ในบทความสัปดาห์ที่แล้วเราพูดถึง Toyota Crown ตั้งแต่จุดกำเนิด จุดที่เริ่มหาแนวของตัวเองจนเจอ จนถึงเจเนอเรชันที่ 8 ซึ่งเป็นจุดพีกของชีวิตรถรุ่นนี้ โดยทำยอดขายในญี่ปุ่นอย่างเดียวได้เดือนละ 10,000-13,000 คัน ชนทุกชั้นถวิลหาไขว่คว้ามาเป็นเจ้าของ เพราะตัวรถนั้นพรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยี มีเครื่องยนต์ให้เลือกตั้งแต่ 2.0 ไปจนถึง V8 4.0 ลิตร มีจอทัชสกรีนและช่วงล่างถุงลมปรับความหนืดได้ตั้งแต่ช่วงปลายยุค 80s
แต่สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงย่อมมาถึงกับทุกสรรพสิ่ง และบางครั้งหลายสิ่งก็เกิดขึ้นพร้อมกันจนกลายเป็นจังหวะนรกที่จะทำให้คุณเซ็งและสงสัยว่า “แม่มเอ๊ย..ทำไมทุกอย่างต้องมาลงตอนนี้วะ”
...
ในปี 1989 ทาง Toyota ได้เปิดตัวรถระดับเรือธงรุ่นใหม่ที่จะขยายอิทธิพลความหรูของ Toyota จากแค่ในญี่ปุ่น ไปสู่ตลาดระดับโลก รถคันนั้นก็คือ Lexus LS400 ซึ่งในญี่ปุ่นจะถูกตั้งชื่อว่า Toyota Celsior นี่คือรถที่กำเนิดจากพลังสมองของวิศวกรนับพัน ทดสอบนับล้านไมล์ เพื่อความหรู แรง ในแบบที่คนญี่ปุ่นคิดว่าชาวโลกอยากจะได้ และแค่เปิดตัวมันก็เขย่าโลกรถหรูด้วยการเป็นรถที่เก็บเสียงรบกวนดีชนะแบรนด์ยุโรปชั้นเลิศทุกค่าย
การมาของ LS400 ในตลาดโลก ทำให้โลกรู้ศักยภาพการทำรถหรูของญี่ปุ่น แต่การมาของ Celsior ในตลาดญี่ปุ่นเอง กลับทำให้เกิดกระแสต่อต้านในกลุ่มลูกค้าอนุรักษนิยมกลุ่มหนึ่งที่มองว่ายังไง Crown Royal คือท็อปออฟเดอะไลน์ของเขา กลายเป็นว่ากลุ่มนี้ก็จะอวย Crown ต่อไป แต่กลุ่มลูกค้าเงินใหม่อายุไม่เยอะหรือไปเรียนจบอเมริกามา กลับจะหันไปหา Celsior มากขึ้น เรื่องนี้ ประกอบกับการที่เศรษฐกิจฟองสบู่ในญี่ปุ่นแตกออกในปี 1991 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ Crown เปิดตัวเจเนอเรชันใหม่ ทำให้ชะตาของรถหรูที่กำใจคนญี่ปุ่นมา 36 ปีต้องสั่นคลอนในที่สุด
...
...
เจเนอเรชันที่ 9 - รถดีที่มาในจังหวะไม่ค่อยดี
เผยโฉมในเดือนตุลาคม พร้อมกับเรื่องแปลกใจหลายเรื่อง เรื่องแรกก็คือ ในขณะที่บอดี้ 4 ประตูกระจกไร้กรอบ (Hardtop) ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่แบบโคตรแหวกแนวจากรุ่นเดิม และเปลี่ยนรหัสตัวถังเป็น S140 รถบอดี้ 4 ประตูซีดานธรรมดาและสเตชั่นแวก้อนกลับใช้รหัสตัวถัง S130 เหมือนเดิม ตัวสเตชั่นแวก้อนมีทรงหลักๆ เหมือนรุ่นเดิม แต่รุ่นซีดานเปลี่ยนทรงใหม่ หน้าและท้ายมนขึ้น ประตูหลังโตขึ้น แดชบอร์ดแตกต่างจากรุ่น Hardtop เหมือนเกิดกันคนละทศวรรษ เรื่องนี้ถ้าใครไม่ใช่แฟน Crown จริงจะงงมากว่า Toyota เขาเล่นอะไรของเขา
...
ถ้านั่นยังไม่พอ Toyota ยังให้กำเนิด “Crown Majesta” ซึ่งภายในคล้ายกับ Crown Royal Hardtop แต่ภายนอกและขนาดตัวรถแตกต่างกัน Majesta นั้นคือรุ่นที่แยกออกมาเพื่อทำให้ตระกูล Crown ยังมีภาพลักษณ์สูง เครื่องยนต์ V8 1UZ-FE ซึ่งนำมาจาก Royal G 4.0 เจเนอเรชันก่อน และเหมือนกับเครื่องยนต์ของ Celsior จะมีในเฉพาะ Majesta เท่านั้น แต่สำหรับคนที่ไม่ได้อยากจ่ายภาษีรถสูบน้ำมันเยอะ ก็จะมีรุ่น 3.0 ลิตร เครื่องยนต์ 2JZ-GE 230 แรงม้าให้เลือก แต่ระดับราคาของรถก็จะสอดอยู่ระหว่าง Celsior กับ Crown Royal
นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่ต่างกันคือ Crown Majesta จะใช้ตัวถังขึ้นรูปชิ้นเดียวโมโนค็อกเหมือนรถสมัยใหม่แล้ว และใช้ช่วงล่างปีกนกสองชั้นทั้ง 4 ล้อและซับเฟรมรองบุชยางเพื่อให้ขับนุ่มสบายขึ้น ในขณะที่ Crown รุ่นอื่นๆ จะยังเป็นแชสซีส์วางบนเฟรมเหมือนเจเนอเรชันก่อน และใช้ช่วงล่างหลังแบบเซมิ-เทรลลิ่งอาร์ม ที่ต้องทำแบบนี้เพราะสมัยนั้นยังมีกลุ่มลูกค้าหัวเก่าที่เชื่อว่าโครงสร้างแบบนี้ทนทานและแข็งแกร่งกว่าแบบโมโนค็อกนั่นเอง
ใน Crown Royal, Sedan และสเตชั่นแวก้อน จะยังมีเครื่องยนต์หลายแบบ ที่รู้จักกันดีในโลกเซียงกงก็คือรุ่น 2.5 ลิตร เครื่อง 1JZ-GE ฝาขาว 180 แรงม้า เครื่อง 1G-FE 2.0 ลิตร 160 แรงม้า และเครื่องดีเซลเทอร์โบ 2.4 ลิตร 2L-THE 100 แรงม้า นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวรุ่นย่อยใหม่ “Royal Touring” ที่มีภาพลักษณ์ค่อนไปทางสปอร์ตหน่อยๆ รุ่นนี้จะใช้เครื่อง 2JZ-GE เหมือนรุ่น Royal Saloon แต่จะได้เกียร์อัตโนมัติ 5ECT-i ซึ่งเป็นเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ในขณะที่รุ่นอื่นๆแม้แต่ Majesta 3.0 ก็ยังต้องใช้ 4 จังหวะเหมือนเดิม
ส่วนในด้านการนำอุปกรณ์หรูและนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้ ก็ยังเป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติของ Crown ในเจเนอเรชันนี้ มีการนำระบบนำทางแบบผ่านดาวเทียม (GPS) โชว์บนจอกลางขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า Electro Multivision มีเบาะแบบ VIP Seat ซึ่งถ้าติ๊กออปชันนี้ เบาะหลังฝั่งซ้าย (เรียกว่าเบาะซาโจ้) จะมีฮีทเตอร์ และยังสามารถปรับเอนได้ มีเบาะนวด ปรับหมอนหนุนศีรษะด้วยไฟฟ้า พร้อมปุ่มกดเพื่อเลื่อนเบาะหน้าหลบไปข้างหน้าสุดและพับหัวหมอนลง เพื่อให้เจ้านายเบาะหลังนั่งสบายแบบสุดๆ เรื่องเล็กน้อยแม้กระทั่งผ้า..ผ้าที่เอามาใช้หุ้มภายใน Toyota ก็เลือกผ้าแบบที่เปื้อนยาก ซักง่าย และไม่เก็บกลิ่นบุหรี่กลิ่นตดเอาไว้กวนใจ
Crown Majesta ยังมีช่วงล่างถุงลมพร้อมระบบปรับความสูงตัวรถ และระบบ TEMS ปรับความหนืดของถุงลมได้ทั้งแบบเลือกโหมดและแบบปรับอัตโนมัติตามสภาพถนน ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ (ที่เปิดตัวตามมาภายหลัง) ยังมีระบบเลี้ยว 4 ล้อมาพร้อมกัน ส่วนในด้านความปลอดภัยนั้น Crown เจเนอเรชันนี้ มีระบบฉายตัวเลขความเร็วและไฟเตือนขึ้นกระจกหน้า (HUD), มีการติดตั้งถุงลมนิรภัยฝั่งคนขับในหลายรุ่นมากขึ้น มีเข็มขัดนิรภัยแบบปรับตึงเมื่อมีการชนแบบแตะเซนเซอร์ถุงลม และคานเหล็กนิรภัยด้านข้าง
แม้ทุกองค์ประกอบจะได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น เงียบขึ้น หรูหราทันสมัยขึ้น แต่การที่ดันเปิดตัวมาชนกับปีที่ฟองสบู่ญี่ปุ่นแตก ลูกค้าที่มีอารมณ์จะซื้อรถหรูๆ ก็น้อยลง และในขณะที่ Crown Majesta ที่คาดว่าจะขายได้น้อย กลับทำยอดได้โอเค แต่ Crown Royal ตัวถัง Hardtop ซึ่งตั้งใจให้เป็นตัวกวาดยอดขาย กลับไม่ประสบความสำเร็จ เพราะดีไซน์ของมัน “แหวก” จาก Crown รุ่นก่อนๆ มากเกินไป หน้าตาของรถดูวัยรุ่นมากกว่าหรู ไม่มีโลโก้ Crown ที่เสา C-pillar และไฟท้ายแผงทับทิมยาวก็ไม่มีความ “Crowness” เอาเสียเลย ดังนั้นในปี 1993 Toyota ก็เลยทำการไมเนอร์เชนจ์ ปรับกระจังหน้าให้โครเมียมเยอะขึ้น ดูแล้วเหมือน Crown รุ่นเก่า เปลี่ยนไฟท้ายใหม่ที่ดูแล้วก็นึกว่าเอาของรุ่นเก่าๆ มาใส่ แล้วก็ปะโลโก้ที่เสา C คืนให้ หน้าตารถดูโบราณลง แต่ยอดขายกลับเดินดีขึ้นชัดเจน นี่คือความน่ากลัวของลูกค้าสายอนุรักษ์ที่ทำให้ Toyota ไม่กล้าออกแบบ Crown Royal ให้แหวกหลุดโลกไปอีกนาน
เจเนอเรชันที่ 10 – กลับคืนสู่ความเป็นลุงอีกครั้ง
ความแหวกแนวที่ส่งผลร้ายของเจเนอเรชันก่อน บวกกับการต้องพยายามพัฒนารถภายใต้สภาวะเศรษฐกิจบักโกรก ทำให้รถเจเนอเรชัน 10 ไม่ค่อยมีอะไรใหม่ๆ อลังการให้เห็น แต่ในเจเนอเรชันนี้ Crown ทุกรุ่นยกเว้นรุ่นสเตชั่นแวก้อนที่ยังใช้โฉม S130 ทำตลาด จะเปลี่ยนมาใช้โครงสร้างตัวถังแบบโมโนค็อกหมดแล้ว นอกจากนี้ประตูหลังยังได้รับการออกแบบให้โต ขึ้นลงง่าย ฝากระโปรงท้ายเปิดยาวลงมาจรดกันชน ให้คุณยกถุงกอล์ฟลงจากรถได้ง่ายขึ้น นอกเหนือจากนั้นไปแล้วคืออุปกรณ์ที่เคยมีในรุ่นก่อน ไม่ว่าจะเป็นเบาะหลังปรับเอนด้วยไฟฟ้า ระบบนำทางผ่านดาวเทียม แอร์หลังแบบแยกตู้แอร์พร้อมสวิตช์ปรับสำหรับคนนั่งหลัง หน้าปัดก็มีทั้งแบบเข็มและดิจิทัลให้เลือก
รุ่น Hardtop (ที่บ้านเราเรียก Crown กระจกเปลือย) หันกลับมาหาทรงที่ดูแก่แต่สง่างามตามเอกลักษณ์ของ Crown เหมือนเดิม เล่นเส้นสายเหลี่ยม ซึ่งเป็นสไตล์ของ Toyota ญี่ปุ่นยุคฟองสบู่แตก ส่วนตัวซีดานที่กระจกมีกรอบนั้น มีการปรับโฉมใหม่ให้ดูทันสมัยขึ้น และปรับปรุงแดชบอร์ดกับภายในให้ดูมีความทันสมัยทัดเทียมกับรุ่น Hardtop ส่วนเครื่องยนต์นั้น ยกเครื่อง 1G-FE กับ 1JZ-GE มาจากรุ่นเดิม ในขณะที่เครื่องยนต์ 2JZ-GE 3.0 ลิตร จะเพิ่มระบบ VVT-i แปรผันองศาการเปิดปิดวาล์วมาให้ ระบบนี้ไม่ได้ช่วยเรียกแรงม้า ที่จริงแรงม้าหล่นจาก 230 มาเหลือ 220 ด้วยซ้ำ แต่แรงบิดช่วงรอบต่ำดีขึ้น 10% และเมื่อบวกการพยายามลดน้ำหนักตัวรถ ซึ่งในตัว Royal นั้นลดได้ 100-190 กก.จากรุ่นเดิมซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ตัวถังโมโนค็อกด้วยส่วนหนึ่ง ทำให้ Crown เจเนอเรชัน 10 ประหยัดเชื้อเพลิงขึ้นกว่าเดิม
รถรุ่น Royal Touring ยังคงอยู่ และแน่นอนว่าเป็นรถ Royal Series รุ่นเดียวที่ได้ใช้เกียร์อัตโนมัติแบบ 5 จังหวะ แต่ทีเด็ด ไปอยู่ที่รุ่น Crown Majesta พี่เบิ้มสายสง่าของเรา ซึ่งไม่ทราบว่าไปซึมซับวัฒนธรรมอเมริกันที่ไหนมา โฉมนี้ทำหน้าทำตาจนดูประหลาด โดยเฉพาะด้านท้ายรถซึ่งใช้ไฟท้ายทรงเรียวตั้ง ทำให้รถรุ่นนี้ได้รับฉายาว่า “Majesta ท้าย Cadillac” และเป็นสิ่งที่ทำให้คนยี้ในช่วงเปิดตัวแรกๆ แต่กลายมาเป็นรถ Crown ที่นักสะสมไขว่คว้าหามาครองมากที่สุดรุ่นหนึ่งในปัจจุบัน Majesta ยังใช้เครื่อง 3.0 ลิตร กับเครื่อง 4.0 ลิตร 1UZ-FE เหมือนเดิม (ยังไม่ VVT-i แต่มีแรงม้าเพิ่มจึ๋งนึงเป็น 265 แรงม้า)
ส่วนในด้านความปลอดภัย ทุกรุ่นย่อยจะได้ถุงลมนิรภัยคู่และเบรก ABS ในขณะที่ TRC จะมีในรถที่วางเครื่อง 1UZ-FE และ 2L-TE ส่วนรุ่นอื่นต้องติ๊กสั่งเพิ่มเอา อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมครั้งใหญ่ของ Toyota อย่างระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัวแบบเต็มขั้น VSC กลับไปอยู่ในรุ่น Crown Majesta รุ่น 4.0 i-Four ขับเคลื่อนสี่ล้อ ในขณะที่ระบบ TRC จะใช้การปิดลิ้นคันเร่งเพื่อควบคุมกำลังรถไม่ให้ล้อหมุนฟรี ระบบ VSC สามารถใช้ทั้งลิ้นคันเร่งและแยกจับเบรกทีละล้อเพื่อคุมรถไม่ให้เสียหลัก นับว่าเป็นรถยนต์ในสายการผลิต “รุ่นแรก” ของญี่ปุ่นที่มีระบบแบบนี้ให้ลูกค้าใช้ได้จริง
ในปี 1997 รถ Crown เจเนอเรชันที่ 10 มีการไมเนอร์เชนจ์ โดยรุ่น Royal Series จะได้ไฟท้ายใหม่ เอาไฟถอยกับไฟเลี้ยวไปอยู่ด้านล่าง ไฟหน้าปรับเป็นเลนส์ใส ช่องรับอากาศกันชนหน้าทำเป็นเส้นยาวเส้นเดียว รุ่น Royal Touring เพิ่มล้ออัลลอย 16 นิ้ว ไฟหน้าแบบซีนอนที่ทรงไม่เหมือน Royal Series รุ่นอื่น ส่วนรุ่น Majesta ได้ไฟหน้า HID และยกเลิกออปชันระบบเลี้ยวสี่ล้อ เปลี่ยนเครื่องยนต์เป็น 1UZ-FE VVT-i ซึ่งทำให้ได้แรงม้าเพิ่มเป็น 280 ตัว
จะเห็นได้ว่านวัตกรรมใหม่ๆ จริงนอกจาก VSC ไปแล้วนั้น ที่เหลือเป็นการนำเทคโนโลยีจากรุ่นก่อนมา แต่นำมาใช้ในหลายจุดขึ้น ปรับเรื่องการใช้งานและเรื่องความปลอดภัยให้ดีขึ้น แต่ถึงแม้ภาพรวมออกมาจะทำให้ Crown เป็นรถที่สมรรถนะสูงขึ้น นั่งสบาย นุ่มนวล และเก็บเสียงดีขึ้น รูปลักษณ์ตรงใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายขึ้น ยอดขายของ Crown ก็กระเตื้องขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ แล้วก็เดินหน้าปักหัวลงอย่างต่อเนื่อง เพราะวิกฤติเศรษฐกิจยังคงหลอกหลอนลูกค้าในสมัยนั้นอยู่
เจเนอเรชันที่ 11 – ถ้ารุ่นที่แล้วยังลุงไม่พอ..แต่เอ๊ะนั่นอะไรใต้ฝากระโปรง
เจเนอเรชันนี้มีสามสิ่งที่หายไป อย่างแรกก็คือ ไม่มีการสร้างบอดี้กระจกเปลือย Hardtop ออกมาแล้ว และหน้าปัดดิจิทัลแบบตัวเลขล้วนๆที่ใช้มาหลายเจเนอเรชันก็หายไปด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่ได้เพิ่มมาคือบอดี้สเตชั่นแวก้อนที่ออกแบบใหม่หมดทั้งคันเสียทีหลังจากที่ใช้โครงสร้างเดิมมา 12 ปี และนี่คือสิ่งที่สามที่หายไป นั่นก็คือตัวถังแบบแชสซีส์วางบนเฟรม นับแต่นี้ไป Crown จะมีแต่ตัวถังแบบชิ้นเดียวโมโนค็อกเท่านั้น ก็ควรจะเป็นแบบนั้นมานานแล้ว ท่ามกลางของเล่นทันสมัยเยอะแยะ Crown นับเป็นรถหรูรุ่นสุดท้ายที่ยังดื้อใช้โครงสร้างคล้ายกระบะในรุ่นสเตชั่นแวก้อนจนเกือบทะลุศตวรรษ
ดีไซน์ของรถเปลี่ยนแปลงไปมาก จากเดิมที่ Crown ยึดติดกับทรงที่ผอมเพรียวเรียวสง่า เจเนอเรชันนี้ทรวดทรงอ้วนป่องแก่ ดูเหมือนได้รับแรงบันดาลใจจากมาเฟียอิตาเลียนที่กินสเต๊กอิ่มทุกมื้อ เรื่องมันมีอยู่ว่า ในกลางทศวรรษ 90s นั้น รถประเภท SUV กับ MPV บูมมากในญี่ปุ่น เพราะผู้คนชอบความง่ายในการขึ้นลงและตำแหน่งการขับที่สูง ทัศนวิสัยที่เปิดโล่ง Toyota ก็เลยพยายามออกแบบ Crown เจเนอเรชันนี้ให้มีตำแหน่งการนั่งที่สูง ผู้โดยสารวางขาสบาย ขยายประตูให้ใหญ่ ซึ่งประตูนี่ล่ะคือตัวกำหนดรูปทรงหลักของรถ ประตูเท่าบ้าน ทุกอย่างจึงต้องปรับสูงตาม โครงสร้างรถ ช่วงล่าง ต้องทำใหม่หมด กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนกับสมัยเบนซ์ออกแบบ S-Class W140 เป๊ะ และพอดู Crown เจเนอเรชัน 11 หลายคนก็นึกถึง S-Class ตัวนั้นด้วยเช่นกัน
Crown Royal Series ทั้งหลาย ยังคงรับธีมดีไซน์หรูผู้ดีแบบญี่ปุ่นไปเช่นเดิม แต่รุ่น Royal Touring นั้น ได้ทำการ “อีโว” ตัวเองจนกลายมาเป็นรุ่น “Athlete” ที่ Toyota ตั้งใจปรุงตัวรถให้ดึงดูดผู้บริหารอายุน้อยมากขึ้น ในขณะที่ Royal Saloon มากับมาดลุงใจดี ภายในเบจ ลายไม้สีช็อกโกแลต Athlete ปรับทุกอย่างให้ดูเหมือนมาเฟียอารมณ์เสีย ไฟหน้ารมดำ กระจังหน้าลายตาข่าย ไฟท้ายแบบสปอร์ต แล้วก็ยังมีล้ออัลลอย 17 นิ้ว และเบรกหน้าขนาด 16 นิ้วในรุ่น Athlete V ซึ่งไม่ใช่แค่หน้าตามันดูเป็นคุณลุงขี้โมโหเท่านั้น แต่พร้อมกระทืบด้วย เพราะในรอบ 12 ปี นี่คือ Crown เบนซินเทอร์โบชาร์จรุ่นแรก วางเครื่องที่ชาวเซียงกงได้ยินแล้วยิ้ม กับรหัส 1JZ-GTE VVT-i 2.5 ลิตรเทอร์โบเดี่ยว 280 แรงม้า แรงบิด 380 นิวตันเมตร ถ้าไม่นับ Majesta 4.0 V8 นี่คือ Crown ที่มีพลังสูงสุด และที่แซ่บมากคือ Toyota ทำรุ่นสเตชั่นแวก้อน Athlete V ออกขายด้วย
ส่วน Athlete ที่ไม่ใช่รุ่น V กับ Crown Royal รุ่นอื่นๆ ก็จะมีเครื่องยนต์ 1JZ-GE ฝาดำ 200 แรงม้า และ 2JZ-FSE 220 แรงม้าซึ่งจะใช้พื้นฐานเดิมจาก 2JZ-GE แต่เปลี่ยนระบบจ่ายเชื้อเพลิงเป็น Direct Injection แทน แต่จะอยู่ในรถที่ขับหลังเท่านั้น เพราะถ้าสั่งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ คุณจะได้เครื่อง GE เหมือนเดิม ระบบส่งกำลังในพวกรถ FSE จะเป็นเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะแล้ว และถ้าเป็น Athlete คุณจะได้แป้นชิฟท์เกียร์ที่พวงมาลัยด้วย ทว่า Atlete V เทอร์โบจะใช้เกียร์ 4 จังหวะรุ่นเก่าบวกกับแพดเดิ้ลชิฟท์
รุ่น Majesta ก็ได้รับการปรับโฉมใหม่หมดทั้งคัน และยังมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 เครื่อง คือ 3.0 Direct Injection และ V8 4.0 ลิตร มีลูกเล่นเหนือว่าน้องๆ ตรงที่เบาะหลังฝั่งซ้ายเป็นแบบ Ottoman ซึ่งไม่ใช่ด้วยวิธีการยืดตัวรองน่องมาจากใต้เบาะแบบที่เรารู้จักกันนะครับ Ottoman ของ Majesta รุ่นนี้คือ ตรงพนักพิงเบาะหน้าซ้ายน่ะ จะสามารถพับลงมา เปิดเบาะทะลุ แล้วก็ให้เจ้านายเอาเท้าลอดมาวางถึงเบาะหน้าได้ ฉลาดดีแท้ เพราะวิธีนี้มันใช้กลไกล้วนๆ ไม่ต้องห่วงมอเตอร์ที่ไหนจะพัง แต่โชเฟอร์จะชอบหรือเปล่าที่เจ้านายใส่เกิบเดินลุยงานมาทั้งวัน พอขึ้นรถ ถอดรองเท้าแล้วแหย่มาข้างหน้าแบบนี้
สำหรับในด้านความปลอดภัย Crown เจเนอเรชันที่ 11 นี้พัฒนาโครงสร้างให้ซับแรงจากการชนได้ดี หรือที่เรียกว่ามาตรฐาน GOA (Global Outstanding Assessment) ซึ่งเป็นคำการตลาดของค่ายเขา และยังเป็นรุ่นแรกที่มีระบบ EBD กระจายแรงเบรกหน้า/หลัง พร้อมระบบช่วยเสริมแรงเบรกในยามฉุกเฉิน และมี VSC เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น รถ Majesta นั้นยังมีการเอาระบบเลี้ยว 4 ล้อกลับมาให้เลือกเป็นออปชันเสริม และยังเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ระบบเรดาร์ครูสคอนโทรลให้ลูกค้าเลือก
เจเนอเรชันที่ 12 – เป็นลุงแล้วปวดขี้ เป็นพี่ดีกว่าไหม
สถานการณ์ยอดขายของ Crown จากยุค 80s ที่ขายเดือนละเกินหมื่นคัน ลงมาเหลือเดือนละ 4,000 คันเมื่อเข้าศตวรรษใหม่ทำให้ Toyota เป็นห่วงมากว่าชื่อของ Crown จะล้มหายตายจากไป Mitsuhasa Kato หัวหน้าทีมวิศวกรสมัยนั้นจึงบอกว่า “ตราบใดที่ผมยังอยู่ Crown ห้ามตาย” แต่การพัฒนารถออกมาในแนวทางเดิมซ้ำๆ ก็เท่ากับการเดินไปหาความตายอย่างช้าๆ Kato มองแล้วว่าระหว่างเสี่ยงทำอะไรใหม่ๆกับเดินตามแนวทางเดิม อย่างแรกมีแนวโน้มรอดมากกว่า จึงเป็นที่มาของชื่อประจำรุ่นนี้ว่า Crown Zero ซึ่ง Zero ก็คือเซ็ตทุกอย่างเป็นศูนย์ เริ่มต้นใหม่ทั้งกระดาน!
ดีไซน์ของตัวรถ ฉีกภาพความเป็นลุงทิ้งไปเยอะ ทุกส่วนที่เคยใหญ่โตโย่งโก๊ะในรุ่นก่อน ถูกทำให้ดูเปรียวขึ้นแต่ยังแอบซ่อนความบึกบึนเอาไว้ ภายในก็รื้อคราบเดิมทิ้งหมด เปลี่ยนแดชบอร์ดให้ดูมน ทันสมัยขึ้น สปอร์ตขึ้น และที่สำคัญคือ แม้ตัวรถจะดูเรียวขึ้น พื้นที่ภายในกลับกว้างขวางนั่งสบายขึ้นกว่าเดิมด้วย แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ จะเกิดขึ้นกับตัวซีดานเท่านั้น เพราะรุ่นสเตชั่นแวก้อนที่ยอดขายน้อยกว่า ยังเอาโฉมเดิมมาขายยาวไปถึงปี 2007
โครงสร้างตัวรถ ออกแบบตามมาตรฐานความปลอดภัย GOA แต่ต้องเปลี่ยนมาใช้โครงสร้างใหม่เพราะ Crown เจเนอเรชันนี้ ในรุ่นซีดาน 4 ประตู จะหันมาใช้เครื่อง V6 บล็อกใหม่ตระกูล GR แทน 4GR-FSE ความจุ 2.5 ลิตร 215 แรงม้า 3GR-FSE 3.0 ลิตร 256 แรงม้า และ 2GR-FSE 3.5 ลิตร 315 แรงม้า ตัวหลังนี่เป็นเครื่องตัวแสบสุดที่จะอยู่ในรุ่น Athlete 3.5 เท่านั้น ในขณะที่รุ่น Royal Series จะมีเฉพาะ 2.5-3.0 ลิตร รุ่น 3.5 ลิตร จะเป็นเครื่องยนต์หัวฉีด D4S ซึ่งจะมีทั้งหัวฉีด Direct Injection กับหัวฉีดแบบปกติในแต่ละสูบ ส่วน 2.5-3.0 จะเป็นหัวฉีดตรง D4 อย่างเดียว ทั้งหมดนี้จะส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Sequential Shiftmatic
การเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ V6 ที่เสื้อสูบทำมาจากอัลลอย ก็ส่งผลให้น้ำหนักตกบนคานหน้าน้อยลง เพราะน้ำหนักเครื่องยนต์เมื่อเทียบกับ 1JZ-GTE ก็เบาลง 30 กิโลกรัมแล้ว ความสั้นของตัวเครื่องก็ทำให้สามารถร่นตำแหน่งแท่นเครื่องเข้ามาอยู่ภายในแทร็คล้อหน้า ทั้งหมดนี้ทำให้รถหักเลี้ยวได้คล่องแคล่วขึ้นกว่าเดิม ส่วนธีมการตกแต่ง ก็จะแบ่งออกเป็นคุณพี่สายหรู Royal Series และคุณพี่สายโหด Athlete เหมือนกับเจเนอเรชันก่อน
ส่วนทางฝั่ง Majesta นั้น ทาง Toyota ดูจะอนุญาตให้ยังคงอนุรักษ์ความเป็นลุงเอาไว้ เนื่องด้วยว่ากลุ่มลูกค้าที่ซื้อ Majesta ส่วนมากเป็นคนมีอายุ ที่นั่งเบาะหลัง บอดี้รถจะมีฐานล้อและความยาวมากกว่า Crown ปกติ และออกแบบให้ดูแตกต่างกันมากขึ้น เครื่องยนต์ที่ใช้ ก็เลิกคบ 1UZ หันไปหา 3UZ-FE ซึ่งเป็นเครื่องที่มาจาก Celsior 290 แรงม้า รุ่นแรกจะใช้เกียร์ 5 จังหวะ แต่หลังไมเนอร์เชนจ์จะเปลี่ยนเป็น 6 จังหวะ
วิศวกรรมของรถ เปลี่ยนแปลงไปมากสำหรับ Crown รุ่นนี้ ภายในก็เปลี่ยนดีไซน์ไปมาก แต่แนวทางของรถและพวกอุปกรณ์ต่างๆดูเหมือนจะน้อยลง เน้นของที่เอาใจคนขับมากกว่า ระบบเรดาร์ครูสคอนโทรลใน Majesta ก็ได้รับการอัปเกรดให้สามารถวิ่งตามรถคันหน้าที่ความเร็วต่ำได้เนียนขึ้น มีการใช้กล้อง Single Camera ติดหน้ารถเพื่อช่วยการทำงานของระบบ Pre-collision System (เตือนและเบรกก่อนชนด้านหน้า) รวมถึงระบบ Lane-Keeping Assist ประคองรถให้อยู่ในเลน
ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่รุ่น Royal Series/Athlete ลดโฟกัสความเป็นรถแบบมีคนขับให้นั่งลง และเอาใจลูกค้าที่ซื้อไปขับเองมากขึ้น แนวทางที่เปลี่ยนไปนี้ อาจจะไม่ได้ทำให้ Crown กลายเป็นรถขายดีขึ้นมา แต่ก็ทำให้ชื่อของ Crown ยังไม่ตายจากไป และคงอยู่จนทุกวันนี้
เจเนอเรชันที่ 13 – Crown ในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง
การที่ Crown รุ่นก่อนหน้าสามารถกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ระดับหนึ่ง ทำให้ Toyota เริ่มมั่นใจว่า การเปลี่ยนแปลงเข้าหาความทันสมัย คือสิ่งที่ถูก อย่างน้อย ปี 2008 ที่ Crown เจเนอเรชัน 13 เปิดตัว เป็นครั้งแรกที่ Toyota มั่นใจตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นจากเดิม เป็นเดือนละ 4,500 คัน (ซึ่งก็ยังน้อยถ้ามองว่า 20 ปีก่อนหน้านั้นพวกเขาเคยขายเดือนละ 17,000 คันมาแล้ว)
ทรวดทรงของ Crown เจเนอเรชันใหม่นี้ ทีมดีไซน์ยังต้องการให้มีเอกลักษณ์ความหรูเรียบง่ายของ Crown รุ่นก่อน แต่สิ่งที่เพิ่มคือ พวกเขาอยากให้รถดูเหมือนสิ่งมีชีวิต มีความคล่องแคล่วมากขึ้น ส่วนหน้าของรถเจเนอเรชันนี้ จึงถูกออกแบบมาจนดูเหมือนเสือที่กำลังหมอบ มีไฟหน้าเป็นแววตา และสันด้านข้างรถเป็นขาที่กำลังพร้อมกระโจน แนวคิดแบบนี้ทำให้ได้รูปทรงของรถที่เพรียวและทันสมัยขึ้น ส่วนภายใน ก็ได้รับการออกแบบให้แลดูมีความกว้างนั่งสบาย และอัดด้วยเทคโนโลยีเช่นเดิม
รุ่นต่างๆ ที่มีให้เลือก ก็ยังคงแบ่งเป็น Royal Series, Athlete และ Majesta เช่นเดิม แต่รุ่นย่อยที่เปิดตัวตามมาภายหลังคือ Crown Hybrid ซึ่งใช้เครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตร 2GR-FXE บวกกับมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบไฮบริด แม้ว่า Crown จะเคยมีรุ่น Mild Hybrid ขายในสมัยเจเนอเรชันที่ 11 แต่รุ่นนี้ นับว่าเป็นรถไฮบริดขั้นเต็มตัวจริงตัวแรกที่พกม้ามามากกว่า 300 ตัว โดย Toyota อธิบายว่า ถึงเวลาแล้วที่เทคโนโลยีไฮบริดของ Toyota จะมาอยู่ใน Crown เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ที่ลดมลภาวะ โดยค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและ CO2 นั้น ต่ำกว่ารถขนาดกลางเครื่อง 2.0 ลิตร แต่พละกำลังอัตราเร่งที่ได้นั้นเทียบเท่ารถคลาสใหญ่เครื่อง V8 4.0-4.5 ลิตร
ส่วนรุ่นอื่นๆ ก็ยังคงใช้ขุมพลังเดิม ไม่ว่าจะเป็น 4GR 2.5 ลิตร 215 แรงม้า, 3GR 3.0 ลิตร 256 แรงม้า และ 2GR D4S 3.5 ลิตร 315 แรงม้า แต่รุ่น Majesta พี่ใหญ่นั้น จะมีเครื่องยนต์ 1UR-FSE บล็อกใหม่ที่ยกมาจาก Lexus LS460 ขยับขยายปอดเป็น 4.6 ลิตร และให้พลังมากถึง 390 แรงม้า เครื่องยนต์ตัวนี้จะอยู่ใน Majesta ขับหลัง ส่วนรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ จะยังใช้เครื่อง 4.3 ลิตร 3UZ-FE เช่นเดิมความก้าวหน้าที่ทำให้รถเจเนอเรชัน 13 เป็น Crown ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริงนั้น ไม่ได้อยู่ที่เครื่องหรือของเล่น แต่อยู่ที่ระบบความปลอดภัย ระบบ Pre-Crash Safety ขั้นก้าวหน้าใน Crown รุ่นนี้ นับเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการนำระบบนำทาง GPS มาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการ เตือน เบรกล่วงหน้า หรือแม้กระทั่งปรับเบาะตั้ง ปรับตึงเข็มขัดนิรภัยล่วงหน้า โดยทำงานประสานกับเรดาร์ Wave-millimeter ที่ติดตั้งอยู่ด้านหน้าของรถ และระบบตรวจจับใบหน้าของคนขับ ซึ่งทำให้ Crown รุ่นนี้สามารถรับรู้ได้ว่าคุณกำลังอ่อนเพลีย มีอาการหลับใน และถ้าระบบรู้ว่าคุณกำลังวิ่งเข้าไปยังถนนที่เป็นทางตัน (ผ่านระบบ GPS) มันสามารถส่งเสียงเตือนหรือเบรกล่วงหน้าให้คุณได้
นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเพิ่งได้ใช้ในรถยนต์ราคาเฉียดล้านกัน 13 ปีให้หลัง มีระบบเรดาร์ครูสคอนโทรลที่ทำงานประสานกันกับระบบนำทางเพื่อเพิ่ม/ลดอัตราเร่งในระดับที่เหมาะสม มีระบบจออินฟราเรด Night View ซึ่งจะฉายภาพขึ้นกระจกหน้า ไฮไลต์คนหรือสัตว์ที่กำลังจะวิ่งตัดหน้าในยามค่ำคืนให้เห็นได้ชัดขึ้น นี่ยังไม่นับระบบ VDIM ซึ่งเป็นระบบควบคุมเสถียรภาพรถที่นำเอาอุปกรณ์ความปลอดภัยทั้ง TRC VSC และพวงมาลัยไฟฟ้าควบคุมผ่าน ECU หลักทำงานประสานกันครบระบบ และถุงลมนิรภัย 10 ใบ
ภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูเหมือนรุ่นเก่านำมาปรับให้เพรียว กับเครื่องยนต์กลไกและวิศวกรรมช่วงล่างที่คล้ายรุ่นเดิม สิ่งที่ทำให้ Crown รุ่นใหม่แตกต่างจากเดิมชัดเจนคือการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆเข้ามาช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยในเชิงป้องกันเหตุให้ได้มากที่สุด เป็นความก้าวหน้าในการปกป้องผู้โดยสารที่กระโดดไปไกลมากที่สุดในรอบ 9 ปีของ Crown
เจเนอเรชันที่ 14 – “The Reborn Crown”
Akio Toyoda เข้ามารับตำแหน่งประธานคนใหม่ของ Toyota ในปี 2008 ซึ่งเวลานั้นเจเนอเรชันที่ 13 ของ Crown พัฒนาเสร็จแล้ว เขาจึงไม่ได้ฝากผลงานเอาไว้มากนัก แต่กับเจเนอเรชันที่ 14 นี้ ท่าน Toyoda เข้ามาทันกำเนิดโครงการพอดี แม้จะเป็นช่วงเวลาวิกฤติเศรษฐกิจอีกรอบ เขาก็มองว่า Toyota ต้องปรับปรุง Crown โฉมใหม่นี้ให้ไปไกลกว่าเดิม เขาบอกกับทีมวิศวกรว่า “ผมอยากให้พวกเราสร้างรถแบบที่คนเห็นปุ๊บก็เกิดกิเลสอยากซื้อเลย คุณอยากจะปรับตรงไหน อยากเปลี่ยนอะไร ทำไปเลย!”
นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่หลายอย่างเปลี่ยนไปจริงๆ Crown ในสองเจเนอเรชันที่แล้ว แม้จะเป็นรถขับหลังแต่ก็มีส่วนหน้ารถดูสั้นเพื่อทัศนวิสัยที่ดี Crown รุ่นใหม่นี้ กลับมีสัดส่วนแบบรถขับหลัง FR ชัดเจน หน้ายาว ท้ายสั้น ขยับล้อหน้ามาชิดด้านหน้า ขยับห้องโดยสารไปด้านหลัง กระจกหน้าและหลังลาดเอียง ซึ่งไม่ได้ช่วยในเรื่องความโล่งโปร่งสบายในห้องโดยสารเท่าไหร่ แต่ทำให้เจเนอเรชัน 14 เป็น Crown รุ่นแรกที่ดูเหมือนมันโกรธผัวอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งรุ่น Royal ตัวธรรมดาสุดๆใส่ยางแก้มหนาแบบพิซซ่าขอบชีส ก็ยังดูเอาเรื่อง ซึ่งนี่น่าจะเป็นสไตล์ที่นักออกแบบ Toyota มองว่าคนยุคใหม่ๆจะชื่นชอบ แล้วก็ยังมีการนำสีสันแบบที่คนรัก Crown รุ่นปู่มาเห็นต้องหัวใจวายแน่นอนมาใช้ สีน้ำเงินสว่าง สีเขียวที่เขียวจนงูเขียวทนไม่ไหว และยังมีสีรถโปรโมต ที่เลือกเป็นสีชมพู! Crown โปรโมตในสีชมพู!?!
ถ้านั่นยังไม่พอ จะบอกว่า ท่านประธาน Toyoda ยังสั่งให้ทีมเซ็ตเครื่องกับช่วงล่าง ส่งรถขึ้นเครื่องบินไปทดสอบอย่างโหดที่สนาม Nurburgring นับว่าเป็น Crown รุ่นแรกที่พวกเขาทำแบบนี้ ทั้งๆที่สนามทดสอบของ Toyota หลายแห่งในญี่ปุ่นก็น่าจะเพียงพอ เรารู้กันนั่นล่ะว่ามันมาจากเชื้อบ้ารถซิ่งที่ท่านประธานมีอยู่เต็มอก เมื่อลองขับและปรับใหม่ ทำให้วิศวกรต้องออกแบบจุดยึดช่วงล่างใหม่ เปลี่ยนปีกนกใหม่ ปรับอัตราทดพวงมาลัยใหม่ เพื่อให้ Crown ซึ่งจริงๆเกิดมาเอาใจคนแก่ กลายเป็นรถที่วัยรุ่นเห็นแล้วอยากซื้อ อยากได้เอามาขับมาแต่งกันมากขึ้น
รุ่นย่อย Crown Hybrid ถูกยุบ เพราะ Toyota มองว่าปี 2012-2013 นี้ไฮบริดเป็นเรื่องปกติมากแล้ว ดังนั้นจึงยุบการเป็นรุ่นย่อย แล้วตั้งให้เลือกเป็นขุมพลังขับเคลื่อนแบบหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าคุณจะเลือกรุ่น Royal Series หรือรุ่น Athlete ก็สามารถเอ็นจอยกับขุมพลังไฮบริดได้ และไฮบริดเจเนอเรชันใหม่นี้ ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 2.5 ลิตรบวกกับมอเตอร์ ทำให้กลายเป็นว่า Crown กลับมาใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเป็นครั้งแรกในรอบ 29 ปี
เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร 3GR-FSE ถูกยุบทิ้ง เหลือแค่รุ่น 2.5 ลิตร 4GR และ 3.5 ลิตร 2GR โดยที่เครื่องตัวหลังนี้ ถือเป็นตัวแรง มีให้เลือกเฉพาะในรุ่น Athlete เช่นเคย และ Athlete รุ่น 3.5 ลิตรนี้ จะได้เกียร์อัตโนมัติรุ่นใหม่ 8 จังหวะ Super ECT มาใช้ด้วย
ในช่วงที่เปิดตัว Crown ใช้สีโปรโมตเป็นสีชมพู เพราะเหตุผลเรื่องความเด่นของสี ทว่าพอลูกค้าจะซื้อ Toyota บอกว่า ไม่มีให้สั่ง ขอเชิญลูกค้าไป Wrap เอาเอง สิ่งนี้ทำให้เกิดกระแสเรียกร้องอย่างจริงจัง จน Toyota ต้องผลิตรถ Crown สี Reborn Pink ตามออกมาขายในเดือนกันยายน 2013 โดยขายคู่กับขุมพลังไฮบริด 2.5 ลิตรและมีจำนวนจำกัด 650 คัน ที่ตลกคือ ลูกค้าเกือบทั้งหมดที่ซื้อ มันเป็นผู้ชายครับ
สำหรับในด้านความปลอดภัยนั้น รุ่นเดิมสร้างพื้นฐานเอาไว้ดีเยี่ยมแล้ว ใน Crown รุ่นนี้ ก็เพิ่มระบบโซนาร์ตรวจจับสิ่งกีดขวางด้านหน้า ป้องกันการเกิดเหตุเผลอกดคันเร่งแล้วไปชนคนชนกำแพง กล้องรอบคัน 360 องศาก็ถูกนำมาใช้รถรุ่นนี้เป็นรุ่นแรก และถ้าเกิดมีใครซวยพอจะโดน Crown ชนจริงๆ ฝากระโปรงหน้า ก็ได้รับการออกแบบมาโดยที่ หากมีการปะทะด้านหน้า ตัวฝากระโปรงจะมีกลไกปรับให้ช่วยยกกระโปรงขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้คนที่ถูกชนกระเด็นไปถึงกระจกหน้า
ส่วนรุ่น Majesta นั้น กลับไม่ได้รับเอกลักษณ์ทางการออกแบบที่แตกต่างอย่างที่ควร ในเจเนอเรชันนี้ Crown Majesta หน้าตาดูเหมือน Crown Royal ที่นำมายืดตัวถังออกไม่ถึง 10 ซม. เท่านั้น ส่วนขุมพลัง ในรุ่นขับสี่จะใช้ไฮบริด 2.5 ลิตร และรุ่นขับหลังใช้ขุมพลังไฮบริด 3.5 ลิตร 343 แรงม้าที่นำมาจาก Lexus GS450h โดย Toyota จำหน่ายรถรุ่นนี้มาจนถึงสิ้นปี 2018 เมื่อ Crown เจเนอเรชันที่ 15 เผยโฉม ก็ไม่มีการสร้างรุ่น Majesta ออกมาอีก เป็นการปิดฉาก Crown รุ่นสูงพิเศษรุ่นนี้ลงหลังจากที่อยู่รอดมาได้ถึง 27 ปี
เจเนอเรชันที่ 15 – Crown ในฐานะสปอร์ตซาลูน
Akira Akiyama หัวหน้าทีมวิศวกรผู้พัฒนารถรุ่นนี้บอกว่า “ผมนึกย้อนไปถึงสมัยที่ Toyota ทำ Crown รุ่นแรกออกมา ตอนนั้น แรงผลักดันของเราก็คือ อยากให้โลกรู้ว่าคนญี่ปุ่นสร้างรถได้ ในวันนี้ แรงผลักดันแบบเดียวกันก็อยู่ในใจผม ผมอยากทำให้โลกรู้ว่าคนญี่ปุ่นสามารถสร้างรถได้เยี่ยมยอด ทั้งในด้านการออกแบบ การขับขี่และเทคโนโลยีการสื่อสารในรถ” นี่คือคำจำกัดความที่ชัดเจนที่สุดสำหรับ Crown เจเนอเรชัน 15 ซึ่งเปิดตัวในปี 2018
มันเกิดมาโดยมีคำว่าสปอร์ตซีดานอยู่ในหัวผู้สร้างตั้งแต่แรก สัดส่วนของรถแบบขับเคลื่อนล้อหลัง FR จึงยังชัดเจนเช่นเดียวกับเจเนอเรชันที่แล้ว หน้ายาว หลังสั้น ตัวรถแบน กว้าง ล้อและยางขนาดใหญ่ ดูเหมือนว่า Toyota กำลังมองว่าแนวทางของ BMW น่าสน ก็เลยเดินตามไป และแน่นอนว่าพวกเขาก็ขน Crown ทั้งรุ่นเก่าและรถทดสอบพรางตัว ไปวิ่งซัดโค้งในสนาม Nurburgring เช่นเดียวกับซีดานเยอรมันทั้งหลาย โครงสร้างตัวถัง เปลี่ยนไปใช้แพลทฟอร์ม TNGA ซึ่งโฟกัสไปที่การขับขี่ที่สนุกสนานตามความต้องการของท่านประธาน Toyoda ช่วงล่างมัลติลิงค์ 4 ล้อ และเสริมเหล็กกล้าเหนียวพิเศษตามจุดรับแรงต่าง คำอธิบายคุณลักษณะในเอกสารแต่ละอย่าง ล้วนฟังดูเหมือนโบรชัวร์รถซิ่ง แต่นี่คือ Crown
การแบ่งรุ่น Royal Series/Athlete และ Majesta ถูกยกเลิก เพราะ Majesta ถูกฆ่าทิ้งไปแล้ว และจำหน่ายภายในชื่อ Crown สั้นๆ แต่แบ่งรุ่นย่อยใหม่ เป็นรุ่น B, S, G, G-Executive หรือถ้าเป็นสายตกแต่งสไตล์สปอร์ต ก็จะเป็น RS หรือ RS Advance ไป ทำให้ชื่อคำว่า Royal ที่ติดปาก Crown มานานเกือบครึ่งศตวรรษ กลายเป็นอดีตไปในที่สุด
ขุมพลังขับเคลื่อนก็เช่นกัน เครื่องยนต์บล็อก GR ที่รับใช้มา 15 ปี ก็ถูกโละทิ้งทั้งหมด Crown ในเจเนอเรชันใหม่นี้ เหลือขุมพลังเพียงแค่ 3 แบบเท่านั้น ทั้งๆที่ในยุค 90s ยังมีถึง 8-10 แบบให้เลือก โดยขุมพลังตัวเริ่มต้น จะเป็นเครื่องยนต์ไฮบริด 2.5 ลิตร A25A-FXS 4 สูบ Dynamic Force ซึ่งมีพลังรวม 226 แรงม้า ถัดมา จะเป็นรุ่น 2.0 เทอร์โบ 8AR-FTS พลังเบนซินเพียวๆ 245 แรงม้า และตัวแรงสุด จะใช้ขุมพลัง Multi-stage Hybrid ซึ่งใช้เครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตร 8GR-FXS จับคู่กับมอเตอร์ ส่งกำลังผ่านเกียร์แบบที่ซอยจังหวะได้ เปลี่ยนแบตเตอรี่เป็นลิเธียมไออ้อน แรงม้ารวม 359 แรงม้า
สำหรับภายใน ออกแบบตามเอกลักษณ์รถยุคใหม่ที่มีจอกลางขนาดใหญ่อยู่ใกล้ระดับสายตา และจอทัชสกรีนอีกชุดสำหรับควบคุมระบบต่างๆอยู่ใกล้มือที่คอนโซลกลาง เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปในรถรุ่นนี้จนทำให้ได้ฉายาว่า Connected Crown คือการผนวกเอาระบบสื่อสารออนไลน์เข้ามาเสริมสร้างทั้งความสะดวกสบายและความปลอดภัย เทคโนโลยีสื่อสารข้อมูลระหว่างตัวรถกับสมาร์ทโฟนนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกในปี 2018 แต่ของ Crown สามารถทำได้ละเอียดถึงขนาด เช็กระดับน้ำมันเครื่องได้ ในขณะที่ข้อมูลบางส่วน สามารถส่งไปยัง HELPNET ซึ่งเป็น Call-Center ของ Toyota ได้ เช่นในกรณีที่ไฟเตือนน้ำมันหมดขึ้น แต่คุณขับแล้วลืมดู ข้อมูลนี้ก็จะถูกส่งไป Call-Center ซึ่งจะโทรมาเตือนคุณ
แน่นอนว่าระบบพื้นๆ ประเภท รถชน ถุงลมทำงานแล้วส่งสัญญาณขอความช่วยเหลืออัตโนมัติ ก็มีมาให้ แต่ Toyota เล่นหนักขนาดที่ว่า สามารถเอาข้อมูลการขับ เช่นความเร็วที่คุณขับ ลักษณะการหมุนพวงมาลัย มาประมวลผลแล้วส่งไปที่ประกันภัย พูดง่ายๆ คือ ถ้าคุณขับรถนิสัยน่ารัก ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยทำให้คุณขอส่วนลดเบี้ยประกันได้ นั่น!
นอกเหนือจากนี้ไป อุปกรณ์ต่างๆ ก็คือสิ่งที่มีอยู่แล้ว แต่พัฒนาให้ดีขึ้น ระบบเรดาร์ครูสคอนโทรล สามารถชะลอหรือหยุดนิ่งแล้วออกตัวตามรถคันหน้าได้ ระบบรักษารถให้อยู่ในเลน มีฟังก์ชันใหม่ที่ไม่ใช่แค่ตรวจับไม่ให้เป๋ออกนอกเส้น แต่ยังสามารถคุมรถให้อยู่กลางเลนได้ เป็นต้น
และนี่ก็คือ ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับประวัติศาสตร์ 67 ปีของ Toyota Crown…
คุณจะเห็นได้ว่า ต่อให้เป็นรถที่เคยยิ่งใหญ่ขนาดไหน มีคนชื่นชอบมากขนาดไหน ก็หลีกหนีไม่พ้นความเปลี่ยนแปลงที่มาจากปัจจัยภายนอก ตลอดจนยุคสมัย รสนิยมผู้คน และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่รถอย่าง Crown ซึ่งเคยยึดถือกับแนวทางรถหรูคู่บารมีผู้ใหญ่มาตลอด เมื่อถึงจุดที่ยอดขายดิ่งจนใกล้เส้นตาย ก็ต้องพลิกผันตัวเองมาเป็นสปอร์ตซีดาน ความแตกต่างในบางยุคก็น่าขัน ในยุค 90s ตอนต้น คนไม่ซื้อ Crown เจเนอเรชันที่ 9 เพราะมันแหวกแนวจากรุ่นเดิมมากไป แต่ในช่วงข้ามปี 2000 เป็นต้นมา คนไม่ซื้อ Crown เพราะมันพยายามจะเป็นรุ่นเดิมมากไป
มันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ในการเป็นผู้ผลิตและพัฒนารถยนต์ เพราะความต้องการของคนเปลี่ยนไปเสมอ และคนสร้างรถ ต้องมีความสามารถในการเห็นอนาคต เพราะรถเจเนอเรชันใหม่ๆ คือ รถที่อยู่ห่างออกไป 4 ปีแสง ถ้าคุณเห็นความต้องการของลูกค้าในวันนี้ แล้วคุณสร้างรถบนความต้องการของลูกค้า ณ วันนี้ อีก 4 ปีข้างหน้า นิสัย พฤติกรรมของลูกค้าก็เปลี่ยนไปแล้ว
ดังนั้น การที่ Crown เจเนอเรชันที่ 16 จะพลิกโฉมจากเดิมแบบไม่เห็นฝุ่น แถมแตกออกเป็นรุ่นย่อยมากมายหลายแบบจนคุณสงสัยว่า ความเป็น Crown จะเหลือแค่ชื่อหรือเปล่า ทำแบบนี้แล้วจะขายได้ไหม ผมต้องบอกว่า ถ้ามันมาจากมันสมองของผู้คนที่ประคับประคองชื่อนี้มาได้เท่า 1 อายุคนเกษียณ คุณลองให้เวลา 4 ปีนับจากนี้เป็นบทพิสูจน์เถอะ.
Pan Paitoonpong