คำถามยอดฮิต-ซื้อรถญี่ปุ่นยุคนี้ เลือกพลังเครื่องล้วน หรือไฮบริดดีกว่า?
ผมจะเล่นไฮบริดดีไหมครับ? ดิฉันไม่แน่ใจว่ารุ่นเบนซินน่าเล่นกว่าหรือเปล่า? ไม่มีหรอก 1 คำตอบที่ตอบสำหรับทุกคน แต่การจะดูว่าขุมพลังไหนเหมาะกับตัวคุณเอง ข้อมูลเบื้องต้นกับเครื่องคิดเลขก็ช่วยชี้ทางคุณได้
ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่ารถไฮบริด มีคนยอมรับมากกว่าแต่ก่อนเยอะ คุณนึกถึงปี 2012 ที่รถไฮบริดยังเป็นสินค้าแปลกใหม่สิครับ ทุกคนบอกว่าจุกจิก ไม่ทน ไม่คุ้ม ซ่อมแพง อย่าเลย อย่าเล่น อย่าซื้อ ทุกวันนี้ เราทราบกันแล้วว่ามันขึ้นอยู่กับแต่ละค่ายที่จะมีนโยบายสนับสนุนผู้ใช้อย่างไร และพัฒนาองค์ประกอบด้านไฮบริดให้มีความทนทานแค่ไหน ถ้าเป็น Toyota กับ Honda หลายคนจะไม่ค่อยห่วง เพราะช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ความจุกจิกแม้มีบ้างก็แก้จบ ไม่ค่อยเรื้อรังดูดเงินดูดเวลาเจ้าของแบบไฮบริดยุโรป แบตเตอรี่เสื่อม ก็แข่งกันที่วารันตีแบตเตอรี่ให้ยาวขึ้น นี่คือสาเหตุที่ทำให้ 10 ปีให้หลัง ลูกค้ากล้าซื้อรถไฮบริดมากขึ้น
...
จากเดิม “ไม่เอาเธอ อย่าเล่นรถไฮบริด ไม่คุ้ม ไม่ดี” กลายเป็น “เออ เธอๆ เราจะเล่นรุ่นไฮบริดดีไหม?”
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะรู้เรื่องรถ แล้วพอรู้ ก็ไม่ทราบว่าจะไปถามใครที่เชื่อถือได้ ..มาถามผม ผมออกตัวก่อนเลยว่าอย่าเพิ่งเชื่อผม 100% นะ เพราะผมยังไม่รู้เลยว่าคุณใช้รถแบบไหน และกะจะใช้นานแค่ไหน แต่ตัวคุณเอง กับกระดาษและเครื่องคิดเลข และข้อมูลเบื้องต้นเท่าที่สามารถหาได้ ก็เป็นตัวสตาร์ตที่ดี เมื่อคุณนำไปพิจารณาต่อยอด ก็จะสามารถฟันธงให้ตัวเองได้ (ให้ตัวเองพอนะ ไม่ต้องไปฟันเผื่อคนอื่น) จะเครื่องล้วนๆ หรือจะไฮบริด ลองคิดตั้งต้น จากสิ่งเหล่านี้สิครับ
***อุปกรณ์ติดรถ และชุดอำนวยความปลอดภัย***
หลายคนจะซื้อรถไฮบริดเพราะอยากประหยัดค่าเชื้อเพลิง แต่เงินจากการประหยัดจะกี่บาทก็ไม่คุ้มเท่าชีวิตเราหรอกครับ สิ่งที่เป็นเทรนด์ชัดเจนในปัจจุบันก็คือ รถไฮบริดญี่ปุ่น มักได้อุปกรณ์ติดรถเยอะกว่ารถรุ่นเบนซิน หรือไม่ก็จัดให้รุ่นท็อปๆของครบๆมีแต่ขุมพลังไฮบริดเท่านั้น ซึ่งอันนี้ ก็แล้วแต่รุ่นของรถ ถ้าคุณกำลังมองหารถมือสองจากปี 2015-2020 ก็เป็นไปได้ที่จะเข้าข่าย “ของดีๆ มีแต่ในรุ่นไฮบริด” ซึ่ง อาจจะเป็นเพราะ หนึ่ง บริษัทรถรายนั้นต้องการจะบังคับทางอ้อมให้ลูกค้าหันไปซื้อรถไฮบริด หรือ สอง เพราะรถไฮบริดมักได้อัตราภาษีสรรพสามิต (ซึ่งเป็นภาษีที่รวมอยู่ในค่าตัวรถตอนเราซื้อ..ไม่ใช่ภาษีตอนต่อทะเบียนประจำปี) ถูกกว่า
สรรพสามิตคือ เงินที่พอเราจ่ายไปแล้ว ไปเข้ารัฐ..ไม่ได้เข้าบริษัทรถ พอรัฐบอกว่า “ถ้ารถคุณเป็นไฮบริด เราจะเก็บเงินส่วนนี้น้อยลง” มันก็จะทำให้ราคาหน้าโชว์รูมถูกลง แต่แทนที่จะขายในราคาถูกลง บริษัทรถก็เลือกที่จะยัดอุปกรณ์ต่างๆ เข้าไปเพิ่มให้ดูฟู่ฟ่าขึ้น
...
ในรถเบนซินขนาดกลางๆ มักเสียภาษีสรรพสามิตราว 20% แต่รถไฮบริดของรุ่นเดียวกันมักเสียแค่เพียง 4% เท่านั้น แม้รถไฮบริดจะมีต้นทุนเพิ่มจากแบตเตอรี่มาบ้าง ก็ยังสามารถอัดของเพิ่มในรถได้ ซึ่งในรถก่อนปี 2020 บางรุ่น คุณจะพบว่า หากไม่ใช่ไฮบริด ไม่มีสิทธิได้เซฟตี้ครบ แล้วเซฟตี้คือสิ่งที่คนไทยมองข้ามมาก ทั้งที่มันช่วยชีวิตคนมาเยอะแล้ว
สมมติว่าผมเป็นพ่อคน และลูกสาวผมจะซื้อรถ และ..และสมมติว่าลูกสาวผมเป็นหมอ ทำงานหนัก กลับบ้านดึกประจำ ผมจะเลือกรถที่ไม่มีประวัติอาการเอ๋อของระบบความปลอดภัย และเลือกรถที่มีตั้งเตือนส่งเสียงเวลารถเฉออกนอกเลน และระบบเบรกอัตโนมัติมาให้ คุณต้องไม่ลืมว่าคนอาชีพที่ทำงานหนัก กลับบ้านยามวิกาล ก็มีโอกาสที่จะหลับในมาก แล้วถามจริงๆ คำว่าหลับในน่ะ..เอาชีวิตคนไปกี่คนแล้วทั้งที่อยู่ในรถและนอกรถ ถ้าบริษัทรถจะมีอุปกรณ์แบบนี้เฉพาะในรุ่นไฮบริด คุณจะมานั่งคิดเรื่อง ค่าตัวรถกับราคาขายต่ออีกหรือครับถ้าคนที่ขับนั้นเป็นลูกคุณ? จริงอยู่ว่าการมีของเหล่านี้ ไม่ได้ “ลบ” โอกาสการเกิดอุบัติเหตุ แต่ “ลด” โอกาสลงได้ ก็คุ้มที่จะมี ผมอยากให้พิจารณารูปแบบชีวิตตรงนี้ กับการเลือกรถที่ช่วยลดความเสี่ยงให้เรา เป็นอันดับแรกครับ มันสำคัญกว่าคำว่า ไฮบริด หรือไม่ไฮบริด
...
***ความคุ้มจากค่าเชื้อเพลิงที่ประหยัดไป***
สิ่งนี้คือจุดที่คนให้ความสนใจมากที่สุด แต่ไม่ทราบว่าจะมีวิธีคำนวณอย่างไร ในกรณีที่เป็นรถรุ่นเดียวกัน ต่างกันแค่ขุมพลัง เรายังพอสามารถคาดคะเนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงอย่างมีข้อมูลได้ครับ ดีกว่าเดามั่ว หรือไปฟังคนที่ไม่เคยขับรถไฮบริดพูด
การที่จะทราบความต่างในด้านค่าเชื้อเพลิงได้ คุณต้องทราบก่อนว่ารถแต่ละรุ่น กินน้ำมันขนาดไหน ซึ่งมีด้วยกันหลายวิธี อาจจะถามจากคนที่ใช้ก็ได้ หรือถ้าคุณดูการทดสอบเป็นหลัก การทดสอบของเว็บ headlightmag.com จะใช้ได้ดีสำหรับการเทียบแบบขับทางไกล เพราะรูปแบบที่ทดสอบคือวิ่งบนถนนเดียวกัน และใช้ความเร็ว 110 ตลอดทาง อีกแหล่งที่คุณพอเอาตัวเลขมาใช้ได้ก็คือ Ecosticker หรือหาจากเว็บ car.go.th ซึ่งตัวเลขที่เขามีให้ แม้จะเป็นตัวเลขที่ดูดีมากจนทำในชีวิตจริงได้ยาก แต่เราไม่ได้สนว่าดี/ไม่ดี เราสนแค่ว่า รุ่นเบนซิน กับรุ่นไฮบริด ต่างกันแค่ไหน
...
ยกตัวอย่าง Corolla Cross แล้วกันครับ โดยใช้ข้อมูลจาก car.go.th จะเห็นได้ว่าการวิ่งในเมือง รุ่นเบนซิน 8.3 ลิตร/100 กม. และรุ่นไฮบริด 3.9 ลิตร/100 กม. เอาแปลงเอา 100 ตั้ง หารด้วยจำนวนลิตรของน้ำมันที่ใช้ ก็จะได้ 12.04 และ 25.64 กม./ลิตรตามลำดับ เขียนใส่กระดาษหรือจะใช้ Microsoft Excel ช่วยคำนวณก็แล้วแต่สะดวก เมื่อคุณทราบว่าน้ำมัน 1 ลิตร วิ่งได้กี่กิโลเมตร และทราบว่าน้ำมันราคาลิตรละเท่าไร อย่างวันนี้ Gasohol95 ราคาลิตรละ 35.75 บาท
ต่อมา คุณก็ลองเช็กว่าคุณใช้รถปีละกี่กิโลเมตร ถ้ามีรถที่เคยใช้ประจำอยู่แล้วก็ไม่ยากที่จะทราบ หรือถ้าไม่ทราบอะไรเลย ไม่เคยจดอะไรสักอย่างในชีวิต ก็ลอง Google Map ระยะทางจากที่บ้านไปที่ทำงานว่าไกลแค่ไหน หาให้ได้ว่าปีนึงใช้รถประมาณกี่กิโลเมตร สมมติว่าเป็นคนทั่วไป ใช้รถปีละ 20,000 กิโลเมตรแล้วกัน ก็เอา 20,000 ตั้ง หารด้วยตัวเลข อัตราการสิ้นเปลืองกิโลเมตรต่อลิตรของรถทั้งสองรุ่น ก็จะได้ตัวเลขว่า รุ่นเบนซิน ใช้น้ำมันปีละ 1,661 ลิตร รุ่นไฮบริดใช้น้ำมันปีละ 780 ลิตร จากนั้นเมื่อรู้แล้วนี่..ว่าปีนึงใช้น้ำมันกี่ลิตร ก็เอาค่าน้ำมันต่อลิตรคูณไป ก็จะได้ว่ารุ่นเบนซิน ต้องโดนค่าน้ำมัน 59,380 บาทในทุกๆ 20,000 กม. และรุ่นไฮบริดสบายบรื๋อ จ่ายเพียง 27,885 บาทต่อลิตร
แต่เนื่องจากตัวเลขที่เราเอามาจาก car.go.th มันจะเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างทำได้ยากในชีวิตจริง ผมจึงได้บอก ให้โฟกัสไปที่ ส่วนต่างของค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง ไม่ใช่ที่ตัวค่าใช้จ่าย ก็เอา 59,380 ลบ 27,885 เท่ากับ 31,495 บาท นี่คือเงินค่าเชื้อเพลิงที่เซฟไปในทุกๆ 20,000 กิโลเมตร ถ้าคุณใช้รถปีละ 40,000 กิโลเมตร ก็เท่ากับเซฟไป 62,990 บาทต่อปี
อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า ซื้อรถไฮบริดแล้วได้กำไรจากการเซฟค่าน้ำมันมากมาย เอาง่ายๆ คุณลองเปลี่ยนตัวเลขอัตราการสิ้นเปลืองที่ผมเลือกใช้ของ Corolla Cross ในภาพนี้จากอัตราการสิ้นเปลืองแบบวิ่งในเมือง เป็นแบบวิ่งนอกเมืองดูสิครับ ผมไม่เฉลยให้นะ อยากให้ลองใช้สมองสัก 5 นาที
***ค่าบำรุงรักษาทั้งระยะสั้นและระยะยาว***
คนจะซื้อรถไฮบริด ในสมัยก่อนก็จะโดนขู่ว่า แบตเตอรี่เป็นแสนบาทนะ ส่วนคนซื้อรถไฮบริดยุคปัจจุบัน พอบริษัทรถออกมาบอกว่ารับประกันแบตเตอรี่ 10 ปี เราก็ย้ายไปขู่คนซื้อไฮบริดแทนว่า แบตเตอรี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คอมเพรสเซอร์แอร์ ปั๊มเบรก หม้อแปลง แพงนะจ๊ะ นี่คือจุดที่ทำให้คนไม่กล้าซื้อใช้กัน แต่ถ้าคุณอยากซื้อ ก็หาข้อมูลเพิ่มสักหน่อยครับว่าค่าอะไหล่เหล่านี้ จริงๆ มันกี่บาท สมัยนี้ยกหูถามศูนย์ใกล้บ้านขอเช็กราคาก็ได้ ผมพบว่า ในอะไหล่ส่วนที่ผมกล่าวไปข้างต้นนั้น แพงไหม ก็แพงจริง ยกตัวอย่างอะไหล่ Camry Hybrid รุ่นปัจจุบัน ส่วนที่แพงที่สุดคือ Inverter ราคาเกือบสองแสนบาท อาจจะขอส่วนลดได้นิดหน่อย แต่เป็นของชิ้นที่ 10-15 ปีถึงจะเสียทีนึง ปั๊มเบรก Camry Hybrid รุ่นเก่าๆ แสนกว่าบาท ตอนนี้เหลือประมาณ 70,000 บาท คอมเพรสเซอร์แอร์ไฟฟ้า ก็พอๆ กัน ส่วนแบตเตอรี่คุณมีวารันตีอยู่แล้ว แต่ถ้ากะจะใช้รถเกิน 10 ปี เบิกใหม่ก็ราคาพอๆ กับปั๊มเบรกครับ มันถูกลงกว่าเมื่อ 12 ปีก่อนเยอะแล้ว
สำหรับรถไฮบริดญี่ปุ่นยุคนี้ส่วนมาก 5 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตรแรก มักไม่มีอุปกรณ์ชิ้นใหญ่ที่พัง ยกเว้นกรณีของ Nissan Kicks 2022-23 ที่คอมเพรสเซอร์แอร์กับ Inverter พัง เป็น Defect ที่ Nissan ยอมรับและทยอยเรียกเข้าไปแก้อยู่ ดังนั้นสำหรับคนที่กะว่าซื้อมาใช้ 5 ปีแล้วขาย คุณอาจไม่ต้องเสียเงินเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นแพงๆ แต่ผมไม่อยากให้คุณมองโลกในแง่ดีเกินไปครับ เตรียมเงินนิ่งๆ ไว้สักแสนบาท เจอเซอร์ไพรส์จะได้ไม่ร้องไห้ ถ้าไม่เจอก็แล้วไป มันคงจะไม่พังหลายอย่างพร้อมกันขนาดที่จะต้องเสียสองสามแสนบาท ถ้าเป็นไฮบริดญี่ปุ่นที่ราคารถไม่เกินสองล้าน (ถ้าเป็นไฮบริด รถเกรย์ รถหรูแปลกๆ มันอาจจะอีกเรื่องนะครับ)
รถไฮบริดบางรุ่น จะพยายามลดค่าอะไหล่ลงเป็นการจูงใจผู้บริโภค หรืออย่าง Nissan ที่อะไหล่ไม่ได้ถูก แต่ทำระบบเบรกให้เป็นปั๊ม/หม้อลมแบบเดียวกับรถเก๋งเบนซิน ก็ทำให้ค่าใช้จ่ายในจุดนี้เท่ารถเบนซินไปเลย และสำหรับคนที่ขับรถช้าๆ รถไฮบริดที่มีระบบหน่วงความเร็วในมอเตอร์ อาจช่วยให้ผ้าเบรกสึกหรอช้ากว่ารถเบนซินอีกด้วย
ทีนี้..แล้วรถเบนซินล่ะ ไม่เสียค่าบำรุงรักษาเลยหรือ? อันที่จริง ต้องพิจารณาด้วยครับว่ารถเบนซินที่ว่านั่นใช้เครื่องยนต์แบบไหน ถ้าเป็นเครื่องเบนซิน หัวฉีดธรรมดา ไม่มีเทอร์โบ ค่าบำรุงรักษาในส่วนเครื่องยนต์จะเท่าพวกรถไฮบริด แต่ถ้าเป็นเครื่องเบนซินแบบ Honda ที่มีทั้งเทอร์โบชาร์จเจอร์ อินเตอร์คูลเลอร์ หัวฉีด Direct-injection ของพวกนี้ ก็พังได้และราคาก็ไม่ได้ถูก ที่สำคัญในแง่การบำรุงรักษาระยะสั้น รถเทอร์โบ Honda จะไม่ยึดระยะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องว่า ทุกหมื่น หรือสองหมื่นกิโลเมตรนะครับ ต้องยึดตามไฟเตือนเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ซึ่งบางคันเจ้าของเท้าหนักหน่อย 5,000 กิโลเมตรก็ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมัน รถเทอร์โบยังต้องใช้น้ำมันเครื่องที่ทนความร้อนสูง ในขณะที่รถไฮบริด มักมีเครื่องยนต์ธรรมดาๆ ภารกรรมไม่เยอะ น้ำมันเครื่องเกรดถูกในศูนย์เติมใส่เปลี่ยนถ่ายที่หมื่นกิโลยังได้
ที่สำคัญคือ รถเบนซิน/ดีเซล ก็มีเกียร์ครับ ไม่ว่าจะ CVT หรือเกียร์ 5-6 จังหวะ ในขณะที่รถไฮบริดญี่ปุ่นไม่เกินสองล้าน มักเป็น e-CVT ที่ไม่ใช่เกียร์ CVT จริงๆ แต่เป็นชุดตัดต่อกำลังธรรมดาๆ ไม่ซับซ้อน แล้วเกียร์รถ ก็พังเป็นเหมือนกัน ในระยะยาว 200,000 กิโลเมตรก็มีโอกาสต้องจ่ายค่าซ่อมเกียร์ได้ แต่ซ่อมอู่นอกก็จ่าย 20,000-35,000 บาท
***เงินที่จ่ายตอนซื้อ/สรุปสิ่งที่ได้***
ดังนั้น จากข้อที่แล้ว จะพบว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์ล้วนก็มีค่าใช้จ่ายเช่นกัน แต่ในภาพรวมยังถูกกว่ารถไฮบริด คุณจึงต้องพิจารณาจากค่าบำรุงรักษาที่ทำประจำทุก 6 เดือน และเผื่อไว้สำหรับสิ่งที่มักเสียทุกสิบปีหรือแสนกิโลเมตรด้วย แล้วเอาค่าใช้จ่ายตรงนี้ เทียบกับค่าน้ำมันที่คุณเซฟได้ในแต่ละปี
ผมยกตัวอย่าง Corolla Cross อีกเช่นเคย ว่าถ้าใช้รถในเมืองตลอดเวลา และใช้งานรถปีละ 20,000 กิโลเมตร ประหยัดได้ 31,495 บาทต่อปีจากค่าน้ำมัน ภายใน 5 ปีแรก คุณลดค่าน้ำมันไปได้ 157,475 บาทแล้ว หากคุณใช้รถ 5 ปีแล้วขายเมื่อครบ 5 ปีนั้น ประกันระบบไฮบริด (เช่น มอเตอร์ กับ Inverter) อาจหมดลงแล้ว แต่ประกันแบตเตอรี่ยังเหลืออยู่อีก 5 ปี ขายต่อมือสอง คนที่ซื้อไปก็แค่เตรียมเงินไว้ซ่อมระบบไฮบริด แต่ยังสบายใจเรื่องแบตเตอรี่ได้ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ขับรถทางไกลๆ เป็นหลัก ซึ่งอัตราสิ้นเปลืองระหว่าง Cross เบนซินกับไฮบริดจะมีความแตกต่างกันน้อยลง ส่งผลให้เม็ดเงินค่าเชื้อเพลิงที่เซฟได้ในแต่ละปี เปลี่ยนไป นี่คือจุดที่คุณต้องลองพิจารณาเพื่อตัวเองด้วย
ราคาขายต่อตกรึ? ก็อาจจะจริงในช่วง 3-4 ปีก่อน แต่ปัจจุบัน ราคาขายต่อมือสอง เปลี่ยนไปมากตั้งแต่ราคาน้ำมันถีบตัวขึ้นครั้งล่าสุด คุณเห็นไหมว่า Prius ที่เคยร่วงลงไประดับสองแสนปลาย ก็ตีขึ้นมาเป็นสามแสนกลางมาแล้ว สำหรับรถรุ่นอื่นๆอย่าง HR-V กับ Kicks ตอนนี้ก็ไม่มีรุ่นเบนซิน ส่วน Civic กับ CR-V ที่มีทั้งเบนซินเทอร์โบและไฮบริด รุ่นท็อปสุดก็เป็นไฮบริด ทำให้ในตลาดมือสอง ถ้าคนซื้อแสวงหาความโก้จากอุปกรณ์เยอะๆ ก็ต้องซื้อไฮบริดอยู่ดี ราคาของไฮบริดญี่ปุ่นยุคใหม่จึง “แพงกว่าตอนซื้อ” ไม่ใช่ “แพงกว่าตอนซื้อ ได้น้อยกว่าตอนปล่อยออก”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนยังกลัวอยู่ก็คือ รถไฮบริดที่ใช้งานมาเป็นระยะทางเยอะมากๆ สมมติที่หลักสองแสนกิโลเมตรนี่ คนยังเทใจให้รถไฮบริดเท่าๆ กับรถเบนซินได้บ้าง แต่ถ้าวิ่งมา 400,000 กิโลเมตรปุ๊บ คนจะกลัวรถไฮบริดคันนั้นทันที และส่งผลให้ราคาขายต่อน้อยลงถ้าต้องการจะขายรถให้ได้..นี่คือจุดที่คนใช้รถวิ่งทางไกลตลอดและวิ่งปีละ 50,000 กิโลเมตรขึ้นไป อาจต้องคิดถึงความคุ้มค่าในภาพรวม
ดังนั้น ก็ลองคำนวณดูครับ อย่าเพิ่งยึดติดกับโมเดลที่ผมใช้ Corolla Cross เป็นตัวคำนวณ ถ้าคุณเปลี่ยนเป็นเทียบ Civic Turbo กับ Civic e:HEV หรือ CR-V Turbo เป็น CR-V e:HEV คำตอบที่ได้อาจจะต่างกัน แต่ในภาพรวม ถ้าอยากจะมองหาความคุ้ม ก็ดูว่า ตอนซื้อจ่ายแพงกว่ากันกี่บาท และภายใน 5 ปีแรก ประหยัดค่าน้ำมันได้กี่บาท ส่วนคนที่จะใช้ยาวสิบปี ก็ให้ลองเอาค่าน้ำมันที่เซฟได้ในระยะ 10 ปีมาตั้ง หักลบด้วย ส่วนต่างราคาป้ายแดง และลบด้วยมูลค่าอะไหล่องค์ประกอบไฮบริดที่ราคาแพงๆ ทั้งหลาย ถ้าตอนซื้อ ซื้อแบบผ่อนชำระ ให้เอามูลค่าของเงินดาวน์ บวกยอดผ่อนชำระทั้งหมดมาคิดนะครับ ไม่ใช่เอาราคาเงินสดมาเป็นตัวคิด
ปราการด่านสุดท้ายที่ต้องคิดคือ แล้วถ้ามันเสมอตัว ตัวรถเอง กับอุปกรณ์ที่คุณได้ กับออปชันที่คุณจะได้ใช้ในช่วง 5 หรือ 10 ปีนั้น มันคุ้มกันไหม ผมว่าหลังจากอ่านบทความนี้จบ ภายในคืนเดียว คุณๆ ทั้งหลายที่กำลังเทียบรถไฮบริดกับรถเบนซินอยู่แบบสองจิตสองใจ ก็น่าจะพบคำตอบครับ
ขออนุญาตอธิบายยาว ถึงวิธีคิดคำนวณในแบบนี้ ไม่ได้ฟันธงสำเร็จรูปให้ เพราะอย่างที่เรียนไว้ตอนต้นครับว่า แต่ละคน ให้ความสำคัญกับอุปกรณ์แต่ละชิ้นไม่เท่ากัน ใช้งานรถเป็นระยะทางต่อปีไม่เท่ากัน ผมไม่สามารถใช้คำตอบเดียวเอาไปตอบกับทุกคนได้ครับ.
Pan Paitoonpong