รีวิวลองนั่ง TOYOTA Vellfire 2025 ที่หรูหรา นั่งสบาย สมราคา 4 ล้านบาท ส่วนการขับขี่อัตราเร่งดีแม้รถจะหนัก 2 ตัน แต่ก็ไม่อืด ขับสนุก ให้อารมณ์เหมือนขับ SUV
สำหรับTOYOTA Alphard และ TOYOTA Vellfire จัดเป็นรถ MPV ระดับไฮเอนด์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เราจะเห็นได้ว่ารถ 2 รุ่นนี้ทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2002 ซึ่งปัจจุบันถือเป็นเจเนอเรชันที่ 4 แล้ว โดยมีการปรับรายละเอียดด้านงานวิศวกรรมและเทคโนโลยีหลายจุดจนสมรรถนะการขับขี่แตกต่างจาก MPV ในตลาดพอสมควร

หลายคนอาจจะสงสัยว่า Alphard และ Vellfire แตกต่างกันอย่างไร จริงๆ แล้วรถทั้งสองรุ่นมีรายละเอียดงานวิศวกรรมและออปชันที่เหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่การออกแบบภายนอก โดย Alphard จะเน้นภาพลักษณ์ที่ดูทางการ หรือ Bespoke Formal ส่วน Vellfire จะเน้นเป็นภาพลักษณ์ที่ดูโฉบเฉี่ยว หรือ Bespoke Dynamism
จากข้อมูลทางการตลาดของโตโยต้าพบว่า ยอดขายกว่า 30% มาจากลูกค้าที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี นั่นหมายความว่า ไม่ใช่แค่ท่านประธานหรือลูกค้าวัยกลางคนและสูงวัยเท่านั้นที่ชื่นชอบ แต่คนเจนใหม่ๆ ก็ชื่นชอบการนั่ง Alphard และ Vellfire เช่นกัน
...

ฉันคือท่านประธาน ลองนั่ง TOYOTA Vellfire
เมื่อคนขับรถเปิดประตูไฟฟ้าให้เรา ความรู้สึกแรกคือ "ฉันคือท่านประธาน" ที่ไม่ต้องใส่ซองผ้าป่า 1,000 บาท เมื่อตัวเราสัมผัสกับเบาะนั่งครั้งแรกรู้สึกนั่งสบายด้วยความเป็นที่นั่งแบบ Captain Seat จะยกเท้า เอนหลังก็ง่ายสบายๆ ซึ่งเราสามารถปรับเบาะทุกฟังก์ชันสามารถทำผ่าน Tablet และ Overhead Long-Console ได้หมด ที่สำคัญตอนนั่งประชุมงาน หรือทำงานบนรถก็สบาย เพราะช่วงล่างไม่ได้ทำให้เวียนหัว

ระหว่างนั่งให้ถึงจุดหมายปลายทาง เราสามารถนั่งดูยูทูบ ดูละครคุณธรรม ดูมินิซีรีส์จากจีน ก็จัดว่าดี เพราะลำโพงที่ให้มาเป็น JBL Sound System ถึง 15 ตัว แต่ถ้าจะให้ดีกว่าเดิมต้องลองฟัง The Phantom of the Opera จะได้รู้ว่าลำโพงเด็ดแค่ไหน
นอกจากนี้ยังมี Split Sunroof แยกซ้าย ขวา ทำให้บรรยากาศโปร่ง และให้ความเป็นส่วนตัวได้ เรามองว่าการออกแบบภายในรถช่วยลดความเครียด ซึ่งการออกแบบภายในของ Toyota Vellfire มาจากแนวคิด OMOTENASHI ซึ่งเป็นการรับรองแขกคนสำคัญของชาวญี่ปุ่น

ลองเป็นคนขับ Toyota Vellfire 2025
มาที่การขับขี่กันบ้าง เครื่องยนต์ของ TOYOTA Vellfire ยังเป็นเครื่องยนต์เดิมจากรุ่นที่แล้ว โดยมีขนาด 2.5 ลิตร DOHC VVT-i hybrid รหัส A25A-FXS ทำงานคู่กับเกียร์ E-CVT ระบบขับเคลื่อนแบบ E-Four โดยแบตเตอรี่ไฮบริด ใช้เป็นชนิด Ni-MH (Nickel Metal Hydride) แรงม้าสูงสุด 250 แรงม้า
อัตราเร่งของ Vellfire ดีต่อเนื่อง แม้รถจะหนักถึง 2 ตัน แต่ก็ไม่อืด ขับสนุก อารมณ์เหมือนขับ SUV ส่วนอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันตาม Eco Sticker 17.9 กิโลเมตร/ลิตร ขับทดสอบจริงได้ 12 กิโลเมตร/ลิตร
...

ทั้งนี้ จุดสำคัญที่ทำให้รถมีฟีลลิ่งการขับขี่ที่เป็นเอกลักษณ์ในรุ่นนี้คือ โครงสร้าง TNGA (GA-K) ที่ทำให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ แข็งแรง มีการเสริมเหล็กค้ำตัวถังด้านล่าง V Shaped Brace ตั้งแต่กลางรถถึงเสา C ทำให้ Body Rigidity ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 50% และที่มากไปกว่านั้นก็คือ การซับเสียง และแรงสั่นสะเทือนที่ดีขึ้นอีกด้วย

ส่วนช่วงล่างของ Vellfire ด้านหน้าแบบ McPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง และหลังแบบ Double Wishbone พร้อมเหล็กกันโคลง หน้าสัมผัสยางติดถนนได้อย่างดีเยี่ยม ทำงานคู่กับพวงมาลัยไฟฟ้า (EPS) ทำให้รถควบคุมง่าย ระยะเบรกกระชับ และมีระบบช่วยการทรงตัวขณะเบรก ทำให้รถไม่มีอาการหน้าทิ่ม บวกกับโครงสร้าง TNGA ใหม่ ทำให้รถมีคาแรคเตอร์การขับขี่ที่สปอร์ต และแตกต่าง
...

สำหรับการออกแบบภายในแบบ Ultimate Cockpit ภายในแนวคิด Omotenashi หมายถึงการรับรองแขกคนสำคัญของชาวญี่ปุ่น ทำให้ทุกสัมผัสภายในตัวรถรู้สึกพิเศษทุกรายละเอียด ตั้งแต่การตัดเย็บตัวเบาะ จนไปถึงการวางตำแหน่งปุ่มต่างๆ ภายในตัวรถ

โดยคำนึงถึงหลักสรีระศาสตร์ จนไปถึงการขึ้น-ลงรถอย่างสง่างาม ทุกตำแหน่งโดยสารภายในตัวรถ นั่งสบายทุกตำแหน่ง ตัวเบาะใช้หนัง Nappa ผสมหนังสังเคราะห์ ที่เนื้อสัมผัสพรีเมียม นุ่ม นั่งสบาย พร้อมกับการควบคุมเบาะแถวสองในตำแหน่งคนขับได้
...

ราคา TOYOTA VELLFIRE 2025
สำหรับราคา TOYOTA VELLFIRE อยู่ที่ 4,419,000 บาท โดยสี Precious Metal จะมีเฉพาะที่นำเข้ามาจำหน่ายโดย TOYOTA MOTOR THAILAND เท่านั้น โดยโตโยต้ารับประกันคุณภาพตัวรถสูงสุด 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร รับประกันระบบไฮบริด 5 ปี และรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปีอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก SINASSADA