ในอดีตก่อนโลกนี้จะเกิดกระแสคลั่ง SUV หากพูดถึงรถอเนกประสงค์ที่ขนของและขนคนเดินทางด้วยความสบายดุจรถซีดาน ก็จะมีแต่รถทรงขนมปังก้อนที่อเมริกันเรียกว่าสเตชั่นแวก้อน ยุโรปชอบเรียกเอสเตท BMW เรียกว่าทัวร์ริ่ง ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมารถขนมปังนั้นขึ้นชื่อในเรื่องการใช้งาน ไม่ใช่เรื่องความเซ็กซี่ ไม่ค่อยมีหญิงที่ไหนเอื้อนเอ่ยว่าดูชายหนุ่มวัยกลางคนในรถสเตชั่นแวก้อนคันนั้นสิดูเซ็กซี่จัง แต่ในยุค 90s ตอนต้น Audi จับมือ Porsche สร้าง RS2 รถแวก้อนเครื่อง 5 สูบเทอร์โบ 315 แรงม้าในยุคที่รถกระบะโรงงาน 100 ม้าก็คุยข้ามภพแล้ว และยังตามมาด้วย RS4 Avant รถตัวแรงสุดของอนุกรมเลข 4 ดันมาในทรงขนมปัง ทำให้ Audi เหมือนมีความจับจดกับการทำให้รถใช้งานดูมีความเป็นวัยรุ่น กลายเป็นของเล่นคนรักความแรง มรดกเหล่านั้นตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้

...

เมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา Audi Thailand เขาเพิ่งเปิดตัว A5 Sportback/A5 Avant ตัวถังใหม่ขุมพลัง Plug-in Hybrid 367 แรงม้าไป หลายคนก็งงว่า ทำไมจู่ๆ A5 ซึ่งเดิมมีรุ่น Coupe กับ Sportback มีรุ่น Avant โผล่มาเฉย แล้ว A4 หายไปไหน ผมก็จะเล่าแค่ว่าในปี 2024 ท่านประธานคนเก่าที่เยอรมนีแกดำริว่า “ต่อไปนี้รถมีเครื่องยนต์จะให้ใช้เลขคี่ และรถ EV จากเดิมใช้ชื่อ e-tron ก็ให้เปลี่ยนมาใช้เลขคู่แทน” นั่นก็ทำให้ A4 และ A6 ต้องกลายเป็นรถ EV ส่วนสิ่งที่เคยเป็น A4 เดิมก็ถูกจับรวบกับ A5 เดิมและใช้ชื่อเดียวกันหมดก็คือ A5

แต่เรื่องไม่ได้จบแค่นั้น พอเปิดศักราชใหม่ ประธานคนใหม่มา เขาก็บอกว่า “ไม่เอา” ความคิดนี้ ก็เลยล้มล้างนโยบาย กลับไปใช้วิธีเรียกแบบเดิม แต่รถขนาดย่อมของค่ายอย่าง A5 นั้นเปิดตัวเปิดชื่อไปก่อนประธานคนใหม่จะมา มันก็เลยทำอะไรไม่ได้ และรถ A6 เปิดตัวใหม่ก็ได้ใช้ชื่อเดิมเพราะนายใหม่มองว่าอะไรที่มันเป็นตำนานก็อย่าไปล้มล้างมันโดยไม่จำเป็น ดังนั้นก่อนที่คุณจะพิมพ์ด่า PR ฝรั่งที่ Ingolstadt ก็เลยอยากเรียนแจ้งให้ทราบว่าบรรดาคนทำงานที่นั่นเขาก็ปวดหัวกับการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมานี้เหมือนกันแหละ แต่เอาน่า ลงท้าย Audi A5 Avant ก็ยังคงได้รับคำชมจากคนส่วนใหญ่ในเรื่องรูปทรงที่ดูสวยเปรียวแม้จะเป็นรถใช้งาน Audi makes wagon a sexy thing ไม่ได้เกินจริงไปมากนักหรอกครับ

...

ปัญหาสำหรับบางคนที่อาจจะไม่ได้อยากใช้เงินซื้อรถเยอะก็คือ A5 Avant ใหม่มีราคาอยู่ 3.499-3.999 ล้านบาท ซึ่งสำหรับคนที่อยากหารถสไตล์แวก้อนที่แรงๆเอาไว้ขับเที่ยวก็ได้ ขับเอามันส์ก็ได้ เอามาไว้เป็นรถคันที่สองของบ้านเสริมทัพกับ EV หรือรถไฮบริดที่ไว้ขับประจำวัน การใช้เงินสามสี่ล้านก็อาจจะเยอะไปนิด ผมจึงไปลองสำรวจราคาของ A4 Avant ตัวถัง B9 ดู พบว่าในตลาดมือสองนั้น ถ้าเราโฟกัสที่รุ่น B9 ตัวก่อนไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งทาง Meister Technik เอามาโชว์ตัวในไทยในเดือนพ.ย. 2017 และส่งมอบจริงในปี 2018 นั้น มีราคาเริ่มต้นในตลาดมือสองราว 1.35-1.45 ล้านบาทในรถรุ่นปีแรกๆ ใช่ครับมันอาจจะดูยังตึงถ้าเทียบกับ C-Class หรือ 3-Series ซาลูน แต่นี่ล่ะครับคุณ..การเป็นรถสเตชั่นแวก้อน มันได้ความแปลกกับจำนวนรถในตลาดที่น้อยมาทำให้ราคามือสองตกยากกว่ารถ 4 ประตูทั่วไป ไม่เชื่อคุณลองค้นข้อมูลดูเองก็ได้

...

...

สำหรับเจ้า Audi A4 Avant 45TFSI quattro S-line Black Edition นี้ รถโฉมก่อนและหลังไมเนอร์เชนจ์ มีจุดต่างกันมาก และอาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ราคามือสองของรถไมเนอร์เชนจ์ยังลอยเหนือ 2 ล้านเสียส่วนมาก (ผมไม่เจอคันไหนต่ำกว่านั้นเลย) ส่วนที่ต่างกันก็คือ
>กันชนหน้า กันชนหลัง >ไฟหน้า ไฟท้าย ไม่เหมือนกัน
>แก้มหน้าและแก้มหลัง>ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วเหมือนเดิมแต่คนละลาย>จอกลางทัชสกรีน 8 นิ้ว ปรับให้รองรับ Apple CarPlay/Android Auto
>หน้าปัดจอสีเต็ม Virtual Cockpit
>จุดสำคัญสุดคือ ปรับจากเครื่อง 2.0 เทอร์โบปกติ เป็นระบบ MHEV Mild-Hybrid 12V มีตัวปั่นไฟขับด้วยสายพาน มีแบตเตอรี่ลิเธียมไออ้อนขนาดเล็กมาก >เปลี่ยนระบบขับสี่จาก quattro เวอร์ชั่นเดิมเป็น quattro ULTRA (มีการตัดเหลือขับสองเวลาขับแบบเรื่อยๆ)

อย่างไรก็ตาม เซฟเงินส่วนต่างราว 7-9 แสนบาทไว้ก็ได้ถ้าคุณโอเคกับการหาจออัปเกรดเองหรือเอามือถือแปะกระจกเวลาใช้ Google Map แบบรถเก่า ในรสชาติของการขับขี่รถรุ่น B9 เทียบกับ B9.5 (ไมเนอร์เชนจ์) ไม่ได้ต่างกันมากขนาดนั้น อย่างน้อยการที่ไม่ต้องยุ่งกับระบบ MHEV ก็คือรถน่าจะกินน้ำมันมากกว่าแต่จุดซ่อมบำรุงก็น้อยลง ระบบขับสี่ก็มีความเสถียรตรงที่ไม่มีการตัดกลับไปมาระหว่างขับสองกับขับสี่ คุณได้ภายนอกตกแต่งด้วยชุดแต่ง S-Line Black Edition กระจังหน้าดำ ราวหลังคาดำ และล้ออัลลอย 19 นิ้วที่ลำพังลายเดิมก็สวยอยู่แล้ว ถึงสมัยนั้น Audi ไทยจะขาดพวก Driving Assistance หรือ ADAS แต่ถ้าเป็นเรื่องความเท่ภายนอก เขาจับของใส่ให้ครบมาก ในราคา 3.249 ล้านบาท ซึ่งต้องไม่ลืมว่านี่คือรถนำเข้าที่โดนภาษี Import tax ด้วยนะครับ ไม่ใช่รถประกอบในแบบของคู่แข่ง

ภายในของ Audi A4 Avant B9 นั้นด้วยความที่มาดของรถเน้นสปอร์ต ก็จะมาในโทนสีดำ เบาะหนัง Fine Nappa คุณภาพเยี่ยม เย็บเป็นลายข้าวหลามตัด ปรับได้สารพัดจุดด้วยไฟฟ้า และมาพร้อมกับระบบนวดสำหรับเบาะคู่หน้า แม้ว่ามันอาจจะนวดแรงกว่าแมวไม่มากนักก็ตาม เบาะหลังเอนไม่ได้ แต่ปรับพับมาข้างหน้าได้แบบเกือบราบ และแยกพับ 40:20:40 ได้เพื่อความอเนกประสงค์ในการขนของแบบต่างๆ ทีนี้ เรื่องเบาะ ถ้าคุณชอบรถเบาะนุ่มราวโซฟาแบบรถจีนตัวหรูๆ ลืม Audi ไปได้เลยครับ A4 นี่ให้เบาะกึ่งสปอร์ตที่ค่อนข้างแข็ง และตอนผมทดสอบมันเมื่อ 7 ปีก่อน จำได้ว่าต้องปรับอยู่นานมากกว่าจะได้ตำแหน่งที่คุมรถแม่นและสบายตัว แต่พอหาตำแหน่งได้ปุ๊บ มันจะเป็นรถที่ขับทางไกลแล้วสบายตัวมาก แต่เรื่องนี้มันแล้วแต่ขนาดตัวกับจุดอ่อนบนร่างกายของแต่ละคน

เรื่องพื้นที่ภายใน คุณต้องเข้าใจว่าแม้มันจะเป็นรถยาว 4.7 เมตร กว้างกว่า 1.8 เมตร แต่สไตล์การออกแบบรถของเยอรมันโดยเฉพาะพวกรถที่เครื่องวางตามยาวนั้น ไม่ได้เน้นพื้นที่ภายในโอ่โถงนะครับไม่ว่าจะเป็น 3-Series F30 หรือ C-Class W205 ในยุคเดียวกัน มีแต่ 3-Series GT นั่นล่ะที่เน้นเรื่องนี้ พื้นที่ใต้ฝากระโปรงท้าย 505 ลิตรไม่ต้องพับเบาะ (รุ่นไมเนอร์เชนจ์จะเหลือ 495 ลิตร) ก็ไม่ได้กว้างขนาดนั้น แต่ใส่ถุงกอล์ฟหรือกระเป๋าใหญ่ได้อยู่ อย่างไรก็ตามการที่รถมาในทรงเยอรมันจ๋า ทำให้ดูได้สัดส่วน และกระจกบานหลังที่ลาดคล้ายรถคูเป้ นี่คือส่วนผสมที่ทำให้หลายคนรักรถ Avant ของ Audi และเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณสามีจอมซนสามารถนำไปอ้างกับภรรยาได้ว่าเราซื้อรถครอบครัว ไม่ใช่รถซิ่ง

อุปกรณ์ติดรถ A4 Avant สเป็คไทยช่วงนั้น ถือว่าจัดมาให้ค่อนข้างเยอะ ถ้าไม่นับพวกอุปกรณ์ประเภท Adaptive Cruise Control หรือเรดาร์ต่างๆ และยังไม่มีกล้องรอบคัน ในปี 2017 ช่วงนั้นอุปกรณ์ของโลกรถยนต์ในไทยยังไม่สะพรั่งเท่าตอนนี้ และนั่นก็รวมถึงการต่อผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งในรถ B9 โฉมแรกยังไม่รองรับ Apple CarPlay/Android Auto และบลูทูธเจ้ากรรมของรถทดสอบผมในเวลานั้น ต่อ Android แล้วมีปัญหาค้างหรือโดนดีดทิ้งตลอด แต่พอต่อกับ iPhone6 หรือ 7 กลับผ่านฉลุย แกเป็นสาวก Apple หรือเปล่าเนี่ย แต่ในเชิงภาพลักษณ์ความซิ่ง ถือว่าให้มาครบ โดยเฉพาะพวงมาลัยท้ายตัดทรงสปอร์ตซึ่งสมัยนั้นผมงงมาก ขนาด A5 Coupe 252 แรงม้าล็อตแรกๆยังไม่ได้พวงมาลัยวงกลมปกติเลยนะครับ

สไตล์การออกแบบภายใน คุณมองปราดเดียวจะรู้สึกได้ทันทีว่า Honda Civic FE ตัวปัจจุบันเอาแรงบันดาลใจมาจากใคร แต่ผมว่าหลายคนชอบ เพราะมันเป็นภายในที่เกิดในยุคก่อนที่ Glass Cockpit/Everything on screen จะครอบงำ มันยังมีปุ่มให้กดใช้งานได้แบบตรงๆ แต่อะไรก็ตามที่ซับซ้อนยุ่งยาก ก็เลิกใช้ปุ่มแล้วไปใช้บริการจอแทน โดยเฉพาะการปรับค่าของเครื่องเสียง Bang & Olufsen ที่ให้มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เปิดระบบ Surround เข้าหน่อย โอ้โฮ เนียนแบบที่ผมให้ชนะเครื่องเสียงของฝั่งเบนซ์และบีเอ็มไปเลย เรื่องการออกแบบนี่ Audi ยุคหลังหรือแม้แต่ A5 Avant ตัวที่เพิ่งเผยโฉมไป ล่าสุดก็ยอมแพ้ต่อกระแสจอ ดังนั้นถ้าคุณเป็นมนุษย์ยุคอนาล็อก บางทีรถ B9 โฉมเก่านี้อาจจะเหมาะกับคุณมากกว่า และคุณอาจจะชอบความเรียบง่ายของหน้าปัดเข็มดั้งเดิมสไตล์ Audi ที่ดูมีเสน่ห์ อ่านค่าง่าย มีจอ MID เล็กๆพอเป็นพิธี

ในด้านขุมพลังการขับเคลื่อน A4 Avant 45TFSI จะใช้เครื่องยนต์ ที่มีรหัสของ Audi ว่า “CYR” แต่ถ้าเป็นชาว VAG จะเรียกว่าบล็อก EA888 เครื่อง 2.0 ลิตรเทอร์โบเบนซิน ระบบ TFSI มีทั้งหัวฉีดแบบพอร์ทเหมือนเครื่องทั่วไป เอาไว้ใช้งานในช่วงรอบต่ำคันเร่งเบา กับหัวฉีด Direct Injection เอาไว้ฉีดช่วงที่กดคันเร่งหนัก สร้างพลังได้ 252 แรงม้า แรงบิด 370 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์คลัตช์คู่ 7 จังหวะ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งเสน่ห์ของรถรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์อยู่ตรงที่มันเป็นระบบง่ายๆซื่อๆที่ยังไม่ต้องพ่วงแบตเตอรี่ มอเตอร์ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อก็จะมีการส่งกำลังไปทั้งล้อหน้าและหลังตลอดเวลา เรียกว่า Full-time AWD ได้เต็มปาก ง่ายต่อการดูแลรักษา และน่าจะง่ายต่อการโมดิฟายเพิ่มพลังมากกว่าด้วยเช่นกัน เครื่องยนต์ของรถ Volkswagen/Audi ที่เป็นเทอร์โบ ตอบสนองต่อการจูนได้ดี และมีชุดเพิ่มพลังให้อัปเกรดได้หลายสเตจตามกำลังทรัพย์การเพิ่มม้า 100 ตัวไม่ใช่เรื่องยากครับ

เมื่อปี 2018 ตอนที่ผมทดสอบรถคันนี้ให้ Headlightmag.com มันสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ราว 7-7.2 วินาที และเร่งแซง 80-120 ได้ภายใน 4.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 263 กม./ชม. ซึ่งด้วยตัวเลขอัตราเร่งแบบนี้ก็อาจจะมีแอคปั่นเอาไปโพสท์ขิงกับรถไฟฟ้าราคาหลักแสนป้ายแดงเอาได้ว่าตัวเลขแค่นี้ รถรุ่นนั้นรุ่นนี้ของเขาที่เขาเชียร์เขาชอบ (แต่มาโพสท์ปั่นเฉยๆตัวเองอาจไม่เคยขับด้วยซ้ำ) EV ใหม่ๆก็ทำได้ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อ A4 มือสองราคาล้านห้าหรอก ประเด็นก็คือ รถสันดาปไม่เหมือน EV อยู่อย่าง..มันซนกับเครื่องได้ และซนเพิ่มพลังได้มาก มากจนคุณกลับมาอีกที คุณอาจต้องใช้ Tesla ตัวท้อปๆมาโค่นมันก็ได้

จุดน่ารักของ A4 Avant คือมันไม่ใช่รถที่เอาดีแค่ทางตรงเพียงอย่างเดียว ในคราบเดิมๆสเป็คโรงงาน ทางไทยเขาก็จัดช่วงล่างแบบ Sport tune มาให้ โหลดเตี้ยกว่าปกติ สปริงและโช้คแข็งกว่าปกติ โดยรวมแล้ว ให้คุณนึกภาพถึงช่วงล่างยุโรปแบบมาตรฐานอย่างช่วงล่างของ C 300 e กับอีกฝั่งหนึ่งเป็นช่วงล่างของรถซิ่งญี่ปุ่นอย่าง WRX STi ช่วงล่างของ A4 Avant ในแบบ Sport tune นี้สไตรค์เข้าไปอยู่ตรงกลางเกือบพอดี ทำให้มันเป็นรถที่แฟนนั่ง พ่อแฟนนั่ง ก็ไม่ถึงกับบ่นมาก ใช้ขับทางไกลได้ และยังใช้ทิ้งโค้งเวลาขับเล่นในสนามแข่งวันอาทิตย์ได้ด้วยสปีดและความเสถียรแบบรถขับสี่ที่จูนมาดี มันเป็นรถที่ต้องการยางเลวๆหรือคนขับบ้าๆ ไม่ก็น้ำมันเครื่องบนพื้นแทร็คเท่านั้น คุณถึงจะขับให้มันหมุนได้ มันไม่ใช่รถโทนพยศที่บางคนชอบและสนุกกับการปราบพยศให้อยู่หมัด A4 Avant เป็นรถประเภทสไนเปอร์ เล็ง แล้วยิง เน้นแม่น งานจบไว กลับบ้านเร็ว โดยไม่พาตัวเองไปตาย

นี่คือสาเหตุที่ว่าทำไม A4 Avant มือสองอายุ 7 ปียังมีความน่าเล่นในราคาเท่า Camry ตัวเริ่มต้นป้ายแดง มันไม่ใช่รถที่ซื้อมาเพื่อใช้ทำงานทำเงิน ในกรณีนั้น Camry HEV จะเหมาะกว่า แต่นี่คือรถคันที่สองที่คุณซื้อหลังจากมี Camry เอาไว้กับเดินทางไกล ขับเล่นแบบกึ่งซิ่ง โมดิฟายเพิ่มความสวยความแรง เป็นรถที่ไม่ตะโกนบอกว่าตัวเองเจ๋งแต่ได้ใจเด็กหนุ่มๆตามมีตติ้งรถระดับหนึ่ง และยังเอื้ออำนวยให้คุณขับใช้งานได้ถ้าคุณต้องการทำแบบนั้นจริงๆ A4 252 แรงม้าไม่ใช่รถประหยัดน้ำมัน แต่ถ้าคุณใจเย็นๆ ไม่คิกดาวน์ ขับให้เหมือนแม่ยายอยู่ในรถ คุณจะงงว่ารถขับสี่ตลอดเวลาหนัก 1.575 ตันทำตัวเลข 15 กิโลเมตรต่อลิตรได้ไม่ยาก

ในความน่าเล่น ในเสน่ห์อันมีเอกลักษณ์ ในความสนุกบนความเซฟและมั่นใจ มีจุดที่คุณต้องเตรียมใจไว้บ้างเหมือนกัน คุณควรเข้าใจว่านี่คือรถยุโรปที่สร้างโดยประเทศที่คนส่วนมากใช้รถ 5 ปีก็เปลี่ยนคันใหม่ มันไม่ใช่ Toyota Hilux ที่คุณจะจอดกลางทะเลแล้วลากมาเป่าแห้งแล้ววิ่งใช้งานต่อได้ ลำพังแค่ใช้ทิ้งใช้ขว้างยังเสี่ยงเลย แต่ถ้าคุณดูแล A4 Avant ไม่ได้ มันก็ไม่มีรถยุโรปปี 2010up รุ่นไหนหรอกครับที่คุณจะดูแลไหว

ด้วยอายุรถราว 7 ปี และบางคันเป็นรถที่เจ้าของใช้งานประจำ มันจึงไม่แปลกถ้าจะเจอรถไมล์สะสมทะลุ 150,000 กิโลเมตร เครื่องยนต์ EA888 นี่ ต้องบอกว่ามันไม่ใช่เครื่องปลอดปัญหา แต่ยังดีตรงที่เมืองนอกเล่นกันเยอะ อะไหล่แท้อะไหล่เทียบจึงมีไม่ขาด ปั๊มน้ำและเสื้อหลังมีส่วนที่เป็นพลาสติกที่รั่วได้ตามอายุ (มีของเทียบ ไม่แพงให้เลือก) Magnetic หัวแคมชาฟท์ อันนี้ก็ชอบรั่ว โดยที่พอรั่วแล้วน้ำมันเครื่องมันจะดันมาตามสายไฟแล้วทำให้ระบบไฟ/กล่อง ECU รวนครับ) วิธีแก้คือต้องหาจุดเจาะรูให้น้ำมันที่รั่วไหลออกข้างนอกแทนที่จะไปดันในระบบไฟ วาล์วฮีตเตอร์ก็เช่นกัน น้ำในระบบจะรั่วและดันไปถึงสายไฟ/ระบบไฟและก่อปัญหาใหญ่ให้เสียเงินเยอะได้ โซ่ไทม์มิ่งในรถเกินแสนโล จะเริ่มมีอาการหย่อน ถ้าหย่อนมาก วาล์วโหม่งหัวลูกสูบ ให้เปิดเช็คตัวตึงโซ่หรือเปลี่ยนโซ่ถ้าอาการมันส่อ..ไม่ต้องรออาการหนักนะครับ บางทีถ้าไม่ลำบาก รถ 150,000 ไม่เคยเปลี่ยนโซ่ ก็ทำมันซะเถอะ

อาการกินน้ำมันเครื่องมีบ้าง 10,000 กิโลเมตรหาย 1 ลิตร สำหรับรถเทอร์โบผมมองว่าพอรับได้ครับ อย่างน้อยคุณเปิดเช็คทุก 1,000 กิโลเมตร ไม่ได้ลำบากอะไร ปั๊มน้ำ ถังพักน้ำ เคยมีเจ้าของเล่าให้ฟังเล่นๆว่าเปลี่ยนของแท้อยู่ไม่คอยทน เปลี่ยนใส่ของเทียบที่ราคาถูกกว่า กลับอยู่ได้นานกว่า อันนี้แล้วแต่คุณพิจารณาครับเพราะเจ้าของที่ผมพูดถึงเป็นคนประเภทมือช่าง รื้อรถเองได้ ซ่อมเองเป็น อ่างน้ำมันเครื่องพลาสติกก็ชอบรั่ว แต่เปลี่ยนใส่อ่างอะลูมิเนียมก็จบครับ

โดยรวมคือมันเป็นเครื่องที่ชอบรั่วนั่นรั่วนี่ แต่ก็โชคดีตรงที่ EA888 เป็นเครื่อง VAG ที่คนรู้จักมากที่สุดเครื่องหนึ่งในโลก งานงอกหน่อยแต่เปอร์เซ็นต์ทำจบสูงครับถ้ายอมจ่าย ช่วงล่าง Five Link ชิ้นส่วนลูกหมากจะค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าไม่อยากเบิกใหม่ อัดลูกหมากเอาได้ในงบ 6-7 พันบาทครับ และลูกหมากจุดนี้มักสึกเร็ว เพราะเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวรถ มันมีขนาดค่อนข้างเล็กไปนิด โดยรวมแล้ว A4 ไม่ได้มีอาการเรื้อนชนิดชวนขับไปทิ้งเหว คนใช้ยุโรปเก่ามาเยอะๆจะรับได้ แต่บางเรื่องต้องอธิบายให้คนที่ชินกับความทนของรถญี่ปุ่นเข้าใจไว้ก่อน อะไหล่บางชิ้น สามารถสอบถาม Meister Technik ผู้แทนจำหน่ายก่อนก็ได้ บางชิ้นก็ราคาแพงกว่าสั่งเองจากนอกไม่มาก แต่ความเสี่ยงต่ำกว่า

ถ้าใครสนใจ อยากขับรถสเตชั่นแวก้อนที่ขับแล้วดูไม่แก่ ใช้เดิมๆก็ดูซิ่ง หรือจะทำให้แรงและสวยขึ้นไปอีกก็สามารถทำได้ มีแนวโน้มที่ราคาขายต่อจะตึงดีกว่ารถตัวถังซีดาน และมีโอกาสเป็นรถหายากอีกแบบเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ Audi A4 Avant 45TFSI quattro นี้คือรถที่คุณน่าจะลองศึกษาหรือหาโอกาสลองขับดูครับ

Pan Paitoonpong