ยุค 90s ตอนต้นของประเทศไทยในวงการรถยนต์นับว่าเป็นยุคทองโดยแท้ จากการทลายกำแพงภาษีรถนำเข้าที่ทำให้คนไทยได้ใช้รถสเป็คนอกราคาดี ไปจนถึงเศรษฐกิจพองลมก่อนล้มระเนระนาด พอเข้าสู่ยุค “ต้มยำกุ้งไครซิส” สิ่งต่างๆดูหดหู่ ธุรกิจที่พึ่งพาอัตราแลกเปลี่ยน เจอพิษดอลลาร์ละ 50 กว่าบาทเข้าไปก็ยับ รถญี่ปุ่นก็ดูซบเซาจากการที่ฟองสบู่ญี่ปุ่นก็เพิ่งแตกก่อนหน้านั้นไม่กี่ปี แต่ในช่วงเวลาส่งท้ายศตวรรษที่น่าหดหู่นี้ ก็มีเพลงสากลดีๆไว้ฟังแก้หดหู่จิต วันนี้ไทยรัฐออนไลน์วันอาทิตย์ ขอขุดอดีตเพลงสากลที่เคยฟัง เป็นของขวัญจากวัยรุ่นท้ายศตวรรษ เผื่อชาวรถเก่าไว้ค้นหาใน Spotify หรือ Youtube Music ทำ Playlist ไว้ฟังกล่อมยามขับรถได้

...

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเราคุยกันไปหลายเรื่องที่ชวนเครียดเกี่ยวกับวงการรถยนต์ วันนี้ผมได้ไอเดียมาจากน้องๆรุ่นหลานที่ถามว่า “สมัยคุณอายังวัยรุ่นชอบฟังเพลงอะไรบ้าง” โอโห นี่มันเป็นคำสั่งให้สมองทำงานย้อนเวลาชัดๆ ช่วงที่ผมเป็นวัยรุ่นอยู่ก็คือช่วงเปลี่ยนศตวรรษนั่นล่ะครับ ก็มีศิลปินจำนวนมากที่แจ้งเกิดตั้งแต่ยุค 90s ตอนต้น บางคนก็เพิ่งดังช่วงท้ายๆทศวรรษ แต่ในภาพรวม ชีวิตเด็ก 90s ตอนปลายไม่เคยขาดเพลงดีๆฟังแม้ว่าเงินจะขัดสนขนาดไหน ตราบใดที่เรามีเคเบิ้ลทีวี เปิด Channel V ดูวีเจลูกเกิดเมทินีมาไล่ลิสต์ให้ฟังว่าเพลงอะไรติดท้อปชาร์ท เพลงไหนเข้าหู เราก็รอวันรุ่นขึ้น วิ่งไปถามร้านเทป ซึ่งยุคนั้นผมจะซื้อที่ร้านจับฉ่ายช้อปใกล้ปากซอยโรงเรียนเซนต์กาเบรียล หรือไม่ก็ร้านแมงป่อง

หลานๆน้องๆสมัยนี้สะดวกสบายเพราะมีบริการสตรีมมิ่งมิวสิค กดฟังได้ง่ายๆ สมัยผมวัยรุ่นนั้น Hotmail ยังมีแค่บางคนที่ได้ใช้ Google ยังเป็นของใหม่ USB Drive เป็นของหรู เวลาจะฟังเพลงสักทีต้องต่อ Napster หาคนใจดีเอาเพลงมาปล่อยแล้วกดโหลด เพลง 3 MB โหลดข้ามคืนก็มีมาแล้ว บางทีเดินไปร้านเทปแล้วซื้อเลยยังง่ายกว่าถ้าเดือนนั้นมีเงินเหลือ ว่าแล้วก็ใช้สมองนั่งนึกหน่อยว่าสมัยตัวเองเป็นวัยรุ่น เวลาขับรถชอบฟังเพลงอะไร แล้วผมก็เลยเลือกมา 10 เพลง หลากแนว หลายรสชาติ แต่ทั้งหมดเป็นเพลงฝรั่ง ..ถามว่านี่ไม่ฟังเพลงไทยหรือ บอกแบบดัดจริตสุดๆว่า เป็นคนไทยที่พูดอังกฤษได้น้อย แต่ดันไม่ค่อยฟังเพลงไทย ไม่ถนัด จึงไม่ใคร่ขอเขียนถึง และสำหรับคอ Heavy Metal บทความนี้อาจไม่ค่อยมีประโยชน์นัก เพราะผมไม่ค่อยนิยมฟังเพลงแบบโหดหนักๆเร็วๆ

บางเพลง คุณอาจจะคุ้นหูตามโซเชียล แต่ไม่รู้ว่าเป็นผลงานของใคร ผมก็จะเขียนชื่อเพลงกับเรื่องราวคร่าวๆของเจ้าของเพลงให้คุณอ่านด้วยแล้วกันนะครับ เริ่มเลย

เพลงที่ 1 Hypnotize โดย Notorious B.I.G.
ประเภท: East Coast Hip Hop

...

เอาใจชาว Hip Hop กันก่อนเลยกับ Hypnotize นี่คือผลงานของแรพเปอร์อเมริกันในตำนานอย่างน้าบิ๊ก “Notorious B.I.G.” หรือชื่อจริงก็คือ Christopher George Latore Wallace ขาใหญ่ที่เกิด เติบโตและโด่งดังจาก Brooklyn ใน New York ซึ่งมีเพลงฮิตติดอันดับหลายเพลง แต่ที่บอกว่าเป็นตำนาน เพราะน้าบิ๊กแกเสียชีวิตเพราะโดนมือปืนขับรถผ่านแล้วยิง ที่น่าเศร้าหน่อยก็คือ Hypnotize นี่ล่ะ คือเพลงสุดท้ายที่แกเพิ่งจะปล่อยของออกไปก่อนถูกยิงเสียชีวิตไม่กี่วัน และคนที่ร่วมเป็น Producer เพลงนี้ และไปโผล่ใน MV ด้วยก็คือเพื่อนสนิทอย่าง Sean Combs ซึ่งสมัยผมรู้จักกันในนาม Puff Daddy ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น P. Diddy ซึ่งเป็นข่าวดังเรื่องคดีละเมิดทางเพศเมื่อปลายปีที่ผ่านมา

จังหวะของเพลงนี้เรื่อยๆเหมือนหุ่นของน้าบิ๊ก แต่มีความหนักแน่น ลื่นไล่เหมือนสไตล์แร็พของน้าแกเช่นกัน ถ้าลำโพงรถคุณกำลังแตก กรุณาอย่าเปิดเพลงนี้ให้อายหญิง แต่ถ้าเครื่องเสียงดีพอ เพลงนี้จะบอกเลยว่าเบสคุณดีขนาดไหน เหมาะไว้ใช้ขับตอนที่ต้องการ Cruise ยามค่ำคืนไปเรื่อยๆ ไม่เร็ว แต่ไม่อยากหลับ หรือเปิดตอนวนรถในงาน Car meet ประกอบการดูสาวๆ ได้อารมณ์ดีอีกแบบ

...

เพลงที่ 2 Just Cruisin’ โดย Will Smith
ประเภท: Hip Hop

Will Smith เป็นดาราที่โด่งดังตั้งแต่สมัยผมเด็กๆในซีรีส์ Fresh Prince of Bel Air แต่ทำไปทำมาน้าวิลแกก็เอาได้ทั้งในเรื่องการแร็พและการแสดง สำหรับคนที่โตในยุค 90s จะจำน้าวิลจากภาพยนตร์อย่าง Independence Day 4 และ Men In Black ซึ่งน้าวิลจะมีคาแร็คเตอร์แบบคนหรูแต่ปากร้ายหน่อยๆ เพลง Just Cruisin’ นี้ มาจากอัลบั้ม Big Willie Style ที่ขายในปี 1997 ซึ่งจะมีเพลง Soundtrack ของ Men In Black ภาคแรก รวมถึงเพลงที่มี MV โคตรน่ารักอย่าง Just the two of us และเพลงสนุกๆอย่าง Getting’ Jiggy with it แต่สำหรับการขับรถยามค่ำคืนคนเดียว ผมเลือก Just Cruisin’ ให้คุณ เพราะจังหวะที่ไม่เร่งแต่ไม่หลับ ขับรถแล้วรู้สึกไม่ใจร้อนเกิน

...

ถ้าใครเป็นสายรถจ๋าๆและค้น MV ได้ก็ลองดูนะครับ MV ของเพลงนี้ น้าวิลขับ Aston Martin DB7 เปิดประทุนที่แปลงร่างเป็นเรือเป็นเครื่องบินได้ในเรื่อง คาดว่าเป็นการผูกธีมให้เข้ากับภาพยนตร์ Men In Black ที่น้าวิลโปรโมตอยู่ตอนนั้นด้วย

เพลงที่ 3 Song 2 โดย Blur
ประเภท: Alternative Rock

ช็อตฟีลกันสักหน่อยเพราะสองเพลงที่ผ่านมานั้นค่อนข้างจะเรื่อยๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่ “ของขึ้น” ผมจะเปิดเพลงนี้เลยครับ Song 2 ของ Blur วง Alternative Rock จากอังกฤษ ซึ่งมีนักร้องนำคือ Damon Albarn คนเดียวกับวงการ์ตูน Gorillaz นั่นแหละครับ สำหรับ Song 2 นั้น นับว่าเป็นเพลงที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญก็ว่าได้ เพราะตา Damon แกอัดเพลงนี้ไว้ในจังหวะที่ช้า เป็น Acoustic แต่ Graham Coxon มือกีตาร์สมาชิกวงมาได้ยินเข้าแล้วก็บอกว่า เรามาทำอะไรกวนส้นผู้บริหารค่ายเพลงเล่นกันดีกว่า แล้วก็บอก Damon ให้ร้องเร็วขึ้น ตะโกนโหวกเหวกมากขึ้น เล่นกีตาร์แบบมือสมัครเล่น แล้วก็อัดเสียงส่งไปกะว่าผู้บริหารฟังแล้วจะโทรมาด่าให้ขี้หูร่วงเล่นๆ แต่กลายเป็นว่าผู้บริหารบอก “เจ๋งว่ะ” แล้วก็ปล่อยเป็นซิงเกิ้ล

Song 2 มีเลขสองในชื่อ มาจากความยาวแค่ 2 นาที เพราะมันไม่ใช่เพลงที่ตั้งใจทำมาขายกินตั้งแต่แรกตามที่ได้เล่าไป แต่วิธีการเริ่มเพลงด้วยกลองและกีตาร์แค่สองสิ่ง จากนั้นก็ประโคมอัดใส่หูผู้ฟัง ยกระดับความโหดของดนตรีขึ้น ลง และขึ้นแบบที่คุณจะเสียดายเป็นบ้าถ้าฟังเพลงนี้ในรถเกียร์ CVT (ไม่ได้บุลลี่..คือมันแค่ไม่ได้จริงๆ) มันจะทำให้หัวใจคุณเต้นเร็วขึ้น คุณจะอยากสับเกียร์ กระแทกคันเร่ง หักพวงมาลัย ดังนั้นอย่าลืมลดความโหดในการขับลงบ้างถ้าคุณขับบนถนนนะครับ เดี๋ยวพี่โปจะยึดรถเอา 

เพลงที่ 4 D’you know what I mean? โดย OASIS
ประเภท: English Rock

สมัยที่ Blur โด่งดังในอังกฤษแล้ววัยรุ่นไทยตามอ่านหนังสือวงการเพลง ก็จะมีอยู่อีกวงที่เล่นเพลงคนละประเภท แต่ปะทะคารมทะเลาะกันประจำ วงนั้นก็คือวง OASIS ที่มีขาใหญ่เป็นนักร้องนำอย่าง Liam Gallagher และมือกีตาร์พี่ชายอย่าง Noel Gallagher นั่นล่ะครับ พอเพลงนี้ถูกปล่อยมาในปี 1997 ก็ขึ้นติดชาร์ทอันดับ 1 ในบ้านเกิด และยังขจรไกลไปยังยุโรปประเทศอื่นๆ ที่ไทยนี่วัยรุ่นก็ชื่นชอบไม่ใช่น้อย บางคนใส่ Walkman ขยับมือขยับเท้า คนนั่งมองก็เดาออกว่าฟังเพลงอะไรอยู่

D’you know what I mean? เป็นเพลงที่ซาวนด์ค่อนข้างจะรกในสายผม คือมันมีเสียงอะไรต่อมิอะไรปนกันไปตลอด บางคนฟังจะปวดหัว แต่มันจะมีจังหวะ Lead อารมณ์ที่เหมือนคนขับรถทางไกลแบบช้าบ้าง เร็วบ้าง แต่มีความมั่นคง มันไม่ใช่เพลงสไตล์เทสต์เครื่องเสียง แต่ถ้าเล่นผ่านชุดเครื่องเสียงลำโพงดีๆ คุณจะพบรายละเอียดเสียงที่ซ่อนในเพลงมากขึ้น

เพลงที่ 5 Canned Heat โดย Jamiroquai
ประเภท: Disco/Funk

วงนี้ดังมากในช่วงรอยต่อศตวรรษครับ คุณลองหา MV เพลง Virtual Insanity หรือถ้าคอรถ ต้องหา Cosmic girl ดูให้ได้เลย นักร้องนำของวงคือคุณ Jay Kay นั้นในอดีตเคยพยายามไปสมัครเข้าวง The Brand New Heavies แล้วโดนปฏิเสธมา แกเลยมาพยายามตั้งวง Funk ใหม่เองกับเพื่อนในช่วงปี 1992 แต่มาดังจริงๆเอาในอัลบั้ม Travelling without moving นี่ล่ะครับ และตา Jay นั้นเป็นคนบ้ารถชนิดเข้าขั้น ว่ากันว่ามีรถเป็นร้อยคันรวมถึงซูเปอร์คาร์ระดับ LaFerrari ในหลาย MV ของวง ก็คือรถของแกเองนี่ล่ะครับ

Canned Heat เป็นงานที่ออกมาในช่วงปี 1999 เป็นดนตรีสไตล์ดิสโก้ผสม Funk หน่อยๆ ผมว่าเป็นเพลงที่ให้อารมณ์ในการขับรถแบบกำลังเหมาะคือไม่มุดบ้าดีเดือดแบบกะเอาต่าย แต่ไม่ชักช้าน่าเบื่อ อันที่จริงมันน่าจะเหมาะกับการขับบนภูเขามากกว่าด้วยซ้ำ แต่จังหวะที่คล้ายดนตรีประกอบจากขับรถไล่ยิงกันจากภาพยนตร์ยุค 70s คุณจะใช้ที่ไหนก็ได้ตราบใดที่ไม่พาคุณเข้าคุกครับ

เพลงที่ 6 You get what you give โดย New Radicals
ประเภท: Pop rock

New Radicals ก่อตั้งขึ้นในปี 1997 โดยนักร้องนำ Gregg Alexander และมือคีย์บอร์ด Danielle Brisebois และหลังจากมีซิงเกิ้ลที่ดังติดชาร์ทอันดับต้นๆอย่าง You get what you give นี้ ทางวงก็ตัดสินใจสลายตัวไปในปี 1999 โดยที่ทั้งสองคนไม่ได้ตีกัน แต่หันไปเอาดีทางด้านการเขียนและ Produce เพลงให้นักร้องคนอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาอยากทำมากกว่า โทนของเพลงนี้มีเอกลักษณ์ผสมผสานระหว่าง Pop rock จากยุค 90s กับดนตรีบางส่วนจากยุค 70s แต่ทำไมก็ไม่ทราบ วัยรุ่นอเมริกันสมัยนั้นฟังติดหูกันมาก ผมตอนสมัยเรียนอเมริกา นั่งรถ พอเปิดวิทยุก็เจอเพลงนี้ทุกวัน

ในเนื้อเพลงมีเรื่องกึ่งๆจะฮา ตอนจบ เพราะส่วนท้ายของเนื้อเพลงมีการกล่าวถึงชื่อบุคคลหลายคนแล้วก็ลงท้ายด้วยคำว่า มาดิเดี๋ยวจะเตะตูดให้เลย ซึ่งนักร้องร็อคอเมริกันอย่าง Marilyn Manson ก็เป็นหนึ่งในนั้น แกก็ออกมาให้สัมภาษณ์นิตยสารเพลงว่า “ตูไม่โกรธหรอกที่บอกว่าจะเตะตูดตูอ่ะ แต่โกรธมากที่เอาชื่อตูไปไว้ติดกับ Courney Love (นักร้องหญิงอเมริกันอีกคน) เอ็งทำได้ยังไง ด้วยข้อหานี้แหละ ตูจะแหกกระโหลกพวกมันซะ!”

เพลงที่ 7 California Love โดย 2PAC feat. Dr.DRE
ประเภท: West Coast Hip Hop

ปิดท้ายกันด้วยผลงานจากราชาเพลงแร็พจากอเมริกาฝั่งตะวันตก 2Pac หรือชื่อจริงคือ Tupac Amaru Shakur ร่วม Produce กับ Dr. DRE และร่วมร้องกันด้วย เพลงนี้ป๊อปเข้ามาในหัวจากช่วงโชว์ Half-time การแข่งอเมริกันฟุตบอลที่ DRE และ Snoop Dogg กับผองเพื่อนบรรเลงหลากหลายเพลง Hip Hop จากความทรงจำยุค 90s และผมคิดว่า ถ้าไม่ใส่เพลงนี้เป็น Driving Song ของเราด้วย คงไม่ได้แล้วล่ะ

2Pac นี่เป็นตัวแทนแห่งแรพเปอร์ฝั่งตะวันตก California แต่จริงๆแล้วก็เกิดที่ Harlem ใน New York แล้วก็ย้ายตามแม่มาเรื่อยๆ สร้างผลงานไว้เยอะจนพูดไม่หมด และก็สร้างคดีความเอาไว้เยอะไม่แพ้กัน ในปี 1994 นับเป็นปีซวยสไตล์นักร้อง Gangsta rap คือน้าแกโดนยิง 5 นัด แต่รอด แล้วก็มาโดนคดีทางเพศต้องเข้าคุกไปเพราะหาเงินมาประกันตัวไม่ได้ เพลง California Love ที่อัดในปี 1995 และปล่อยในปลายปีนั้นคือผลงานแรกๆหลังออกจากคุก แต่ในปี 1996 2Pac ก็ถูกยิงเสียชีวิตในลักษณะเดียวกับ Biggie แต่เรื่องของ 2Pac นั้นเกิดก่อน


Pan Paitoonpong