Chiron คือรถซูเปอร์สปอร์ตที่เร็วที่สุด ทรงพลังที่สุด และพิเศษสุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ Bugatti ถูกเปิดตัวในงาน Geneva Motor Show เมื่อเดือนมีนาคม 2016 ทุกองค์ประกอบของ Chiron ออกแบบโดยผสมผสานระหว่างการรำลึกถึงประวัติศาสตร์ในอดีต โดยใช้ชื่อตามตำนานนักแข่งของทีม Bugatti อย่าง Louis Chiron พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์พลังและความเร็วซึ่งมาพร้อมกับความสิ้นเปลืองอย่างมหาศาล ผลลัพธ์ที่ได้คือขุมกำลังที่กลายเป็นเอกลักษณ์ มีคุณค่าด้านงานวิศวกรรมขั้นสูง คงทน ด้วยการออกแบบที่ชาญฉลาดแต่ซับซ้อนสุดๆ ทำให้ Chiron เป็นผลงานชิ้นเอกที่ไม่เหมือนใครในด้านศิลปะ รูปทรง และเทคนิคของระบบส่งกำลัง ซึ่งสามารถขยายขอบเขตออกไปเหนือจินตนา จักรกลอย่าง Chiron แสดงออกถึงความพยายามที่จะสร้างสิ่งที่แตกต่างอย่างมากจากผู้ผลิตเครื่องยนต์ร่วมสมัยที่เป็นคู่แข่ง เช่น Ferrari และ McLaren ซึ่งมีแนวคิดไปทางเทคโนโลยีระบบส่งกำลังไฮบริด


...






...


เพื่อให้บรรลุถึงระดับของประสิทธิภาพที่ไม่เคยมีมาก่อน Chiron ผสมผสานความงามอันน่าหลงใหลเข้ากับประสิทธิภาพ ทรงพลัง ถือเป็นการตีความใหม่ของ DNA งานดีไซน์จาก Bugatti หัวใจสำคัญของ Chiron คือเครื่องยนต์เบนซิน W16 เทอร์โบชาร์จสี่ตัว ความจุ 8.0 ลิตร ผลงานชิ้นเอกที่ไม่เหมือนใคร สร้างแรงม้าได้ถึง 1,578 แรงม้า แรงบิด 1,600 นิวตันเมตร ด้วยเทอร์โบชาร์จเจอร์ประสิทธิภาพสูงสี่ตัว ทำงานในรูปแบบของการควบคุมสองขั้นตอน ปริมาณอากาศมากถึง 60,000 ลิตร ถูกสูบผ่านเครื่องยนต์ในทุกนาที น้ำ 800 ลิตร ถูกปั๊มแรงดันสูงส่งจ่ายให้หมุนเวียนผ่านแกนกลางของเครื่องยนต์ เพื่อการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ระบบไอเสียไททาเนียมแบบใหม่ มีแรงดันย้อนกลับของก๊าซลดลง
...
พลังจากการกระหน่ำของชุดอัดอากาศเพิ่มขึ้นมาอีกถึง 300 แรงม้านั้นเกิดขึ้นจากการลดน้ำหนักของเพลาข้อเหวี่ยงแบบใหม่ที่ทำให้น้ำหนักของเพลาข้อเหวี่ยงลดลงอีก 1.4 กิโลกรัม ก้านสูบผลิตจากไทเทเนียม เทอร์โบทั้งสี่ตัวถูกสับเปลี่ยนให้มีขนาดที่โตขึ้น เป็นหอยพิษที่ใหญ่กว่าเดิม 30% ปัญหาเทอร์โบแลคหรืออาการรอรอบถูกขจัดปัดเป่าด้วยการใช้เทอร์โบแบบ Sequential โดยมีมอเตอร์และวาล์วที่ติดตั้งอยู่ในท่อร่วมไอดีช่วยลดอาการรอรอบ
เมื่อทำงานที่รอบต่ำวาล์วจะปิดให้ไอเสียไหลกลับเข้าไปในเทอร์โบข้างละตัวทำให้อาการรอรอบลดลงและตอบสนองในรอบต่ำได้ดีขึ้น เมื่อผู้ขับใช้รอบสูง เทอร์โบแบบ Sequential จะทำงานเต็มกำลังด้วยอัตราบูสที่สูงถึง 1.85 บาร์ กลไกวาล์วจะเปิดให้อากาศไหลเข้าสู่เทอร์โบครบทั้ง 4 ตัวชนิดเต็มที่ ท่อร่วมไอดีแบบใหม่มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ท่อร่วมไอเสียทำจากไทเทเนียม โดยในบางจุดของท่อไอเสียใช้วัสดุพวกคาร์บอนไฟเบอร์ การปรับปรุงดังกล่าวทำให้ Bugatti Chiron มีแรงบิดสูงถึง 1,600 นิวตันเมตร มากจนเกินหน้าเกินตาแรงบิดของรถบรรทุกหัวลากไปไกลสุดกู่ แรงบิดสูงสุดมาในย่าน 2,000 รอบต่อนาที ไม่ต้องกดคันเร่งจนมิดก็มีแรงบิดเหลือเฟือที่จะทะยานจาก 0-100 ใน 2.4 วินาที
วัสดุน้ำหนักเบา เช่น คาร์บอนไฟเบอร์ ช่วยเพิ่มกำลังและสมรรถนะ การจัดการกับกระแสลม ปรับปรุงอากาศพลศาสตร์ เพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนสำหรับเครื่องยนต์และเบรก รวมถึงสร้างแรงกดตัวถังขณะทำความเร็วสูงสุด ไฟหน้า LED สี่ดวง ทำหน้าที่เป็นช่องรับอากาศสำหรับเบรกหน้า Chiron เร่งความเร็วจากจุดหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 2.4 วินาที ทำความเร็ว 0-200 กม./ชม. ใน 6.1 วินาที ทำความเร็ว 0-300 กม./ชม. ใน 13.1 วินาที ทำความเร็ว 0-248.5 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือวิ่งเต็มคันเร่งที่ 0-400 กม./ชม. ในเวลาเพียงแค่ 32.6 วินาที นอกจากนี้ยังทำลายสถิติ 0–400–0 กม./ชม. ด้วยเวลา 41.96 วินาที ในระยะทาง 3.2 กิโลเมตร Chiron ยังกลายเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ผลิตขึ้นเพื่อทำลายสถิติ 300 ไมล์ต่อชั่วโมงได้อย่างน่าทึ่ง รถต้นแบบ Chiron Super Sport 300+ ก่อนเข้าสู่สายการผลิต ถูกขับทดสอบ ด้วยความเร็วถึง 304.77 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ 490.48 กม./ชม. ที่สนามทดสอบภายในโรงงานของ Volkswagen ที่เมือง Ehra-Lessien
...
เครื่องยนต์ W16 รุ่นแรกสุด ถูกผลิตขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษปี 2000 กระบอกสูบมากถึง 16 ตำแหน่งส่งผลให้เครื่องมีขนาดที่ใหญ่มาก






ผู้ที่ให้กำเนิดเครื่องยนต์ Bugatti W16 คือวิศวกร Ferdinand Piëch ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการบริหารของ Volkswagen เจ้าของแบรนด์ Bugatti ในช่วงเวลาที่มีแนวคิดประหลาดดังกล่าว เดิมทีเครื่องยนต์นี้เป็นเครื่องยนต์ 18 สูบ แต่ดัดแปลงให้กลายเป็นเครื่อง 16 สูบ W16 Ferdinand Piëch ได้ร่างภาพเครื่องยนต์ไว้บนซองจดหมายใช้แล้ว และ ทีมวิศวกรของ Bugatti เข้ามาช่วยพัฒนาทุกอย่างตั้งแต่แบบร่าง การออกแบบชิ้นส่วน ขนาดและน้ำหนัก และช่วยกันสร้างผลงานทางวิศวกรรมชิ้นเอกในโลกแห่งยนตรกรรม เครื่องยนต์ 8.0 ลิตร ให้กำลังเริ่มต้นแค่ 987 แรงม้า (1,001 PS)



W16 มีขนาดค่อนข้างใหญ่ มันโตกว่าเครื่องยนต์ V12 เล็กน้อย แตามีน้ำหนักเพียง 400 กิโลกรัม
ช่วง 20 ปี นับตั้งแต่ Bugatti เผยแพร่รายละเอียดทางเทคนิคของเครื่องยนต์ W16 เป็นครั้งแรก แบรนด์รถหรูเก่าแก่ได้ผลิต Veyron และ Chiron และรถไฮเปอร์คาร์รุ่นต่อๆ มา รวมถึงรุ่นที่ผลิตในจำนวนจำกัด เช่น Divo, Centodieci และ Mistral Bolide ซึ่งเป็นรถสำหรับการแข่งขันโดยเฉพาะ สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มพิเศษ




เครื่องยนต์ W16 ของ Chiron Pur Sport เหมาะอย่างยิ่งสำหรับภารกิจซิ่งในสนามปิด และ Bugatti ก็สร้าง Chiron Pur Sports ออกมาทั้งหมด 60 คัน
ระบบเกียร์
การรับมือกับแรงบิดมหาศาลเพื่อถ่ายเทลงพื้นถนนเป็นหน้าที่ของชุดส่งกำลังสุดแพงแบบคลัตช์คู่ เกียร์ออโต้แบบทวินคลัตช์ 7 สปีด ผลิตโดยบริษัทเกียร์ชั้นนำ Ricardo มีการปรับจูนเกียร์ใหม่หมดโดยทำการอัพเกรดซอฟต์แวร์ที่ใช้ควบคุมการทำงานของชุดเกียร์ใหม่ เปลี่ยนสลักเกียร์ ฝาครอบ รวมถึงระบบไหลเวียนของน้ำมันเกียร์ด้วยการเปลี่ยนชนิดของน้ำมันเกียร์ที่ใช้หล่อลื่นชิ้นส่วนภายใน เช่น เพลาเกียร์ก็ยังใช้วัสดุที่คงทนมากยิ่งขึ้น คลัตช์แบบทวิน 6 แผ่นซ้อนทับกันมีความทนทานมากกว่าเดิมเพื่อรองรับแรงบิดที่ส่งมาจากเครื่องยนต์ การทดสอบในขั้นตอนของการพัฒนาทำให้ Bugatti Chiron คันต้นแบบต้องวิ่งแบบลากยาวถึง 300,000 กิโลเมตร คลัตช์แบบทวินหรือคลัตช์ 2 ชุดก็ยังคงทำงานเป็นปกติ กำลังในรูปของแรงบิดระดับ 1,600 นิวตันเมตร มากจนวิศวกรของ Bugatti ต้องปรับไดนาโมมิเตอร์ใหม่หมดเพื่อทำให้สามารถวัดแรงบิดของปิศาจความเร็วคันนี้ได้





การออกแบบส่วนหลังของรถใหม่หมดเพื่อระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์ขนาดยักษ์มีการนำเอาอากาศเย็นเข้าไประบายในห้องเครื่องยนต์ที่วางอยู่ในตำแหน่งกลางลำตัวค่อนไปทางท้ายนิดๆ อากาศบริเวณกระจกจะมีลักษณะปั่นป่วนหมุนวนทำให้นักออกแบบต้องปรับแนวด้านข้างเพื่อบังคับกระแสลมให้มีความเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น แอร์โรไดนามิกที่ดีทำให้การทำความเร็วในระดับ 400 กิโลเมตรไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป กระแสลมที่ไหลผ่านกระจกมีแรงดันสูง เส้นโค้งด้านข้างตัวรถของ Bugatti Chiron ทำให้เกิดรูปทรงที่คล้ายกับท่อดักอากาศ เส้นโค้งด้านข้างตัวรถยังกลายเป็นเอกลักษณ์ที่สืบทอดมาจากรถรุ่นพี่อย่าง Bugatti Veyron ด้านหน้ามีไฟ LED แบบ Active กระจังหน้าหรือจมูกมีเส้นโค้งของฝากระโปรงหน้าที่สอดรับกับใบหน้าใหม่ในเวอร์ชั่น Chiron ส่วนล่างและบนของสปอยเลอร์หน้าเต็มไปด้วยช่องรับอากาศสำหรับหม้อน้ำและการระบายความร้อนให้กับชุดเบรกคาร์บอนเซรามิก การออกแบบหน้าตาใหม่โดยยังคงรูปลักษณ์เดิมๆ เอาไว้ในบางจุดทำให้ Bugatti Chiron มีความเป็นจริงเป็นจังมากกว่า Veyron ที่ดูเหมือนหมูพิโรธมากกว่าจะเป็นหน้าตาของไฮเปอร์คาร์เจ้าของสถิติโลกในด้านการทำความเร็ว
ระบบบังคับเลี้ยวแบบไฟฟ้าถูกปรับให้เพิ่มความสามารถในการเข้าโค้ง การเพิ่มความมั่นคงให้กับพวงมาลัยเมื่อทำความเร็วรวมไปถึงน้ำหนักของพวงมาลัยที่ปรับแบบอัตโนมัติเพื่อส่งถ่ายความเบาสบายในย่านความเร็วต่ำ โหมดของการขับเคลื่อนจะมีการแปรผันของความสูง ความแข็ง-อ่อนของโช้คอัพ การกระจายแรงบิดไปยังล้อทั้งสี่ การปรับขยับตัวไปตามความเร็วของชุดแอร์โรพาร์ทแบบ Active ยิ่งขับเร็วขึ้นกลไกทางอากาศพลศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมของ Bugatti Chiron จะปรับสร้างแรงกดไปยังตำแหน่งต่างๆ โดยเฉพาะส่วนท้ายเมื่อวิ่งในโหมด Top-Speed ระบบขับเคลื่อนทุกล้อของมันผลิตโดยบริษัท Haldex มีเฟืองท้ายที่เจ้าของรถสามารถขับแบบดริฟต์ได้อย่างง่ายดาย
เฟืองหน้าและเฟืองท้ายแบบไฟฟ้ารองรับแรงบิดที่ผกผันต่อเนื่องตลอดเวลาของล้อขับเคลื่อนทุกล้อในแบบ Real Time โช้คอัพไฟฟ้าของค่าย Sachs ใช้มอเตอร์คอยปรับความหนืดให้สัมพันธ์ไปกับความเร็วและสภาพของผิวถนนโดยจะทำหน้าที่ตลอดเวลาด้วยความเร็ว 6 มิลลิวินาที บูชยางวัสดุผสมเพิ่มความแข็งแรงในการรองรับแรงกระแทกหรือการบิดตัว




ล้อและยาง
ระบบเบรกคาร์บอนเซรามิกผลิตขึ้นใหม่ทั้งหมดจากบริษัทเบรกชั้นนำ AP จานเบรกคาร์บอนเซรามิกด้านหน้ามีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 420 มิลลิเมตร ใช้คาร์ลิบเปอร์แบบ 8 พอตหน้า 6 พอตหลังควบคุมการเบรกด้วยวงจร ABS พร้อมแผงกันความร้อนไม่ให้ส่งถ่ายแพร่ความร้อนไปถึงยางเมื่อเบรกถูกใช้อย่างหนักหน่วง ยางของ Bugatti Chiron เป็นยางชนิดพิเศษผลิตโดย Michelin รุ่น Pilot Sport Cup-2 ยางล้อหน้าขนาด 285/30ZR20 ส่วนยางล้อหลังว่ากันให้ถึงใจแบบไซส์โตที่ 355/25ZR21 โดยยกเลิกยางแบบ Run-flat ที่เคยใช้ใน Bugatti Veyron
จำนวนการผลิต Bugatti Chiron แค่ 450 คัน เศรษฐีส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องตัวเลขความเร็วสูงสุดเนื่องจากไม่มีถนนหรือสนามแข่งที่ยาวมากพอสำหรับระเบิดพลังงานในระดับเต็มเหนี่ยว ตัวเลขอัตราเร่ง เร็วจนแทบจะไม่มีรถยนต์รุ่นไหนเร่งได้เร็วเหมือน Bugatti Chiron ทำให้เกิดความพึงพอใจสำหรับการคุยข่มกันในงานเลี้ยงของพวกไฮโซ นับเป็นจักรกลไฮเปอร์คาร์ที่มีทั้งความแรงและความแพงกันแบบครบๆ ด้วยราคายังไม่รวมภาษีนำเข้า 300% ++ (ในปี 2017) อยู่ที่ประมาณ 99,834,000 บาท เป็นของเล่นเศรษฐีขี้เบื่อใช้จอดโชว์ในโรงรถเอาไว้อวดเพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมหรือใช้ขับโฉบเฉี่ยวไปมาตามแหล่งช็อปปิ้งของพวกคนรวยมากกว่าจะเอามาใช้งานในชีวิตประจำวัน.

Volkswagen Bugatti Chiron W16
- เครื่องยนต์ 8.0 ลิตร 16 สูบ
- วาล์ว 64 ตัว
- หัวฉีดเชื้อเพลิง 32 ตัว
- เทอร์โบ 4 ตัว
- หม้อน้ำ 10 ตำแหน่ง 4 ชุดแรก สำหรับระบายความร้อนด้วยน้ำและอีก 4 ชุด สำหรับระบายความร้อนอากาศที่ออกมาจากเทอร์โบ คูลเลอร์ 1 ตัวสำหรับเครื่องปรับอากาศและออยคูลเลอร์อีก 1 ตัวสำหรับกระปุกเกียร์
- ถังเชื้อเพลิง ความจุ 100 ลิตร เมื่ออัดถึงความเร็วสูงสุด หรือใช้ความเร็วสูงต่อเนื่อง เชื้อเพลิงจะหมดเกลี้ยงถังใน 10 นาที
- เครื่องยนต์มีกำลัง 1,500 แรงม้า
- แรงบิด 1,200 นิวตันเมตร
- ผลักดันรถจาก 0 ถึง 400 กม. ต่อชั่วโมงแล้วกลับมาหยุดสนิทภายใน 40 วินาที ด้วยระบบเบรกที่แข็งแกร่งและพัฒนามาอย่างดี.