ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา Ferrari ได้ทำการออกแบบและผลิตเครื่องยนต์ V12 ที่แตกต่างกันอย่างมากมากถึงสองแบบ แต่ก็มักจะใช้ควบคู่กันอยู่ตลอดทั้งในการแข่งขันและในรถยนต์ที่ผลิตออกจำหน่าย เครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญ่กว่า (ความจุมากกว่า) ได้รับการออกแบบโดย Aurelio Lampredi แต่เครื่องยนต์ V12 ที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ เป็นเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนตำนานของเครื่องยนต์ V12 ซึ่งประจำการอยู่ในรถ Ferrari และถือเป็นผลงานชิ้นเอกของวิศวกรผู้ปราดเปรื่อง ชื่อ Gioacchino Colombo เครื่องยนต์ V12 ที่เขาออกแบบไม่เพียงแต่เป็นเครื่องยนต์ดั้งเดิมของรถ Ferrari ที่ใช้บนท้องถนนเท่านั้น แต่ยังถูกนำไปใช้ขับเคลื่อนรถแข่งคลาสสิกอย่าง Ferrari 250 Testa Rossa, Ferrari 250 GTO และ Ferrari Daytona อีกด้วย แน่นอนว่าไม่มีเครื่องยนต์รุ่นใดในประวัติศาสตร์ของม้าลำพองที่จะเทียบได้กับเครื่องยนต์ V12 ซึ่งออกแบบโดย Gioacchino Colombo
...
Colombo ดึงดูดความสนใจของป๋า Enzo Ferrari เมื่อทำการออกแบบเครื่องยนต์แถวเรียง 8 สูบ อัดอากาศด้วยซูเปอร์ชาร์จ สำหรับวางใต้ฝากระโปรงของรถแข่ง Alfetta 158 Grand Prix ปี 1938 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงและอิตาลีเป็นฝ่ายแพ้สงคราม Enzo ได้ขอให้ Colombo ออกแบบเครื่องยนต์ V12 ให้กับ Ferrari ซึ่ง Enzo เองก็ชื่นชอบเครื่องยนต์บิ้กบล็อกรูปตัววีมานานแล้ว และต้องการให้รถ Ferrari ที่จะออกขายต่อไปในอนาคตเป็นเครื่องยนต์ V12
เครื่องยนต์ V12 ซิลิคอน-อะลูมิเนียม น้ำหนักเบา กระบอกสูบทำมุม 60 องศา ความจุขนาด 1.5 ลิตร ใช้กระบอกสูบขนาด 55 มิลลิเมตร และระยะชัก 52.5 มิลลิเมตร (เกือบจะสแควส์) ซึ่งสามารถเร่งได้ถึง 7,000 รอบต่อนาที ในรูปแบบแรงอัดสูง กำลัง 118 แรงม้า ซึ่งถือว่าน่าทึ่งมากในขณะนั้น บล็อกตัวเครื่องสั้นลงเหลือเพียงเส้นกึ่งกลางเพลาข้อเหวี่ยง หัวสูบแต่ละหัว มีเพลาลูกเบี้ยวขับเคลื่อนด้วยโซ่เพียงตัวเดียวเท่านั้น
ในตอนแรก หัวสูบถูกปิดผนึกด้วยแหวนทองแดง ไม่ใช่ด้วยปะเก็น และความแปลกอีกอย่างในการออกแบบเครื่องยนต์ของพวกอิตาเลี่ยนก็คือ การใช้โลหะลักษณะคล้าย "กิ๊บติดผม" แทนสปริงขดสำหรับวาล์ว ใช้ท่อเหล็กหล่อแบบกดเข้าที่สำหรับกระบอกสูบ ท่อเหล่านี้มีระยะห่างระหว่างกัน 90 มิลลิเมตร ซึ่งด้วยขนาดกระบอกสูบที่ค่อนข้างแคบ แสดงให้เห็นว่า Gioacchino Colombo ได้วางแผนเพิ่มกำลังตั้งแต่เริ่มต้นการออกแบบ ในความเป็นจริงแล้ว ขนาดกระบอกสูบเดิมขนาด 55 มิลลิเมตร ต่อมาได้ขยายเป็น 77 มิลลิเมตร ก่อนที่จะต้องดัดแปลงบล็อกเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมด
...
นี่เป็นประเด็นที่ดีในการอธิบายว่าระบบการนับรุ่นของ Ferrari เกี่ยวข้องโดยตรงกับเครื่องยนต์ของแบรนด์ม้าลำพองได้ยังไง ซึ่งเป็นระบบที่ Ferrari ใช้มาตั้งแต่เริ่มผลิตรถยนต์คันแรก Ferrari ยึดมั่นและแทบจะไม่เคยเบี่ยงเบนจากระบบนี้เลย โดยเพิ่งเลิกใช้ไปเมื่อไม่นานนี้เอง หยิบเครื่องคิดเลขขึ้นมาแล้วหารความจุ 1,496 ซีซี ของเครื่องยนต์ ด้วยจำนวนกระบอกสูบ ปัดเศษเป็นจำนวนเต็มที่ใกล้เคียงที่สุด แล้วคุณจะได้ Ferrari 125 ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ผลิตออกสู่ตลาดของแบรนด์ เปิดตัวในปี 1947
...
ในปีถัดมา 1948 เครื่องยนต์ได้รับการดัดแปลงให้เหมาะกับสิ่งที่ Enzo Ferrari อยากจะให้เป็น นั่นก็คือการแข่งรถ เครื่องยนต์ V12 ซูเปอร์ชาร์จ 1.5 ลิตร กำลัง 230 แรงม้าในตอนแรก จากนั้นจึงเพิ่มขึ้นเป็น 315 แรงม้า เมื่อมีการนำเพลาลูกเบี้ยวคู่มาใช้ น่าเสียดายที่เครื่องยนต์ยังคงมีศักยภาพไม่เพียงพอที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จ เนื่องจากเป็นยุคแรกเริ่มของการดัดแปลงเครื่องยนต์ V12 กำลังสูง ดังนั้น ในปี 1950 Enzo Ferrari จึงหันมาใช้เครื่องยนต์ V12 ขนาด 3.3 ลิตรแบบดูดอากาศเองตามธรรมชาติ เป็น เครื่องยนต์ที่ออกแบบโดย Lampredi ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ Colombo ทะเลาะกับ Enzo Ferrari อย่างรุนแรง จนหันหลังให้กับแบรนด์ม้าลำพองแล้วกลับไปทำงานเดิมที่ Alfa Romeo ส่วนงานพัฒนาเครื่องยนต์ Ferrari ถูกแทนที่โดย Vittorio Jano หลังจากนั้น Colombo ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาขุมกำลังเพื่อใช้ใน Alfa Romeo จนกระทั่งเสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2508 เมื่ออายุได้ 74 ปี
...
อนุกรมและการพัฒนา
ก่อนที่ Colombo จะจากไป เขาเป็นผู้รับผิดชอบในการเพิ่มความจุเครื่องยนต์ V12 เป็นครั้งแรก โดยเพิ่มขนาดกระบอกสูบเป็น 1,995 ซีซี สำหรับวางในรถ Ferrari 166 โดยใช้กระบอกสูบขนาด 60 มิลิลเมตร และช่วงชัก 58.8 มิลลิเมตร ซึ่งยังคงใช้มาจนถึงปี 1967 ในช่วงเวลานั้น เครื่องยนต์ V12 ยังคงถูกเพิ่มขนาดความจุกระบอกสูบเป็น 3.3 ลิตร ด้วยการเพิ่มขนาดกระบอกสูบเพียงอย่างเดียว Colombo ตัดสินใจขั้นสุดท้ายในการเพิ่มขนาดกระบอกสูบเป็น 65 มิลลิเมตร สำหรับประจำการใน Ferrari 195S ปี 1950 โดยเพิ่มความจุกระบอกสูบเป็น 2,431 ซีซี และยังพัฒนากำลังเครื่องยนต์เป็น 160 แรงม้า ที่ 7,000 รอบต่อนาที
การพัฒนาเพิ่มเติมในช่วงที่ Colombo ลาออกไปอยู่ Alfa เริ่มต้นจากการเพิ่มขนาดกระบอกสูบเป็น 2,562 ซีซี โดยใช้กระบอกสูบขนาด 68 มิลลิเมตร จากนั้นจึงเพิ่มขนาดกระบอกสูบเป็น 2,953 ซีซี ซึ่งอยู่ในกลุ่มเครื่องยนต์ต่ำกว่า 3 ลิตร ที่ใช้ในรถแข่งและรถสปอร์ตที่ Ferrari ผลิตออกขาย เครื่องยนต์นี้ใช้กระบอกสูบขนาด 73 มิลลิเมตร และเป็นเครื่องยนต์ V12 ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยประจำการอยู่ใน Ferrari Testa Rossa ซึ่งเกือบจะกลายเป็นเครื่องยนต์แบบดูดอากาศปกติรุ่นแรกที่พัฒนาจนทำได้ 100 แรงม้าต่อลิตร ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในยุคนั้น หลังจากนั้น V12 ใน Ferrari 250 GTO Ferrari Testa Rossa เริ่มสำแดงฤทธิ์เดชในการแข่งขัน เครื่องยนต์ของมันผลิตแรงม้าได้ถึง 300 ตัว ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องมีการเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเครื่องใหม่ทั้งหมด มีการขยายตลับลูกปืนหลักจาก 55 มิลลิเมตร เป็น 60 มิลลิเมตร เพิ่มสลักยึดหัวลูกสูบ และออกแบบก้านสูบใหม่หมด
V12 บล็อกเดิม ถูกขยายใหญ่สุดในปี 1960 สำหรับวางลงใน Ferrari 400 Superamerica ซึ่งความจุกระบอกสูบถูกขยายจนถึง 3,967 ซีซี พร้อมความกว้างกระบอกสูบ 77 มิลลิเมตร ระยะชัก 71 มิลลิเมตร หากใช้เครื่องคิดเลขและหารความจุด้วย 12 คุณจะเห็นว่าความจุจริงควรเป็น 330 ไม่ใช่ 400 แต่ในกรณีนี้ Ferrari เชื่อว่า ตัวเลข 400 นั้นสามารถขายในอเมริกาได้มากกว่า 330 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากภายใต้การกำกับดูแลของป๋า Enzo
กระบอกสูบขนาด 77 มิลลิเมตร ถูกนำมาประกบกับช่วงชัก 58.8 มิลลิเมตร สำหรับวางใน Ferrari 275 ทำให้ 275GTB/4 กลายเป็น Ferrari รุ่นแรกที่มีกระบอกสูบแบบสองเพลาลูกเบี้ยวหรือทวินแคม ซึ่งช่วยให้ดึงอากาศ รวมถึงทำให้เครื่องยนต์มีแรงบิดและความยืดหยุ่นมากขึ้น ในปี 1964 เมื่อคำนึงถึงอนาคตและความจุที่มากขึ้น บล็อกกระบอกสูบจึงถูกออกแบบให้ยาวขึ้นอีกถึง 4 นิ้ว เพื่อให้สามารถย้ายศูนย์กลางกระบอกสูบจาก 90 มิลลิเมตร เป็น 94 มิลลิเมตร ได้
ปี 1969 เครื่องยนต์รุ่นแรกปรับใช้ขนาดกระบอกสูบ/ช่วงชัก 77.0x71.0 มิลลิเมตร ( Ferrari 400) เป็นไปตามธรรมเนียมของ Ferrari อีกสามปีต่อมา Ferrari ใช้ประโยชน์จากการ 'ยืด' ความยาวเครื่องยนต์ โดยสร้างเครื่องยนต์ V12 ขนาด 4.4 ลิตร มีความกว้างกระบอกสูบ 81 มิลลิเมตร ซึ่งเป็รนฝาสูบแบบทวินแคม ประจำการอยู่ใน Ferrari 365 นับเป็นราชาแห่งเครื่องยนต์ V12 365 GTB/4 'Daytona' เป็นซูเปอร์คาร์ที่สามารถทำความเร็วได้ 281 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
การเพิ่มระยะชักเป็น 78 มิลลิเมตร ทำให้แรงบิดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เอื้อประโยชน์สำหรับ Ferrari 400 GT รุ่นเครื่องเฮฟวี่เวท การเปลี่ยนระบบเชื้อเพลิงจากคาร์บูเรเตอร์เป็นระบบหัวฉีดเชื้อเพลิงที่ทันสมัยมากกว่า จนกลายมาเป็น Ferrari 400i ในปี 1979 นั่นคือครั้งสุดท้ายสำหรับการทำหน้าที่ของเครื่องยนต์ V12 ซึ่งออกแบบโดย Colombo ในปี 1985 การขยายกระบอกสูบเพิ่มอีก 1 มิลลิเมตร เพื่อเปลี่ยนเครื่อง 400 ให้เป็นเครื่องยนต์ 412 ซีซี ขนาด 4,942 ซีซี เครื่องยนต์ Colombo V12 ที่ประจำการอยู่ใน Ferrari ยุติสายการผลิตในลงปี 1989 เหลือเพียงตำนานที่น่าจดจำเอาไว้บนสมุดบันทึก.
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/