อากาศเย็นเป็นใจ ชวนให้เขียนถึงรถเปิดประทุนยิ่งนัก แม้ว่ารถอย่าง S2000 จะให้ความสุนทรีย์ของการเปิดหลังคาท้าสายลมหน้าหนาวเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจทัวร์ แต่ทุกคนที่รู้.. "ย่อมรู้" ว่าคุณไม่ได้ซื้อรถรุ่นนี้เพราะอยากเอามาทำเป็นรถวิ่งกินลมเล่น นี่คือหนึ่งในรถซิ่งปลายยุค 90s ตัวเล็กที่กัดโหดเกินไซส์ ดุร้ายเกินกว่าที่คาด ไม่เกรงใจคนที่ไม่เคารพ มันคือแมวป่าตัวเล็กที่แอบทำตัวเป็นแมวจรหน้าบ้าน วงเล็บว่าอย่าให้เครื่องเล็กๆ ทำให้คุณสบประมาทมันก็พอ
นี่ คือรถที่กล่าวได้ว่า เป็นหนึ่งในรถไม่กี่รุ่นของโลก ที่ไม่ใช่รถสปอร์ตราคาห้าหกล้าน (ตอนป้ายแดง) แล้วเป็นรถแบบที่บอสของบริษัทบอกว่า “คราวนี้ เราจะให้วิศวกรเป็นใหญ่” เมื่อการวิจัย การตลาดและกลุ่มลูกค้ามีค่าเท่าตัวประกอบละคร และฝ่ายบัญชีถูกบอกให้เบาๆ เสียงเอาไว้หน่อย และแนวคิดเรื่องรถเล็กๆ น่ารักกุ๊กกิ๊กเป็นมิตรต่อหลานสาววัยกระเตาะมากพอๆ กับแม่ยายก็ถูกเก็บไว้ในลิ้นชัก นี่คือสิ่งที่วิศวกร Honda ปลดปล่อยออกมาเพื่อแก้แค้นคำสบประมาทที่ฝรั่งมังค่าชอบบอกว่า Honda นั้นดีแต่ทำรถขับหน้าราคาประหยัด ก่อนหน้านี้ 10 ปี เมื่อ Honda เคยโดนดูถูกว่า “ไม่รู้วิธีสร้าง Performance Car” พวกเขาก็ทุ่มพลังกายสร้างรถอย่าง NSX ซึ่งเปลี่ยนนิยามของคำว่ารถสปอร์ตและซูเปอร์คาร์ไปตลอดกาล ในครั้งนี้ชาว Honda จะสร้างโรดสเตอร์แบบที่โลกต้องจำ
...
วิศวกรหัวหน้าโครงการพัฒนา S2000 คุณ Shigeru Uehara เคยเล่าไว้ว่า “ทางบริษัทเขาไม่ได้ให้พวกที่ฝ่ายการตลาดเข้ามายุ่งมากนัก ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะคราวนี้เราอยากสร้างรถแบบที่มันสะท้อนความคิดของวิศวกร สิ่งนี้ทำให้เรามีโฟกัสในการพัฒนารถที่ชัดเจน ก็ถ้าหากเราต้องทำรถตามความต้องการของการตลาด ของฝ่ายบัญชี หรือของคนทั้งโลก รถของเราก็จะออกมาไม่ต่างจากรถคันอื่นบนถนน สำหรับคันนี้ มันต้องต่างออกไป มันต้องโชว์สมรรถนะแบบที่เราคาดหวังได้จาก Honda”
พวกเขาเริ่มต้นทดสอบกระแสความนิยมด้วยรถต้นแบบ SSM ซึ่งเป็นรถเปิดประทุน หน้ายาวท้ายสั้น สัดส่วนคลาสสิกแบบโรดสเตอร์อังกฤษเช่นพวก TVR Griffith และ Caterham ซึ่งเวลาลงไปนั่งขับ ร่างกายท่อนบนคุณจะตั้งตรงเหมือนนั่ง แต่ร่างกายท่อนล่างเหยียดไปกับพื้นเหมือนรถแข่งเตี้ยๆ เวลาคุณยื่นนิ้วไปเการ่องก้น นิ้วนั้นจะอยู่ห่างจากชุดเฟืองท้ายและแนวแทร็กล้อหลังแค่ราวฟุตเศษ ลักษณะเช่นนี้ทำให้เวลารถเริ่มกวาดท้ายออก อาการของรถจะส่งมาถึงคนขับได้ชัดเจนกว่ารถที่มีตำแหน่งการนั่งแบบปกติ ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งความสนุกของบางท่าน และความน่าขนลุกสำหรับบางคนที่ไม่ชิน
Uehara มองว่า รถแบบนี้จะไม่ใช่รถแข่งสำหรับทำเวลาในสนามทางเรียบ ในคลาสซูเปอร์ซีรีส์ มี NSX รับหน้าที่นั้นอยู่แล้ว ในขณะที่รถขับหน้าอย่าง Integra DC2 Type-R และ Civic Type-R ก็เป็นรถวิ่งสนามที่ทำเวลาได้ดีในพิกัดเล็ก สำหรับ S2000 นั้น มันคือปิศาจท้องถนนที่เล็ก..ร้าย..และได้อารมณ์ ซึ่งการรับรู้ทุกประสาทสัมผัสจะเกิดขึ้นได้เมื่อคุณเปิดหลังคาและไม่มีอะไรมากั้นหูของคุณกับเสียงเครื่องและท่อ ด้วยแนวคิดแบบนี้ทำให้วิศวกร Honda เลือกทำบอดี้รถเป็นแบบเปิดประทุน ใช้หลังคาผ้าใบน้ำหนักเบา แต่ยังสะดวกตรงที่กางและเก็บด้วยไฟฟ้า ถ้าถามว่าทำไมไม่ใช้หลังคาแข็งพับไฟฟ้า ก็ต้องบอกว่าในช่วงนั้น รถหลังคาแข็งพับและกางด้วยไฟฟ้ายังเป็นเรื่องแปลก น่าจะมีแต่ Mercedes-Benz SLK ปี 1996 ที่ทำและเริ่มเป็นเจ้าแรก ไม่นับรถ Honda CR-X Del Sol ที่หลังคาช่วงกลางถอดและติดด้วยระบบไฟฟ้าได้
...
แต่ปัญหาของรถเปิดประทุนก็คือโครงสร้าง เนื่องจากไม่มีเสากลางและหลังคาช่วยกำกับบอดี้ช่วงกลางและท้าย รถเปิดประทุนบางรุ่น เวลาวิ่งขึ้นลูกระนาดในแนวทแยงก็จะได้ยินเสียงตัวถังลั่นกร๊อบแกร๊บ (ต้องคิดถึงยุค 30 ปีก่อนที่เหล็ก High-tensile และคอมพิวเตอร์ยังไม่พัฒนาเท่าสมัยนี้ด้วยนะครับ) Honda จึงเลือกใช้โครงสร้างแบบ X-Bone ซึ่งถ้าสมมติคุณมีนัยน์ตา X-Ray ได้ เวลาคุณมอง S2000 จากด้านบนของรถ คุณจะเห็นกระดูกชิ้นหลังขนาดใหญ่ที่เป็นรูปคล้ายตัวอักษร H แต่ดันมีส่วนกลางที่วางไปตามแนวยาวของรถ เขาเลยมองเป็นตัว X ไป อย่างไรก็ตาม เป็นที่ยอมรับกันโดยสื่อมวลชนยุคนั้นว่า S2000 มีบอดี้ที่เหนียวแข็ง ต้านทานการบิดตัวทั้งแนวตามยาวและแนวขวาง ดีกว่ารถสปอร์ตมีหลังคาหลายรุ่น ซึ่งเวลาขับรถเล่นโค้งผ่านถนนที่ขรุขระก็จะสามารถรับรู้ได้ทันที
...
ช่วงล่างของ S2000 เป็นแบบดับเบิลวิชโบน อิสระ 4 ล้อ ซึ่งในยุค 80s-90s Honda เก๋งธรรมดาๆ ก็ยังใช้รูปแบบนี้ ก่อนที่จะระลึกได้ว่ามันประสิทธิภาพดีแต่จุดซ่อมเยอะและกินที่ ในช่วงหลังจึงปรับหนีไปใช้สตรัทแบบธรรมดาเน้นจ่ายกับข้าวในหลายรุ่น แต่กับ S2000 นี้ ด้วยความที่เป็นรถ “วิศวกรสั่ง” จึงเซตมาในแบบที่เน้นทั้งสมรรถนะและความรู้สึก จะว่าไปก็คือ Uehara นั้นสั่งให้ทีมดูแลช่วงล่าง สร้างรถมาให้มีบาลานซ์ระหว่างความเกาะถนนกับความน่าขนหัวลุก เพราะอะดรีนาลินจะหลั่งเมื่อเราต้องสนองตอบต่อสิ่งที่ไม่ได้คาดว่าจะเกิด ดังนั้นการขับรถให้มันสุดๆ ต้องมีปัจจัยเรื่องความกลัวเข้าไปบ้างแต่พองาม ส่วนพวงมาลัยนั้น อาจจะผิดคาดสำหรับหลายคน เพราะแม้ว่ายุค 90s นั้นพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้ายังเป็นของแปลก แต่ S2000 ใช้แล้ว และในรุ่น Type V นั้นจะมีระบบ VGS ปรับความไวของพวงมาลัยแปรผันตามความเร็วให้อีกด้วย
...
หัวใจของ S2000 ที่เป็นตัวบอกว่าใครสักคนจะซื้อหรือไม่ซื้อรถคันนี้ คือเครื่องยนต์ DOHC VTEC รหัส F20C ซึ่งคุณอย่าได้คิดว่ามันคือเครื่องยนต์ F-Series ที่คุ้นเคยจาก Accord ตาเพชร หรือ F20B VTEC จาก Accord ญี่ปุ่นที่จำหน่ายในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน เพราะมันมีความเป็นญาติห่างกันมากๆ มากแบบญาติที่ไม่รู้จักว่าเป็นญาติกันมาก่อน แม้ว่าความจุโดยรวมจะ 1,997 ซี.ซี. เท่ากันแต่ได้มาจากขนาดกระบอกสูบที่แตกต่างกัน ในเครื่อง F20C ของ S2000 นั้น Honda ขยายปากกระบอกสูบให้กว้างขึ้น เพื่อให้สามารถติดตั้งวาล์วไอดี/ไอเสียที่มีขนาดโตกว่า และใช้ระยะชักก้านสูบสั้นลง 4 มม. เหลือ 84 มม. ซึ่งความยาวระยะชักนี้ มีผลอย่างมากสำหรับเครื่องใช้รอบสูง ถ้าเอาเครื่องชักยาวๆ มาลากรอบ 9,000 รอบ ก้านเกิ้นจะทนไม่ไหวพากันบินแหลกแหกมายิ้มแถวข้างเสื้อสูบหรืออ่างน้ำมันเครื่องเอา
ระบบ VTEC ใน S2000 ยังเป็นแบบ DOHC VTEC รุ่นคลาสสิก กลไกคล้ายกับแบบที่พบในเครื่อง B16A, B18C และ H22A ซึ่งมีจะเพลาลูกเบี้ยวองศาปกติและองศาสูงที่เอาไว้ใช้สำหรับรอบสูง เป็นกลไกล็อกด้วยกระเดื่องที่ไม่ซับซ้อนแต่ได้ผลงดงาม ตัวแท่งแคมชาฟต์ยังไม่มีระบบบิดไปบิดมาเพื่อช่วยเสริมแรงบิดรอบต่ำแบบพวก i-VTEC รุ่นใหม่ๆ แต่ในเมื่อคุณเอาเครื่องยนต์นี้ไปขับรถโรดสเตอร์ที่ตัวเบาแค่ 1.27 ตัน และเจ้าของส่วนมากขับเหมือนเพิ่งทะเลาะกับเมียมา ความสำคัญในเรื่องการขับแบบแมวย่องจึงน้อยนิด
เมื่อ S2000 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงกลางปี 1999 นั้น อย่าว่าแต่คนบ้ารถทั่วๆ ไปเลยครับ ขนาดเด็ก High School ที่ยังไม่รู้ว่าแรงม้าคำนวณมาจากอะไร ก็ยังกรี๊ดโลกแตก ผมตอนนั้น เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไทยตัวอ้วนหัวดำไปอาศัยอยู่ที่รัฐ Kansas เมือง Wichita จำได้เลยว่าพอหนังสือ Automobiles ออกแล้วมีคอลัมน์ S2000 ผมเอามากางอ่านระหว่างนั่งกินข้าวกลางวันกับพวกแก๊งเด็กเอเชียด้วยกัน เห็นตัวเลข 240-250 แรงม้าปุ๊บ คุณจะเห็นวัยรุ่นเอเชียนอเมริกันเหล่านั้นถือหนังสือรถด้วยหน้าตาราวกับอ่านนวนิยายปลุกใจเสือสวาท ในปี 1999 ถ้าคุณอยากได้แรงม้าขนาดนั้น ที่อเมริกาคุณมีทางเลือกแค่ Acura NSX 3.2 ลิตร กับ Acura Legend 3.5 ลิตร การมีรถสปอร์ตคันเล็กหน้าตาเอาเรื่องพกแรงม้ามาขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดาเท่าไร MX-5 ในสมัยนั้นมีแรงม้า 140-150 ตัวเองมั้งครับ S2000 ปั่นม้าออกมา 125 ตัวต่อลิตร เป็นอัตราการเค้นพลังจากเครื่องยนต์ไร้เทอร์โบที่โหดมากในสมัยนั้น ถ้าเอาความเก่งในการเล่นเครื่อง NA มาเทียบให้เห็นภาพ หาก Toyota จะทำเครื่อง 3.0 ลิตรที่เค้นม้าเก่งเท่า F20C ได้ เครื่องยนต์นั้นจะต้องสร้างม้าได้ 375 ตัวโดยไม่พึ่งเทอร์โบหรือระบบอัดอากาศใดๆ ขนาด M3 E36 สเปกยุโรปในปี 99 ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
นะ..แต่นั่นมันคือพลังที่บ่งบอกว่าวิศวกรเค้นม้าจากความจุได้เก่งแค่ไหน ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้สมบูรณ์ว่ารถคันไหนแรงไม่แรง ถ้าคุณเอาเครื่อง M3 มายัดลงบอดี้ 1.27 ตัน ใช้อัตราทดเกียร์และเฟืองท้ายเดียวกัน มันก็จะไปเร็วกว่ารถเครื่อง F20C แหละครับ นี่คือความต่างระหว่างแรงม้าต่อลิตร กับแรงม้าที่ต่อยอดเพื่อชัยชนะ จะชอบอะไรก็มองแบบ “ตามจริงอย่าติ่งเกิน”
ผมไม่มีโอกาสขับ S2000 จนกระทั่งช่วงใกล้เรียนจบมหาวิทยาลัย การขับครั้งแรกไม่ได้นานเท่าไร เพราะเจ้าของรถเพิ่งรับรถมาไม่นาน ยังหวงรถมาก ผมไม่ได้รับอนุญาตให้ซัดจมเกจ์ แต่พอได้ลองทำ 0-140 หวานๆ ไปสามเกียร์ สามเกียร์จบเจ้าของก็ตบกบาลผมบอกว่า “ตรูให้แค่สามเกียร์” ผมก็บอก “ก็นี่ไงสามเกียร์ พี่ไม่ได้บอกผมว่าห้ามลากเต็มนี่” เรื่องของเรื่องคือ ตัวรถเพิ่งวิ่งมาแค่ 400 กม. ยังไม่พ้นรันอิน ผมดันไปเปิดโลก VTEC จับยัดไป 9,000 รอบจนแถบเรดไลน์กะพริบถี่รัวๆ ไม่ว่าใครเป็นเจ้าของก็คงตบผมแหละครับ
ครั้งที่สองที่ได้ขับ ทิ้งช่วงหลังจากนั้นไม่นาน แต่เป็นช่วงที่ผมติดตามคุณพ่อไปทำงานที่ญี่ปุ่นแล้วได้ไปเจอกับเพื่อนที่เรียนจบก่อนแล้วไปทำงานที่ญี่ปุ่นอยู่แล้ว มันซื้อ S2000 มือสองมาขับ (ณ เวลานั้น S2000 ในตลาดโลกเข้าสู่รุ่นไมเนอร์เชนจ์ไปแล้ว) เมื่อเจ้าของรถยื่นกุญแจให้ลองขับ คราวนี้ก็เลยจับยัดไป 4 เกียร์ ซึ่งมันได้แค่นั้นแหละครับ สับเกียร์ 5 แป๊บเดียวความเร็วก็ตัด 180 ตามกฎหมายญี่ปุ่นแล้ว
ในยามที่ขับตามปกติเหมือนรถบ้าน S2000 ก็มีบุคลิกเป็นรถบ้านเอามากๆ คลัตช์เบากว่ารถผมเยอะ และถ้าคุณขับคลัตช์ Nissan จนชิน การออกตัวและการขับในรอบต่ำของ S2000 ก็ไม่ได้ยากเท่าไร รถมันซ่อนรูปมากเสียจน ถ้าคุณเบิ้ลเครื่องขำๆ 3-4 พันรอบในรถ S2000 ท่อเดิมๆ เสียงมันจะช่างแมวเหมียวน่ารักมากครับ เหมือนเด็กม.ปลายเอา Accord แม่มาเบิ้ลเครื่องขู่เพื่อนเล่น การขับใช้งานในรอบต่ำ กระปรี้กระเปร่ากว่าที่คาดจากรถที่ได้ชื่อว่าจูนมาเน้นรอบสูง แต่ไม่ได้เกิดจากแรงบิดเครื่องหรอกครับ มันเกิดจากการที่ S2000 ใช้เกียร์ที่มีอัตราทดจัดจ้านมากต่างหาก ลากเกียร์ 1 5,000 รอบแล้วหมายังวิ่งแซงได้เลยครับ
แต่นั่นล่ะคือองค์ประกอบความสนุก เครื่องที่บ้าคลั่งรอบ กับเกียร์จัดๆ ลองยัดเกียร์ 3 แล้วไล่จากรอบต่ำ 3 พันรอบ..เหนื่อยๆ เหมือนคนแก่เพิ่งตื่น 4 พัน...ไม่มีอะไร แม้แต่ 5 พันรอบ ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ต้องรอหลัง 6 พันรอบนั่นแหละครับที่จู่ๆ แมวเหมียวขู่ใส่แม่กลายร่างเป็นเสือ สุ้มเสียงเครื่องยนต์เปลี่ยน แรงดึงเปลี่ยน มันเหมือนกับว่าแถวๆ 5,800-6,300 รอบนั่น..รถมันนึกขึ้นได้ว่าคุณเคยด่าแม่มันแล้วนิสัยมันก็เปลี่ยนไป แม้จะผ่านจากวันนั้นมา 20 ปี ผมยังรู้สึกว่ามีรถเครื่องไร้เทอร์โบน้อยคันมาก ที่ทำให้ผมยิ้มปากฉีก เบรก เข้าเกียร์สองแล้วลากจมวัดรอบก่อนตอกขึ้นเกียร์ 3 แล้วลากรอบเหมือนไอ้บ้าพ่อแม่ไม่รัก ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ถ้า Pablo Escobar อยู่ทันได้ขับรถคันนี้เขาจะอยากเป็นดีลเลอร์ Honda มากกว่าที่จะไปขายโคเคนแล้วโดนตำรวจเก็บ มันคือความสนุกแบบที่เสพปุ๊บติดปั๊บ สิ่งต่อมาที่คุณรู้คือ 0-100 ผ่านไปในราว 6 วิกลางๆ สับเกียร์แล้วเหยียบต่อจากจุดนั้นอีกราว 10-12 วินาที ตัวเลขดิจิทัลบนมาตรวัดความเร็วสไตล์ F1 ของ S2000 ก็โชว์ 180 แล้ว..ธรรมดาในยุคนี้ที่รถ EV 500 กว่าม้าราคา Accord แต่ในปี 1999-2009 มันคือรางวัลชีวิตสำหรับคนบ้ารถผู้ซึ่งปฏิเสธระบบอัดอากาศเลยทีเดียว
สิ่งที่ S2000 อันตราย และเจ้าของรถก็เตือนให้ผมระวังคือ รถอย่าง S2000 มีกายภาพรถ และสเปกที่ทำมาเหมือนกับว่ามันจะเป็นรถที่เกาะถนนดี แต่ถ้าหากผมย่ามใจแล้วเดินคันเร่งลึกในขณะที่พวงมาลัยไม่ได้ตั้งตรง ก็ต้องภาวนากับพ่อมิ่งแม่แก้วว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมจะแก้อาการทัน ซึ่งเรื่องนั้น ผมไม่กล้าลอง แต่ให้เจ้าของรถสาธิตให้ดู แล้วก็พบว่าขนาดรถเบาแค่นี้ ยางหน้า 205 ยางหลัง 225 แล้ว เวลาเข้าโค้งที่ดูเหมือนรถนิ่งดี แต่แค่เติมพวงมาลัย 2 นิ้ว กับกดคันเร่งเพิ่มแค่นิดเดียว ท้ายรถไหลออกทันที และเป็นการไถลออกในแบบที่คุณจะนึกว่าถนนตรงนั้นต้องมีน้ำมันอะไรหกอยู่..เพียงแต่ว่ามันไม่มี! มันคือถนนฮาโกเน่หน้าร้อนในเซคชั่นที่แห้งแก๊ะเลยครับ นี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่เพื่อนผมบอกว่ามันคือ “เสน่ห์” ของ S2000 กล่าวคือ มันเหมือนการเปิดประตูไปหาหญิง ซึ่งเวลาหวานก็หวานมาก เวลาโมโหก็ร้ายกาจมาก แล้วคุณไม่มีทางรู้ว่าเธอจะมา Mood ไหนเมื่อไหร่ เมื่อท้ายรถเริ่มกวาดออก มันก็อาจสายเกินแก้ไปแล้ว S2000 จึงเป็นรถที่หากใครจะขับให้เก่ง คุณต้องทำนายรถได้ และมีปฏิกิริยาตอบสนองไวมาก จากที่เพื่อนผมขับให้ดูวันนั้น ผมบอกเลยว่าคุณเอา GR86 ของทุกวันนี้ไปเทียบ มันจะเหมือนลิงป่ากับเด็กชนะประกวดมารยาททีเดียวล่ะครับ
ที่ตลกคือ ขนาดวิวแถบนั้นของญี่ปุ่น สวยขนาดไหนใครก็รู้ และ S2000 คือรถเปิดประทุนหลังคาผ้าใบไฟฟ้า ที่กดปุ่มแล้วรอ 15-20 วินาทีหลังคาก็พับเสร็จ แต่ระหว่างผม..หรือคุณเพื่อนขับ ไม่มีใครสนใจที่จะเปิดหลังคาให้เสียงเครื่อง VTEC กระหึ่มมาทำให้ใจบานฉ่ำสักนิด ทุกคนสนแต่เครื่อง เครื่อง เครื่อง และ..9,000 รอบ 9,000 รอบ 9,000 รอบ
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณไม่ได้บ้าเหมือนพวกเรา และอยากได้รถที่ขับแล้วไม่พาเจ้าของลงข้างทาง ก็อย่าได้กลัว ผมเชื่อว่าสำนักแต่งช่วงล่างในไทยสามารถเซตให้คุณใหม่ได้ หรือไม่ก็มองหารถรหัสตัวถัง AP2 ซึ่งเป็นรถไมเนอร์เชนจ์แล้ว ได้ส่วนหน้ารถ ไฟหน้า และไฟท้ายใหม่ (รถรุ่นแรกจะมีรหัสตัวถังว่า AP1) รถรุ่นไมเนอร์เชนจ์เริ่มขายเมื่อราวปี 2003-2004 รถพวกนี้ มาจากโรงงานจะได้ล้อ 17 นิ้วที่เพิ่มความกว้างยางหลังจาก 225 เป็น 245 และมีการปรับจูนช่วงล่าง การตอบสนองของรถ และซอฟต์แวร์พวงมาลัย เพื่อแก้อาการ “ท้ายหลุดโดยไม่บอกกล่าว” ซึ่งหลายคนชอบ แต่หลายคนกลัว และยังเพิ่มการปรับปรุงในห้องโดยสารเข้าไปอีก ซึ่งผมจำไม่ได้ว่าเป็นจุดไหนเหมือนกัน
ทุกวันนี้ อย่าถามเลยครับว่า S2000 มือสอง ราคาเท่าไร ถามดีกว่า ว่าจะหาจากไหน เพราะไม่ใช่รถที่หาเจอได้ง่ายนัก แต่ทุกครั้งที่มีมีตติ้งใหญ่ๆ ของชาว Honda คุณต้องเจอ S2000 อย่างน้อย 1-2 คันไปจอดเป็นรถเทพบูชาประจำงานอยู่เสมอ ถ้าหากคุณมีโอกาสเป็นเจ้าของรถคันนี้ สิ่งแรกที่คุณควรทำนอกจากเตรียมเงินก็คือ “ผอม” ครับ เพราะมีเพียงกรณีเดียวที่คุณจะรู้สึกว่า S2000 นั่งสบาย นั่นก็คือกรณีที่คุณขับ Lotus Exige หรือ Honda S660 ไปจ่ายตลาดเป็นประจำ นอกนั้นแล้วมันคือรถที่แม้แต่คนผอมขับยังบอกว่าแคบ
แต่ถ้าคุณอ้วนแล้วอยากสัมผัส Honda ในแบบที่ วิศวกรทำเต็มที่เพื่อสร้างรถแบบที่เขาคิดว่าใช่..ไม่ใช่รถที่สร้างมาเพื่อทำกำไร..หรือรถที่ไปอิ๊บเอารถบ้านในไลน์มาปรับตัวถังใส่เครื่องแรงๆ แล้วใส่โลโก้ Type-R ผมคิดว่ามันก็คุ้ม ถ้าคุณจะยอมกิน Keto ลดน้ำหนักสัก 20 กิโลกรัม เพื่อให้นั่งและสามารถควบคุมรถคันนี้ได้
แล้วคุณจะรู้ครับว่าแมวป่าที่แกล้งทำตัวเป็นแมวน้อยหน้าบ้านน่ะ... มันเป็นอย่างไร.
Pan Paitoonpong