10 ดาวสามแฉกในดวงใจตอนที่สองนี้ อันที่จริงอยากจะเปลี่ยนชื่อตอนเป็น C-Class ในดวงใจ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมีรถที่ไม่ใช่ C-Class โผล่มาหนึ่งคัน ทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อผมพยายามเขียนถึงรถเบนซ์ที่มีจุดเด่นในตัวของมัน แต่ก็ต้องเป็นรถที่คนทั่วไปสามารถซื้อหาได้บ้างในหลายรุ่น และ C-Class นั้นก็จัดได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังของเบนซ์ที่คนไม่ต้องรวยล้นฟ้าก็เอื้อมถึง

แต่สำหรับคนที่กลัวจะเบื่อบทความนี้ว่ารถธรรมดาเกินไป C บางคันในนี้ราคาเหยียบสิบล้านนะครับบอกไว้ก่อน เรื่องของเรื่องก็คือ ผมเองค่อนข้างเบื่อบทความที่เขียนถึงรถในฝัน..ที่เป็นในฝันจริงๆ หมายความว่ารถบางรุ่นต่อให้คุณมีเงินในบัญชีร้อยล้านก็ซื้อไม่ได้ รถศักดิ์สิทธิ์แบบนั้นอาจเป็นรถที่ผมนับถืออยู่ “ในสมอง” เพราะรู้ว่ามันเจ๋ง มันดีอย่างไร แต่ไม่ค่อยมีประโยชน์นักหากไม่มีเพื่อนๆ คนใดสามารถหาลองขับจับมาเป็นของตัวเอง หรือแม้แต่ได้สัมผัสลูบไล้โดยไม่ต้องถูกกั้นด้วยลูกกรงเหล็กเช่นในพิพิธภัณฑ์ รถพวกนี้คือรถที่ผมเคยขับเองมาหมดแล้ว ดังนั้นจึงสามารถใช้ทั้งอารมณ์และประสบการณ์ในการเล่าให้พวกคุณฟังว่าทำไม รถพวกนี้จึงเป็นเบนซ์ในดวงใจผมได้ จะมีรถรุ่นไหนบ้าง ลองมาดูกันครับ

...


C 250 Coupe Edition 1 (C204)
รถรุ่นนี้เผยโฉมในปี 2011 และบ้านเราเอาเข้ามาขายในช่วงกลางปี 2012
ตอนที่ภาคกลางกำลังทยอยฟื้นตัวจากอุทกภัยครั้งใหญ่สุดในรอบหลายสิบปี
และช่วงนั้นก็เป็นยุคที่เบนซ์หลายรุ่นดูจะสับสนเรื่องการจูนช่วงล่างจูนรถตัวเองไป
พักใหญ่ E-Class สมัยนั้นถ้าเห็นเป็นรุ่น Elegance โช้คธรรมดาล่ะก็หาความสนุกในการขับไม่ได้เลย แต่แล้วก็มีรถอย่าง C 250 Coupe นี้โผล่มา แน่นอนว่าหน้าตาไม่ได้พราวเสน่ห์มากเท่า E-Class Coupe แต่มันมีความดูล่ำๆ บึกๆ หล่อไม่เต็มร้อยแต่ดูรวมๆ แล้วน่าพกกลับบ้านเป็นบ้า เหมือน Daniel Craig ในช่วงกำลังบ้าฟิตเนส

แล้วราคาของเจ้านี่ในสมัยนั้นคือ 4.29 ล้านบาท แล้วตอนหลังท่านประธานเบนซ์แกอยากลดราคามาถล่มพวกเกรย์ลดเยอะมาก..เหลือ 4.099 ล้านบาท ราคานี้ในปัจจุบันคุณจะได้รหัส 43 AMG แต่สมัยนั้นคุณได้ 250 4 สูบ 1.8 ลิตรเทอร์โบ 204 แรงม้านะ แต่อย่าปล่อยให้ความเครื่องเล็กพลังน้อยราคาแพงมากวนคุณ ก็ช่วยไม่ได้

สมัยนั้นเบนซ์ไม่ได้เป็นรถที่ปราณีเรื่องราคาอยู่แล้ว และในขณะนี้ C 250 Coupe แม้จะหายากหน่อยในตลาดมือสองเมื่อเทียบกับรุ่น 180 แต่ก็คุ้มค่าที่จะหา ราคาลงมาจากตอนป้ายแดงเยอะแล้ว และเป็นรถที่ผมชื่นชอบทั้งในการออกแบบที่ผมมองว่า “เบนซ์ยุคผมมันต้องแบบนี้” อย่าสวยสะโอดเป็นนางแบบ ต้องสวยแบบผู้ชายหน้าบี้นิดๆ แต่หุ่นดี

ภายใน ไม่ใช้ลายไม้ ไม่ใช้พลาสติกด้านๆ ที่ดูด้อยค่า แต่เป็นพลาสติกแข็งสีขาวงาช้างซึ่งดูแปลกตาไปอีกแบบ คอนโซลยังเต็มไปด้วยปุ่มสไตล์รถยุคนั้น จอกลางยังไม่ได้ทันสมัยทำอะไรได้มากมายแบบรถยุคนี้ หน้าปัดยังไม่ใช่จอสีลูกกวาด แต่สะอาดตา มองเห็นง่าย ที่สำคัญคือ แม้อัตราเร่งจะไม่ได้แรงแบบระเบิด อันที่จริงต้องบอกว่าไม่แรงเลยล่ะเพราะ 0-120 แทบจะโดนป้าผมกระบังใน Camry Hybrid เร่งบล็อกทางแซงเอาได้

...

แต่ส่วนผสมของช่วงล่าง พวงมาลัย เครื่องและการทำงานของเกียร์ ได้รถที่ขับได้กลมกล่อมมาก ช่วงล่างไม่สะเทือนอย่างไร้เหตุผลแบบเบนซ์รุ่นใหม่ๆ ซับแรงกระแทกได้ดี แต่วิ่ง 200 แล้วนิ่งสมเป็นลูกหลานสตุตการ์ทที่พ่อแม่พบรักกันหน้าโรงงาน ปฏิสนธิบนเอาโต้บาห์นแล้วคลอดที่สายพานการผลิตเบนซ์ พวงมาลัยเบาสบายที่ความเร็วต่ำแต่แน่นมือดีที่ความเร็วสูง ละเมียดชนิดที่ผมขับเบนซ์รุ่นใหม่ๆ แล้วได้แต่คิดถึงเบนซ์ในแบบที่เป็นเบนซ์ ไม่ได้ผันตัวพยายามเอาใจวัยรุ่นแบบ BMW แต่ถ้าคุณไม่ได้เน้นเรื่องแรง C180 Coupe ก็มีให้เลือกนะครับในตลาดมือสอง หาง่ายกว่า และถูกกว่าเยอะ

...

Mercedes-AMG C 43 (Sedan & Coupe)
ถ้าไม่มีรถรหัส 43 อยู่ในลิสต์เบนซ์ในดวงใจ ให้รู้ไว้เลยว่าคนเขียนบทความไม่ใช่ผมแน่นอน เพราะนี่คือรถ Beginner สำหรับเด็กรวยที่จะเข้าวงการยุโรปซิ่งในแบบสำเร็จรูป และเป็นรถ AMG Car รุ่นนึงที่บริษัทแม่ยอมให้มีการประกอบนอกประเทศเยอรมนี

ความน่าเล่นของรถอยู่ที่คุณได้เครื่อง V6 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์ 9G-Tronic พลังม้าตั้งแต่ 367-390 แรงม้าแล้วแต่ว่าคุณเลือกโฉมแรกหรือโฉมไมเนอร์เชนจ์ แรงแน่นอน ขับสนุก มีหนทางโมดิฟายเพิ่มความแรงต่อได้ หน้าตารถก็ยังดูใหม่ อุปกรณ์ติดรถก็มาในแบบ AMG คันละ 4 ล้าน (รุ่นนำเข้าตัวแรกทะลุ 5 ล้านด้วยซ้ำ) ถ้าเอาม้าระดับนี้ ของระดับนี้ ไปขายในปี 2011 เบนซ์รุ่นนี้คงราคาแปดล้านได้ คุณสามารถเลือกรุ่นต่างๆ ตามรสนิยมการขับได้ หากชอบรถคูเป้ที่ขับใช้งานสบาย

...

ภายในอาจดูไม่ล้ำแต่สวย ให้เลือกรถโฉม 367 แรงม้า เพราะราคามือสองถูกกว่า
และจูนช่วงล่างมาให้ขับสบายกว่า เวลาทำท็อปสปีดบนทางด่วนสไตล์ไทย บอดี้รถนิ่งกว่า Coupe ตัวไมเนอร์เชนจ์อีก แต่แน่นอนว่าการคุมบอดี้ในโค้งย่อมสู้รถรุ่นใหม่ไม่ได้ และภายใต้ความเร็วไม่เกิน 140 คุณอาจโดนรถปลั๊กอินร่วมค่ายบางรุ่นไล่ฟัดเอาได้ ส่วนคนที่ชอบแรงเยอะ หน้าปัดจอสีลูกกวาด แน่นอนว่ารุ่นไมเนอร์เชนจ์ที่ปรับขนาดเทอร์โบเพิ่มพลังเป็น 390 แรงม้านั้นแซ่บกว่าแบบรู้สึกได้หลังหมดเกียร์ 3 แต่ถ้าชอบของแปลก ผมแนะนำให้เลือกรุ่น C 43 Sedan ซึ่งเวลาวิ่งมาไกลๆ แล้วนึกว่า C 220 d AMG Dynamic มาดแห่งความเป็นหมาป่าใจโฉดสวมหน้ากากลูกแกะ ที่เวลาจะวัดกับใครเราจะไม่ได้เอาแค่ 0-100 มาคุย แต่เราจะคุยว่า 0-200 ภายใน 16.8 วินาที ที่ตลกก็คือ เวลาลองจับอัตราเร่งหลายต่อหลายครั้งผมพบว่ามันเร็วกว่า C 43 Coupe ด้วยซ้ำไปแม้จะเพียงเสี้ยววิก็ตาม ช่วงล่างเซตมาสะเทือนน้อยกว่ารุ่นคูเป้ แต่ลักษณะการเกาะถนนดีเท่ากัน เป็นรถติดโลโก้เบนซ์ที่ให้ความสนุก ให้ความหรู คุ้มกับราคา 4.31 ล้านบาทในสมัยนั้น โดยที่เวลาขับไปจีบเด็ก พ่อแม่เด็กมองรถแล้วเขาก็นึกว่าเป็น C-Class ธรรมดา ไม่ใช่รถซิ่งแต่ประการใด ผมชอบรถแบบนี้ครับ แต่การขับ C43 นั้นจำไว้นิดว่า เวลาท้ายกวาด อย่าบี้คันเร่งพร้อมเคาน์เตอร์พวงมาลัยสวนแรงๆ นะครับ ไม่งั้นจะได้เห็นหมาป่าดีดเป็นม้าพยศเลยทีเดียว

AMG C 63 S Coupe (C205)
เมื่อแรกเห็นมันในพิทที่สนามช้าง บุรีรัมย์ ผมไม่ได้สบตามันแล้วพบเสน่ห์แบบในทันใด แน่ล่ะ สเปกของเจ้าหล่อนนั้นดูร้ายกาจด้วยพลัง V8 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ M177 ถ้ารหัส 43 ทำให้คุณยิ้ม รหัส 63 ที่ส่งพลังมาให้เล่น 510 แรงม้า ทว่าเป็นรถขับหลังนั้น จะทำให้คุณผวานิดๆ ในตอนแรกเพราะพลังเยอะขึ้นแต่ส่งกำลังผ่านล้อคู่หลังเท่านั้น

ความพิเศษอีกอย่างก็คือ มันไม่ใช่รถที่ใครอยากซื้อก็ซื้อได้ครับ เพราะค่าตัวของ C 63 S ที่ไม่รวมชุดแต่งเสริมนั้น อยู่ที่ 10,129,000 บาท ซึ่งนี่คือราคาในยุคที่เบนซ์ใจดีแล้วด้วยนะครับ แล้วอะไรทำให้คุณน่าเสียเงินมากขนาดนี้? คุณอาจเอาเงินนี้ไปซื้อ C 43 แล้วเหลือเงินมากพอให้ซื้อ E 220 d ให้เมียขับ กับ GLA 200 อีกคันให้ลูกสาวขับก็ได้ แต่เบนซ์ไม่ได้เอารถตระกูล 63 มาขายบนพื้นฐานของความคุ้มค่าครับ เขาเอาไว้จับคนที่มีเงินแบบจริงจังแต่ไม่ชอบขับรถที่ดูเด่นแบบฉูดฉาดและไม่ได้ต้องการบารมี VIP ตามห้างเพราะหน้าตามันก็คือคูเป้คุณป้าที่ชุดแต่งดุหน่อยในสายตาเจ้าหน้าที่เฝ้าลานจอดซุปเปอร์คาร์นั่นล่ะ

แต่อรรถรสในการขับ..อูย..มันเป็นสิ่งที่ทำให้รู้ได้จริงเลยว่ารหัส 63 พิเศษยังไง ถ้าคุณคิดว่าเสียง V6 Bi-Turbo ของพวก 43 เหมือนเสียงหอนของหมาป่าอลาสกาที่แหลมแต่ชวนขนลุกนิดๆ เสียงของ C 63 S นั้นเหมือนเสียงคำรามของหมีกริซลีตัวเขื่องเบื้องหน้า ทุ้มต่ำ โหดและพร้อมเอาเรื่อง แม้จะไม่มีแทร็กชันของระบบขับสี่มาช่วย แต่ 0-100 ก็จบไวกว่า C 43 แบบชัดเจน และเมื่อแข่งกันเบรก ก็สามารถทำระยะเบรกได้สั้นกว่าด้วยชุดเบรกสมรรถนะสูงที่ติดมากับรถ และแม้การพกม้า 510 ตัวกับการขับหลังจะทำให้บางคนขนลุก แต่การขับในสนามจริงนั้น ขอแค่เพียงใช้โหมด Sport ไม่ต้อง + แล้วลองซัดสักยกจะพบว่า C 63 S เป็นเหมือนไดโนเสาร์แร็ปเตอร์ที่พอคุยกันได้ คุณลูบหัวมัน มันจะเชื่อฟังคุณ คุณตบหัวมันมันก็จะกินคุณซะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการสั่งของคนขับ และเมื่อเรียนรู้อาการมันแล้ว คราวนี้รางวัลที่ได้คือการสไลด์ท้าย

279 แรงม้า ซึ่งก็ไม่ได้กระจอก แต่ C 300 e ขยับทีเดียว ไป 320 แรงม้า แล้วก็พกแรงบิดมหาศาลถึง 700 นิวตันเมตร คุณจะไม่เห็นคำว่า AMG บนส่วนใดของรถ ไม่ต้องจ่ายเงินเยอะด้วย เพราะ C 300 e Avantgarde ในวันที่ผมรับมาทดสอบนั้นราคาอยู่ที่แค่ 2.6 ล้านมีทอน (สมัยนี้เห็นเจ้าของบางคนปล่อยต่อในราคาไม่ข้ามล้านแล้วครับสำหรับรถอายุแค่ 3-4 ปี) ไม่มีอะไรบ่งบอกความแพงของมัน แล้วคุณอาจจะกุมขมับกับออปชันสไตล์ Economy Class ที่ไม่มีฝากระโปรงท้ายเตะเปิด เบาะไฟฟ้า แต่ไม่มี Memory ให้

C 300 e Avantgarde (W205)
จำย่อหน้าข้างบนที่ผมเขียนถึง C 43 ว่า “มีรถปลั๊กอินรุ่นหนึ่ง” ที่อาจไล่ฆ่า C 43 ได้ในช่วง 4 เกียร์แรก เจ้า C 300 e นี่ล่ะครับคือรถรุ่นที่ว่า มันตลกตรงที่รถปลั๊กอินไฮบริดอย่างเจ้านี่ เกิดมาในยุคที่ผู้คนยังไม่มั่นใจในรถไฟฟ้า 100% แต่อยากจะสัมผัสเทคโนโลยีการขับเคลื่อนเงียบๆ และอยากลองแตะปลั๊กชาร์จเผื่อได้บรรลุโสดาบัน แล้วเจ้า C 300 e นั้น เป็นการอัปเดตอย่างโหด เมื่อเทียบกับ C 350 e รุ่นแมวหมอบ (เพราะช่วงล่างไฮดรอลิกชอบรั่ว) เจ้านั่นเขามีพลังขับรวม 279 แรงม้า ซึ่งก็ไม่ได้กระจอก แต่ C 300 e ขยับทีเดียว ไป 320 แรงม้า แล้วก็พกแรงบิดมหาศาลถึง 700 นิวตันเมตร

คุณจะไม่เห็นคำว่า AMG บนส่วนใดของรถ ไม่ต้องจ่ายเงินเยอะด้วย เพราะ C 300 e Avantgarde ในวันที่ผมรับมาทดสอบนั้นราคาอยู่ที่แค่ 2.6 ล้านมีทอน (สมัยนี้เห็นเจ้าของบางคนปล่อยต่อในราคาไม่ข้ามล้านแล้วครับสำหรับรถอายุแค่ 3-4 ปี) ไม่มีอะไรบ่งบอกความแพงของมัน แล้วคุณอาจจะกุมขมับกับออปชันสไตล์ Economy Class ที่ไม่มีฝากระโปรงท้ายเตะเปิด เบาะไฟฟ้า แต่ไม่มี Memory ให้ แม้แต่กุญแจยังเป็นรีโมตไม่ใช่ Smart Key เลย ภายในก็ดูประหยัดด้วยหนัง Artico และลายไม้ปลอมแห้งๆ กับสีภายในโทนชวนไว้ทุกข์ และที่สำคัญคือ ถ้าใครจะซื้อใช้ คุณต้องวัดดวงความเสี่ยงกับเรื่องแบตเตอรี่กับระบบไฮบริดเอาเองว่าจะต้องเอาวันไหน แล้วมีอะไหล่ให้เบิกหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่าง C 350 e ก็ซวยหน่อย

แต่สำหรับคนที่รับเรื่องต่างๆ ดังย่อหน้าข้างบนนี้ได้ C 300 e Avantgarde คือรถที่คุณสามารถซื้อในราคาถูกกว่า Revo Pre-runner ป้ายแดง สามารถเสียบปลั๊กชาร์จให้เต็มแล้วเอ็นจอยกับการขับแบบไม่พึ่งน้ำมันได้ราว 25-28 กม. ในชีวิตจริง (ผมทำได้ประมาณนั้น) และด้วยความเป็นรถรุ่นประหยัดออปชัน น้ำหนักตัวก็เบา คุณกระทืบคันเร่งมิดด้ามออกตัว ล้อหลังจะฟรีทิ้งเหมือน V8 ตัวโหด แล้วถลาสู่หลัก 100 กม./ชม. ภายใน 5.4 วินาที ซึ่งนั่นเร็วกว่า C 43 รุ่น 367 แรงม้าเสียอีก คุณวิ่งอยู่ 80 ตอกคันเร่ง นับไป 4 วินาทีรถก็วิ่งเกิน 120 ไปแล้ว การได้อยู่กับรถคันนี้นานและยาวมาก จากกรุงเทพฯ ไปกระบี่ พังงา วกกลับมาเขาใหญ่ ทำให้รู้ว่า บางทีพอเราเป็นคนใช้งานเฉยๆ ไม่ได้เล่นออปชันในรถ เราก็ต้องการแค่สมรรถนะ C 300 e คือรถที่ใช้งานทุกวันแบบไม่ต้องพึ่งน้ำมันได้และแรงมากเวลาออกทางไกล แต่ถ้าซัดต่างจังหวัดเจอ 9 กิโลเมตรต่อลิตร ก็ทำใจหน่อยนะครับ มันไม่ใช่รถที่วิ่งทางไกลประหยัดนัก

แม้แต่กุญแจยังเป็นรีโมตไม่ใช่ Smart Key เลย ภายในก็ดูประหยัดด้วยหนัง Artico และลายไม้ปลอมแห้งๆ กับสีภายในโทนชวนไว้ทุกข์ และที่สำคัญคือ ถ้าใครจะซื้อใช้ คุณต้องวัดดวงความเสี่ยงกับเรื่องแบตเตอรี่กับระบบไฮบริดเอาเองว่าจะด้องเอาวันไหน แล้วมีอะไหล่ให้เบิกหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่าง C 350 e ก็ซวยหน่อย แต่สำหรับคนที่รับเรื่องต่างๆ ดังย่อหน้าข้างบนนี้ได้ C 300 e Avantgarde คือรถที่คุณสามารถซื้อในราคาถูกกว่า Revo Pre-runner ป้ายแดง สามารถเสียบปลั๊กชาร์จให้เต็มแล้วเอ็นจอยกับการขับแบบไม่พึ่งน้ำมันได้ราว 25-28 กม. ในชีวิตจริง (ผมทำได้ประมาณนั้น) และด้วยความเป็นรถรุ่นประหยัดออปชั่น น้ำหนักตัวก็เบา คุณกระทืบคันเร่งมิดด้ามออกตัว ล้อหลังจะฟรีทิ้งเหมือน V8 ตัวโหด แล้วถลาสู่หลัก 100 กม./ชม. ภายใน 5.4 วินาที ซึ่งนั่นเร็วกว่า C 43 รุ่น 367 แรงม้าเสียอีก คุณวิ่งอยู่ 80 ตอกคันเร่ง นับไป 4 วินาทีรถก็วิ่งเกิน 120 ไปแล้ว การได้อยู่กับรถคันนี้นานและยาวมาก จากกรุงเทพฯ ไปกระบี่ พังงา วกกลับมาเขาใหญ่ ทำให้รู้ว่า บางทีพอเราเป็นคนใช้งานเฉยๆ ไม่ได้เล่นออปชันในรถ เราก็ต้องการแค่สมรรถนะ C 300 e คือรถที่ใช้งานทุกวันแบบไม่ต้องพึ่งน้ำมันได้และแรงมากเวลาออกทางไกล แต่ถ้าซัดต่างจังหวัดเจอ 9 กิโลเมตรต่อลิตร ก็ทำใจหน่อยนะครับ มันไม่ใช่รถที่วิ่งทางไกลประหยัดนัก

EQS 500
ผมใช้ชีวิตจากกรุงเทพฯ ไปอุบลราชธานีใน EQS 450 มาก่อน พอมาเจอกับ EQS 500 ก็รู้สึกว่า เออ นี่ล่ะคือสิ่งที่ EQS 450 ควรเป็นตั้งแต่แรก ภายใต้หน้าตาที่ดูหงุดหงิดเหมือนงูบองหลาที่กำลังอารมณ์เสียจากวิกฤติสินเชื่อบ้าน มันคือรถที่ผสานเอาเทคโนโลยี ลูกเล่น ความเป็นรถพรีเมียมและดีไซน์เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ผมคิดว่าเบนซ์รุ่นนี้ออกแบบมาเอาใจสายตาคนส่วนใหญ่มากกว่า BMW i7 ที่ดูโหดแบบไม่แคร์สื่อ

EQS มีความต่างจากเบนซ์เครื่องสันดาปทั่วไปชัดเจนจนเป็นตัวของตัวมันเอง แต่เลือกใช้วิธีซ่อนเอกลักษณ์เบนซ์เอาไว้ตามกระจัง พวงมาลัย ไฟหน้าไฟท้าย คุณเอาโลโก้เบนซ์ออกจากรถคันนี้ คุณก็ยังรู้ว่ามันคือเบนซ์ แม้ว่าประตูหลังจะไม่เหมือนกับเบนซ์ซาลูนรุ่นใดเลย (นอกจาก AMG GT Four Door) ในความเป็นรถไฟฟ้า EQS 500 คือรถแบบที่เราสามารถขับจากเชียงใหม่ถึงกรุงเทพฯ อย่างสบายใจด้วยการแวะชาร์จระหว่างทางเพียงครั้งเดียวก็พอ แล้วมันจะสบายใจกว่าการพยายามขับให้จบในรวดเดียว เพราะคุณไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนมากกับคันเร่ง อันที่จริงระบบขับสี่ไฟฟ้ากับพลัง 449 แรงม้าของ EQS 500 นั้น มันคือรถที่ทำอัตราเร่ง 0-100 ได้เร็วกว่ารถทุกคันในบทความนี้และตามหลัง C 63 S เพียงแค่ 0.1 วินาที ดังนั้นจะบอกว่ามันคืองูบองหลา (จงอางในภาษาใต้) ในคราบรถยนต์ก็ไม่ผิด เงียบ

หน้าตาเอาเรื่อง และกัดจริงก็เอาเรื่อง ถึงแม้ว่าเพื่อนบ้านคุณจะเคลมว่า Tesla Model Y Performance ของเขาไวกว่า ก็ปล่อยเขาไปเถอะเพราะเขาพูดจริง แต่คุณคือคนที่มีรถราคาแปดล้าน (ตอนนี้ลดแล้ว) ในมือ คุณอยากจะเล่น Tesla เมื่อไรก็ได้อยู่แล้ว ที่สำคัญคือ ช่วงล่างของ EQS นั้น จูนมาดีในการขับทางไกล เล่นโค้งได้แบบพองาม ไม่สะเทือนกรวดสะเทือนไส้ แม้แก้มยางจะบางเฉียบ เพราะนี่คือรถใหญ่ของค่ายดาวในราคาที่สูง จะมาทำช่วงล่างกระจอกเด้ง ลูกค้าตัวจริงคงไม่ชอบ

ผมกับน้องตี้ Day Dream Drive ไปขับรถเล่นในทริปที่น้าดอม PR เบนซ์จัดทัพขับรถฝูงใหญ่จากเชียงรายลงมากรุงเทพฯ ซึ่งมีรถหลายรุ่นที่เราเลือกขับได้รวมถึงเจ้าสปอร์ตโรดสเตอร์ SL 43 ที่ราคาแพงกว่า EQS มาก แต่เมื่อถึงวันที่ต้องขับ Leg ยาวจากเชียงใหม่กลับบ้าน ผมกับตี้เลือก EQS แล้วทิ้ง SL ให้พี่หนุ่ม Manager Online ขับกลับแบบไม่คิด เพราะมันได้ทั้งความแรง ความสนุก ความผาสุกจากช่วงล่างที่นิ่มพอและนิ่งพอ บนเบาะที่สบายและบรรยากาศที่สมกับเป็นรถราคาแพง และด้วยพิสัยทำการหลังชาร์จที่ไกลหลายร้อยกิโลเมตร ถ้ามีงานเบนซ์ไหนที่ต้องขับทางไกลอีก ผมก็จะเลือก EQS 500 อย่างไม่ลังเล มันคือรถที่ทำให้การเดินทางไกลใน EV เป็นเรื่องน่าอภิรมย์กว่าที่คุณคิด.

Pan Paitoonpong