ในช่วงสัปดาห์นี้ ผมยังนั่งทำงานอยู่กับบ้านติดต่อกันมาเป็นวันที่ 18 แล้ว ไม่ได้ติดไข้สองขีดใดๆ หรอกครับ แต่เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยกระดูกเท้าแตก ด้วยความที่แพทย์กระดูกท่านขู่ไว้ว่าถ้าไปเดินเล่นให้สะดุดอะไรจนมันร้าวเพิ่ม อาจจะต้องเติมค่าผ่าตัดหลักแสน จึงได้แต่นั่งนอนคอยดูข่าวคราวจากการทำงานของเพื่อนสื่อมวลชนท่านอื่นผ่าน Social Media ของพวกเขา ข่าวหนึ่งที่โผล่เข้ามาในวันที่ 5 ก.ค. ก็คือการเปิดตัว Hyundai Creta โฉมปี 2023 ซึ่งเป็นรถครอสโอเวอร์ขนาดกะทัดรัด วัดมิติตัวถังแล้วก็จะใกล้เคียง MG ZS และมีราคาเริ่มต้น 789,000 บาท รถรุ่นนี้จริงๆ แล้วไม่ได้เพิ่งเปิดตัวนะครับ ขายมานานแล้ว แต่ตอนเปิดตัวปีแรกรุ่นเริ่มต้นราคา 949,000 บาท คนเลยหนีไปซบฝั่งญี่ปุ่นหรือเพิ่มงบเล่น EV จีนกันเยอะ
แต่ข่าวที่คนทั่วไปอาจไม่สน แต่คนในวงการรถสนใจกันก็คือ การเปิดตัว MD คนใหม่ประจำประเทศไทย อย่างคุณโอ๊ค วัลลภ เฉลิมวงศาเวช และเอาความจริงก็คือ ผมเสนอข่าว Creta กับเสนอข่าวคุณวัลลภลงสื่อของตัวเอง ข่าวคุณวัลลภมีคนดูเยอะกว่า นั่นก็อาจเป็นเพราะว่า คุณวัลลภก็คือ MD เก่าของ Audi ประเทศไทย (Meister Technik) และมีส่วนปั้นการกลับมาทำตลาดจริงจังของ Audi ในแดนสยามตั้งแต่วันที่มีรถไม่กี่รุ่น จนวันนี้ที่ยืนหยัดได้ เป็นที่รู้จัก และมีรูปแบบรถแทบจะทุกแบบที่ลูกค้าพวกเขาต้องการ โดยก่อนหน้าที่จะมาทำงานกับ Audi ก็เคยทำงานกับ Mercedes-Benz และ Chevrolet มาแล้ว และคุณวัลลภเป็นผู้บริหารสไตล์ถอดกระดุมปกถลกแขนเสื้อทำงานอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ขลุกอยู่กับรถแบบคนที่ “อิน” ในรถที่ตัวเองขายจริงๆ ประสบการณ์เพดานบินระดับนี้ ทำให้น่าสนใจมากว่า เราจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ ใต้ร่มเกาหลีนี้บ้าง
...
ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่เป็นความน่าเจ็บปวดของ Hyundai มานานแล้วก็คือ การที่มี Hyundai H-1 รถตู้ MPV เป็นตัวแบกของค่ายมานานนับทศวรรษ พูดถึงรถ MPV ปุ๊บ คนไทยจะนึกภาพรถกี่รุ่นก็ได้แต่ต้องมี H-1 เข้าไปด้วย ซึ่งอันที่จริงนั่นไม่ใช่เรื่องแย่ ถ้าคุณขายรถแค่รุ่นสองรุ่นแล้วยังทำตลาดอยู่มานานกว่าสิบปีได้ แสดงว่ารถรุ่นนั้นก็ไม่ได้ธรรมดา แต่ H-1 เหมือนยานขนส่ง Corellian ที่เก่าแก่มากแล้ว และ Staria ที่มาใหม่ก็สามารถขายได้ในระดับหนึ่งในตลาดรถราคา 1.7 ล้านขึ้นไป และเหลือ H-1 NS ที่เป็นมรดกกรุงศรีอยุธยา ทำราคา 1.399 ล้านเพื่อกวาดลูกค้ารถ MPV ที่ไม่ต้องการจ่ายเงินซื้อตัวรถเยอะ
...
...
...
แต่เมื่อเร็วๆ นี้ การมาของ MPV พลังไฟฟ้าจากจีนอย่าง Maxus 9 ถึงแม้จะมีเพดานค่าตัวไปเริ่มที่ 2.5 ล้าน แต่ความเห่อ EV หรือความที่บางคนใช้รถเยอะจริงอยากเซฟเงินจากค่าเดินทาง ก็หันไปจองกันพรึบจนผมยังแปลกใจ ในนาทีนั้นผมคิดว่าทีม Hyundai น่าจะทราบแล้วว่าการแขวนชะตาไว้กับรถรุ่นสองรุ่น และเป็น MPV ทั้งคู่ ก็อาจไม่ใช่สิ่งที่จะค้ำจุนบริษัทได้ไปตลอด สำหรับผมนั่นคือสัญญาณบอกแล้วว่า รถรุ่นใหม่ๆ เป็นสิ่งที่จำเป็น และคิดว่าคุณวัลลภ อาจจะต้องเข้ามาเพื่อเป็น “Mastermind” ในการขยายจำนวนโมเดลรถในตลาดให้ Hyundai คล้ายกันกับที่เขาเคยทำสมัยอยู่ Audi
ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ Hyundai ต้องกลับมาเอาจริงกับรถเซกเมนต์อื่นนอกเหนือจาก MPV บ้าง ที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีรถเก๋งขาย แต่พอเอ่ยชื่อ บางคนจะนึกไม่ออก ใครจำ IONIQ ได้บ้าง? นี่คือรถ EV แบกแบตไร้ไอเสียแท้ๆ ที่ Hyundai นำเข้ามาขาย ในช่วงเวลาเดียวกันก็มีครอสโอเวอร์ที่เป็น EV อย่าง Kona EV ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้ มาเปิดตัวในช่วงเวลาที่คนยังไม่หายกลัวรถไฮบริด และสาธารณูปโภครถ EV ยังไม่ดีเท่าทุกวันนี้ ที่สำคัญคือ ด้วยราคาค่าตัวสองล้านกว่าบาท ที่เทียบเท่ารถ Entry level ของ BMW, Audi และ Mercedes-Benz จึงมีคนรักจริงหวังแต่งกับ IONIQ และ Kona น้อยนัก
มันเหมือนคำสาปอย่างหนึ่งว่า Hyundai มีรถเก๋งที่ดีหลายรุ่น แต่เพราะต้องนำเข้าจากเกาหลี ทำให้ราคามันแพงมากเมื่อเทียบกับรถญี่ปุ่นประกอบในประเทศ Elantra Sport ที่ประกอบจากมาเลย์ แหกกฎนี้ได้ แต่ทุกวันนี้ก็นับเป็นรถหายากอยู่ ในการที่จะขายรถในบ้านเราได้ในราคาถูก โดยไม่ได้ประกอบในไทย คุณก็ต้องเป็น EV ประกอบจากจีน หรือไม่ก็เป็นรถอะไรก็ได้ที่ประกอบจากประเทศในเขตอาเซียน ซึ่งเราให้สิทธิในการนำของจากเพื่อนในอาเซียนมาขายโดยไม่มีกำแพงภาษีนำเข้าสูงปรี๊ด
ในวันนี้ เมื่อ Hyundai Mobility จะเริ่มการศึกในสมรภูมิตลาดประเทศไทย การมี Creta และ Stargazer เป็นรถจับลูกค้างบหลักแสนไว้ ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่เลวแล้ว โดยเฉพาะ Stargazer ซึ่งหน้าตาล้ำยุค ภายในแอบเชย แต่พอพูดถึงการขับ กลับให้สมรรถนะดีเกินคาด ทำการตลาดให้คนได้มีโอกาสลองขับลองนั่งกันมากขึ้นก็น่าจะดันยอดแบบทรงตัวอยู่ได้ แต่เมื่อพูดถึงตลาดระดับราคาเข้าหลักล้าน ยังมีช่องว่างเหลือให้เล่นอยู่
หลายคนดูเว็บ Hyundai Global แล้วเห็นว่ามีรถแปลกใหม่มากมายหลายรุ่น มีหลายคนอยากเห็นรถ N-Series ซึ่งก็คือพวกรุ่นสมรรถนะสูงพิเศษ แต่ผมคิดว่าในความเป็นจริง เมื่อรถเหล่านี้ล้วนประกอบจากเกาหลี การนำเข้ามาขายในไทยย่อมทำให้ราคาสูง และมันก็อาจไปเข้าอีกรอบเดิมกับรถที่ “สวยเว้ย” “ขับดีเว้ย” แต่ “ราคานี้เราไม่สู้ว่ะ” ดังนั้น พวกรถพันธุ์แรงแต่งทรงไปทางซิ่ง ก็อาจต้องเก็บไว้วิ่งที่เกาหลีกับเมืองฝรั่งก่อน ในความคิดของผม มี Product ที่ ผมอยากเสนอทาง Hyundai Mobility ประเทศไทยลองพิจารณาดู พร้อมทั้งเหตุผลประกอบ แบบนี้ครับ
ตัวแรก คือรถที่เอามาโชว์ในประเทศไทยสองรอบแล้วยังไม่ได้ขายสักทีอย่าง IONIQ 5 ซึ่งจัดเป็นรถคลาสใกล้เคียง Civic ด้วยความยาวตัวถังราว 4.6 เมตรแต่กว้างเกือบ 1.9 เมตร หน้าตาดูเหมือนคนออกแบบอินจัดกับรถยุโรปยุค 1980s ตอนปลาย แต่ก็มาปรุงแต่งจนดูล้ำสมัยได้เหมือนกัน IONIQ 5 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบกแบต ไร้ควันไอเสีย ซึ่งน่าจะมาเติมช่องว่างของ Hyundai ไทยในปัจจุบันที่ไม่มีรถ EV รุ่นใหม่ๆ ทำตลาดอยู่เลย
IONIQ 5 มีแบตเตอรี่ 3 ระดับความจุ รุ่น Standard Range 58 kWh รุ่น Long Range 72.6 kWh และรุ่น Extra-long Range 77.4 kWh และสำหรับทุกรุ่น ก็จะมีทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง และขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งจะมีแรงม้าไล่ตั้งแต่ 170 ไปจนถึง 325 แรงม้า เหมือนกับ EV รุ่นใหม่ๆ จากหลายค่ายซึ่งมีรุ่นย่อยไว้รองรับตั้งแต่อาม่าขับไปจ่ายตลาดจนถึงวัยรุ่นใจร้อนชอบแรงดึงหน้าตึงเยอะๆ ซึ่งใน IONIQ 5 รุ่นที่ถูกที่สุด แบตเตอรี่เล็ก ขับเคลื่อนล้อหลัง ก็ยังสามารถวิ่งได้ไกล 384 กิโลเมตร และที่พูดนี่คือมาตรฐาน WLTP นะครับ ไม่ใช่ NEDC และยังทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ภายในเวลาราว 9 วินาที ซึ่งสมรรถนะระดับนี้ พอสำหรับคนส่วนใหญ่บนท้องถนนแน่นอน ส่วนรุ่น 325 แรงม้า ก็มีแรงถีบออกตัวไปใกล้รถสปอร์ตเครื่องสันดาป 0-100 จบในราว 5 วินาที
ถามว่า ทำไมต้อง IONIQ 5 เล่า? ในเมื่อ Hyundai ก็มี IONIQ 6 ที่ดูล้ำกว่า ทรงสปอร์ตกว่า ประเด็นสำคัญที่ผมมองอยู่ตรงนี้ครับ..IONIQ 6 นั้น ปัจจุบันยังมีการประกอบที่โรงงาน Asan ในเกาหลีเท่านั้น ถ้านำเข้ามา ก็ต้องดูว่ารัฐบาลไทยจะใจดีลดภาษีนำเข้าให้ได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ ก็เหมือน Nissan LEAF แหละครับ ขายแพงเพราะเจอภาษีหนักกว่ารถจีน แต่คนไปด่าบริษัทรถเสียอย่างนั้น แต่ในทางตรงกันข้าม IONIQ 5 นั้น มีการประกอบในภูมิภาคอาเซียน คือที่โรงงาน PT Indonesia ที่เดียวกับที่ประกอบ Creta และ Stargazer นั่นล่ะครับ แต่ที่ยังไม่แน่ชัดคือ โรงงานอินโดประกอบพวงมาลัยขวาด้วยหรือไม่ เพราะพอ IONIQ 5 ไปทำตลาดที่สิงคโปร์ เขาก็เอาพาร์ตทั้งจากอินโด และจากเกาหลี แล้วไปประกอบเป็นคันที่สิงคโปร์ ณ โรงงาน Jurong กลายเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปีที่มีการประกอบรถในสิงคโปร์เลยก็ว่าได้
สิงคโปร์ ก็เป็นพวงมาลัยขวาเหมือนมาเลย์และบ้านเรานั่นล่ะครับ ทีนี้ หากจำนวนส่วนประกอบที่นำเข้าจากเกาหลีไม่ได้มากเกินที่เกณฑ์อาเซียนกำหนด ก็สามารถนำเข้ามาขายในไทยได้ ไม่โดนภาษีนำเข้าโหด และส่งผลให้ตั้งราคารถได้น่าซื้อมากขึ้น ตรงนี้ อาจต้องดูเงื่อนไขอย่างละเอียดอีกทีว่ามีข้อติดขัดประการใดหรือไม่ สิ่งที่จะเป็นตัวหยุดความบันเทิง อยู่ที่ราคาขาย Final ซึ่งไม่ว่าจะรับสิทธิทางภาษีอะไรแบบไหน หากท้ายสุด ราคาของรถแพงเกินหน้า Tesla Model 3 ในรุ่นที่คุณสมบัติใกล้เคียงกัน โอกาสจะขายได้มันก็น้อยลง แล้ว Tesla นั้นอัพแอนด์ดาวน์ราคาตามอารมณ์เมียที่บ้านอีกต่างหาก
ถ้ามาแล้วแพง อย่ามา..คตินี้ใช้ได้เสมอ เว้นเสียแต่ว่าตัว Product นั้นเป็นที่เรียกร้องของคนจำนวนมากแบบเหลือเชื่อ หรือสวย ล้ำ เริดแบบเหลือเชื่อในสายตาลูกค้าตัวจริง ถึงจะแหกกฎได้
ความหวังที่สอง ซึ่งยังลูกผีลูกคนในเชิงปฏิบัติ แต่น่าสนใจมาก และโดยส่วนตัวผมมองว่า “หน้าอย่างนี้ ขายได้” ก็คือ Hyundai Kona เจเนอเรชันใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวปลายปี 2022
Kona รุ่นที่แล้ว Hyundai บ้านเราสมัยอยู่ภายใต้การดูแลของกลุ่มธุรกิจโซจิทสึของญี่ปุ่น ก็เคยมีการนำเข้ามานะครับ ผมเองก็เคยขับ รถ EV คันเล็ก ภายในแคบจน MG ZS ดูเหมือน S-Class ไปเลย แต่พลังมอเตอร์รุ่น SEL 204 แรงม้า ถีบแรงสะใจมาก แต่ขับง่ายและสนุกดีเสียด้วย แต่ในราคาที่ซื้อ Fortuner ตัวท็อปได้แล้วเหลือเงินเติมดีเซลอีกกว่าครึ่งล้าน คุณคิดว่ามันจะขายได้ไหมล่ะ?
คราวนี้ Kona รุ่นใหม่ ขยายตัวป่องเพิ่มลบคำครหาว่านั่งไม่สบาย ขนาดตัวรถเลยขยับไปอยู่ในพิกัดชนกับ Nissan Kicks และพอจะเล่นกับ Mazda CX-30 ได้ แต่ยังไม่เน้นเนื้อที่การบรรทุกมากเท่า Corolla Cross ซึ่งผมว่ารถครอสโอเวอร์ขนาดตัวระดับนี้นั้น กำลังบูม และไม่น่าจะตายง่ายๆ ตราบใดที่เมืองหลวงของเรายังมีน้ำท่วมชนิดเข้าพื้นรถได้ทุกครั้งที่ฝนตกหนัก และ Creta ที่ขายอยู่แล้ว ถึงแม้จะเป็นรถที่มีทุกอย่างสมเหตุผลตามราคาแบบพอคุยได้ แต่ลองเอารูปมาเทียบดู จะรู้สึกได้ถึงความต่าง เพราะตำแหน่งทางการตลาดของ Kona นั้นจับลูกค้ากลุ่มที่มีเงินหนากว่าได้
จุดที่ Kona มีความน่านำมาให้คนไทยกินนั้น นอกจากจะมีดีไซน์ซึ่งคุยง่าย หน้าตาแหลมลิ่มสปอร์ต มีเอกลักษณ์ที่รู้เลยว่าเป็นญาติกับ Stargazer และ Staria รูปทรงออกแบบมาดูล้ำสมัยทั้งคัน บางคนบอกว่าดูแล้วเหมือน EV ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะทีมออกแบบให้สัมภาษณ์สื่อฝรั่ง ก็บอกว่าพวกเขาตั้งใจออกแบบ Kona ให้ดูเหมือนรถ EV เพื่อที่ว่าในวันที่ EV วิ่งเต็มท้องถนน Kona จะได้ไม่กลายเป็นวัตถุโบราณที่แปลกประหลาดไป และเมื่อเทียบกับรถระดับ HR-V, C-HR และ CX-30 ผมคิดว่าทรงแบบนี้ แม้ไม่ได้ถูกใจสำหรับทุกคน แต่ความเด่นมันเตะโดดออกมาตามราคาเลยเมื่อเทียบกับ Creta
ข้อต่อมา ที่ผมชื่นชอบใน Kona ก็คือ มันมีขุมพลังทุกแบบครับในตลาดโลก ประเทศไหนน้ำมันคุณภาพห่วยหน่อย หรืออยากคุมต้นทุนราคารถ ก็มีเครื่อง 2.0 ลิตรธรรมดาๆ เกียร์ CVT 150 แรงม้า ประเทศไหนน้ำมันดี หรือมีลูกค้าที่เท้าหนักเยอะๆ ก็มีเครื่อง GDI 1.6 เทอร์โบ 198 แรงม้าเกียร์คลัตช์คู่ ถ้าที่ไหน คนเน้นเรื่องประหยัดน้ำมันมาก ก็มีรุ่นไฮบริด 1.6 ซึ่งถึงแม้อัตราเร่งจะออกแนวคุณป้า แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกับ C-HR Hybrid ที่เคยขายในบ้านเรา ..และแน่นอน มันมีรุ่นที่เป็น EV 100% (BEV) ให้เลือกด้วย และมีทั้งรุ่นพิสัยใกล้ แบตเตอรี่ 48.6 kWh 135 แรงม้า และรุ่นพิสัยไกล แบตเตอรี่ 68.4 kWh 204 แรงม้า
ความที่หนึ่งบอดี้สามารถมีขุมพลังได้หลากหลาย ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามความเหมาะสม สำหรับผมในเวลานี้ สำหรับลูกค้าที่เป็นคนใช้งานทั่วไป รุ่นไฮบริด กับรุ่น EV ก็น่าสนสำหรับประเทศไทย และที่สำคัญคือ ทำให้เส้นแบ่งทางการตลาดระหว่าง Creta กับ Kona ไม่ทับกัน Creta ทำราคาน่ารักกว่า และใช้เครื่องเบนซิน 1.5 ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มที่ประหยัดงบหรือยังต้องการความ Analog แบบรถยุคก่อนเหลือไว้บ้าง แล้ว Kona ก็เติมส่วนที่เหลือสำหรับลูกค้ากลุ่มที่งบเยอะ และต้องการจ่ายเพื่อความทันสมัยที่มากขึ้น รุ่นพวกรุ่นเทอร์โบ หรือรุ่นสมรรถนะสูง ไว้ว่ากันทีหลังได้ คนเรียกร้องบน Social มีเยอะ แต่ถึงเวลาขายจริง คนพวกนี้บางทีก็ไม่ใช่คนที่มีเงินซื้อครับ เห็นอะไรก็เชียร์ไปเรื่อยโดยไม่ได้มองเผื่อมุมธุรกิจด้วย
ปัญหาของ Kona ก็คือ ถ้าผมจำไม่ผิด ยังไม่มีการผลิต Kona เจเนอเรชันล่าสุดนอกเหนือจากที่เกาหลี เจเนอเรชันที่แล้ว มีผลิตประกอบจากโรงงานของ Hyundai ทั้งที่เกาหลี จีน อินเดีย สาธารณรัฐเช็ก เวียดนาม แต่ไม่มีที่อินโดนีเซีย ดังนั้นก็ต้องมาดูว่า Kona โฉมนี้ จะมีลุ้นประกอบที่ไหนบ้าง อย่าไปนับรถที่ขายออสเตรเลียเพราะพวกนั้นเขาจะส่งมาจากที่เกาหลี ส่วนบ้านเรานั้น หนทางที่จะเอามาขายโดยทำราคารถให้สามารถแข่งขันได้จริง ก็มีอยู่สองกรณี
หนึ่ง ลุ้นให้มีผลิตที่โรงงานในอาเซียน ซึ่งอาจจะเป็นอินโดนีเซีย หรือเวียดนาม แล้วนำเข้ามาขายในบ้านเรา แต่กับเวียดนามนั้น ถ้าจำไม่ผิด รถเกาหลีบางรุ่นของบ้านเรา เคยเอารุ่นย่อยตัวถูกสุดไปผลิตที่เวียดนามแล้วคุณภาพการประกอบไม่น่ารักเท่าไร
สอง คือ ไปผลิตที่จีน แล้วเอาเวอร์ชัน EV นำเข้ามาขายในไทย เอามาได้แค่เวอร์ชัน EV เท่านั้นที่จะทำราคาน่าคบหาได้
อาจจะมีกรณีที่สามคือ เอารุ่นมีเครื่องยนต์หมุนตะแหง่วๆ ใต้กระโปรงหน้า มาจากอาเซียน แล้วก็เอารุ่น EV มาจากจีน แต่ถ้ามาครบแบบนั้นจริง แปลว่าบริษัทแม่ที่เกาหลี หนุนหลังฝั่งไทยให้กันแบบโคตรรักเอ็งเลยเท่านั้น
อันที่จริง Hyundai ยังมีรถอีกหลายรุ่น แต่โดยส่วนตัว ผมมองว่าถ้าจะมีโอกาสแข่งขันจริง ราคากับสิ่งที่ได้ คือสิ่งที่ผู้บริโภคไทยจะคำนึงถึงอย่างมาก ที่ผ่านมา Hyundai เคยมีรถสวย รถขับดีในไทยมาก แต่ขายได้น้อยเพราะพอพูดเรื่องราคาแล้ว บริษัทรถจากญี่ปุ่นกับจีนตอบใจผู้บริโภคได้มากกว่า
รถอย่าง Sonata ใหม่ สวยล้ำจริง แต่นั่นคือตลาดที่เดือนนึงขายรถได้ 400-500 คัน ต่อให้ Sonata ขายได้ 30% ของตลาด ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก เราก็กำลังพูดถึงรถที่ขายเดือนละ 120-150 คันเป็นอย่างมาก (และนั่นคือ ในกรณีที่ราคาของ Sonata ขายแข่งกับ Camry ได้เท่านั้นนะครับ) ส่วนรถพิกัดเล็กอย่าง i20 กับ i30 นั้น แม้จะมียอดขายต่อเดือนมาก แต่ตัวผลิตภัณฑ์ของทาง Hyundai เอง ไม่ได้ดูมีความโดดเด่นเมื่อเทียบกับเจ้าตลาดที่ดักรอตีกบาลอยู่ ไม่ว่าจะเป็น Yaris, ATIV, City หรือ Almera ส่วนรถแปลกอย่าง Veloster นั้น โชว์ได้ สร้าง Talk of the town ได้ แต่ไม่น่าจะสร้างยอดขายได้ครับ
สิ่งที่ผมเขียนทั้งหมดนี่ ปกติ ก็จะเป็นสิ่งที่แสดงความเห็นให้คนในบริษัทรถฟังทำนองนี้อยู่เสมอ ต้องมีเหตุที่สมควร ผลที่มีแนวโน้มการสร้างรายได้ทางธุรกิจ และต้องพิจารณาความน่าจะเป็น รวมถึงปัจจัยที่บริษัทรถนั้นสามารถทำได้ หรือทำไม่ได้ เพราะเขาไม่สามารถจ่ายเงินหลายร้อยล้าน นำรถเข้ามา แล้วแลกกับการที่เราบอกว่า มันสวย และน่าจะมีขายนะ ผมคงทำได้แค่เสนอไอเดียส่วนตัว ซึ่งหากมีเงื่อนไขที่บริษัทรถติดขัด ก็ไม่จำเป็นต้องทำตาม เพราะผมไม่ได้เอาหัวไปวางบนโต๊ะ CEO แล้วบอกว่า ตัดหัวผมได้ถ้าผมแนะนำคุณผิด
ปกติจะพูดแบบนี้กับชาวบริษัทรถแหละครับ แต่ดูแล้ว ช่วงนี้ทีมงานชาว Hyundai น่าจะยุ่งกับการปรับบ้านให้เป็นป้อมปราการกันพอสมควร ผมเลยเขียนเอาไว้แบบนี้ เผื่อพี่วัลลภหรือฝ่ายการตลาดมาอ่าน เวลาเจอหน้ากันจะได้เอาเวลาไปคุยเรื่องอื่นที่ผ่อนคลายกว่านี้..เช่นเรื่องอะไร ผมไม่บอกหรอกครับ แฮ่!
Pan Paitoonpong