25 เม.ย. เวลา 09.20 น.(ตามเวลาท้องถิ่นราชอาณาจักรภูฏาน) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยเครื่องบินพระราชพาหนะแบบ Boeing 737-800 ทรงทำการบินด้วยพระองค์เอง จากท่าอากาศยาน บน. 6 ถึงยังท่าอากาศยานนานาชาติพาโร ประเทศภูฏาน โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดี และสมเด็จพระราชินีแห่งราชอาณาจักรภูฏาน ทรงรับ พร้อมด้วยสมาชิกพระราชวงศ์ภูฏานเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ ในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ตามคำทูลเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรภูฏาน ระหว่างวันที่ 25-28 เมษายน 2568
ในการเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นนักบินผู้ควบคุมอากาศยาน โดยมีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงปฏิบัติหน้าที่เป็นนักบินผู้ช่วย

...



การมุ่งหน้าไปยังสนามบินมักจะเป็นขั้นตอนที่สร้างความเครียด โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นนักบินและกำลังมุ่งหน้าไปยังสนามบิน LAX หรือ JFK และแม้ว่าสนามบินนานาชาติเดนเวอร์ จะมีทฤษฎีสมคบคิดที่น่าขนลุก แต่ก็มีสนามบินเพียงไม่กี่แห่งบนโลกที่ลงได้ยากเท่ากับสนามบินนานาชาติพาโร ของภูฏาน สนามบินแห่งนี้ซ่อนตัวอยู่ในอาณาจักรภูฏานที่ห่างไกลในเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งขึ้นชื่อว่าลงจอดได้ยากสุดๆ โดยมีนักบินทั่วโลกเพียง 50 คนเท่านั้นที่ได้รับการรับรองให้ลงจอดได้

สนามบินนานาชาติพาโรอาจดูเงียบสงบ ล้อมรอบด้วยยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและป่าทึบ แต่ในความเป็นจริงแล้ว นักบินหลายคนไม่ได้รู้สึกสงบ สนามบินแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากเมืองพาโรเพียง 6 กม. และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่อันตรายและพิเศษที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในการนำเครื่องบินพาณิชย์ร่อนลงจอด

...
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสนามบินระบุว่า: สนามบินนานาชาติพาโรเป็นสนามบินนานาชาติเพียงแห่งเดียวจากทั้งหมด 4 สนามบินในอาณาจักรภูฏาน ห่างจากเมืองพาโร 6 กม. ในหุบเขาลึกริมฝั่งแม่น้ำพาโรชู
สนามบินพาโรแห่งนี้ ถือเป็นสนามบินที่ท้าทายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมียอดเขาสูงแวดล้อมโดยรอบ หุบเขาที่มีบางยอดสูงเสียดฟ้าถึง 5,500 เมตร (18,000 ฟุต) และมีเพียงนักบินเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ผ่านการรับรองให้ลงจอดที่สนามบินได้

นั่นหมายความว่าหุบเขาที่ลึกแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นฝันร้ายด้านการขนส่งสำหรับอากาศยานโดยสารอีกด้วย เนื่องจากสนามบินพาโรมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 7,330 ฟุต และมีรันเวย์ยาวเพียง 2.265 กม. จึงต้องบินขึ้นลงตามเส้นทางภูเขาที่แคบ ทำให้แม้แต่การลงจอดตามปกติก็ยังเป็นความท้าทายที่แสนยาก

...
สิ่งที่ทำให้สนามบินพาโรแตกต่างจากสนามบินอื่นๆ คือการไม่มีเรดาร์นำทาง นักบินต้องพึ่งพาการมองเห็นและการบินด้วยมือเท่านั้น พาโรไม่มีระบบนำร่องอัตโนมัติให้พึ่งพา นอกจากนี้ ตามเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสนามบินยังระบุว่า “อนุญาตให้บินไปและกลับสนามบินพาโรได้ภายใต้สภาพอากาศที่มองเห็นได้เท่านั้น และจำกัดเฉพาะเวลากลางวันตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก”

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การลงจอดและขึ้นบินสามารถเกิดขึ้นได้เฉพาะเมื่อสภาพอากาศแจ่มใส และต้องเกิดขึ้นเฉพาะในช่วงเวลากลางวันเท่านั้น ไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งสิ่งนี้จะเพิ่มความซับซ้อนเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง โดยเฉพาะในช่วงฤดูมรสุมที่รุนแรงของภูฏาน ซึ่งทัศนวิสัยอาจลดลงอย่างมาก และสภาพลมคาดเดาได้ยาก ลมอาจพัดขวางอย่างรวดเร็วโดยไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนใดๆ

...
ความท้าทายอีกอย่างหนึ่งคือ ปัจจุบัน มีเพียงสายการบินพาณิชย์สองสายเท่านั้นที่เปิดให้บริการจากสนามบินแห่งนี้ ได้แก่ Drukair Royal Bhutan Airlines และ Bhutan Airlines นักบินของสายการบิน ได้รับการฝึกอบรมและรับรองเป็นพิเศษให้สามารถบินขึ้นและลงจอดได้ในรูปแบบที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสนามบินพาโร

สนามบินแห่งนี้มีชื่อเสียงในด้านความน่ากลัว การลงจอดที่สนามบินพาโรไม่ได้ขึ้นอยู่กับทักษะของนักบินเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับคุณสมบัติระดับสูงในการควบคุมเครื่อง ทั้งทิศทางและความสูงที่ต้องตรงพอดี สมาธิที่เฉียบคม และความสามารถในการสงบสติอารมณ์ ในสถานการณ์ที่แม้แต่นักบินที่มีประสบการณ์มากที่สุดก็ยังลังเล หรือมีอาการเครียดจากแรงกดดันในการร่อนลงจอดที่นี่

การลงจอดที่สนามบินพาโรได้สำเร็จยังคงเป็นเครื่องหมายของความเชี่ยวชาญด้านการบินที่แท้จริง
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านการทหาร โดยเฉพาะด้านวิศวกรรมการบินและอากาศยาน หลังจากทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยดันทรูน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงมีความสนพระราชหฤทัย และทรงมีพระอัจฉริยภาพทางด้านวิศวกรรมการบินและอากาศยาน โดยทรงสนพระราชหฤทัยมาตั้งแต่เมื่อครั้งทรงพระเยาว์

เมื่อ พ.ศ. 2522 รัชกาลที่ 10 ขณะทรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กองทัพอากาศจัดถวายการฝึกบินตามหลักสูตรโรงเรียนการบินของกองทัพอากาศ โดยทรงเริ่มทำการบินตามหลักสูตร การฝึกบินกับเครื่องบินปีกหมุนหรือเฮลิคอปเตอร์

วันที่ 20 ธ.ค. 2522 ทรงทำการบินกับเฮลิคอปเตอร์แบบ UH-1H จำนวน 54.4 ชั่วโมงบิน และเฮลิคอปเตอร์แบบ UH-1N จำนวน 134.8 ชั่วโมงบิน และทรงสำเร็จตามหลักสูตร เมื่อวันที่ 23 ก.ค. พศ. 2523

เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป ฮ.ท.1 UH-1H นับเป็นอากาศยานปีกหมุนกำลังหลักของกองทัพบกไทย ตั้งแต่ที่มีการจัดตั้งกิจการบินทหารบกยุคใหม่ ซึ่งในส่วนกองพันบินที่ 1 หรือนามหน่วยเดิม คือ กองบินปีกหมุนที่ 1 (1st AirMobile Company) ได้นำเข้าประจำการในปี พ.ศ. 2511 โดยสหรัฐฯ ได้มอบเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป ฮ.ท.1 เบลล์ UH-1 Iroquois ตามโครงการความช่วยเหลือทางทหารแก่กองทัพไทยชุดแรก จำนวน 25 เครื่อง ในปีที่จัดตั้งโรงเรียนการบินทหารบก (Army Aviation School) พ.ศ. 2510 (1967)
เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2523 ในระหว่างติดตามสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา พระองค์ทรงเข้ารับการฝึกและศึกษาตามโครงการของกองทัพบกสหรัฐอเมริกา ทรงรับการฝึกบิน เฮลิคอปเตอร์แบบ UH-1H ของกองทัพบกสหรัฐ ณ Fort Bragg รัฐ North Carolina สหรัฐอเมริกา
ทรงรับพระราชทานประดับเครื่องหมายแสดงความสามารถในการบินของกองทัพอากาศ จากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชบิดา เมื่อวันพฤหัสบดี 21 ส.ค.2523 ณ โรงเรียนนายเรืออากาศ

11 ธันวาคม 2523 ทรงฝึกบินเครื่อง Marchetti ณ ฝูงฝึกขั้นปลาย ณ โรงเรียนการบิน ทรงสำเร็จตามหลักสูตรเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2524
เครื่องบินฝึกแบบ SF-260 ผลิตโดย บริษัท SIAI-Marchetti ประเทศอิตาลี จำนวน 11 เครื่อง กำหนดชื่อเรียกว่า “เครื่องบินฝึกแบบที่ 15” (จัดซื้อเมื่อปี 2516) และเครื่องบินฝึกแบบ CT-4A ผลิตโดยบริษัท Pacific Aerospace Corporation ประเทศนิวซีแลนด์ จำนวน 19 เครื่อง
(จัดซื้อเมื่อปี 2517) กำหนดชื่อว่า “เครื่องบินฝึกแบบที่ 16” (ในปีเดียวกันนี้ซื้อ บ.ฝ.16 เพิ่มอีก 5 เครื่อง รวมเป็น 24 เครื่อง) เพื่อใช้ฝึกบินนักบินใหม่

3 มีนาคม 2524 ทรงฝึกบินกับเครื่องไอพ่นแบบ T-37 ณ ฝูงฝึกขั้นปลาย โรงเรียนการบิน ทรงสำเร็จตามหลักสูตรเมื่อ 10 กรกฎาคม 2524
T-37 B (Tweet หรือ Tweety Bird) เป็นหนึ่งในความช่วยเหลือทางทหารตามโครงการ MAP ของสหรัฐฯ ที่มีต่อประเทศไทย โดยได้รับมาเมื่อเดือน ส.ค.04 และได้รับการกำหนดชื่อว่า บ.ฝ.12 (เครื่องบินฝึกแบบที่ 12) ซึ่งภายหลังจากการตรวจรับและเข้าประจำการไปเมื่อเดือน ก.ย.04 แล้ว ภายหลังจึงได้จัดให้มีพิธีรับมอบอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 มี.ค.05 พร้อมๆ กับ บ.ข.17 (F-86F Sabre) อีกจำนวน 20 เครื่อง ของฝูงบินขับไล่ยุทธวิธีที่ 12 กองบินน้อยที่ 1 ดอนเมือง

บ.ฝ.12 จำนวน 8 เครื่องนี้ถือว่าเป็น เครื่องบินฝึกไอพ่นสำหรับศิษย์การบินแบบแรกของ ทอ. ก็ว่าได้ เนื่องจาก บ.ฝ.11 หรือ T-33 ของฝูงบินที่ 10 (11) กองบินน้อยที่ 1 ที่ได้รับมาก่อนหน้าในปี 2498 นั้น ไม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่อฝึกบินให้กับศิษย์การบินของ รร.การบิน แต่มีภารกิจในการฝึกเปลี่ยนแบบสู่ บ.ไอพ่น (Jet Transition) สำหรับนักบินขับไล่ที่เคยทำการบินกับ บ.ขับไล่ใบพัดก่อนที่จะเปลี่ยนแบบไปทำการบินกับ บ.ขับไล่ไอพ่น บ.ฝ.12 ทั้ง 8 เครื่อง ได้รับการบรรจุในฝูงฝึกขั้นปลาย รร.การบิน โคราช เพื่อใช้ฝึกบินศิษย์การบินชั้นมัธยม เป็นจำนวนประมาณ 115 ชั่วโมง ก่อนที่จะสำเร็จไปเป็นนักบินประจำกองเพื่อทำการบินกับ บ.ไอพ่น ในฝูงบินรบต่อไป ซึ่งศิษย์การบินรุ่นแรกที่ได้ทำการฝึกบินกับ บ.ฝ.12 คือ รุ่น น.28 - 05 - 1 โดยในการฝึกบินจะประกอบไปด้วย การบินเกาะภูมิประเทศ การบินด้วยเครื่องวัดประกอบการบิน การบินเดินทาง การบินหมู่ การบินกลางคืน และการบินด้วยเครื่องฝึกบินจำลอง

ต่อมาทรงฝึกบินหลักสูตรนักบินพร้อมรบขั้นพื้นฐาน (ไอพ่น) T-33 ณ กองบิน 1 ฝูงบิน 101 ทรงสำเร็จตามหลักสูตรเมื่อ 19 มีนาคม 2525
ในปี 2498 ทอ.ไทย ได้รับ บ.ฝึกไอพ่น และ บ.ตรวจการณ์ไอพ่นแบบแรกคือ T-33 และ RT-33 ซึ่งถือว่าเป็น บ.ไอพ่นแบบแรกสุดของ ทอ.ไทย แต่ว่ามันก็ยังไม่ใช่ เครื่องบินรบเต็มรูปแบบที่จะใช้เป็นหลักในการป้องกันภัยทางอากาศสำหรับประเทศไทย ซึ่งจุดประสงค์ในการที่สหรัฐฯ มอบ บ.ฝึกไอพ่นมาให้ก่อนนั้น ก็เพื่อเป็นการเตรียมพื้นฐานของนักบินและเจ้าหน้าที่ของไทยให้มีความรู้และประสบการณ์ในการปฏิบัติงานกับ บ.ไอพ่น ก่อนที่จะได้ปฏิบัติงานกับ บ.ขับไล่ไอพ่นที่จะมอบให้ในเวลาต่อมา และหลังจากจากนั้นในปลายเดือน พ.ย.2499 นักบินของ ทอ.สหรัฐฯ ก็ได้นำหมู่บิน บ.ขับไล่ทิ้งระเบิดแบบ F-84G Thunderjet ชุดแรกจำนวน 4 เครื่อง (ในจำนวน 6 เครื่องแรก) มาลงจอดที่กองบินน้อยที่ 1 ดอนเมือง และถัดจากนั้นมาอีก 13 วัน ก็ได้รับ บ.ชุดที่ 2 อีกจำนวน 7 เครื่อง และเมื่อผ่านขั้นตอนการตรวจรับแล้ว บ.ทั้ง 13 เครื่องนั้นก็ได้ถูกกำหนดชื่อให้เป็นเครื่องบินขับไล่แบบที่ 16 หรือ บ.ข.16 และได้นำไปบรรจุเข้าประจำการใน ฝูงบินขับไล่ทิ้งระเบิดที่ 12 กองบินน้อยที่ 1 ทดแทน บ.ข.15 (F8F-1/1B Bearcat ที่ได้โอนไปให้ กองบินน้อยที่ 2 ใช้งานต่อในช่วงก่อนหน้านี้) ซึ่งในการบินมาส่งมอบนั้น บ.ทั้งหมดก็ยังติดเครื่องหมายของ ทอ.สหรัฐฯ อยู่ แต่ในส่วนของ ทอ. นั้นไม่ได้มีการบันทึกว่า บ. ชุดแรกทั้ง 4 เครื่องนั้น บินมาจากฐานทัพอากาศสหรัฐฯในประเทศใด ซึ่งจะเป็นในประเทศญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้ก็ไม่อาจจะทราบได้ แต่ที่น่าสังเกตคือในจำนวนที่รับมาทั้ง 2 ชุดนี้ มี บ.หลายเครื่องนั้นได้เคยประจำการอยู่ในกองทัพอากาศของกลุ่มประเทศนาโต้ อย่างเช่น อิตาลี เบลเยียม และฝรั่งเศส มาก่อน และภายหลังสหรัฐฯ จึงนำ บ.เหล่านี้มามอบให้ ทอ.ไทย ใช้งานต่อ

เมษายน-ตุลาคม 2525 ทรงฝึกบินหลักสูตรนักบินขับไล่ไอพ่นสมรรถนะสูง F-5E/F ณ กองบิน 1 ฝูงบิน 102

เครื่องบินขับไล่แบบ F 5 คืออากาศยานไอพ่นความเร็วเหนือเสียงในรูปแบบเครื่องบินรบที่เข้าประจำการในกองทัพอากาศ จากโครงการช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐอเมริกา โดยมอบให้กับประเทศที่กำลังพัฒนา ในช่วงปี พ.ศ.2509 เพื่อทำการป้องกันและเข้าต่อตีกับเครื่องบินรบของค่ายคอมมิวนิสต์ ประเทศไทยเริ่มต้นรับมอบเครื่องบิน F 5B (รหัส B ต่อท้ายจะเป็นเครื่องสองที่นั่ง) เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2509 และปี 2510 กองทัพอากาศไทยได้รับมอบเครื่อง F 5 A จำนวน 8 เครื่อง ตามมาด้วยปี 2513 ได้รับเครื่องบิน RF 5 A จำนวน 4 เครื่อง เพื่อใช้ในการปฏิบัติการถ่ายภาพทางอากาศ ปี พ.ศ.2517 ก็ได้รับ F 5 A เพิ่มเติมจากสหรัฐอเมริกาอีกเป็นจำนวน 5 เครื่อง

ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2525-กันยายน 2526 เสด็จไปฝึกบินหลักสูตรการบินขับไล่พื้นฐาน และหลักสูตรการบินขับไล่ขั้นสูงแบบ F-5E/F ณ William Air Force Base รัฐ Arizona ในวันที่ 22 กันยายน 2526 ที่ทรงสำเร็จการศึกษาหลักสูตรการบินขับไล่ทางยุทธวิธีขั้นสูงของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ผู้บังคับฝูงเครื่องบินขับไล่ทางยุทธวิธีที่ 425 เทิดพระเกียรติในบันทึกว่า “นาวาอากาศโท สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ในระหว่างการศึกษาว่า ทรงมีความมั่นพระราชหฤทัยที่จะทรงนำในการออกปฏิบัติภารกิจการรบทางอากาศ ทรงมีความกล้าหาญที่จะทรงตัดสินพระราชหฤทัยที่ยากเย็นได้ภายในเสี้ยววินาที อีกทั้งยังมีพระปรีชาสามารถในการเลือกแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องในการป้องกันประเทศชาติของพระองค์”

ในการเป็นนักบินขับไล่ พระองค์ทรงต้องรับการตรวจพระวรกายจากคณะแพทย์ และจะต้องผ่านการทดสอบต่างๆ ตามเกณฑ์จากคณะกรรมการของกองทัพอากาศอย่างสม่ำเสมอ การเป็นนักบินไอพ่นทำการรบ เป็นการปฏิบัติงานที่ยุ่งยาก ซับซ้อน และเสี่ยงอันตราย สมเด็จพระบรมฯ ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแกร่งตามเกณฑ์ที่กำหนด เมื่อเสด็จกลับมาแล้ว พระองค์ทรงฝึกบินหลักสูตรการบินรบขั้นสูง (Advance Fighter Course) และทรงฝึกบินทบทวนหลักสูตรต่างๆ ของ F-5E/F ที่กองบิน 1 ฝูง 102 จนจบหลักสูตร
ในวันที่ 29 ธันวาคม 2526 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จทอดพระเนตรการแข่งขันใช้อาวุธทางอากาศ ณ สนามฝึกใช้อาวุธทางอากาศชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ซึ่งพระองค์ทรงทำการบินเครื่องบินขับไล่ F-5E เข้าแข่งขันด้วย
30 ตุลาคม 2528 ในระหว่างการฝึกรหัส Commando West-9 พระองค์ทรงทดลองบินเครื่อง F-15 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ


พ.ศ. 2529 ทรงเข้าร่วมการแข่งขันการใช้อาวุธทางอากาศและทรงชนะเลิศการใช้อาวุธทางอากาศประเภทปืนกลอากาศ ประเภทบุคคล ทรงชนะเลิศการแข่งขันการใช้อาวุธทางอากาศในการแข่งขันเมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2530

พลอากาศเอก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงทำการบินทบทวนหลักสูตรต่างๆ ของเครื่องบินขับไล่ไอพ่นสมรรถนะสูง F-5E/F อย่างสม่ำเสมอตามขั้นตอนและตามวัฏภาค จนทรงพร้อมรบและทำการบินครบ 1,000 ชั่วโมง เมื่อ 17 เมษายน 2532
ทรงเข้าร่วมการแข่งขันการใช้อาวุธทางอากาศประจำปี ทรงใช้อาวุธทางอากาศ ทำคะแนนสูงตามกติกา ซึ่งกองทัพอากาศได้ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องหมายความสามารถในการใช้อาวุธทางอากาศขั้นที่ 1 ประเภทอาวุธระเบิด 4 ดาว อาวุธจรวด 4 ดาว และอาวุธปืน 4 ดาว

วันที่ 4 พฤษภาคม 2540 บริษัทนอร์ธรอป ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ผลิตเครื่องบินขับไล่ไอพ่นสมรรถนะสูงแบบ F-5 E/F ทูลเกล้าฯ ถวายเกียรติบัตรการบิน ที่ทรงทำการบินกับเครื่องบินขับไล่ F-5E/F ครบ 2,000 ชั่วโมง.