รูปลักษณ์และการออกแบบรถยนต์สมัยนี้ ถ้าอยากขายได้ ต้องเน้นความล้ำยุคเหมือนรถต้นแบบ การไม่มีจอใหญ่ๆให้ไถเล่นดูจะเป็นเรื่องบาปในความคิดของคนจำนวนไม่น้อย แต่ในอีกมุมหนึ่ง เราอาจลืมไปว่าในขณะที่การออกแบบรถยนต์มุ่งเป้าไปที่การทำให้ผู้ใช้ในวัยทำงานซึ่งมีกำลังซื้อสูงเกิดความตื่นตาตื่นใจ เราก็มีประชากรอีกกลุ่มที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในโลกของยนตรกรรม นั่นก็คือผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่เติบโตอย่างรวดเร็วเพราะคนอายุยืนขึ้น หนุ่มสาวรุ่นใหม่อยากมีลูกน้อยลง แล้วบริษัทรถมีอะไรไว้รองรับการเติบโตของคนกลุ่มนี้แล้วหรือยัง?

สัปดาห์นี้ขอเครดิตต้นเรื่องให้กับพ่อของผม ซึ่งแม้ว่ามีนาคมปีนี้ ท่านมีวัยครบ 82 ปีแล้วก็ตาม ความเป็นลูกนิสัยไม่ดีของผม ก็ไม่เคยรู้สึกว่าอยากให้พ่อพักหรอกครับ ตัวท่านเองก็ไม่พัก เพราะมีความเชื่อว่าคนอายุมาก ถ้าไม่ใช้สมอง มันก็จะฝ่อเอาได้ พ่อผมในวัย 8 ทศวรรษนี่ยังนั่งพิมพ์งาน ทำวิจัย เขียนบทความส่งสำนักพิมพ์ทุกสัปดาห์ ท่านเชื่อว่าการค้นหา การปรึกษา หรือเป็นที่ปรึกษาให้คนอื่น มันทำให้ได้ใช้สติปัญญาความรู้ที่สะสมมาทั้งชีวิตอย่างมีประโยชน์ด้วยเช่นกัน
...

คุณพ่อท่านเขียนบทความเรื่องผู้สูงอายุกับดิจิทัลเทคโนโลยีสมัยนี้จากมุมมองของท่าน ไอ้กระผมก็จำได้ว่าเคยคุยกับพ่อระหว่างขับรถไปนครนายกบ้านเกิดพ่อว่ารถสมัยนี้ การออกแบบการใช้งานทำมาไม่ค่อยคำนึงถึงผู้สูงอายุ ซึ่งในฐานะตัวแทนคนสูงวัย พ่อฝากบอกว่า “ไม่ใช่ว่าไม่อยากเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ (โว้ย) แต่ หนึ่ง ร่างกาย และสมอง มันไม่ได้เป๊ะเหมือนสมัยหนุ่มๆ และสอง เทคโนโลยีวันนี้มันไปเร็ว คนแก่ก็ไม่ได้อยากเป็นภาระลูกหลานหรอกแต่มันก้าวตามไม่ทันจริงๆ” บริษัทรถก็อาจจะบอกว่าเห็นใจนะ แต่ทำไงได้ล่ะปู่ ก็คนที่มีกำลังซื้อส่วนใหญ่น่ะ มันวัยรุ่นกับวัยทำงาน เขาก็ต้องเอาตลาดตรงนี้เป็นโฟกัสหลัก จริงไหม

ขอกล่าวถึงตัวเลขเท่าที่ทราบสักหน่อย เมื่อปีที่แล้วนั้น ประเทศไทยเรามีอัตราส่วนประชากรที่ อายุ 60 ปีหรือมากกว่า คิดเป็น 22% ของอัตราส่วนประชากรทั้งหมด อัตราส่วนตรงนี้โตเร็วแค่ไหน? เอาเป็นว่า 10 ปีที่แล้วอัตราส่วนมันอยู่ที่แค่ 13% โดยประมาณ และคาดการณ์กันเอาไว้ว่าอีกราว 25 ปีข้างหน้าจะขยายตัวไปถึง 36% หลายคนอาจจะมองว่า ปี 2050 นั้นเราไม่น่าจะมีอะไรต้องห่วงเรื่องการสัญจรเพราะเวลานั้นคุณปู่ของพวกคุณแค่ก้าวขึ้นรถ พูดสถานที่ที่จะไปแล้วก็นั่งไปถึงปลายทางได้ แต่คำถามคือ แล้ววันนี้ทำได้หรือยัง? และอีกนานไหมกว่าจะถึงวันนั้น? แล้วทางออกสำหรับการแก้ในระยะสั้น เราทำอะไรได้บ้าง หรือมีอะไรที่ควรทำ สำหรับวงการรถยนต์

ผมอาจจะพูดแรงไปนิด แต่ในความเป็นจริง เราต้องคำนึงถึงความปลอดภัยก่อนโดยการจำแนกผู้สูงอายุที่ยังสามารถขับรถได้ดี (ใช้คำว่าขับได้ดีคือไม่เสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น) กับผู้สูงอายุที่ควรไปนั่งเบาะหลัง คืออย่าขับรถเลย อันตราย จำได้ว่าไม่กี่ปีมานี้มีข่าวที่ญี่ปุ่นซึ่งผู้สูงอายุขับรถไปชนเด็กตาย ทำให้ประชากรสูงอายุญี่ปุ่นจำนวนมากร่วมแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมโดยการนำใบขับขี่มาคืนและเลิกขับรถ ในประเทศไทยน่ะ เรามียันต์กันผีที่เรียกว่า “ใบขับขี่ตลอดชีพ” ซึ่งถ้าคุณเกิดทันยุค 1980s คุณก็น่าจะมีใบขับขี่แบบนี้อยู่ แต่ไม่ใช่ผู้สูงอายุทุกคนที่อายุ 80 แล้วยังชิฟท์เกียร์เองแม้จะเป็นเกียร์ออโต้ เบรก หรือเร่งได้ถูกจังหวะ ขับรถทางไกลคนเดียวได้แบบคุณพ่อผม บางคนถอยรถชนชาวบ้านข้างหลังแล้วดอลลี่จากไปโดยไม่รู้ตัวก็เห็นคาตามาแล้ว
...

ผมคิดว่าเราอาจต้องมีการจัดให้มีการทดสอบสมรรถภาพผู้สูงอายุในการขับรถอย่างปลอดภัยก่อน ไม่ใช่ว่ารังเกียจคนแก่ แต่คนแก่หรือพวกเราเองก็ต้องพยายามไม่ไปฆ่าใครโดยไม่ตั้งใจ ถ้าคุณแยกไฟเขียวไฟแดงไม่ได้ มองเห็นเด็กที่อยู่ข้างหน้ารถไม่ได้ แยกแยะความเร็วที่ใช้ไม่ออก คุณก็ไม่ควรขับรถ อาจจะดูใจร้าย แต่ผมจะบอกว่าแม่ผมเอง ผมเคยนั่งดูท่านขับรถในซอยเพียงแค่ 2 กิโลเมตร ผมก็ประเมินได้แล้วว่าท่านไม่ควรขับรถอีก แม่ผมสมัครใจเลิกขับรถและขายรถตัวเองไป 3 ปีแล้ว ถ้าภาครัฐจะไม่ตั้งกฎเกณฑ์ในการเช็คความสามารถในการขับ ผมว่าลูกหลานอย่างเราก็ต้องช่วยกัน แต่ลูกหลานอย่างเราก็เป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้สามารถลงโทษพ่อแม่ตัวเองได้ พวกคุณบางคนก็คงมีพ่อแม่ที่ขับไปชนคนอื่นแทบจะรายเดือน แล้วก็ยังดื้อที่จะขับรถอยู่ ตรงนี้แหละที่ผมบอกว่าภาครัฐต้องมีบทบาทที่จะสั่งห้ามหรือเพิกถอนใบขับขี่ และลงโทษได้ ถ้าคุณปู่คุณย่าดื้อจนลูกหลานสู้ไม่ไหว
ทีนี้ เมื่อเราแยกออกแล้วว่าผู้สูงอายุคนไหนสามารถขับรถต่อได้ เราก็จะเวียนไปแตะเรื่อง รถใหม่ที่ขายกันอยู่ทุกวันนี้ว่า ถ้าอยากจะเข้ามาจับตลาดประชากร 1 ใน 5 ส่วนของไทย ณ วันนี้ ควรจะนำเสนอรถแบบไหน หรือด้วยวิธีใด
...

ผู้สูงอายุในที่นี้ ก็มีหลายวัยนะครับ ช่วงอายุระหว่าง 60-80 ปีนี่ มีรสนิยมในการใช้ชีวิตต่างกันได้ อ้างอิงจากบทความที่คุณพ่อผมท่านเขียน ทำให้ทราบว่าผู้สูงอายุ 80% นั้นใช้สมาร์ทโฟน (คือมีอยู่ในครอบครอง แต่ไม่แน่ใจว่าใช้เพื่อทำอะไร เอาไว้โทรอย่างเดียว เอาไว้เล่นหุ้น หรือเอาไว้ตีบอสมังกรใน PUBG) และ 60% ใช้สมาร์ทโฟนโดยมีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต และผมเชื่อว่าเกือบ 100% เชื่อสิ่งที่ส่งมาทาง LINE มากกว่าคำพูดของลูกหลานตัวเอง..แฮ่ แต่นั่นล่ะครับ เป็นสิ่งที่บอกได้ว่าผู้สูงอายุเขาก็พยายามปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมจอนะ แต่คนวัยนี้ มีอะไรมาใหม่ เขาจะต่อต้านก่อน (โดยเฉพาะถ้าคนนำเสนอสิ่งดีๆคือลูกตัวเอง) แต่เทคโนโลยี ก็เหมือนเอาแมวเข้าบ้านแหละ ตอนแรกๆแม่เราจะด่ากระโถนปลิวว่าไม่ให้เลี้ยง เอามาทำไม เรียกเราว่าลูก แล้วก็เรียกแมวว่ามัน ไปๆมาๆสัก 2-3 เดือน เดินอุ้มแมวรอบบ้าน ใครด่าแมวโดนด่ากลับ เรียกแมวว่าลูก แล้วก็เรียกลูกว่ามัน แมวได้อาหารก่อนลูกเสมอ

...
การนำเสนอรถให้คนสูงอายุนั้น คุณจึงใช้ตรรกะเดียวกับขายของวัยรุ่นไม่ได้ วัยรุ่นเจอของล้ำๆที่ตัวเองไม่รู้จัก เขาจะร้องว้าว เจ๋งว่ะแล้วก็พยายามเรียนรู้เพราะยิ่งรู้มากกว่าคนอื่นยิ่งนับเป็นความภูมิใจของเขา แต่คนวัยปู่ย่า ถ้าเจอของล้ำๆที่ตัวเองไม่รู้จัก เขาจะด่าก่อนแล้วก็ถอยทัพกลับกรุงศรี...ยกเว้นว่าคนขายรถนั้นสามารถเจาะเข้าไปในใจ แล้วอ่านความต้องการลึกๆของปู่กับย่าได้ แล้วค่อยนำมาเสนอทีละประเด็น ให้เขาค่อยๆเรียนรู้ ฮ่า นี่ผมสอนเทคนิคการขายให้คนขายรถฟรีๆนะครับ ขายของให้คนแก่ ต้องทำตัวน่ารัก อดทนนิดนึง อย่าบอกว่ารถมีอะไรดี 10-20 อย่าง แต่หา Pain Point ของปู่กับยาให้เจอ แล้วระดมย้ำการขายไปที่เรื่องนั้น ปิดการขายได้แน่นอน

ผู้สูงอายุวัยประมาณ 60-65 ตอนนี้ อาจยังพอนำเสนอเทคโนโลยีได้บ้าง กลุ่มนี้ ตายังดี ประสาทยังไว ไถจอดูโลกทุกวัน แต่ถ้าเป็นกลุ่มที่อายุ 70 กว่าๆขึ้นมา พวกรถที่ทำจอกลางขนาดใหญ่ แล้วมีฟังก์ชั่นซ่อนมากๆ ต้องเอานิ้วถูจากบนลงล่าง ถูจากขวาไปซ้าย ขยำนิ้ว แล้วพอเข้าไปในเมนู ก็เจอกับปุ่มที่เล็กเท่าเมล็ดทานตะวัน กดตอนรถอยู่นิ่งก็ยาก กดตอนรถวิ่งนี่อาจจะชนคันหน้าได้ คุณไปดูได้เลยว่ารถจีนหลายรุ่น ชอบทำหน้าจอลักษณะนี้ ปู่ย่าบางท่านที่ผมเคยคุยด้วย ไม่ซื้อรถจีนเพราะแบบนี้ล่ะครับ ปู่ไม่ได้รังเกียจความจีน เพราะเมียปู่ก็มาจากจีน แต่ปู่ทำใจใช้ได้ยากจริงๆ

บางที ทางแก้ไขสำหรับพวกรถที่ชอบใช้จอใหญ่เมนูเยอะ ก็คือทำซอฟท์แวร์การแสดงผลในรถ ให้มีโหมดรองรับประชากรสูงวัย โถคุณ ขนาดในสมาร์ทโฟนเรายังปรับขนาดฟอนท์ขนาดปุ่มได้ แล้วทำไมสิ่งที่รันบนชิปพลังสูงมังกรสติแตก กับวิศวกรร้อยคนช่วยคิด มันจะทำมารองรับเรื่องพวกนี้บ้างไม่ได้วะถามจริง ในโหมดประชากรสูงวัย เราก็สลับไปใช้หน้าจอที่ปุ่มต่างๆทำให้โตขึ้น มองเห็นง่ายขึ้น ตัดการปรับตั้งค่าที่ไม่จำเป็นออกไป อย่างพวกมาตรวัดความเร็ว ก็อาจทำให้มันโตขึ้น ใช้สีสันของหน้าปัดเป็นตัวช่วยบ่งบอกระดับความเร็วของรถ แทนที่จะเป็นตัวเลขชุดเล็กๆดูยากๆเหมือนไม่อยากให้อ่านความเร็วได้ หรือปรับการแสดงผลให้เป็นรูปเข็มตวัดใหญ่ๆ บวกกับตัวเลข สำหรับคนสูงอายุก็จะสังเกตได้ง่ายขึ้น

สิ่งที่ยากในการทำหน้าจอแบบนี้คือ เราต้องหา Solution ร่วมมือระหว่างค่ายรถในการทำให้หน้าตาของระบบใกล้เคียงกันมากที่สุด และพยายามทำให้นิ่ง คือสร้างมาแล้ว อยู่ไปให้นาน สังคมสูงอายุที่เลิกวิ่งตามเทคโนโลยี อาจจะชอบสิ่งที่พอเรียนรู้ครบแล้วมันไม่เปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่างไป ถ้าอัปเดตแล้วเปลี่ยนดีไซน์จอ เปลี่ยนตำแหน่งปุ่มใหม่บ่อยๆ ก็อาจก่อปัญหาได้ ใจความนะครับ ตัวเลข อักษร ปุ่มใหญ่ + ใส่เฉพาะที่จำเป็น + กดง่ายจำง่าย + ไม่เปลี่ยนโดยไม่จำเป็น ถ้าเป็นแบบนี้ได้ ปู่ย่าเราก็ขับรถง่ายขึ้น แล้วพอคนอื่นในครอบครัวมาขับ ก็มีปุ่มให้ออกจากโหมดผู้สูงอายุ เป็นหน้าจอแบบปกติ หรือไม่ก็ให้สมองกลในรถตรวจจับจากกุญแจที่เราพกมาเลยก็ได้ กุญแจปู่=ปรับจอให้เป็นเวอร์ชั่นคนแก่ กุญแจหลาน=ปรับจอเป็นแบบล้ำยุค แสงสีมาเต็ม นี่คือสิ่งที่เทคโนโลยีในปัจจุบันทำได้แน่นอน แต่บางค่ายไม่ได้สนใจจะทำ

ผมว่าผู้สูงอายุน่ะ ไม่ได้อยากขับแต่รถกระบะกับอีโคคาร์หรอกครับ แต่ด้วยสมรรถภาพสมอง สายตา การเชื่อมประสาทตากับมือ และความเคยชิน มันก็บังเอิญล่ะ ว่ารถที่มีจอกล้องถอยง่ายๆ ไม่ซ่อนฟังก์ชั่นเยอะ แอร์ลูกบิดจับคลำหมุน ตั้งค่าง่ายๆ ปุ่มต่างๆมองเห็นได้ง่ายและขนาดใหญ่..รถที่มีของเหล่านี้ มันมักจะเป็นรถอย่าง Suzuki Celerio หรือรถปิคอัพ Hilux Revo/Isuzu D-Max พวกรุ่นพื้นฐาน ผู้สูงอายุบางท่านอาจจะชอบดีไซน์ทำนองนี้ แต่อยากใช้รถไฟฟ้าใหม่ๆใจจะขาด แค่พอขึ้นรถไปแล้ว เจอจอใหญ่ ปุ่มทัชขนาดเท่าเมล็ดทานตะวัน ฟังก์ชั่นล้านแปด ปู่กับย่ารู้สึกเหมือนโดนเอเลี่ยนลักพาตัว ก็เลยกลัวไม่กล้าซื้อ แค่นั้นเอง แล้วก็ไม่ค่อยมีผู้ผลิต EV ที่สนใจทำ EV ประเภทขึ้นง่าย ลงง่าย ใช้ง่ายมาป้อนคนกลุ่มนี้นะ น่าคิดไหม แต่นั่นคือเหตุผลที่ผมแนะนำเรื่องการสร้างโหมดผู้สูงอายุใส่จอ ให้ปู่ย่าใช้งานง่ายๆ มากกว่าที่จะเชียร์ให้ค่ายรถหันกลับไปใช้ปุ่มกดใหญ่ๆ แอร์หมุนแก๊กๆ ..เพราะรถยนต์คือธุรกิจ ไม่ใช่การกุศล เราต้องมองทางที่จะสามารถขายคนกลุ่มใหญ่วัยแรงงานได้ และทำให้ผู้สูงอายุใช้รถอย่างสบายใจได้ด้วย

แต่ถ้าไม่มีค่ายรถเน้นจอสนใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง ความหวังก็จะมาอยู่ที่การให้ค่ายญี่ปุ่นทำรถภายในเอาใจคนสูงวัยแบบเดิม ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่สิ่งที่เราจะพลาดโอกาสไปคือ รถประเภทนี้ ไม่ว่าจะอีโคคาร์หรือรถปิคอัพ มันจะขาดระบบความปลอดภัยขั้นสูงที่ปู่กับย่าบอกว่าเขาไม่ต้องการ แต่มีไว้ก็ดีมาก ในขณะที่คุณปู่อาจจะบอกว่าตัวเองขับรถเองได้ ไม่ชอบให้คอมพิวเตอร์มาเกะกะวุ่นวายกับชีวิตนั้น เราก็ต้องมองตามจริงว่า ระบบเตือนรถในจุดบอดก่อนเปลี่ยนเลนก็ดี เซนเซอร์กันถอยทับแมวรอบคันก็ดี ระบบเตือนและเบรกอัตโนมัติด้านหน้า ด้านหลังก็ดี และอีกหลายๆระบบที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมานั้น มันก็ช่วยให้คนรุ่นปู่กับย่านี่ล่ะครับ ไม่ไปสร้างความเดือดร้อน เบียด ชน หรือร้ายสุดก็ทำคนอื่นเจ็บ/ตาย
แล้วในบ้านเรานั้น อุปกรณ์ช่วยในเชิงป้องกันขั้นสูง Advance Driving Assistance System หรือ ADAS เหล่านี้ มักจะไม่ได้มาในรถรุ่นย่อยที่มีจอซิมเปิ้ล แอร์ลูกบิด หน้าปัดเข็มแบบมองง่ายใช้ง่าย เพราะมันจะทำให้รถแพงขึ้น วัยรุ่นวัยทำงานที่อยากได้ของถูก เห็นแล้วไม่อยากซื้อ

ตรงนี้ ก็คงต้องให้ภาครัฐเข้ามาช่วยดูล่ะครับว่า ทำอย่างไรถึงจะจูงใจให้บริษัทรถสามารถผลิตรถสเป็คเอาใจปู่ย่าออกมาขายได้แล้วไม่เดือดร้อนคนวัยทำงาน ไอ้ครั้นจะไปบังคับให้ค่ายรถต้องติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้ลงในรถของตัวเองไปเสียทุกรุ่นย่อย บริษัทรถคือธุรกิจ ไม่ใช่การกุศลนี่ครับ เขาก็ต้องบวกราคาลงไปในรถเป็นแน่แท้ เว้นเสียแต่ว่าภาครัฐจะออกมาตรการลดภาษีสรรพสามิตให้กับรถยนต์นั่งราคาถูกที่ให้อุปกรณ์เหล่านี้มาครบ เมื่อนั้นก็จะทำให้บริษัทรถกล้าทำออกมาขาย และคนทั่วไปก็กล้าซื้อมากขึ้น คุณลองคิดดูง่ายๆว่า ถ้ามีรถอีโคคาร์สักรุ่นราคา 550,000 บาท แล้วการเพิ่มระบบ ADAS เข้าไปในเชิงป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ (ไม่ต้องถึงขนาด AutoPilot ขับไปจุดหมายเองได้) แล้วมันเพิ่มเงินแค่ 1-20,000 บาท ผมว่าข้าราชการบำนาญ หรือลูกหลานก็อยากซื้อ แต่ถ้าอยากได้ ADAS แล้วต้องจ่ายเยอะ จากเดิมรุ่นล่าง 550,000 ต้องไปจ่ายเงินซื้อรุ่นสูงๆ 700,000 บาท ผมว่าบางคนก็จะบอกว่ายินดีให้เกิดอุบัติเหตุมากกว่า

ท้ายสุดนี้ก็ต้องบอกว่า หลายคนอาจจะมองว่าการสร้างรถเพื่อผู้สูงอายุใช้งานได้ เป็นเรื่องไร้สาระ ผมบอกได้แค่ว่า ไม่เป็นไรครับ แต่จะเตือนแค่ว่า หนึ่ง..คุณแน่ใจเหรอว่าพอคุณแก่ คุณจะไม่ต้องพึ่งตัวเอง? และสอง อันนี้น้าฉ่าง อาคม รวมสุวรรณชอบพูด “ไม่แก่บ้างก็ให้มันรู้ไป” เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายสังขารสติสัมปชัญญะคุณเริ่มเสื่อม คุณจะเข้าใจคุณค่าของการเห็นแก่คนส่วนน้อย..เมื่อคุณเป็นหนึ่งใน 20-30% ของประชากรสูงอายุนั้นเองล่ะครับ
Pan Paitoonpong