หลังจากการปลดประจำการเครื่องบินโจมตีฝึกแบบที่ 13 หรือ T-28D ในช่วงปี 2524 - 2528 กองทัพอากาศไทยได้เริ่มโครงการจัดหาเครื่องบินแบบใหม่เพื่อทดแทนบ.จฝ.13 จำนวน 1 ฝูงบิน โดยมีบริษัทที่เสนอแบบแผนอากาศยานให้พิจารณา 2 แบบคือ F-16A/B Block 15OCU และ F-20 โดยกองทัพอากาศ ได้ทำการเลือกแบบผู้ชนะเป็น F-16A/B Block 15OCU แต่รัฐบาลสหรัฐต้องการให้ไทยจัดหา F-16/79 ตามนโยบายที่กล่าวมาข้างตน รัฐบาลไทยอ้างถึงความจำเป็นในการที่จะต้องมีเครื่องบินที่ทันสมัยไว้รับมือกับการวางกำลังของ MiG-23 ในเวียดนาม จึงยืนยันความต้องการจัดหา F-16 A/B Block 15OCU ต่อรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งได้รับเสียงสนับสนุนจากบริษัทผู้ผลิตที่มองว่า F-16A/B จะมีอนาคตมากกว่า F-16/79 ที่แม้แต่ประเทศผู้ผลิตก็ยังไม่จัดหาเข้าประจำการ หลังจากการกดดันอย่างหนักจากทั้งบริษัทผู้ผลิตและรัฐบาลไทย ในที่สุดรัฐบาลสหรัฐก็อนุมัติขาย F-16A/B Block 15OCU ให้กับประเทศไทยในปี 2528

กองทัพอากาศไทยจัดหา F-16 ใน 4 โครงการคือ

กองทัพอากาศจัดหา F-16A Block 15OCU จำนวน 8 ลำ และ F-16B Block 15OCU จำนวน 4 ลำในปี 2528 ได้รับมอบเครื่องบินเข้าประจำการในปี 2531 ปัจจุบันประจำการอยู่ที่ฝูงบิน 103 กองบิน 1 โคราช

...

กองทัพอากาศจัดหา F-16 เพิ่มเติมอีก 6 ลำ เป็น F-16A Block 15OCU ทั้งหมด ได้รับมอบเครื่องบินเข้าประจำการในปี 2534 ปัจจุบันประจำการอยู่ที่ฝูงบิน 103 กองบิน 1 โคราช

ในปี 2537 กองทัพอากาศพิจารณาเครื่องบินขับไล่โจมตีฝูงใหม่ โดยมีตัวเลือกคือ F-16A/B Block 15OCU, A-10, และ F-7M ซึ่งกองทัพอากาศได้เลือก 16A/B Block 15OCU เช่นเดิม โดยเป็น F-16A Block 15OCU จำนวน 12 ลำ และ F-16B Block 15OCU จำนวน 6 ลำ

F-16 ฝูงนี้ได้รับการออกแบบให้ทำภารกิจขับไล่โจมตีกลางคืนโดยเฉพาะ โดยติดตั้งกระเปาะช่วยเดินอากาศ (Navigation Pod) แบบ Rubis และกระเปาะชี้เป้า (Targeting Pod) ATLIS II โดยในรุ่นสองที่นั่ง ห้องนักบินด้านหลังถูกปรับปรุงเป็นที่นั่งของนายทหารอาวุธ (Weapon System Officer) ทำหน้าที่ทำงานกับระบบอาวุธและเรด้าร์ในการโจมตีภาคพื้นดิน ปัจจุบันประจำการอยู่ที่ฝูงบิน 403 กองบิน 4 ตาคลี

กองทัพอากาศได้จัดหา F/A-18C/D จำนวน 8 ลำเพื่อมาเป็นเครื่องบินขับไล่แบบใหม่ของกองทัพอากาศไทย แต่จากวิกฤตเศรษฐกิจในขณะนั้น ประเทศไทยประสบกับภาวะขาดงบประมาณอย่างรุนแรง ไม่สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ กองทัพอากาศและรัฐบาลไทยจึงเจรจากับรัฐบาลสหรัฐให้ซื้อสัญญา F/A-18C/D ทั้ง 8 ลำกลับไป ปัจจุบัน F/A-18C/D ทั้ง 8 ลำประจำการอยู่ในหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐ

...

แต่กำลังรบของกองทัพอากาศไทยยังขาดไปอีก 1 ฝูงบิน ในปี 2542 กองทัพอากาศจึงจัดหา F-16 ADF มือสองจำนวน 16 ลำ เป็น F-16ADF ที่นั่งเดียว 15 ลำ และ F-16ADF สองที่นั่ง 1 ลำ ซึ่งเป็นเครื่องบินที่เกินความต้องการของสหรัฐ โดยใช้เงินที่เคยจ่ายไปในโครงการจัดหา F/A-18C/D และเงินที่กองทัพอากาศฝากไว้กับรัฐบาลสหรัฐเพื่อดำรงความพร้อมรบของเครื่องบินของกองทัพอากาศ

F-16 ADF นับเป็นเครื่องบินแบบแรกของกองทัพอากาศที่มีความสามารถในการใช้อาวุธปล่อยอากาศสู่อากาศระยะกลาง มีความสามารถในการโจมตีข้าศึกตั้งแต่ระยะเกินสายตา (Beyond Visual Range) โดยกองทัพอากาศจัดหา AIM-120 AMRAAM มาติดตั้งใช้เงินกับ F-16ADF ปัจจุบัน F-16ADF ประจำการอยู่ที่ฝูงบิน 102 กองบิน 1 โคราช

...

ปี 2547 กองทัพอากาศสิงคโปร์ได้มอบ F-16A/B Block 15OCU จำนวน 7 ลำ (F-16A 3 ลำ และ F-16B 4 ลำ)ให้กับกองทัพอากาศไทย เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนในการที่กองทัพอากาศไทยอนุญาตให้กองทัพอากาศสิงคโปร์ใช้พื้นที่การฝึกในประเทศไทยได้ โดยทั้งหมดเป็น F-16 จากโครงการ Peace Carvin I ของสิงคโปร์

20 ปีที่ผ่านมาเทคโนโลยีทางด้านการบินทางทหารพัฒนาไปมาก ความสามารถของ F-16A/B ทั้ง 59 ลำอาจจะไม่เพียงพอที่จะรับมือกับเครื่องบินที่ทันสมัยกว่า แต่การจัดหาเครื่องบินใหม่ก็ต้องใช้งบประมาณที่สูงมาก ดังนั้นกองทัพอากาศจึงมีโครงการปรับปรุง F-16 ที่ประจำการอยู่ โดยเราเรียกว่าการปรับปรุงช่วงครึ่งอายุ หรือ Mid-Life Upgrade (MLU) ซึ่งจะเป็นการปรับปรุงระบบอิเล็กทรอนิคต่าง ๆ ให้สามารถใช้งานอาวุธรุ่นใหม่ ๆ ที่สมัยได้ นอกจากนั้นยังได้ทำการปรับปรุงโครงการของเครื่องบินในโครงการ Falcon Up และ Falcon Star เพื่อยืดอายุการใช้งานออกไป โดยกองทัพอากาศวางแผนที่จะปลดประจำการ F-16 ลำสุดท้ายในปี 2583 

...

F-16B  ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ติดตั้งเรดาร์ AN/APG-68(V)9 สามารถตรวจจับได้ไกลกว่าเดิม 2 เท่า,มีระบบพิสูจน์ฝ่ายแบบใหม่,มีระบบการจัดการสงครามอิเล็คทรอนิคแบบบูรณาการ,ติดตั้งระบบ LINK 16,ระบบ JHMCH ติดตั้งกับหมวกบิน....ทำให้ F-16A/B ฝูงบิน 403 สามารถติดตั้งอาวุธที่ทันสมัยเช่น IRIS-T,AIM-120,ลูกระเบิด JDAM และอื่นๆ...  

(ข้อมูลจาก  https://www.thaifighterclub.org/detail/7043)

F16 A Royal Thai Air Force
กองทัพ อากาศไทยได้ทำการจัดหาเครื่องบินขับไล่-โจมตีทุกกาลอากาศเพื่อเข้าทดแทน เครื่องบินขับไล่โจมตีแบบ F5 ที่มีอายุประจำการนานมากแล้ว โดยได้ทำการเลือกแบบเครื่องบินดังกล่าวจากบริษัทเยเนอรัล ไดนามิกส์ สหรัฐอเมริกาดดยทำการสั่งซื้อเครื่องบิน F16 A Fighting Falcon รวม 4 ครั้งคือ

ปี 2528 จัดซื้อครั้งแรกจำนวน 12 ลำ เป็นรุ่นที่นั่งเดี่ยวหรือรุ่น F16 A 8 ลำ และรุ่นสองที่นั่งหรือรุ่น F16 B 4 ลำ

ปี 2528 ช่วงปลายปี ทำการจัดซื้ออีก 6 ลำ เป็นเครื่องรุ่นที่นั่งเดี่ยวทั้งหมด

ปี 2538 จัดซื้อเพิ่มเติมอีก 18 ลำ เป็นรุ่นที่นั่งเดี่ยวหรือรุ่น F16 A 12 ลำ และรุ่นสองที่นั่งหรือรุ่น F16 B 6 ลำ

ปี 2542 จัดซื้อเพิ่มเติมเพื่อทดแทนเครื่องขับไล่แบบF5ที่เริ่มหมดอายุการใช้งานอีก 16 ลำ เป็นเครื่องรุ่นที่นั่งเดี่ยวหรือรุ่น F16 A จำนวน 15 ลำ และรุ่นสองที่นั่งหรือรุ่น F16 B 1 ลำ

กองทัพอากาศไทยยังได้ รับมอบเครื่อง F16 จาก ทอ. สิงค์โปร์อีก 7 ลำ เป็นรุ่นที่นั่งเดี่ยว 3 ลำและรุ่นสองที่นั่งอีก 4 ลำซึ่ง เป็นการแลกเปลี่ยนจากการที่เราได้อนุญาติให้เครื่องบินขับไล่ของ ทอ. สิงค์โปร์เข้ามาใช้น่านฟ้าเพื่อทำการฝึกบิน

ปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีเครื่องบินขับไล่แบบF16 ประจำการอยู่ในฝูงบินต่างๆทั่วประเทศถึง 3 ฝูงด้วยกันคือ
1-ฝูงบิน 403 กองบิน 4 อำเภอตาคลี ใช้แพนหางเป็นสัญลักษณ์รูปงูจงอาง
2-ฝูงบิน 103 กองบิน 1 โคราช ใช้สัญลักษณ์เป็นรูปสายฟ้า
3-ฝูงบิน 102 กองบิน 1 โคราช ใช้สัญลักษณ์เป็นรูปดาว

อาวุธยุโธปกรณ์ที่ติดตั้งบนเครื่องขับไล่ F-16 ที่ครั้งหนึ่ง เคยได้ชื่อว่าเป็นเครื่องบินรบที่มีความทันสมัยมากที่สุดและทำการบินด้วยระบบอีเล็คโทรนิกส์ ซึ่งอาวุธดังกล่าวมีใช้งานในกองทัพอากาศไทยด้วยเช่น

-อาวุธนำวิถีอากาศ สู่อากาศ AIM-9M Sidewinder ใช้ต่อต้านอากาศยานที่บินในระยะใกล้ ใช้การนำวิถีด้วยความร้อนหรืออินฟาเรด

-อาวุธนำวิถีอากาศสู่พื้น AGB-65 Maverick ใช้โจมตีรถถัง ยานรบหุ้มเกราะ และเป้าหมายอื่น ๆเช่น บังเกอร์ หรืออาคารบัญชาการของฝ่ายตรงข้าม

-จรวดต่อต้านอากาศยาน AIM-120C AMRAAM ใช้สำหรับต่อสู้อากาศยานในระยะปานกลาง นำวิถีด้วยเรดาห์

F-16 MLU ถือเป็น F-16 ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดของ ทอ. ไทย หลังจากการปรับปรุงตามมาตรฐาน eMLU ด้วยการติดตั้งเรดาร์ AN/APG-66(V)9 ระบบ Datalink แบบ Link-16 และกระเปาะชี้เป้าแบบ Spiner ATP โดยเป็น F-16A/B ในฝูงบิน 403 ที่เหลือจำนวน 17 ลำ จาก 18 ลำ เนื่องจากประสบอุบัติเหตุตกไป 1 ลำ และรวมกับเครื่องที่รับโอนมาจากฝูง 103 อีก 1 ลำ

เครื่องบินรบ F-16 MLU รุ่นนี้ คือการปรับปรุงขีดความสามารถ จาก F16 ให้มีสมรรถนะสูงขึ้น รองรับขีปนาวุธรุ่นใหม่ เช่น อาวุธปล่อยอากาศสู่อากาศ ต่อต้านอากาศยาน Python อาวุธปล่อยทำลายเรือผิวน้ำ Harpoon รวมถึงอาวุธปล่อยอากาศสู่พื้น Maverick ติดตั้งระบบยิงไกลเกินสายตา (เนื่องจาก F-16 รุ่นแรกๆ ออกแบบให้ทำการรบในระยะสายตาของนักบิน) ติดตั้งระบบเรดาร์ที่มีประสิทธิภาพในการตรวจจับเป้าหมาย เพิ่มความสามารถในการปฏิบัติภารกิจในเวลากลางคืน มีการติดตั้งระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธี ส่งผลให้นักบินและหน่วยบัญชาการและควบคุม สามารถทำการรบได้แบบเรียลไทม์ โครงสร้างของ F-16 ออกแบบมาเป็นพิเศษ เป็นเครื่องบินรบที่สามารถเลี้ยวด้วยแรงจีที่สูงมาก สร้างแรงโน้มถ่วงขณะบินได้ถึง 9g ทำให้เลี้ยวมุมแคบได้อย่างคล่องแคล่ว กลายข้อได้เปรียบในการต่อสู้ระยะประชิด มีเพดานบินสูงสุด 50,000 ฟุต หรือ 15 กิโลเมตร ทำความเร็วสูงสุด 2,121 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พิสัยบินไกลสุดอยู่ที่ 4,217 กิโลเมตร

F16 A Fighting Falcon Royal Thai Air Force Specifications
ประเภท...............................................เครื่องบินขับไล่-สกัดกั้น โจมตีและลาดตระเวณทุกกาลอากาศ
ผู้ผลิต..................................................บริษัท เยเนอรัล ไดนามิกส์ สหรัฐอเมริกา
เครื่องยนต์...........................................F-100-PW-220 Turbofan 1 เครื่อง
กางปีก.................................................32 ฟุต 9.45 นิ้ว
ความยาว.............................................49 ฟุต 5.9 นิ้ว
สูง........................................................16 ฟุต 9.5 นิ้ว
น้ำหนักตัวเปล่า....................................14,567 ปอนด์
น้ำหนักบินขึ้นสูงสุด..............................35,400 ปอนด์
ความเร็วสูงสุด......................................1.6 มัค 1,320 ไมล์ต่อชั่วโมง ที่ระดับความสูง 40000 ฟุต
เพดานบิน.............................................60,000 ฟุต
พิสัยบิน(บินไกล)..................................21,00 ไมล์ เมื่อติดตั้งกระเปาะเชื้อเพลิงสำรอง
รัศมีปฎิบัติการรบ.................................500 ไมล์
อาวุธ..................................................... ปืนใหญ่อากาศ เอ็ม-61 เอ 1 ขนาด 20 มิลลิเมตร 6 ลำกล้อง 1 กระบอก กระสุนกระบอกละ 500 นัด
ระบบอาวุธอากาศ-สู่-อากาศ
จรวดนำวิถีอากาศ-สู่-อากาศ พิสัยใกล้ เอไอเอ็ม - 9 ไซด์ไวน์เดอร์
จรวดนำวิถีอากาศ-สู่-อากาศ พิสัยปานกลาง เอไอเอ็ม - 120 แอมแรม

F- 16 A/B ADF ทอ.ไทย
ระบบ อาวุธอากาศ-สู่-พื้นระเบิด และจรวดขนาดต่าง ๆ ระเบิด ซีบียู,อาวุธปล่อยนำวิถี เอจีเอ็ม - 65 มาเวอริค ระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ขนาดต่างๆ
น้ำหนักบรรทุกอาวุธ.............................5,443 กิโลกรัม
เข้าประจำการในกองทัพอากาศไทย....ปีพศ 2531-ปัจจุบัน

ข้อมูล
http://www.bloggang.com
Photo-By Royal Thai Armed Forces