ถามกันเข้ามาว่า เมื่อไหร่ควรถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนยาง เอาเป็นว่า ยางคืออุปกรณ์ที่มีความสำคัญในลำดับต้นๆของการขับเคลื่อน ถ้ายางมีปัญหาขณะเดินทางก็ทำให้ไปต่อไม่ได้ ทุกวันนี้ เทคโนโลยียางรถยนต์ก้าวล้ำไปไกลมาก สูตรส่วนผสมในเนื้อยางช่วยยืดอายุการใช้งานได้มากกว่า 10-15% ขึ้นอยู่กับวิธีการขับ น้ำหนักบรรทุก แรงดันลมยางและสภาพเส้นทาง และไม่มียางยี่ห้อไหนที่เหมาะสมและดีที่สุดสำหรับรถทุกประเภท ยางแต่ละแบบถูกออกแบบมาให้แตกต่างกันจากรูปแบบของรถ ขนาดและน้ำหนัก แรงม้าแรงบิดรวมถึงตัวแปรอื่นๆ


...

อายุของยาง ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องพึงระวัง ยางหมดอายุจะทำให้เกิดอันตรายต่อการขับขี่ อย่างท่ีบอกว่ายางที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของรถ รับหน้าที่หนักหนาสาหัสในการแบกน้ำหนักรถทั้งคัน ต้องยึดเกาะพื้นถนน ช่วยให้รถสามารถขับเคลื่อนได้อย่างปลอดภัย รีดน้ำและเบรกได้ดี ควรหมั่นตรวจสอบสภาพของยางอยู่เสมอ อายุของการใช้งานของยางทั่วไป หากขับปกติ ไม่บรรทุกเกิน ไม่ได้ขับบนเส้นทางภูเขาบ่อยครั้ง อยู่ที่ประมาณ 3-5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร เมื่อยางรถของคุณมีอายุการใช้งานเกิน 5 ปี ก็ควรที่จะต้องเปลี่ยนยางใหม่ทันที แม้ว่าดอกยางยังมีอยู่ก็ตาม เนื่องจากยางบางรุ่นมีส่วนผสมที่ทำให้ดอกยางคงทน แต่เนื้อยางหมดอายุแล้วหรือที่เรียกกันว่า ยางตาย ก็ควรที่จะเปลี่ยนยางใหม่โดยเร็ว ไม่ควรทนใช้ต่อไป



ยางรถยนต์ทุกชนิด ทุกเกรด และทุกประสิทธิภาพ ล้วนแล้วแต่มีวันที่จะเก่าและเสื่อมลงตามกาลเวลา เพราะการวิ่งบนถนนหลากหลายรูปแบบ สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และการใช้งานในเรื่องของลักษณะการขับขี่ รวมถึงอุณหภูมิเขตร้อนชื้นของประเทศไทย ส่งผลต่อเนื้อยาง หน้ายาง และดอกยาง ผลกระทบเหล่านั้นสามารถสังเกตได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ดังนี้
1- รอยปะ รอยบากหรือโดนเศษของมีคมบาดบนยาง ไม่ควรปล่อยให้รถวิ่งบนยางที่มีตำหนิหรือเศษสิ่งแปลกปลอมติดบนยาง เพราะอาจเป็นเหตุให้ยางแตก รั่ว และเกิดอันตรายได้ กรณีที่ยางจำเป็นต้องปะซ่อม แนะนำให้ใช้วิธีการซ่อมแบบดอกเห็ดเท่านั้น และหลีกเลี่ยงการปะยางแบบแทงใยไหมหรือสตรีมโดยเด็ดขาด เพราะทำให้ยางเกิดความเสียหาย
...
2- ยางที่ใช้เริ่มควบคุมรถบนถนนที่ลื่นได้ยากขึ้น ความลึกของดอกยางจะลดต่ำลงตามระยะทางขับขี่ที่ใช้งานไป และจะส่งผลต่อการยึดเกาะถนนของรถเมื่อขับรถบนถนนที่ลื่นหรือที่เรียกว่าอาการเหินน้ำ ซึ่งทำให้รถเสียการทรงตัวระหว่างการขับขี่ โดยเฉพาะเมื่อความลึกดอกยางน้อยกว่า 3 มม.
3-ระยะทางในการเบรกยาวขึ้นกว่าปกติ การใช้งานยางเมื่อผ่านไปในช่วงระยะเวลาหนึ่งจะเป็นเรื่องธรรมดาที่ดอกยางจะตื้นลง จึงควรเปลี่ยนยางทันทีเมื่อความลึกดอกยางน้อยกว่า 3 มิลลิเมตร เพราะจะส่งผลต่อระยะเบรกที่ยาวขึ้นโดยเฉพาะเมื่อขับขี่บนถนนเปียก
4-ดอกยางสึกไม่สม่ำเสมอกัน การสึกหรอไม่เท่ากันของดอกยาง เกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการเติมลมยางที่ไม่ถูกต้อง หรือปัจจัยอื่น สังเกตได้จากจุดต่อไปนี้
ขอบด้านนอกหรือขอบด้านในสึกมากกว่า (Toe wear) - เกิดจากการตั้งศูนย์ล้อ มุมบังคับเลี้ยว (มุม Toe) ไม่สมดุล
หน้ายางด้านในหรือด้านนอกสึกมากกว่า (Camber wear) - เกิดจากการตั้งศูนย์ล้อแนวตั้ง (มุม Camber) ไม่ถูกต้อง
ส่วนกลางของหน้ายางสึกหรอเป็นพิเศษ (Center Wear) - เกิดได้จากแรงดันลมยางที่มากเกินไป
ส่วนขอบของหน้ายางทั้งด้านในและด้านนอกสึกหรอเป็นพิเศษ (Edge Wear) - บริเวณขอบทั้งสองด้านสึกมากเป็นพิเศษ เกิดจากแรงดันลมยางน้อยเกินไป.
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/
...