หากไม่นับรถกระบะซึ่งเป็นรถประเภทที่มีส่วนแบ่งตลาดใหญ่ที่สุดในประเทศ (แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะซบเซาลงบ้าง) รถอีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นดาร์ลิ่งของคนไทยก็คือรถกลุ่ม SUV/Crossover ขนาดกะทัดรัดในกลุ่มราคาล้านนิดๆลงมาถึงหลักแสน ซึ่งในเวทีนี้ จ้าวยุทธจักรด้านยอดจดก็คงต้องยกให้ Toyota ซึ่งทำ Yaris Cross มาได้ถูกจังหวะในราคาถูกจริตคนไทย แต่ในอีกฟากหนึ่งสำหรับคนที่เริ่มเบื่อรถญี่ปุ่น ต้องยอมรับว่า BYD Atto 3 เป็นตัวฟันยอด EV จีนในคลาสนี้มานานกว่าสองปี อย่างไรก็ตาม ในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคมนี้ จะมีคู่แข่งพิกัดเดียวกันจากชาติเดียวกันเพิ่มมาอีกสองรุ่น ในจังหวะที่ Atto 3 ยังรอการไมเนอร์เชนจ์อยู่ นี่อาจเป็นเวลาทองของ S5 และ S05

ใกล้เทศกาลขายรถแห่งปีสำหรับไตรมาสแรกเข้ามาแล้ว กับงาน Bangkok International Motor Show 2025 ซึ่งจะจัดในวันที่ 26 มีนาคม-6 เมษายน 2568 นี้ ไทยรัฐออนไลน์คอลัมน์รถวันอาทิตย์ก็ขอเขียนถึงรถที่กำลังอยู่ในกระแสครอสโอเวอร์กลุ่มราคาต่ำล้านสักหน่อย เพราะเป็นรถกลุ่มที่ชนชั้นกลางหาเช้ากินค่ำพอเอื้อมถึง คนที่ไม่สะดวกใจใช้ EV กับคนที่ไว้ใจแบรนด์เจ้าตลาด ก็จะมีสุดที่รักเป็นรถอย่าง Yaris Cross หรือ HR-V อยู่ในใจอยู่แล้ว แต่ในฝั่งคนที่ชอบการเสียบปลั๊กชาร์จล่ะ? ที่ผ่านมาเรามี Atto 3 จาก BYD EX5 จาก Geely ส่วนทาง AION ก็มีทั้ง Y Plus และ V และ Neta จับกลุ่มราคาถูกสุดด้วยรุ่น X ซึ่งแม้ในด้านยอดขายจะไม่มีใครล้มยักษ์บางนาได้ แต่เมื่อรวมประชากรรถถ่านฝั่งจีนทั้งหมดในปีที่ผ่านมา แล้วเทียบกับหน้าตาของรถบนท้องถนนไทยเมื่อปี 2022 คุณคงนึกออก ว่าแนวโน้มมันจะไปทางไหน

...

ในอีกราว 3 สัปดาห์ข้างหน้า ตลาดกลุ่มนี้ก็จะมีสมาชิกใหม่ MG ขายรถในไทยมาเกินทศวรรษ เคยมี ZS EV เป็นตัวทำตลาดรุ่นบุกเบิกของแท้ จะบอกว่า ZS EV นั้นคือรถที่ทำให้คนไทยเข้าถึง EV ได้มากกว่าที่รถญี่ปุ่นทุกค่ายเคยทำด้วยเรื่องราคาและรูปแบบของรถที่ผู้คนต้องการ แต่พอ ZS EV ไมเนอร์เชนจ์เลิกทำตลาดไป ก็ต้องมีตัวตายตัวแทน ซึ่งในครั้งนี้ MG ตัดสินใจแยก ZS ออกไปทำเฉพาะขุมพลัง Hybrid+ ซึ่งน่าจะตามมาในช่วงปลายปีนี้ ส่วนรุ่นที่เป็น EV พวกเขาหันไปใช้โครงสร้างจาก MG4 เอามาปรับบางส่วน แล้วก็กลายเป็น MG ES5 ซึ่งเมื่อมาขายในไทย จะใช้ชื่อว่า S5 เพื่อเลี่ยงไม่ให้สับสนกับ MG ES EV สเตชั่นแวก้อนของทางค่าย (ที่ออสเตรเลียก็จะใช้ชื่อเดียวกัน) ทาง MG จะประกอบ S5 ในไทย เช่นเดียวกับ MG4 รุ่นปกติทั้งหลาย

ส่วน Deepal นั้น ทำตลาดในไทยมาใกล้สองปีแล้ว แรกๆในปลายปี 2023 ก็โกยกำไรสร้างยอดได้ดีงามด้วย S07 ที่ทรงสวยและราคาถูกกว่า Honda CR-V มาก แต่ถ้าไม่นับ S07 แล้ว โมเดลอื่นของค่ายถือว่าไม่ประสบความสำเร็จด้านยอดขายเท่าที่ควร และยิ่งเมื่อการแข่งขันในฝั่ง EV รุนแรงขึ้น ประกอบกับเมื่อท้ายปี BYD ส่ง Sealion 7 มาสวนหมัดเข้าปลายคางด้วยสมรรถนะ ระบบชาร์จ อุปกรณ์และราคาที่ได้เปรียบ S05 ซึ่งเป็นรถพิกัดเล็กกว่า ก็คือแผนที่ ChangAn/Deepal จะใช้พยุงโมเมนตั้มของแบรนด์เอาไว้ ซึ่ง S05 นี้ไม่ใช่รถที่จู่ๆจะมาก็มา ผู้บริหารเคยกล่าวถึงเมื่อผมไปสัมภาษณ์ปลายปี 2023 ว่าจะมีการประกอบ SUV ขนาดเล็กกว่า S07 ในประเทศไทย เอาเป็นว่าอย่างน้อยในข้อนี้ พวกเขาก็ทำตามสัญญาได้สำเร็จ

...

ทั้ง MG S5 และ Deepal S05 (พวกพี่ชอบแทงหวยเลขเดียวกันหรือเปล่าครับ ดูจากการตั้งชื่อรุ่น) ต่างก็มาแข่งในกลุ่มตลาดเดียวกัน ก็คือมันจะมาแย่งเค้กจาก BYD Atto 3 ที่ขายมาพักใหญ่และเริ่มเสื่อมความน่าสนใจ..หรือไม่งั้นก็อาจจะโดน BYD ตีคืนช่วงกลางๆปีด้วย Atto 3 ไมเนอร์เชนจ์ในราคาที่คู่แข่งเห็นแล้วเอาไทลีนอลทั้งขวดกรอกปาก อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกธุรกิจของพี่จีน แต่เรามาดูกันก่อนว่าทั้ง S5 และ S05 มันต่างหรือเหมือนกันอย่างไร ผมเอารูปวางแบบเทียบกันให้บางมุมเผื่อท่านจะตัดสินใจง่ายขึ้นว่าใครเข้าตามากกว่า

เรื่องแรก ขนาดตัวรถ Deepal S05 กินเรียบครับ..แม้ว่าราคาและเซกเมนต์จะอยู่ในกลุ่มต่ำล้าน แต่ขนาดตัวรถที่ยาว 4,620 มม.และกว้าง 1,900 มม.นั้น ทำให้มันเป็นรถที่โตจนจะเท่ากับ CR-V Gen 5 และโตกว่า Subaru Forester รุ่นล้างสต็อคตัวปัจจุบัน แล้วเขายังออกแบบให้เอาล้อไปชิดมุมรถมากจนทำให้ฐานล้อยาวถึง 2,880 มม. ยาวกว่านี้อีกหน่อยเดียวก็จะไปเท่า Sealion 7 แล้ว ดังนั้นเราพอจะคาดเดาได้ครับว่าพื้นที่ในรถและพื้นที่เหยียดขาด้านหลัง S05 น่าจะดีเป็นอันดับต้นๆของกลุ่ม ในขณะที่ MG S5 นั้น ตัวยาวแค่ 4,476 มม. และกว้าง 1,849 มม. คือสั้นกว่า S05 ราวครึ่งไม้บรรทัด และแคบกว่าราว 5 เซนติเมตร ก็คือขนาดเกือบเท่า BYD Atto 3 นั่นเอง พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังของ S05 ก็โต 492 ลิตร มากกว่า MG อยู่ราว 30 ลิตร

...

เมื่อมาทรงนี้ ดูเหมือนว่าถ้าราคาไม่หนีกันมาก คนไทยอาจเทใจให้ Deepal มากกว่า เพราะเราชอบรถใหญ่ แต่ในความใหญ่นั้นมันก็จะมากับน้ำหนักตัว ซึ่ง MG จะเบากว่าอยู่ราว 60-100 กก. และจากวิธีการเซ็ตรถและเอกสารแจกสื่อฯ ก็มีแนวโน้มว่า MG จะจูนช่วงล่างมาแบบเอาใจคนชอบขับรถเร็ว การกระจายน้ำหนัก 50/50 และจุดศูนย์ถ่วงสูงจากพื้นแค่ 530 มม. ด้วยแบตเตอรี่แพ็คที่หนาแค่ 11 เซนติเมตร ผลิตโดย CATL ภายใต้คำสั่งและสเป็คจาก SAIC ส่วน Deepal นั้น พูดยากเพราะถ้าดูจากผลงานของ S07 ยังทำช่วงล่างมาไม่น่าประทับใจ จะบอกสนุกก็ไม่ใช่ จะว่าสบาย ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ แต่ร้านช่วงล่างแต่งชอบเพราะเป็นโอกาสในการสร้างรายได้

ต่อมา ในเรื่องของระบบขับเคลื่อน ถ้าว่ากันด้วยตัวเลขเท่าที่มีในมือ Deepal S05 ก็ดูจะได้เปรียบอีกเช่นกัน ไม่ใช่แค่เพราะแรงม้า..แต่เพราะมันมีทั้งเวอร์ชั่น EV และเวอร์ชั่น REEV โดยที่มีข่าวว่าคนไทยจะได้เลือกใช้ทั้งสองรุ่น ตามศรัทธาไปเลย REEV ย่อมาจาก Range-Extended Electric Vehicle คือเป็นรถ EV นั่นล่ะ แต่แบกเครื่องยนต์ไว้ด้วย โดยเครื่องยนต์นี้จะมีหน้าที่ปั่นไฟเพียงอย่างเดียว ไม่มีการส่งกำลังไปขับเคลื่อนล้อเลย..ก็ให้นึกถึง e-Power ของ Nissan Kicks ไว้ครับ แต่เพิ่มความจุแบตเตอรี่เข้าไป 12 เท่า แล้วก็มีปลั๊กให้เสียบชาร์จไฟได้

...

Deepal S05 รุ่น EV จะใช้มอเตอร์วางหลัง ขับเคลื่อนล้อหลัง 238 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ความจุไฟ 56.12kWh (ในช่วงหลังๆสื่อฯออสเตรเลียเขียนว่ามีสเป็ค 68kWh ด้วย) รองรับการชาร์จ DC 170kW แต่ในราคานี้น่าจะยังไม่ได้ระบบไฟ 800V ดังนั้นถ้าเอามาชาร์จกับแท่นชาร์จ 200 แอมป์มันก็จะได้สูงสุด 80kWh นั่นล่ะครับ ส่วนระบบ AC รองรับ 7kW และถ้าเป็นรุ่น REEV จะหดความจุแบตเตอรี่ลงเหลือแค่ 27.3kWh และปรับระบบชาร์จไวลดสเป็คลง ไม่มีการแจ้งว่าเท่าไหร่ แต่ดูจากการที่เติมแบต 30-80% ใช้เวลาราว 20 นาที ความเร็วในการชาร์จ DC ของรุ่นนี้น่าจะไม่เกิน 50kWh หรอกครับ ตัวมอเตอร์ของรุ่น REEV ก็ลดพลังลงเหลือ 218 แรงม้า แต่เปิดฝากระโปรงหน้าจะเจอเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 98 แรงม้าทำหน้าที่ปั่นไฟอยู่ ซึ่ง Deepal เคลมว่า ถ้าน้ำมันเต็ม ไฟเต็ม จะวิ่ง (แบบประหยัดๆ) ได้ไกล 1,234 กิโลเมตรเลยทีเดียว

ในประเทศจีน รถ S05 เวอร์ชั่น EV จะมีราคาถูกกว่าราว 3% เทียบอุปกรณ์เท่ากัน ดังนั้นถ้ามาไทย เดาได้เลยว่ารุ่น REEV น่าจะแพงกว่าเช่นเดียวกัน เพราะไม่มีเกณฑ์สรรพสามิตข้อไหนที่จะช่วยชดให้รถมีเครื่องราคาถูกกว่ารถไฟฟ้าล้วนได้ และสื่อฯออสซี่ยังบอกด้วยว่า Deepal พัฒนารถรุ่นนี้มารองรับ Dual-motor ซึ่งจะทำให้ S05 สามารถมีรุ่น Performance ม้าเกือบสี่ร้อยตัวให้เลือกในอนาคตได้ (แม้ว่าดูจะไม่จำเป็นนักสำหรับตลาดไทยก็ตาม)

ส่วน MG S5 นั้น มาขุมพลังเดียว แต่มีแบตเตอรี่สองพิกัด ตัวมอเตอร์ 170 แรงม้า มีแรงบิด 250 นิวตันเมตร มาจากไหน? ก็น่าจะยืมของ MG4 นี่ละครับมาใช้ แม้แต่แบตเตอรี่ ก็มีความจุ 49.2kWh กับ 62.2kWh ซึ่งก็ใกล้เคียงกันกับที่อยู่ใน MG4 และ MG4 Long Range ในไทยอีก เมื่อถึงเวลา ตัว Long Range ของ MG S5 อาจจะใช้แบตเตอรี่ 64kWh จาก MG4 Long Range ไปเลยก็ได้ไม่ต้องเหมือนจีน ดังนั้นมันคือการแชร์พาร์ทจากรถที่ผลิตอยู่แล้วมาใช้นั่นเอง แต่ถ้าพูดถึงความแรง ตามสเป็คแล้ว 0-100 MG ยังแพ้ Deepal อยู่ ตามแรงม้าครับ MG ตอก 8 วินาที ส่วน Deepal S05 EV ทำได้ 7.3 และ S05 REEV ทำได้ 7.9 วินาที MG ทำความเร็วสูงสุดได้ 170 ในขณะที่ Deepal ทำได้ 180 กม./ชม. ระบบการชาร์จ รุ่นแบตเตอรี่เล็กของ MG รองรับ DC 88kW ในขณะที่รุ่น Long Range รองรับ 140kW และทั้งคู่รองรับ AC 6.6kW

ในไทยนั้นต้องลุ้นว่า Deepal S05 จะเลือกใช้แบตเตอรี่พิกัดใด ถ้าใช้ 56kWh ทาง MG ก็จะมีแต้มต่อในเรื่องพิสัยการวิ่งที่ทะลุ 500 กม. (NEDC) จากแบตเตอรี่ที่โตกว่าเล็กน้อยและน้ำหนักตัวรถที่เบากว่า

สำหรับภายใน อุปกรณ์ และลูกเล่น ก็จับตลาดลูกค้าคนละกลุ่มกันชัดเจน ทั้งคู่มีความเหมือนกันตรงที่ใช้ดีไซน์แบบ Minimalist โดยมีจอกลางขนาดใหญ่ให้ใช้ และในรุ่นท้อปมีหลังคา Panoramic ทั้งคู่เป็นรถที่นั่งสองแถว แต่จากจุดนี้ไป แต่ละค่ายจะเริ่มเดินตามแนวของตัวเอง

MG จะมีภายในแบบเอาใจคนเน้นขับรถ จากการที่ยังคงแผงมาตรวัดหลังพวงมาลัยเอาไว้ แต่ MG ก็ฟังสิ่งที่ลูกค้าตัวจริงวิจารณ์ MG4 ELECTRIC มาพอสมควร หน้าตาของแผงมาตรวัดจึงดูมีสง่าราศีขึ้น จอกลางขยับขนาดจาก 12 นิ้วพรวดเดียวไปเป็น 15.6 นิ้ว เปลี่ยนวิธีการเปลี่ยนเกียร์จากปุ่มหมุนเป็นก้านที่คอพวงมาลัยแทน แต่ในภาพรวม MG ก็ยังคงดีไซน์หลักของทางค่ายเอาไว้เหนียวแน่น ไม่ได้เน้นสีสันหรือความหรู หรือวัสดุนุ่มมากนัก มือจับเปิดประตูก็อยู่ในตำแหน่งที่คนทั่วไปที่มาจากรถสันดาปจะชิน เบาะนั่งในรุ่นท้อปจะมีระบบเป่าลมเย็น เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแยกสองโซน และอุปกรณ์ความปลอดภัยที่น่าจะเท่า MG4 ตัวท้อปหรือเหนือกว่า และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากล้องรอบคัน 360 องศานั้นจะเลือกใช้กล้องที่ชัดกว่า MG4 เป็นอยู่ปัจจุบัน และระบบการควบคุม การขับขี่น่าจะมีพื้นฐานมาจาก MG4 และคาดว่าจะมีระบบ One-Pedal Drive ให้เลือกด้วย

Deepal S05 จะมาในแนวหรูเหมือนถอดแบบมาจากรุ่นพี่ จอกลางมีขนาด 15.4 นิ้ว เล็กกว่า MG เพียงเล็กน้อย ไม่มีหน้าปัดหลังพวงมาลัย แต่ชดเชยให้ด้วยการติดตั้ง Head-Up Display มา พวงมาลัยสามก้าน ทรงสปอร์ตขึ้นกว่า S07 แต่การบังคับควบคุม น่าจะทำผ่านจอกลางเป็นหลัก ชิพเซ็ตที่ใช้ในรถเป็น Qualcomm มังกรสติแตก SnapDragon 8155 ซึ่งพอจะคาดเดาได้ว่า คุณภาพของกล้อง การตอบสนองของจอ น่าจะดีและไวกว่าของ MG (เดาล้วนๆจากประสบการณ์ที่เคยลองรถของทั้งสองค่ายในไทยมานะครับ) ระบบการสั่งการ น่าจะคล้ายกับวิธีการใช้จอของ S07 และมีกล้องในรถที่สามารถบันทึกภาพในรถได้ มีฮาร์ดดิสก์เก็บรูปและวิดิโอ ตัวเบาะฝั่งคนนั่งปรับเอนนอนราบและมีที่รองขาโผล่ขึ้นมาได้ มีการพยายามใช้วัสดุหนัง (ไม่แน่ใจว่าหนังแท้หรือสังเคราะห์) หุ้มหลายจุดให้ดูมีความหรูหรายิ่งขึ้น เครื่องเสียงในรุ่นท้อปมี 14 ลำโพง ในขณะที่รุ่นท้อปของ MG มี 6 ลำโพง
ดังนั้นเมื่อมองจากสเป็คคร่าวๆ ว่ากันที่เฉพาะตัวรถ Deepal S05 ดูจะชนะยกแรกบนกระดาษ ด้วยความที่ ใหญ่กว่า+แรงกว่า+ดูหรูกว่า แต่ยังคงต้องรอการทดสอบขับว่าจะเป็นอย่างไรในสเป็คไทย ช่วงล่างจะปรับให้ต่างจากสเป็คจีนหรือไม่ในทั้งสองรุ่น ดูเกมในขั้นต้นแล้ว รู้สึกว่า MG น่าจะเจอกระดูกชิ้นใหญ่ที่ Deepal วางเอาไว้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังเหลือไม่ได้เคาะก็คือราคา

ที่ผ่านมา เราจะเห็นการเปิดตัว MG4 รุ่นย่อยใหม่ Long Range D และการเสนอแคมเปญราคาพิเศษบางแคมเปญ บางท่านก็มองว่าอาจจะเป็นการปรับกลยุทธ์เตรียมเอาไว้รับการมาของ MG S5 ก็เป็นได้ แต่จากข่าวใน AutolifeThailand.tv ที่แจ้งว่า Deepal S05 รุ่นเริ่มต้น ราคาน่าจะ 8xx,000 บาท และรุ่นท้อปอาจจะไม่ข้ามล้าน ตรงนั้นก็น่าสนใจว่า MG จะวางหมากราคาอย่างไร ในเมื่อ MG4 Long Range V ในปัจจุบันก็แปดแสนปลายเข้าไปแล้ว S5 มาถึง ด้วยตัวรถที่โตกว่า มีหลังคากระจก อุปกรณ์ในรถที่ครบครันกว่า จะเปิดราคาแบบ Official ให้ถูกกว่า MG4 Long Range ได้อย่างไร และถ้ามันถูกกว่า MG4 ไม่ได้ Deepal ซึ่งมีคุณสมบัติโดยรวมดูเข้าตากรรมการมากกว่า ก็อาจมีลุ้นที่จะสร้างยอดขายได้สูงกว่า

สิ่งหนึ่งที่ลูกค้า MG จำนวนไม่น้อยเคยเล่าให้ผมฟัง เป็นไปในทางเดียวกัน กลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่ไม่ได้ซื้อรถเพราะลิสต์อุปกรณ์ แต่ซื้อเพราะการขับขี่และวิธีเซ็ตช่วงล่าง ซึ่งต้องยอมรับว่าในค่าตัวไล่เลี่ยกัน ในบรรดารถจีน หาใครมากิน MG ในเรื่องนี้ยาก กับอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้สนเรื่องสมรรถนะหรือสเป็คมากนัก แต่ตัดสินใจเลือก MG เพราะเห็นว่าอยู่ในประเทศไทยมานานมากแล้ว ไม่น่าจะล้มหายตายจากไปง่ายๆ แบรนด์ใหม่ๆอาจเข้ามาเยอะจริงแต่ยังไม่ไว้ใจในเรื่องของอนาคต ซึ่งสิ่งเหล่านี้บวกกับนโยบาย LifeTime Warranty แบตเตอรี่ (คำว่าตลอดอายุรถที่ต้องบอกว่าหมายถึง จนกว่ารถรุ่นนั้นจะเลิกผลิต และยังมีเงื่อนไขยิบย่อยที่ควรอ่านก่อนอีก) อย่างน้อยหลายคนก็เชื่อว่า MG มา ไม่ได้มาเพื่อโกยเงินแล้วปิดตัวหนีหายไป

ถ้าวัดที่สเป็ค เอารุ่นท้อปมาเทียบกันตรงๆลูกค้ากลุ่มนี้น่าจะไป Deepal แบบไม่ต้องสงสัย ดังนั้น การกำหนดรุ่นย่อยและราคาที่สามารถแข่งขันได้ อาจเป็นกุญแจสู่ความอยู่รอดของ MG ตัวท้อปเราอาจจะไม่ชนะ แต่ราคาเริ่มต้นตัวล่างที่ดึงดูดใจ ก็ช่วยดันยอดขายได้เหมือนกัน ไม่แข่งหรู ก็ต้องแข่งคุ้มราคาครับ ในวินาทีนี้ นึกถึงตอน MG4 เปิดตัวราคาแรก แล้วพอ BYD เปิดตัว Dolphin เป็นอย่างไร แล้วหลังจากมีล็อตราคาพิเศษรุ่น D 599,000 บาท เป็นอย่างไร นั่นล่ะครับ ผู้บริโภคอาจไม่ได้ต้องการให้คุณทำให้ทุกสิ่งอย่าง แต่ในเม็ดเงินที่จ่าย คุณต้องตอบพวกเขาได้ว่าจ่ายไปเพื่ออะไร และลูกค้าจำนวนมาก เลือกเชื่อในสิ่งที่สัมผัสได้ ณ วันก่อนซื้อ อย่าคาดหวังว่าขายรถ 170 ม้าในราคาเท่ารถ 238 ม้าแล้วคนจะยอมเชื่อเพราะพลังแบรนด์ หรือเพราะอยู่มานานกว่า เพราะถ้าอยู่มานานกว่าแปลว่าคนเชื่อมากกว่า Dolphin ก็คงไม่ได้ขายดีกว่า MG4

ก็ต้องมารอดูกันว่าจะเป็นอย่างไร คาดว่าไม่เกิน 25 มีนาคมนี้ คุณผู้อ่านจะได้ทราบราคาของทั้งคู่ครับ


Pan Paitoonpong