฟหน้าจากแบบ Projector เลนส์ใส ก็เป็นแบบขุ่นแต่ขาวจัด กระจังหน้าจากเดิมมีสองช่อง ก็ลดเหลือช่องเดียวยาวต่อกัน แถบกันกระแทกด้านข้าง จากเดิมติดสูงเหนือร่องข้างลำตัว ก็ย้ายลงไปติดที่ร่องข้างลำตัวซะเลย ไฟท้ายเปลี่ยนจากเดิม เอาไฟเลี้ยวแบบมีร่องออก เป็นแบบเรียบๆดุๆสีแดงเข้ม ส่วนภายใน เปลี่ยนจากเบาะผ้ากระสอบ/หรือเบาะหนังกลับ เป็นเบาะหนังสีดำ เปลี่ยนพวงมาลัยเป็นแบบสี่ก้าน เพิ่มเบรก ABS ส่วนเครื่องยนต์ก็เอา RB20DE 24 วาล์วมาวาง ปรับจูนให้มีกำลัง 152 แรงม้า และจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ เป็นรถประกอบในประเทศรุ่นแรกที่เป็นออโต้ 5 ครับ

รถที่จำหน่ายในช่วงนี้ บางคันจะมีตุ่มพลาสติกสีเงินมุกเล็กๆแปะด้านข้าง อันที่จริงรถหลายรุ่นก็มีตุ่มที่ว่านี่ มันคือหมุดตกแต่งฉลองวาระ 40 ปีสยามกลการ

จากนั้นในปี 1994 ก็มีการไมเนอร์เชนจ์จริงจังอีกรอบ เปลี่ยนกระจังหน้าเป็นสีดำล้อมกรอบโครเมียม เปลี่ยนไฟท้ายเป็นสีแดงสด รายละเอียดส่วนอื่นจำไม่ได้ว่าเปลี่ยนปลีกย่อยอีกหรือไม่ แต่ยังมีเครื่อง 12 วาล์วให้เลือกจนวาระสุดท้ายครับ หลังจากนั้น Cefiro เจนเนอเรชั่น A32 ก็เปลี่ยนแนวไปเลย คือไปใช้แพลทฟอร์มร่วมกับ Nissan Maxima ที่ขายพวกฝรั่งตัวใหญ่ เปลี่ยนเป็นรถขับหน้า ซึ่งถึงแม้ว่าภายในจะดีขึ้นกว่า A31 มาก และยอดขายก็ไม่ได้น่าเกลียด แต่เรื่องความสวยงามภายนอก ไม่ดึงดูดผู้คนเหมือนเสน่ห์ของ A31

แต่ต่อให้เลิกขาย A31 ก็ไม่ตายง่ายๆครับ สิ่งที่ต้องทำใจหน่อยคือ Nissan ยุคนั้นมีจุดอ่อนเหมือนกัน อยากจะเอาแปรงบีบยาสีฟันผสมฟลูโอไรด์ไปสีบนตัวถังนักแล้วถามว่าทำไมมันผุเก่งจัง Toyota สิบชวบนี่ไม่เท่าไหร่ Nissan สิบชวบขนาดไม่ได้ใช้รถอยู่จังหวัดริมทะเล ยังผุแบบเอานิ้วโป้งทิ่มทะลุได้ Cefiro นี่ก็หลังคาผุเก่งเหลือเกิน แต่เด็กๆวัยรุ่นชื่นชอบกันแบบเลิกไม่ได้จริงๆ และมันคือรถที่มีส่วนในการสร้างสังคมมอเตอร์สปอร์ตในไทย นักดริฟท์หลายคนที่แก่แล้วในเวลานี้ ก็ใช้ A31 เป็นรถครู ประเทศเราไม่มีซีดานขับหลังญี่ปุ่นให้เลือกเยอะนัก มีแต่ A31 นี่ล่ะ เพราะราคามันถูกกว่า 200SX มากในตลาดมือสอง ห้องเครื่องยาวใหญ่ ยัดอะไรก็ได้ บ้านเรานี่จับวางเครื่อง Toyota จนญี่ปุ่นน้อยใจเลยด้วยซ้ำ

ประมาณปี 2005 เป็นช่วงที่สนามควอเตอร์ไมล์คลองห้าเพิ่งเปิดใหม่ๆ ผมไปแทบจะทุกศุกร์เลย ไม่มีวันไหนที่มาแล้วไม่เจอ Cefiro A31 คือจะกี่คันๆก็มีแต่ A31 จนอยากจะเปลี่ยนชื่อสนามเป็น Cefiro Drag Avenue เลยจบๆ รวมถึงตอนมีอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่มีคนเสียชีวิตจนทางสนามต้องปิดปรับปรุงนั้น รถที่ชนก็น่าจะ A31 เช่นกัน ถ้ามองตามความจริง มันก็มีทั้งแง่มุมที่ดีและน่ากลัว ขึ้นอยู่กับคนที่ควบคุมเครื่องจักรนั้น และปัจจัยรอบด้าน A31 เป็นรถที่ให้กำเนิดนักแข่งฝีมือดี และในขณะเดียวกันก็เป็นรถที่จบชีวิตนักซิ่งหลายคนเลยด้วย

เมื่อช่วง 2005-2015 น่าจะเป็นยุคที่ A31 แพร่หลายมากที่สุด เจอบนถนนได้บ่อยสุด ราคาเป็นมิตรสุด แต่เวลานั้นผ่านมานานแล้วครับ ทุกวันนี้ รถที่ทำมาครบๆและสภาพดีราคาสูงกว่าในอดีตมาก และกลายเป็นของที่คนซื้อและครอบครองได้ต้องมีฐานะดีในระดับหนึ่ง คนที่เคยซ่อม วางเครื่อง โมดิฟายรถอย่าง A31 บางคนก็ลาโลกนี้ไปก่อนพวกเราแล้ว คนที่เก่งและละเอียดโดยมีความรักรถจริงๆแล้วเชี่ยวชาญรถยุค 90s มีแต่จะน้อยลงทุกวันเพราะยุคนี้ คนไม่ได้ชอบรถที่เราต้องสับเกียร์เอง เขาไปซื้อรถที่มันขับตัวเองได้กันหมด ซึ่งก็ไม่แปลกหรอกครับ เมื่อเราแก่ บางทีนั่นก็คือแนวชีวิตเรา ผมเองเคยฝันอยากได้ A31 มาก และชื่นชมมันมาก แต่บางส่วนของชีวิตผมไม่ได้เหมาะกับมันเท่าไหร่ เคยขโมยของเพื่อนที่ออฟฟิศมาขับเล่น รู้สึกว่าเหมือนเดทผู้หญิงที่รู้จักแล้วยิ่งอยากออกห่าง ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ดี แค่รูปแบบชีวิตไม่น่าอยู่ด้วยกัน

ส่วนท่านที่ชื่นชอบและอยากลองบ้าง จะบอกว่า วันนี้เปิดดูมองหารถสภาพดีๆในราคาดีๆหายากแล้วครับ แต่ถ้าเอาแบบ 70-80% แล้วมาทำต่อ ก็พอได้อยู่ สมัยก่อนเราจะบอกว่าเน้นรถที่ไม่เคยโดนชน อย่างอื่นหาใส่เอาได้ สมัยนี้ อาจต้องยอมรถที่โดนชนมาบ้างแต่ไม่หนัก แต่ขอตัวถังในภาพรวม และภายในอยู่ในสภาพที่ดีแล้วมั้งครับ เพราะรถอายุ 30-35 ชวบจะไม่ชนเลยก็คงยาก และอะไหล่บางส่วนมันก็เริ่มหาไม่ได้แล้วด้วย แต่ถ้าคุณมีเงินเหลือ ก็ซื้อรถคันที่อุปกรณ์ครบสภาพดีแต่อาจจะชนมา แล้วก็ซื้ออีกคันที่ไม่โดนชนมา แล้วรวมร่างกันก็ได้ครับ

ถ้าใครอยากเอาความเดิมสภาพโชว์รูม แล้วไม่วางเครื่องใหม่ ไม่ดัดแปลงสภาพ ลองหาตัว 12 วาล์วเกียร์ธรรมดาดูครับ หายากหน่อย แต่อัตราทดเกียร์มันต่อเนื่องและตัวรถมันเบาสุด ขับไม่มันส์แต่ก็คล่องตัวแบบพึ่งพาได้ รถพวกนี้เบรกมือจะเป็นคันดึงแบบรถทั่วไป ไม่เหมือนรถเกียร์ออโต้ที่เหยียบด้วยเท้าแล้วปลดด้วยมือ ขอให้โชคดีในการหารถครับ และไม่ต้องห่วงเรื่องแต่งซิ่งหรือเท่ ด้วยความเป็นมรดกชาติทุกวันนี้ รถสภาพเดิมๆดีๆก็น่ามองเหลือๆแล้วครับ

Pan Paitoonpong