Nissan ไม่ค่อยมีรถที่เป็นตำนานในไทย แต่พอมีสักรุ่นก็ตำได้นานแบบสุดไม่มีใครเทียบ นอกจาก Cefiro A31 ทรงสวยลูกค้าบอกว่าชอบ ขโมยบอกว่าใช่ แล้วก็ยังมีรถอย่าง 200SX จากความพยายามของ Nissan ยุคสยามกลการที่จะนำรถสปอร์ตราคาไม่พังอนาคตมาขายจนกลายเป็นรถยอดฮิตทั้งในวงซิ่งถนน สนามดริฟต์ สนามแดร็ก 30 ปีก่อนป้ายแดงล้านบาทบวกลบ วันนี้มือสองก็ว่ากันเกินเจ็ดแสนและเหยียบล้านในคันที่สภาพเทพประทาน

...

ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนกันไม่ให้โดนด่าว่า บทความนี้ผมไม่ได้เขียนวิธีการดู 200SX มือสอง หรือเขียนเจาะลึกด้านเทคนิค เพราะถ้าคุณต้องการอ่านเรื่องประเภทนั้นในวันนี้ แปลว่าคุณช้าไปแล้วครับ รถ 200SX ทุกวันนี้เป็นรถที่ไม่มีราคากลางแล้ว มีแต่ความพอใจระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายจะตกลงกันและขึ้นอยู่กับสภาพรถ การหารถระดับตำนานรุ่นนี้ให้ได้รถสภาพดี ไม่ผ่านการโมดิฟายใดๆ ชิ้นส่วนเดิมสัก 85% วิ่งแล้วไม่พาไปตาย ก็ง่ายพอๆกับการหาผู้ชายอายุ 31 หล่อกว่าพี่ติ๊ก หุ่นแบบพี่บัวขาว ยิ้มทรงเสน่ห์หรูแบบพี่โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังไม่เคยมีแฟน ..คือมันเป็นไปได้แต่คุณต้องมีโชค และถ้าคุณมัวแต่คิดนานมาก คนอื่นวิ่งมาคาบไปกินก่อนเป็นแน่แท้

ผมก็เลยใช้คำว่า รถเก่าเล่าเรื่อง แทน ส่องมือสองน่าสนแบบที่เคยใช้ประจำไงครับ วันนี้ก็คงมาเล่าเรื่องอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่คนที่เกิด แก่ และซิ่งมาในยุคเดียวกัน อาจจะได้ถือโอกาสย้อนความหลังกันสักนิด

200SX นี้ ถ้าเป็นที่ญี่ปุ่น จะเรียกว่า 180SX เป็นรถที่เกิดมาในยุคท้ายๆวันเฟื่องฟูของ Nissan สมัยนั้น Nissan คือหอกข้างแคร่ของ Toyota ที่ขับเคี่ยวกันถึงพริกถึงขิงสุด ในช่วงปลายยุค 80s Nissan ทำรถเครื่องวางตามยาวขับหลังออกมาหลายรุ่นที่รูปทรงโดนๆ เช่น Cefiro A31, Laurel บางรุ่นก็มีขับสี่ด้วยเช่น Skyline และ Skyline GT-R แต่รถเหล่านี้มักเน้นขายรุ่นเครื่อง 6 สูบ จึงมีรถสปอร์ตคูเป้อีกซีรีส์หนึ่งแยกออกมาและใช้เครื่อง 4 สูบเป็นหลัก ซึ่งรถเหล่านี้ก็คือคู่แฝด S13 โดยมี Silvia เป็นรถแบบคูเป้ 2 ประตู และ 180SX เป็นรถแบบท้ายลาดฝาท้ายเปิดยาวรวมกระจก รถสองรุ่นนี้ประสบความสำเร็จมากเพราะทรงสวยถูกใจวัยรุ่น และวางราคาเอาไว้ดีมาก อย่าง 180SX Type II ตัวท็อปนั้นราคาแค่ราว 2 ล้านเยน ถูกเท่า Nissan Bluebird U12 รุ่น 2.0 ลิตรไม่มีเทอร์โบ ถูกกว่า Skyline 2.0 เทอร์โบนิดหน่อย และถูกกว่า 300ZX (3.4 ล้านเยน) เยอะมาก ในขณะที่ทางคู่แข่งอย่าง Toyota นั้นไม่มีรถให้เปรียบแบบตรงๆ Celica ก็กลายเป็นรถขับหน้ามานานแล้ว และ MR2 ก็เป็นรถเครื่องวางกลางที่ไม่ตอบโจทย์ด้านการใช้งานทั่วไปมากเท่า

...

180SX โฉมแรกเริ่มส่งมอบจริงในราวปี 1989 หลัง Silvia เล็กน้อย แล้วก็ขายถึงปี 1991 รถโฉมแรกๆนี้จะมีไฟหรี่ไฟเลี้ยวทรงเหลี่ยม กระจังหน้าสองซีก ล้ออัลลอยลายคุ้นตาเพราะแชร์เจ้าล้อ 4 รู PCD 114 มม. นี้กับ Cefiro A31 นั่นเอง อุปกรณ์ในช่วงแรกยังเบสิก ยกเว้นตัวท็อปจะมีระบบเลี้ยวสี่ล้อ HICAS มาด้วย

...

หลายคนจะเรียกทั้ง Silvia กับ 180SX ว่า S13 แต่รหัสตัวถังในช่วงแรกๆจริงแล้ว Silvia จะเป็น S13 และ 180SX จะเป็น RS13 และถึงแม้ว่าเป็นรถระดับเดียวกัน แต่วางจำหน่ายแยกดีลเลอร์กัน เป็นระบบแปลกๆของดีลเลอร์แบบญี่ปุ่น ซึ่ง Silvia จะขายผ่านดีลเลอร์ในกลุ่ม Prince Store และ 180SX จะขายผ่านกลุ่ม Bluebird Store เท่านั้น ไม่มีการขายสองรุ่นพร้อมกันในดีลเลอร์แห่งเดียว นอกจากนี้ในขณะที่ Silvia มีทั้งเครื่อง CA18DE 1.8 ลิตร 135 แรงม้า และ CA18DET 1.8 ลิตร 175 แรงม้าให้เลือก 180SX จะมีเฉพาะเครื่องตัวหลัง เน้นแรงเพียวๆ มีให้เลือกสามรุ่นย่อยต่างกันที่อุปกรณ์แค่นั้น ชื่อ 180SX ก็มาจากการใช้เครื่องขนาด 1.8 ลิตรนั่นเอง โดยแม้ภายหลังมีการเปลี่ยนเครื่องไปคบ 2.0 ลิตรก็ยังใช้ชื่อรุ่นว่า 180SX เช่นเดิม

...

ต้นปี 1991 ก็มีการไมเนอร์เชนจ์ครั้งแรก เปลี่ยนจมูกรถให้ดูโค้งมนยิ่งขึ้น กระจังเล็กสองซีกหายไป ไฟหรี่ไฟเลี้ยวทรงรี เปลี่ยนลายล้อใหม่ ซึ่งยังแชร์กับ Cefiro A31 ได้เช่นเดิม และยังแบ่งระดับรุ่นย่อยออกเป็น 3 รุ่นเหมือนเดิม ใครอยากประหยัดเงินเอาไปแต่งรถ คุณสามารถเลือกรุ่น Type I ก็ได้ ถอดสปอยเลอร์หลังออก ถอดล้ออัลลอยให้เป็นล้อเหล็กแบบรถกระบะมาเลย ถ้าจำไม่ผิดไม่มีเครื่องเสียงให้ด้วย แต่ราคาจะถูกกว่ารุ่น Type II ประมาณ 170,000 เยน ก็แล้วแต่จะเหลือ อย่างไรก็ตามส่วนสำคัญของการไมเนอร์เชนจ์ปี 1991 อยู่ที่เครื่องยนต์

ช่วงนั้น Nissan พัฒนาเครื่องยนต์ SR20 เวอร์ชันขับหลังเสร็จเรียบร้อยแล้ว (รถขับหน้าวางขวาง ได้ใช้เครื่อง SR ก่อนแล้วใน Bluebird) ก็นำมาวางใส่ในคู่แฝด Silvia กับ 180SX เครื่องบล็อกใหม่นี้ เปลี่ยนวัสดุเสื้อสูบจากเหล็กหล่อเป็นอะลูมินั่มอัลลอยทำให้น้ำหนักเบาลง เพิ่มความแข็งแรงของก้านสูบ ปรับองศาพอร์ทให้ยิงไอดีและคายไอเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และเพิ่มความจุเป็น 2.0 ลิตร ในเวอร์ชันเทอร์โบ SR20DET นั้นจะมีแรงม้า 205 แรงม้า แรงบิด 275 นิวตันเมตร คาแรกเตอร์แรงบิดช่วงกลางดีขึ้นมาจน Nissan ปรับลดอัตราทดเฟืองท้ายจาก 4.363 เป็น 4.083 ในรุ่นเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะเพื่อให้เดินทางไกลแล้วประหยัดน้ำมันขึ้นได้ด้วย รถเครื่อง SR20DET นี้จะเปลี่ยนรหัสตัวถังจาก E-RS13 เป็น E-RPS13

เครื่อง SR20DET ในรูปนี้คุณอาจจะเห็นฝาครอบเครื่องสีดำ ต้องบอกก่อนว่านี่เป็นเครื่องรุ่นหลังนะครับ รถปี 1991-1994 จะเป็นฝาครอบวาล์วสีแดง ที่บ้านเราเรียกกันว่า “SR โบฝาแดงเรียบ” สมรรถนะจัดจ้านไม่เบาในสมัยนั้น เพราะเครื่องแรงใช้ได้ ตัวเบา น้ำหนักตัวไม่รวมของเหลวแค่ 1,190 กิโลกรัม ล้อและยางก็เล็ก สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ภายในเวลา 7.2 วินาที ควอเตอร์ไมล์ที่นิตยสารญี่ปุ่นลองเล่นกันก็อยู่แถวๆ 14.6-15.1 วิแล้วแต่ว่าใครขับ รถเวอร์ชันญี่ปุ่นล็อกความเร็ว 180 กม./ชม. แต่สมัยนั้นคนที่ลองปลดก็ได้ข่าวว่าวิ่งแถวๆ 240 กันได้

ในช่วงปี 1994-1996 ต้นปีนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย เพราะในช่วงนั้น Silvia S13 ถูกแทนที่ด้วย S14 แล้ว แต่ Nissan ไม่มีโครงการจะสร้างรถรุ่นใหม่มาให้ฝั่ง 180SX ก็เลยดันตัวเก่าขายต่อไป ในขณะที่ S14 ได้เครื่องยนต์ SR20DET ฝาสีดำ ท้ายฝาลาดลง (ฝาดำหลังหัก) มีวาล์วแปรผัน NVCS แล้ว 180SX กลับได้เครื่องบล็อกเดิม แค่เปลี่ยนสีฝาครอบวาล์วเป็นสีดำตาม ระบบไฟแตกต่างกันนิดหน่อยแค่นั้นและแรงม้าก็อยู่ที่ 205 เท่าเดิม ไม่ได้ขยับเป็น 220 เหมือน S14 นอกจากนี้ก็มีการเปลี่ยนชื่อรุ่นจาก Type I กับ Type II เป็น Type R กับ Type X แทน และเปลี่ยนล้ออัลลอยห้าก้านลายใหม่ในปี 1995

ไมเนอร์เชนจ์ตัวสุดท้าย เป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุด คือไม่เปลี่ยนเครื่องยนต์ แต่อัปเดตภายนอกด้วยจมูกใหม่ที่กลับไปเล่นเส้นสายแนวเหลี่ยมแบบตัวปี 1989 แต่ปรับช่องอากาศให้ดูดุดันขึ้น และเปลี่ยนไฟท้ายใหม่จากเดิมเป็นแถบยาวๆ ก็ไปทำให้เป็นทรงโดนัท ซึ่งดูคล้ายกับ Skyline GT-R R33 ในขณะนั้นมากขึ้น แล้วก็เพิ่มถุงลมนิรภัยฝั่งคนขับ มาพร้อมกับพวงมาลัย 4 ก้านทรงอวบ มีรุ่นให้เลือกเป็น Type X เทอร์โบ 205 แรงม้า และเพิ่มทางเลือกรุ่นไม่มีเทอร์โบ 140 แรงม้า ในชื่อรุ่น Type G ในช่วงประมาณปี 1997 แล้วขายไปแบบนี้ จนกระทั่งสิ้นปี 1998 เป็นการปิดประวัติศาสตร์การลากขายนาน 9 ปีบนบอดี้พื้นฐานเดิม เพื่อเป็นการรวบไลน์ Silvia/180SX ให้เหลือแต่ Silvia ซึ่งก็เปิดตัวใหม่ S15 ในปี 1999

สำหรับเมืองไทยนั้น สยามกลการนำเข้ามาตั้งแต่ปี 1992 โดยรถสเปกบ้านเรานั้นยึดแบบกับรถออสเตรเลีย และแอฟริกาใต้ จึงใช้ชื่อว่า 200SX ต่อให้ปีนั้น 180SX ที่ญี่ปุ่นจะใช้เครื่อง SR20DET แล้ว แต่ตามประสาคนชอบเก็บของดีไว้ใช้ในบ้าน บ้านเราเลยได้ใช้เครื่อง CA18DET ซึ่งในสเปกไทยเคลมแรงม้าไว้ 171 แรงม้า แรงบิดราว 235 นิวตันเมตร ตลกดีตรงที่บ้านเรารถ 1.8 ใช้ชื่อ 200 รถบ้านเขาเครื่อง 2.0 แต่ใช้ชื่อ 180 เสียอย่างนั้น ในบ้านเรา สยามกลการเลือกรุ่นย่อยมาทั้งหมดสี่รุ่น แบ่งแบบจำง่ายคือ มีเกียร์ธรรมดา และอัตโนมัติ กับมี/ไม่มีหลังคาซันรูฟ รถเกียร์ธรรมดาหลังคาปกติผมจำได้ว่าราคาเริ่มต้น 9 แสนปลายๆ ไม่ถึงเลขล้านบาทครับ ไม่แปลกใจเลยที่ขายดีเป็นบ้าเป็นหลัง คุณเอ๊ย..ปี 1992 กับรถนำเข้าทั้งคันแบบนี้ สปอร์ตขับหลังราคาไม่ถึงล้าน Cefiro 24 วาล์วประกอบในยังแพงกว่าเลยด้วยซ้ำ ถ้าเป็นยุคนี้ คงเปรียบได้กับการที่คุณสามารถซื้อ Subaru BRZ ได้ในราคา 1.8 ล้านบาท คุณว่ามันน่าโดนไหมล่ะ?

200SX กลายเป็นรถสปอร์ตยอดฮิต ชนิดที่สมัยนั้นในทุกๆวันคุณจะเห็นได้วันละ 3-5 คันนับเป็นเรื่องปกติ เพราะ สวย ถูก และแรงไม่เบา สมัยผมเด็กๆเคยลองเอารถเพื่อนมาซัดเล่นกัน 200SX 1.8 ลิตรเกียร์ธรรมดา อีกคันเป็น 300ZX ไม่มีเทอร์โบเกียร์ออโต้ ตอนแรกคิดว่า 300 เขาไม่มีเทอร์โบแต่ก็มี 230 แรงม้า เราไม่น่าจะตามเขาทัน แต่กลายเป็นว่าพอออกเอี๊ยดไป สับสามได้สักพัก 300ZX ยังอยู่ข้างหลังเราอยู่เลยครับ ถือว่าปอดเล็กแต่เท้าโตใช้ได้ เรื่องความหรูหราสะดวกสบาย อย่าไปถามมันมาก ในปี 1992 ผมยังใช้โทรศัพท์สาธารณะหยอดเหรียญโทรเข้าเบอร์บ้านสาวที่แอบชอบแล้วเจอแม่เขารับแทน อินเทอร์เน็ตยังเป็นสิ่งที่พูดออกมาแล้วคนส่วนใหญ่งงว่ามันคืออะไร และน้ำมันไร้สารตะกั่วลิตรละเก้าบาทกว่าๆ ยุคนั้นมีกระจกไฟฟ้า เซ็นทรัลล็อค เบาะทรงสปอร์ต ดิสก์เบรกสี่ล้อ ล้ออัลลอยขอบ 15 นิ้ว นั่นคือดีแล้ว แอร์ออโต้ยังไม่มีในเบนซ์คันละสามล้าน เซนเซอร์ถอยหลังยังไม่รู้ว่ามีที่ไหนรับติด อย่าคิดถามหาอุปกรณ์อย่างอื่น

รถสมัยใหม่จะมีระบบอัตโนมัติมากมาย แม้กระทั่งรถที่เน้นการขับ ก็ยังมีการแบ่งโหมดการขับขี่ ปรับการตอบสนองคันเร่ง ปรับระดับความเหี้ยมจิตของระบบการทรงตัว รถสปอร์ตใหม่ๆอย่าง Subaru BRZ ปัจจุบันจึงเป็นได้ตั้งแต่ “Mild” ยัน “Wild” แต่สำหรับ 200SX ในยุคนั้น มีแต่ระบบอัตตาหิอตโนนาโถ คือช่วยตัวเองเท่านั้น และเสริมด้วยระบบกรรมใดใครก่อ ขับอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ในมือวัยรุ่นทโมนลิง มันเป็นรถที่อันตรายใช้ได้ เพราะด้วยยางหนังสติ๊กที่ถ้าจำไม่ผิด เมืองไทยใช้ไซส์ 195/60R15 ซึ่งเป็นยางขนาดเท่ากับ Accord ตาเพชรของเลขาของพ่อของคุณ เวลาเลี้ยวแล้วกดคันเร่งลึก..ก็แหกสิครับ พี่ชายผมเคยแอบเอารถ 200SX ของฝรั่งที่มาฝากไปล้าง ไปลองหวดเล่น แล้วไปหมุนอยู่ตรงรัชดา ก็พ่อเล่นกดหนัก แล้วยาง 195 ยี่ห้อ Michelin Vivacy ซึ่งนั่นมันยางเงียบ ไม่ใช่ยางซิ่ง

แต่กับคนที่ขับเก่งๆ 200SX กลายเป็นรถที่เปิดหน้าหนึ่งของวงการมอเตอร์สปอร์ตไทยทั้งในสนามแดร็กทางตรง และสนามดริฟต์ ในยุคสนามแข่ง MMC เท่าที่จำได้ พี่อั๋น ATP (สมัยนั้นเรียกว่าคุณอั๋น Kansai) ใช้ 200SX เครื่อง 1.8 ลิตรที่โมดิฟายจนม้าแตะระดับ 500 ตัว คนที่ไม่รู้เรื่องรถก็จะงงว่าอะไรวะแค่ 1.8 ลิตรมันโมดิฟายม้ากันได้ขนาดนั้นเลยหรือ จวบจนหมดยุคของ MMC ย้ายมาเล่นที่คลอง 5 ช่วงต้นศตวรรษ A31 กับ 200SX นับเป็นรถแดร็กที่โผล่หน้ามาฝากรอยยางบนแทร็คเยอะที่สุดจนอยากจะเปลี่ยนชื่อสนามเป็น A31 and S13 Avenue ให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป

ถ้าพูดถึง Scene รถซิ่งเมื่อไหร่ ไทยกับญี่ปุ่นมี 200SX (180SX) เป็นสิ่งที่แชร์กันเสมอ คุณไปตามสถานที่ของคนหวดรถซิ่ง ถ้าไม่เจอ 200SX คุณควรไปทำบุญล้างซวย เพราะบ้านเราไม่มี Toyota Corolla 86 เป็นรถหัดดริฟต์ตัวถูกแบบญี่ปุ่นเขา เรามีแต่ A31 กับ 200SX นี่ล่ะ ดังนั้นในสนามดริฟต์ช่วงปี 2003 เป็นต้นมา 200SX ถือว่าเป็นรถดริฟต์ของคนมีเงินระดับนึง (ถ้าเงินน้อยกว่านั้นหน่อยก็จะเป็น A31-ไม่ได้ขิงแต่เรื่องจริงจำได้) 20 ปีก่อน ผมยืนดูคุณ Pop P-Style กับ 200SX เหลืองเต็ดจับ 80 ของเขากวาดท้ายเล่นแล้วยังอยากไปนั่งด้วย หรือเพื่อนอายุไล่เลี่ยกันอย่างคุณมิก ซึ่งต่อมาก็สังกัดทีมดริฟต์ PTT หรือดีเจเดย์ นี่คือกลุ่มคนที่ฝากชีวิตไว้กับ 200SX ในวันที่เขาเริ่มโด่งดังกัน

การโมดิฟาย 200SX ทำได้หลากหลายมาก และ..น่าทำมาก จนทำให้การหา 200SX สภาพเดิมสนิทแห้งเนี้ยบๆ เป็นเรื่องยากกว่าการพบหมานั่งอ่านหนังสือปลุกใจเสือป่าหน้าร้านสเวนเซ่นส์ในคืนวันฮาโลวีน ประกอบกับช่วงปี 2010 เป็นต้นมา ราคาของ 200SX มือสอง ลงไปถึงจุดที่ต่ำสุดที่มันจะไปได้แล้ว คือราวห้าแสนบาท..หรือสี่แสนถ้าเป็นฤดูบอลอังกฤษแข่งแล้วมีคนเสียเงินต้องรีบขายรถมาโปะ ห้องเครื่องไม่เล็ก รถแดร็กควอเตอร์ไมล์ก็ต้องจบกับบล็อก JZ ทั้งหลาย ในขณะที่รถดริฟต์ก็มักจะยืนพื้นกับ SR20DET จะฝาแดง ฝาดำ ดำหลังหัก ของแปลกที่มีข้ามไปวาง 1UZ V8 หรือโรตารี่ก็มีบ้างแต่ไปป๊อปเท่า JZ กับ SR แน่นอน เวลา 200SX วิ่งมา มันก็ดูแต่งสไตล์เดียวกันหมด คุณไม่มีทางรู้ว่ามันจะมากับแรงม้าเท่าไหร่ระหว่าง 171 ไปจนถึง 7-8 ร้อยม้า ใช้ฟังเสียงเครื่องเอาว่าหกสูบไหม? ก็พอได้ แต่ SR บางคันก็ 600 ม้าเถอะ..

ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสขับพวก 200SX แรงระดับช้างถีบเท่าไหร่ ต้องยอมรับตามตรงว่าไม่กล้า คันที่แรงสุดที่เคยขับก็ราวๆ 450 แรงม้าซึ่งสำหรับคนด้อยประสบการณ์อย่างผมในสมัยนั้น แค่นี้ก็เยี่ยวเหนียวหนืด 60 แล้ว คันที่ผมขับแล้วชอบที่สุดกลับเป็นรถเครื่อง SR20DET จูนมาไม่เยอะ ม้าอยู่แถวๆ 350 เรารู้สึกว่ามันไม่น่าเบื่อ กดคันเร่งแล้วยิ้ม และไม่ทะลักล้นจนพาเราไปตาย แต่ที่ผมไม่ค่อยชอบขับรถ 200SX ของคนอื่นบ่อยๆ เพราะสมัยนั้น 200SX แค่เปลี่ยนล้อเปลี่ยนท่อหน่อย มันเป็นเป้าเล็งของพวกบ้าพลังคันอื่นครับ โดยเฉพาะพวก Honda VTEC 9 ล้าน 9 แสน 9 พันรอบทั้งหลายเนี่ย บางทีไม่ได้อยากจะเล่นด้วยเลยพ่อคุณ รถของเราก็ไม่ใช่ ดันตูดแอ๊ดๆ จะเล่นให้ได้ แล้ว VTEC บางคัน มันก็วิ่งน่ากลัวจริงๆเสียด้วย

เพื่อนของผมคนหนึ่งมี 200SX สมัยนั้น (ทุกวันนี้มันอยู่อุบลฯ) แอบเอารถไปใส่เทอร์โบใหญ่ โมกล่อง ม้าเท่าไรไม่รู้ รู้แต่ Turbo Lag รอรอบบ้าบอคอแตกมาก แล้วพอ 5,000 รอบปุ๊บก็ฟาดรวดเดียวไป 8,500 อย่างไวเลย ทั้งหมดนี้ แรงขนาดนี้ แต่มันใส่ล้อเดิม ไว้วิ่งหลอกตบตาชาวบ้าน วันหนึ่ง ไอ้เจสัน (นั่นคือนามจริงครับ) ไม่อยู่ คุณพ่อของเจสันซึ่งเป็นเจ้าของศูนย์ Peugeot ประดิพัทธ์ ก็คว้ากุญแจ 200SX ขโมยลูกไปขับ พ่อกดคันเร่งแล้วรู้สึกว่า เอ๊..ทำไมแรงมันไม่มีเลยวะ กดเท่าไหร่ก็เหี่ยว พอเลี้ยวโค้งเข้าถนนพระรามหก พ่อเลยกดคันเร่งเกือบมิด ก็พอดีเทอร์โบติดบูสต์รอบฟาดเสื่อสาดบิน รถก็หมุนตะแหลแต๋โดยมีคุณพ่อปล้ำพยายามจะกู้ไม่ให้รถวิ่งลงข้างทาง พ่อยูเทิร์นเอารถกลับไปบ้านก็พอดีเจสันกลับมาถึง พ่อด่าเจสันเต็มหู แล้วไล่ให้เอา “รถนิสัยเลวทราม” นั่นไปขายซะ เจสันก็ได้แต่หัวเราะ ผมก็อดขำไม่ได้ คือพ่อเป็นนักเล่นรถนะครับ แต่ท่านถนัดซ่อมรถยุโรปเป็นหลัก เคยเจอแต่พลังเทอร์โบยุโรปที่ไม่บ้าคลั่งแบบ 200SX โบหม้อเก็บผีของเจสัน

ทุกวันนี้ 200SX กลายเป็นรถที่ผมไม่กล้าเขียนวิธีดูรถ วิธีหาซื้อไปแล้ว เพราะกลายเป็นรถที่หายาก ใครที่เก็บไว้มาได้นานขนาดนี้ก็ล้วนแต่ไม่อยากขาย ราคารึก็พุ่งเอาพุ่งเอาจนตอนนี้ผมพูดได้ว่า ถ้าใครมี 200SX แท้เดิมรถสยามกลการ พาร์ทเดิม สะอาดสะอ้านไม่มีชนแล้วสี 88-95% ได้ คุณอาจจะขายมันได้ในราคาเท่ากับที่คุณซื้อมันมาเมื่อ 30 ปีก่อนเลยด้วยซ้ำ

แต่นี่ก็คือประวัติศาสตร์ดีๆในหน้าของความทรงจำที่มันจะสลายไปตามกาลเวลา ครั้งหนึ่ง Nissan เคยมีรถแบบนี้ขาย และขายดีมาก เป็นรถที่คนเห็นแล้วบอกเซลส์ว่า “หุบปากแล้วเอาเงินจองฉันไปเลย” แล้วเซลส์ก็ยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่หุบไม่ได้ค่ะเพราะต้องบอกว่าจองวันนี้รอคิวรับรถชาติหน้านะคะ” โดยที่ไม่ต้องสาธยายอะไรเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าฟังแม้แต่คำเดียว

ความหวังที่จะมีรถแบบนี้กลับมาให้เราซื้อ ในราคาประมาณรถ D-Segment ตัวท็อปๆ...เหอะ เหอะ อย่าว่าแต่ Nissan เลยครับ ไม่มีใครทำรถสันดาปทรงสปอร์ตราคาแบบนี้ให้เราซื้อได้อีกแล้ว มันแค่เป็นสิ่งที่ไม่หวนกลับคืนมา..เช่นเดียวกับเวลาของเราที่เหลือบนโลกใบนี้นั่นแหละครับ.

Pan Paitoonpong