มีรายละเอียดไม่มากนักเกี่ยวกับเครื่องบินขับไล่ล่องหน J-20 เจเนอเรชันที่ 5 ของจีน แต่กองทัพปลดปล่อยประชาชน ได้เปิดเผยข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับสมรรถนะของ J-20 มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เมื่อมองแวบแรก โครงสร้างของเครื่องบินขับไล่โจมตีเทคโนโลยีล่องหนของแดนมังกรลำนี้ ดูคล้าย F-22 Raptor จนมี บทความของเจ้าหน้าที่ในเพนตากอน ซึ่งบอกว่า J-20 ถือเป็นการลอกเลียนแบบเทคโนโลยีอากาศยานรบล่องหนรุ่นที่ 5 ของสหรัฐฯ นั่นดูจะเป็นความเห็นที่ด้อยค่าเครื่องบินรบของ ทอ.จีนมากเกินไปหน่อย จากความคิดของอเมริกันที่ไม่ต้องการเป็นสองรองใครในด้านการทหาร อเมริกันมองจากความคล้ายคลึงของโครงสร้างระหว่าง J-20 F-35 และ F-22 ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความกังวลที่มีมาอย่างยาวนานของฝั่งตะวันตก ที่กลัวว่าสักวัน จีนจะแซงขึ้นหน้า จนเกิดการกล่าวหาว่า แฮกเกอร์จีนมีการขโมยเทคโนโลยีทางทหารของอเมริกาข้ามไปยังจีน นั่นดูจะเป็นการกล่าวหาที่เลื่อนลอย และปราศจากหลักฐานยืนยันการมีอยู่ของเทคโนโลยีล่องหนจาก ทอ. จีนนั้น แม้เทคโนโลยีการพรางตัวของเครื่องบินรบจีน จะเริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรกใน J-20 แต่อย่าลืมว่า ฝั่งรัสเซียที่เป็นพันธมิตรกับจีน มีและใช้เทคโนโลยีนี้มานานพอๆ กับอเมริกัน การถ่ายทอดเทคโนโลยีอากาศยานรบ เพื่อคานอำนาจกับโลกตะวันตก จึงเกิดขึ้นได้เสมอ
...
เครื่องบินขับไล่ J-20 มีรูปทรงที่สะท้อนต่อเรดาร์ตรวจจับด้วยเทคโนโลยีล่องหน ลำตัวโค้งมน มีโครงสร้างที่ยื่นออกมาเล็กน้อย ในจุดที่ต้องการสะท้อนการตรวจจับของเรดาร์ ช่องเก็บอาวุธถูกซ่อนอยู่ภายในลำตัว ติดตั้งระบบเรดาร์ตรวจจับแบบ Active Electronically Scanned Array (AESA) เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง J-20 และ F-35 โครงเครื่องยนต์แฝดของ J-20 ดูคล้ายกับ F-22 นอกจากนี้ โครงสร้างปีกคู่ของ J-20 แตกต่างจากการออกแบบของ F-22 หรือ F-35 เล็กน้อย เนื่องจากปีกคู่ของมันยาวกว่าและใหญ่กว่าเครื่องบินรบยุคที่ 5 ของสหรัฐฯ
J-20 นั้นยาวกว่า F-22 เกือบห้าเมตร ความแตกต่างที่ขนาดและน้ำหนัก J-20 มีน้ำหนักบรรทุกสูงสุดในการขึ้นบินและความจุเชื้อเพลิง เหนือกว่า F-22 ความยาวของ J-20 ที่ 23 เมตร เทียบกับ 18.9 เมตรของ F-22 ที่สั้นกว่ามาก พิสัยบินก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากขนาดและความสามารถในการบรรทุกเชื้อเพลิงส่งผลให้เกิดความแตกต่างของระยะทางบินปฏิบัติการอย่างมาก J-20 บินด้วยความจุถังเชื้อเพลิง 4,166 แกลลอน เทียบกับ 2,400 ของ F-22 แล้ว เครื่องของจีนบรรทุกเชื้อเพลิงได้มากกว่าถึงสองเท่าเลยทีเดียว
ความเหลื่อมล้ำนี้ส่งผลให้เกิดความแตกต่าง เนื่องจาก J-20 พร้อมถังเชื้อเพลิงสำรอง มีพิสัยทำการไกลกว่า F-22 เกือบ 3,000 กิโลเมตร J-20 สามารถบินเดินทางได้ไกลถึง 5,926 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทำการที่ทำให้เกาะไต้หวันอยู่ไม่ไกลจากจีนแผ่นดินใหญ่ ในขณะที่ F-22 มีพิสัยทำการที่ 2,963 กิโลเมตร (พร้อมถังเชื้อเพลิงสำรอง) อย่างไรก็ตาม แม้ถังเชื้อเพลิงสำรองติดตั้งภายนอกจำนวนสองถัง ทำให้ F-22 สามารถบินได้ไกลขึ้น แต่การติดถังเชื้อเพลิงสำรองจะทำให้เครื่อง F-22 มีความสามารถด้านการล่องหนลดลงอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว พิสัยบินสูงสุดของ J-20 หมายความว่ามันอาจบินได้ไกลกว่ามากด้วยถังเชื้อเพลิงขนาดใหญ่ แต่การบรรทุกเชื้อเพลิงจำนวนมาก ก็บั่นทอนขีดความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิตและการทำความเร็วเช่นกัน
...
ในฐานะเครื่องบินขับไล่ล่องหนปีกคู่ที่ยาวกว่า ทำให้ J-20 มีความคล่องตัวน้อยกว่า F-22 มีโอกาสน้อยที่จะเข้าพันตูกับ Raptor แบบตัวต่อตัว สำหรับอำนาจสูงสุดทางอากาศในการรบ เมื่อเข้าถึงพื้นที่เป้าหมายแล้ว J-20 ดูเหมือนจะมีความสามารถในการบรรทุกอาวุธที่มากกว่า เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ J-20 ช้ากว่า F-22 ก็คือ ข้อมูลตัวเลขความเร็วสูงสุดที่ 2,400 กิโลเมตรของเครื่องอเมริกัน ส่วนเครื่องของจีนนั้นมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 2,100 กิโลเมตร น้ำหนักบรรทุกสูงสุดขณะบินขึ้นก็แตกต่างกันพอสมควร มีรายงานว่า J-20 สามารถบรรทุกอาวุธทั้งภายในและภายนอกได้ 27,998 ปอนด์ หรือ 12,699 กิโลกรัม ในขณะที่ F-22 สามารถบรรทุกได้เพียง 9,600 กิโลกรัม ตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่า เครื่องบินรบที่เล็กกว่า เบากว่า และเร็วกว่าอย่าง F-22 จะมีความคล่องตัวทางการบินรบที่เหนือกว่า แต่บรรทุกอาวุธได้น้อยกว่า แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพ ขีดความสามารถของนักบิน ความแม่นยำของเซนเซอร์อาวุธกับเทคโนโลยีการกำหนดเป้าหมายของฝั่งตะวันตก
...
F-35 ซึ่งเป็นเครื่องบินรบหลายบทบาท มีน้ำหนักบรรทุกมากกว่า F-22 ก็มีรายงานว่าสามารถบินปฏิบัติการด้วยอาวุธที่ติดตั้งภายในและภายนอกอยู่ที่ 18,000 ปอนด์ หรือ 8,100 กิโลกรัม การมีขนาดที่ใหญ่กว่า และมีถังเชื้อเพลิงจุมากกว่า หมายความว่า J-20 สามารถบินปฏิบัติการโดยใช้เวลาอยู่เหนือพื้นที่เป้าหมายนานกว่า ทิ้งระเบิดในอัตราที่สูงกว่ามากในภารกิจทำลายล้าง และทำการบินได้ไกลกว่าหลายพันกิโลเมตร เว้นแต่ว่า F-22 จะบินโดยติดถังเชื้อเพลิงสำรอง ซึ่งทำให้ศักยภาพการบินล่องหนลดลง
...
การเปรียบเทียบแรงขับ F-22 ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบแฟนแบบแพรทท์แอนด์วิทนีย์ เอฟ119-พีดับลิว-100 สองเครื่องยนต์ ให้แรงขับเครื่องละ 35,000 ปอนด์ เมื่อใช้สันดาปท้ายมีกำลังเหนือกว่า J-20 แต่สื่อสิ่งพิมพ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน รายงานว่า J-20 ใช้เครื่องยนต์ WS-15 ผลิตในประเทศ มีประสิทธิภาพเหนือกว่า Saturn/Alyuka AL-31 โดยมีรายงานว่าเครื่องยนต์ WS รุ่นใหม่นั้นมีแรงขับสูงกว่า AL31F ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ของเครื่องบินขับไล่แบบ J10 โดยมีแรงขับมากกว่า 700 Kgf หรือ 6.8 กิโลนิวตัน แต่ดูเหมือนว่า J-20 ไม่น่าจะเทียบเคียงสมรรถนะด้านการทำความเร็วและความคล่องตัวกับเครื่องบินรบอเมริกัน ส่วน F-35 บินด้วยเซ็นเซอร์ ที่ช่วยให้มองเห็นและทำลายเครื่องบินรบของข้าศึกในระยะไกล ดังนั้น หาก J-20 ไม่มีระบบอาวุธอากาศสู่อากาศระยะไกลเพื่อโจมตีศัตรูก่อนที่จะรู้ตัว จะทำให้ J-20 ตกเป็นรองเครื่อง F-35 ทันที หากเครื่องบินรบอเมริกันสามารถตรวจพบ J-20 ได้ก่อน โดยที่นักบินจีนยังไม่สามารถตรวจจับ F-22 หรือ F-35 ได้ ก็จะโดนยิงก่อนด้วยอาวุธต่อต้านอากาศยานระยะไกล สำหรับการล็อกเป้าที่แม่นยำของอาวุธปล่อยอากาศสู่อากาศ น่าจะเป็นปัจจัยในการตัดสิน ทั้งหมดนี้น่าจะขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของเครื่องในการ "สร้างเครือข่าย" ที่ทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ผนวกภารกิจที่เชื่อมโยงการใช้งานกับปัญญาประดิษฐิ์ หรือ AI
F-22 Raptor บิน ขึ้นสู่ท้องฟ้าครั้งแรกเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ในปี 1997 เครื่องบินไอพ่นรุ่นที่ 5 กับเทคโนโลยีล่องหนความเร็วสูง มักถูกเรียกว่าเป็นอาวุธที่เหนือกว่าทางอากาศที่โดดเด่น ทำให้ F-22 ได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย ยกระดับศักยภาพทางการบินรบอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ด้วยความตั้งใจที่จะใช้งานไปจนถึงปี ค.ศ. 2060 ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ กองทัพอากาศสหรัฐฯ และบริษัท Lockheed Martin ร่วมอัปเกรดเทคโนโลยีขั้นสูงมากมายสำหรับ Raptor มีการ ปรับปรุงอาวุธ สปีดความเร็ว การกำหนดเป้าหมาย พิสัยบิน ระบบเรดาร์ และคุณสมบัติการพรางตัว ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา Lockheed Martin ได้ทำงานร่วมกับกองทัพอากาศในการอัปเกรดซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า 3.2b ซึ่งปรับปรุงเทคโนโลยีการประมวลผล การตรวจจับ และระบบนำร่องของเครื่องบินรบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอัปเกรดได้ปรับปรุงพิสัยที่ไกลขึ้น เทคโนโลยีนำทางแบบใหม่ ความแม่นยำของอาวุธปล่อยอากาศสู่อากาศ AIM-9X และ AIM-120D
การอัพเกรดอาวุธของ Lockheed-Air Force ได้รวมขีปนาวุธ Block II AIM-9X เข้ากับฟิวส์ที่ออกแบบใหม่ กับอุปกรณ์ความปลอดภัยการจุดระเบิดแบบดิจิทัล ไม่เพียงปรับปรุงการจัดการภาคพื้นดิน แต่ยังอัปเกรดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้รวมความสามารถ "ล็อกเมื่อเปิดใช้หลังปล่อย" โดยใช้ดาต้าลิงก์แบบใหม่ เพื่อให้การกำหนดเป้าหมายที่อยู่นอกสายตามีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ขีบนาวุธต่อต้านอากาศยาน AIM-9X ใช้อาร์เรย์ระนาบ โฟกัสอินฟราเรดสำหรับการสร้างภาพจำลอง ทำให้สามารถกำหนดเป้าหมายได้ไกลขึ้น นักบินสามารถควบคุมขีปนาวุธ AIM-9X ได้โดยเพียงแค่มองไปที่เป้าหมาย โดยใช้ระบบ Cueing ที่ติดตั้งอยู่บนหมวกบินร่วมกับระบบเล็งนักรุ่นใหม่ การอัปเกรด 3.2b ปรับปรุง AIM-120D ซึ่งเป็นขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยกลางขั้นสูง (AMRAAM) ที่เกินระยะการมองเห็น ออกแบบมาสำหรับการโจมตีทุกสภาพอากาศ ทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นขีปนาวุธ "ยิงแล้วลืม" พร้อมเรดาร์นำทาง AIM-120D สร้างขึ้นด้วยการอัปเกรดจากขีปนาวุธ AMRAAM รุ่นก่อนหน้า โดยการเพิ่มระยะการโจมตีให้ไกลขึ้น ระบบนำทาง GPS หน่วยวัดแรงเฉื่อย และการเชื่อมโยงข้อมูลแบบสองทาง
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา F-22 ถูกมองว่าเป็นเครื่องบินรบทางอากาศความเร็วสูงแบบล่องหนที่มีประสิทธิภาพยากที่จะต่อกร ปฏิบัติการบินรบในลักษณะ "การสนับสนุนทางอากาศระยะประชิด" การตรวจจับขั้นสูง และการบินรบระยะไกล ที่เชื่อมโยงการกำหนดเป้าหมายของเครือข่าย รายละเอียดและข้อมูลเรียลไทม์ทางอากาศและภาคพื้นดิน ด้วยการสนับสนุนของยุทโธปกรณ์ อื่นๆ เช่น ศูนย์บัญชาการทางอากาศแบบลอยฟ้าหรือยานบินตรวจการณ์แบบไร้คนขับ (โดรน) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กองทัพอากาศอเมริกัน ใช้งบประมาณมหาศาลเพื่อพัฒนาวิศวกรรมการเชื่อมโยงข้อมูล "สองทาง" ระหว่าง F-22 และ F-35 เพื่อให้รายละเอียดการรบที่สำคัญ สามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูล การแชร์ข้อมูลแบบทางเดียว นอกจากนี้ Northrop Grumman ยังได้ออกแบบวิทยุสื่อสาร 550 Freedom ซึ่งใช้เทคโนโลยีความถี่ขั้นสูง เพื่อเชื่อมโยง F-22 กับ F-35 โดยไม่กระทบต่อโหมดการปิดบังตัวตนหรือการซ่อนตัว
F-22 บินปฏิบัติการครั้งแรกในการโจมตีเหนือน่านฟ้าของอิรักต่อกลุ่ม ISIS เมื่อปี 2014 ซึ่งเป็นการตรวจสอบและประเมินความสามารถในการสนับสนุนทางอากาศระยะใกล้ของเครื่องบินรบ ความสามารถในการโจมตีของ F-22 จากสมรรถนะด้านความเร็วและความคล่องแคล่ว การติดตามและโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดิน ด้วยอาวุธอากาศสู่พื้นขั้นสูงที่มีความแม่นยำ ความเร็ว การกำหนดเป้าหมายที่แม่นยำ และความคล่องตัว เพื่อลดอัตราเสี่ยงความสูญเสีย ในสภาพแวดล้อมที่มีภัยคุกคาม F-22 สามารถใช้เทคโนโลยี "ซุปเปอร์ครูซ" ซึ่งทำความเร็วได้ถึงระดับมัค โดยไม่ต้องใช้อาฟเตอร์เบิร์น ช่วยประหยัดเชื้อเพลิง ยืดเวลาการปฏิบัติการด้วยความเร็วสูงและปรับปรุง vectoring สำหรับการบินปะทะกับศัตรูด้วยขีปนาวุธอากาศสู่พื้นและอากาศสู่อากาศที่ทันสมัย
J20 Stealth Fighter ใช้ชื่อโครงการว่า J-XX เริ่มต้นการวิจัยและพัฒนาในทศวรรษที่ 1990 โดยเริ่มต้นทำการทดสอบการบินในช่วงปลายปี 2010 กับเครื่องต้นแบบ J-XX เป็นเครื่องบินขับไล่โจมตีแบบล่องหนที่สามารถปฏิบัติการบินทางยุทธวิธีได้หลากหลาย เช่นเดียวกับเครื่องบินขับไล่ล่องหน F-22 และ F-35 ของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ด้วยความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีการบิน J20 Stealth Fighter จึงกลายเป็นเครื่องบินรบในยุคที่ 5 ที่มีเทคโนโลยีล่องหนหรือ Stealth เช่นเดียวกับ F-22 แร็พเตอร์, F-35 ไลท์นิ่ง 2 ของสหรัฐอเมริกา และ ซุคฮอย T-50 ของรัสเซีย โดย J20 Stealth Fighter สามารถบรรทุกอาวุธและเชื้อเพลิงได้มากกว่า F-22 และมีพิสัยทำการรวมถึงการโหลดอาวุธได้มากกว่าเครื่อง F-22 ทำให้ภารกิจของเครื่องบินขับไล่ J20 Stealth Fighter มีความหลากหลายมากกว่า ทั้งการบินระยะไกลและการบรรทุกอาวุธ.
F-22 Raptor
ผู้สร้าง ล็อกฮีด/โบอิง (สหรัฐอเมริกา)
ประเภท เจ็ตขับไล่ทางยุทธวิธีครองความเป็นจ้าวอากาศ ที่นั่งเดียว สามารถอำพรางตัวได้ พื้นผิวเครื่องบินสะท้อนเรดาร์น้อยจนรอดจากการตรวจจับของศัตรู
ลูกเรือ 1 นาย
ความยาว 18.9 เมตร
ความยาวจากปลายปีกหนึ่งสู่อีกปลายหนึ่ง 13.56 เมตร
ความสูง 5.08 เมตร
พื้นที่ปีก 78.04 ตารางเมตร
น้ำหนักเปล่า 19,700 กิโลกรัม
น้ำหนักพร้อมอาวุธ 29,300 กิโลกรัม
น้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุด 38,000 กิโลกรัม
ขุมกำลัง เครื่องยนต์เทอร์โบแฟนแบบแพรทท์แอนด์วิทนีย์ เอฟ119-พีดับลิว-100 สองเครื่องยนต์ ให้แรงขับเครื่องละ 35,000 ปอนด์ เมื่อใช้สันดาปท้าย
ความจุเชื้อเพลิง ภายใน 8,200 กิโลกรัมหรือ 11,900 กิโลกรัม เมื่อรวมกับถังเชื้อเพลิงภายนอก
ความเร็วสูงสุด
ความสูงทั่วไป >2.42 มัค (มากกว่า 2,580 กิโลเมตร/ชั่วโมง)
ซุปเปอร์ครูซ 1.82 มัค (1,963 กิโลเมตร/ชั่วโมง)
พิสัยทำการ 2,960 กิโมเมตร พร้อมถังเชื้อเพลิงภายนอก
รัศมีทำการรบ 760 กิโลเมตร
เพดานบินปกติ >65,000 ฟุต
อัตราแรงขับต่อน้ำหนัก 1.08 (1.25 พร้อมกับเชื้อเพลิงครึ่งหนึ่ง)
F-22 Raptor broń.png
อาวุธ ปืนใหญ่อากาศ เอ็ม 61 เอ 2 ขนาด 20 มม. 1 กระบอก กระสุน 480 นัด
ภารกิจอากาศสู่อากาศ
เอไอเอ็ม-120 แอมแรม จำนวน 6 ลูกในห้องบรรทุกอาวุธภายในลำตัว 2 ห้อง
เอไอเอ็ม-9 ไซด์ไวน์เดอร์ จำนวน 2 ลูก
ภารกิจอากาศสู่พื้น
เอไอเอ็ม-120 แอมแรม 2 ลูก
เอไอเอ็ม-9 ไซด์ไวน์เดอร์ 2 ลูก
ระเบิดนำวิถี จีบียู-32 เจแดม ขนาด 1,000 ปอนด์ 2 ลูก
ระเบิดเอสดีบี ขนาด 250 ปอนด์ นำวิถีด้วยจีพีเอส
Chengdu J-20
ลูกเรือ: หนึ่งนาย (นักบิน)
ความยาว: 21.2 ม. (69 ฟุต 7 นิ้ว)
ปีกกว้าง: 13.01 ม. (42 ฟุต 8 นิ้ว)
ความสูง: 4.69 ม. (15 ฟุต 5 นิ้ว)
พื้นที่ปีก: 73 ตร.ม. (790 ตร.ฟุต)
น้ำหนักเปล่า: 17,000 กก. (37,479 ปอนด์)
น้ำหนักรวม: 25,000 กก. (55,116 ปอนด์)
น้ำหนักบินขึ้นสูงสุด: 37,000 กก. (81,571 ปอนด์)
ความจุเชื้อเพลิง: 12,000 กก. (26,000 ปอนด์) ภายใน
เครื่องยนต์: 2 × Shenyang WS-10C[34][39][220] afterburning turbofan, 142–147 kN (32,000–33,000 lbf) พร้อม afterburner
ความเร็วสูงสุด: มัค 2.0
พิสัยบิน : 5,500 กม. (3,400 ไมล์, 3,000 นาโนเมตร) พร้อมถังเชื้อเพลิงภายนอก 2 ถัง
รัศมีปฏิบัติการรบ: 2,000 กม. (1,200 ไมล์, 1,100 nmi)
เพดานบิน: 20,000 ม. (66,000 ฟุต)
ขีดจำกัด g: +9/-3
อัตราการไต่: 304 ม./วินาที (59,800 ฟุต/นาที)
โหลดปีก : 340 กก./ตร.ม. (69 ปอนด์/ตร.ฟุต)
อาวุธยุทโธปกรณ์
ความจุอาวุธสูงสุด: 11,000 กก. (24,000 ปอนด์)
ช่องใส่อาวุธภายใน
ขีปนาวุธ PL-10 ระยะสั้น AAM
ขีปนาวุธ PL-12 พิสัยกลาง AAM
ขีปนาวุธ PL-15 AAM ระยะไกล
ขีบนาวุธ PL-21 AAM ระยะไกลมาก (เพื่อการใช้งานในอนาคต)
LS-6/50 กก. และ LS-6/100 กก. ระเบิดนำวิถีความแม่นยำขนาดเล็ก
ขีปนาวุธต่อต้านรังสี
เสาใต้ปีกขนาด 4× สามารถบรรทุกถังน้ำมันสำรองได้
ระบบเอวิโอนิกส์
เรดาร์ Type 1475 (KLJ-5) AESA
EOTS-86 ระบบกำหนดเป้าหมายด้วยแสงไฟฟ้า (EOTS)
การค้นหาและติดตามด้วยอินฟราเรด EORD-31
Photo By
https://i.ytimg.com/vi/B9rY61ufTXQ/maxresdefault.jpg
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/