ในช่วงที่ผ่านมา เราจะสังเกตได้ว่าบางสิ่งที่ไม่ได้เป็นกระแสพูดถึงบนโลกโซเชียล เป็นสิ่งที่แอบโตอย่างเงียบๆ ในขณะที่วงการรถไทยจับตามองการเจริญเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า BEV ที่โตเร็วจนกระทั่งในขนาดรถบางพิกัด บางระดับราคา ผู้เล่นจากจีนเข้ามาตอดแย่งเค้กในตลาดจนบริษัทญี่ปุ่นต้องออกอาการขมีขมันปรับปรุงรถบ้าง ปรับปรุงโปรโมชั่นบ้างกันใหญ่ BEV นั้นเป็นตลาดที่โตเร็วจริง นับจำนวนรถไฟฟ้าบนถนนวันนี้กับ 3 ปีก่อนหน้าก็ต่างกันลิบลับ แต่ในขณะเดียวกัน รถกลุ่มไฮบริด HEV ที่มีเครื่อง มีแบตเตอรี่แต่ไม่มีรูปลั๊ก คือกลุ่มที่โตเร็วกว่า BEV 2-3 เท่า และมีแนวโน้มจะโตต่อไปในปีหน้า วันนี้เราจะพูดถึงรถไฮบริด HEV สามรุ่นที่คนไทยน่าจะได้สัมผัสภายใน 6 เดือนหลังจากนี้

...

...

...

หลังจากสิ้นฤดู Motor Expo 2024 เราเริ่มเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์บ้านเราแม้จะเผชิญชะตากรรมหนักหนาในช่วงปีที่กำลังจะผ่านพ้นไป ก็ยังมีแววรอดอยู่สำหรับหลายค่ายที่หน่วยก้านดี ค่ายญี่ปุ่นก็ยังมีคนไว้เนื้อเชื่อใจในความเสถียรของตัวรถ ความศรัทธาที่ผู้คนมีให้ว่าในยามซ่อมบำรุงชีวิตจะไม่ต้องเจอเรื่องปวดหัว หรือตอนขายก็ไม่ถึงขนาดว่าพอเตนท์ตีราคาให้แล้วแทบอยากจะควักปลาซาบะมาตีหน้าเตนท์ สิ่งเหล่านี้คือไพ่ตัวหนึ่งที่ทำให้ญี่ปุ่นยังมีโอกาสรอด ท่ามกลางกระแสรถจีนที่อาศัยความจริงที่ว่า “อะไรก็ตามในโลกนี้ไม่มีใครสร้างได้ในราคาถูกเท่าจีน” จึงสามารถทำรถ BEV ให้มีอุปกรณ์เยอะแยะ ภายในหรูหรา แรงม้าล้นคอก กลายเป็นหอกข้างแคร่ของญี่ปุ่นอยู่ตอนนี้ แต่ถ้าจะให้อยู่เฉยๆ ขายรถบนความเชื่ออย่างเดียว ก็น่าจะม้วยมรณาในไม่ถึงทศวรรษหรอกครับ

การจะขยับเพื่อสู้จีน ก็มีได้หลายวิธี วันนี้ เราจะมาดูว่าความเคลื่อนไหวของรถญี่ปุ่นบางค่ายสำหรับวันนี้จนถึงครึ่งแรกของปีหน้ากัน

...

สำหรับบางค่าย คาดว่าเราไม่น่าจะเห็นอะไรใหม่ในช่วงเวลาดังกล่าว Isuzu นั้นก็เพิ่งจะเปิดเป๊ปซี่แมกซ์ดื่มแล้วนำเสนอพลังดีเซล MAXFORCE 2.2 ลิตร 163 แรงม้าไปในช่วงปลายปี และมาทีก็มาลงทั้งในกระบะ D-Max และ MU-X ค่ายรถของเขาก็มีแค่สองบอดี้นี้ อย่างมากก็อาจจะปรับ X-Series ที่เป็นรุ่นย่อยเดียวที่ยังใช้เครื่อง 1.9 ให้เป็น 2.2 ตามรุ่นอื่นไป แต่ก็ต้องพิจารณาความคุ้มค่าทางธุรกิจด้วยเพราะ X-Series ไม่ใช่รุ่นย่อยที่ขายดีขนาดนั้น ส่วนขุมพลังที่จะมาแทน 3.0 ลิตร ยังไม่มีข่าวใดๆมาเพิ่ม รวมถึงกระบะไฟฟ้า 100% ด้วยเช่นกัน

Honda ก็เรียกได้ว่า มีอะไรให้เปิด ก็เปิดไปหมดแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ไม่น่าจะมีอะไรสดใหม่มาเปิดตัวได้ เพราะ Civic และ HR-V ก็ไมเนอร์เชนจ์ไปในช่วงปลายปีนี้เอง และ CR-V ก็ยังไม่ครบวาระในการไมเนอร์เชนจ์ ส่วนทางฝั่ง Mazda นั้นก็ยังค่อนข้างเงียบ CX-5 ที่ขายมา 7 ปีก็จะยังอยู่ต่อไปอีกสักพัก ยังไม่มีข่าวถึงรถรุ่นอื่น

ส่วน Subaru นั้น ไม่ได้เจ๊งหรือเลิกกิจการ ทั้งสองซู คือ Subaru และ Suzuki แค่เลิกประกอบรถในไทย แต่ไม่ได้เลิกขายรถ Subaru จะปรับไปนำเข้าจากญี่ปุ่น ก็คือกลับไปเหมือนยุคก่อนที่ไทยจะมี Subaru XV นั่นล่ะครับ ส่วน Suzuki ก็จะไปอาศัยโรงงานอินโดนีเซียกับญี่ปุ่นในการเลือกรถมาขายไทย แต่ทั้งสองค่ายนี้มีแผนที่ชัดเจนว่าจะมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ Subaru ก็จะมี BRZ อัปเดตใหม่ และ Suzuki ก็จะมีรถ BEV เข้ามาขาย เขาไม่ตาย แต่ชีวิตเขาจะเปลี่ยนไป นี่คือโลกธุรกิจ เพียงแต่ผมยังไม่แน่ใจว่ารถใหม่ของค่ายสองซูนี้ เขาจะมาทันเดือนมิถุนายนหรือเปล่า

ฝั่ง Toyota พี่ใหญ่ด้านยอดขายของฝั่งญี่ปุ่น ในช่วงครึ่งปีแรก 2025 มีแววว่าจะได้ลุ้นกับ Yaris ATIV ซีดานที่มาพร้อมขุมพลังแบบไฮบริด เพราะอันที่จริง Toyota แอบวิ่งทดสอบเก็บข้อมูลและความทนทานของชิ้นส่วนในไทยมานานเป็นปี เพราะค่ายนี้เวลาทดสอบความทนขุมพลังไม่ได้ทดสอบขำๆหลักหมื่นกิโลเมตรครับ เล่นกันหลายแสนกิโลเมตรก่อนจะปล่อยมาขายได้ถ้าเป็นรถรุ่นที่ฝั่งไทยเป็นแม่งานนะครับ รุ่นอื่นไม่แน่ใจ

Toyota คือค่ายที่เชื่อว่าการขายรถบนโลกใบนี้คุณไม่จำเป็นต้องใช้แค่ EV เพื่อช่วยลดมลภาวะให้โลก แต่ละประเทศ แต่ละท้องถิ่นจะมีดีกรีในการรับเทคโนโลยีและสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้าไม่เท่ากัน ในขณะที่บางคนมองว่า EV 100% คือทางออก Toyota มองว่าประตูมีมากกว่าหนึ่งและถ้าคุณสังเกต ผู้ผลิตฝั่งจีนเองก็ไม่ได้ทำแต่รถไฟฟ้าล้วนนะครับ ที่บ้านเขามีรถไฟฟ้าที่แบกเครื่องสันดาปไว้ปั่นไฟเหมือน Nissan Kicks แต่ถ่านก้อนโตกว่ามาก และจีนก็ยังพยายามพัฒนารถไฮบริดแบบมีปลั๊กชาร์จได้ ถ้าคุณคิดว่า EV คือทางออก จีนเก่งเรื่อง EV แล้วทำไมค่ายที่ยิ่งใหญ่อย่าง BYD ยังต้องมีไฮบริด DM-i ลองคิดดู นั่นล่ะครับ

ความที่ Yaris ATIV และ Yaris Cross ล้วนสร้างบนพื้นฐานโครงกระดูกหลักแพลทฟอร์ม DNGA-B ซึ่งทั้งโครงสร้างรถ เครื่องยนต์ ระบบไฟฟ้า แม้กระทั่งวิธีการแสดงผลบนจอหรือหน้าปัด เป็นผลงานของ TDEM (Toyota/Daihatsu) เช่นเดียวกับ Veloz รถ 7 ที่นั่งไซส์เล็ก คุณสังเกตดู หน้าปัด สีสัน การสั่งการระบบบนจอ ระบบความปลอดภัย รถสามรุ่นนี้จะไม่เหมือน Corolla Cross เลยครับ..แต่ประเด็นคือพอรถมีโครงกระดูกแชร์กัน ดูอย่าง Yaris Cross กับ ATIV ฐานล้อยาวเท่ากัน 2.62 เมตรเลยด้วยซ้ำ ขุมพลังก็สามารถวางข้ามกันได้ด้วยการดัดแปลงที่น้อย ขุมพลังไฮบริด HEV 1.5 ลิตร 2NR-VEX บวกมอเตอร์แล้ว 111 แรงม้า นำมาวางได้ ขี้คร้านจะลบจุดด่างดำบนใบหน้าเรื่องความแรงไปได้อีกด้วย เพราะขุมพลังนี้ตอนอยู่ใน Yaris Cross ตัวใหญ่ต้านลมล้อโตๆยังวิ่งทันใจพอสมควร มาอยู่บอดี้เพรียวหยดน้ำเหมือนปลาทูแม่กลองของ Yaris ATIV กับล้อเล็กๆ ยิ่งน่าจะแรงกว่าเมื่อกด และประหยัดกว่าเมื่อเมียด่

มีความเป็นไปได้ที่จะใช้ขุมพลังอื่นไหม? ผมว่าก็อาจมี เราไม่มีทางทราบจนกว่าวันเปิดตัว แต่มองในแง่การบริหารต้นทุน มีเหตุผลไหนที่ต้องสร้างเครื่องไฮบริด HEV ตัวใหม่มาอีกในเมื่อของที่มีอยู่แล้วใน Yaris Cross ก็ใช้กันได้ แล้วจะยิ่งกลายเป็นคู่แข่งตรงตัวของ Honda City e:HEV ไปเลยโดยมีโอกาสที่จะตั้งราคาให้ถูกกว่าได้อีกด้วย ดังนั้นจึงเป็นที่น่าจับตามอง วันนี้ Toyota มั่นใจในพลังไฮบริดมากขึ้น เพราะทั้ง Corolla Cross และ Camry ก็แสดงให้เห็นอัตราส่วนการขายที่รถไฮบริดขายได้มากกว่ารุ่นเบนซินมา 2-3 ปีแล้ว ที่สำคัญคือโอกาสในการรับเงื่อนไขจากฝั่งรัฐบาล ที่จะมีการสนับสนุนรถมลภาวะต่ำประเภทไฮบริดต่อไป สำหรับ Toyota นี่คือมะม่วงของเพื่อนบ้านที่กิ่งยื่นมาในรั้วบ้านเราพอดี

คาดว่าช่วงมีนาคม น่าจะมีข่าวสารต่างๆออกมาชัดเจนขึ้น ถ้าภายใน 9 มีนาคม มีข่าวแพลมออกมา ก็เชื่อได้เลยว่า Bangkok International Motor Show 2025 เจอกันแน่นอน นี่ผมจุดเทียนเขียนสดๆเลยครับ

ต่อมา รายนี้ก็น่าลุ้นไม่แพ้กันคือ Mitsubishi XFORCE รถที่นับเป็นคู่แข่งตรงรุ่นกับ Yaris Cross ของ Toyota ด้วยขนาดลำตัวที่ฝั่งมิตซูยาวกว่ากันเพียงเล็กน้อยแต่ไม่ยาวเท่า Corolla Cross แล้วในขณะที่ Toyota ขายทรงเดิมๆบนความไฮบริดและชื่อชั้นแบรนด์ Mitsubishi ก็อาจจะเดินทางแนวเดียวกับ Xpander คือ ถ้าทรงมันล้ำพอ รถมันจะขายตัวมันเอง Xpander พิสูจน์แล้วว่าถึงรถคุณจะแพงและมีถุงลมแค่สองใบ แต่ถ้าหน้าตาใช่ รถมันก็ขายคนไทยได้ ไม่ว่าโซเชียลจะพูดยังไง และรูปทรงก็จัดเป็นจุดเด่นของ XFORCE อย่างหนึ่งเพราะในขณะที่รถญี่ปุ่นส่วนมากยกเว้น Mazda ไปทรงอนุรักษ์นิยมค่อนแก่ไม่ก็อินดี้แบบมีแต่แม่ที่บอกว่าสวย XFORCE กล้าออกแบบในแนวก้าวร้าว กล้าทำ ชนิดที่ถ้าไม่รักก็เกลียดไปเลย ซึ่งทรงแบบนี้น่าจะช่วยให้ฝั่งญี่ปุ่นมีรถทรงแปลกราคาดีขายแข่งกับฝั่งจีนบ้าง แล้วถ้ามองด้านหน้ากับด้านข้าง XFORCE ก็มีบางอารมณ์คล้าย Deepal S07 อยู่แม้จะเป็นเวอร์ชั่นสั้นเล็กลงก็ตาม

XFORCE ที่ขายอยู่ในอินโดนีเซียมาครบปีแล้วนั้น เป็นรถขุมพลัง 1.5 ลิตรเบนซิน เกียร์ CVT แต่ตามแหล่งข่าวจาก AutolifeThailand คาดว่า รุ่นที่ขายคนไทยต้องเป็นรุ่น HEV ขุมพลังไฮบริด 1.6 ลิตรแน่นอน เพราะโอกาสในการขายมีเยอะกว่า และ Xpander ที่ตอนเปิดตัวรุ่น HEV ใหม่ๆ ก็ขายควบคู่ไปกับรุ่น 1.5 เบนซินเก่าที่ลดราคาลง ขนาดลดราคาลงแล้ว คนมิตซูยังเอามือก่ายหน้าผาก เพราะคิดว่าคนจะจองรุ่นไฮบริดกับเบนซินในอัตราส่วน 50:50 แต่ทำไมไม่ทราบ คนแห่จองรุ่นไฮบริด 70% เลยในช่วง 2 เดือนแรกหลังเปิดตัว นั่นก็เป็นสิ่งที่ยืนยันความคิดได้ว่า ถ้า XFORCE จะมาไทย ไฮบริดคือคำตอบ

ขุมพลังไฮบริด..ก็ไม่ยาก เพราะในเมื่อ XFORCE ก็ใช้แพลทฟอร์มร่วมกับ Xpander หลายจุด และปัจจุบันประเทศไทยก็ประกอบ Xpander HEV e:Motion ขายอยู่แล้ว เป็นเครื่อง 1.6 ลิตร MIVEC 95 แรงม้า ซึ่งระบบไฮบริด Mitsubishi นี้ก็ทำงานคล้ายกับ e:HEV ของ Honda ที่มอเตอร์จะเป็นพระเอกมากกว่าเครื่องยนต์ แต่ของ Mitsubishi สามารถสั่งชาร์จได้ กด EV Mode บังคับได้ เวลากระแทกคันเร่งเรียกพลัง สิ่งที่ขับเคลื่อนรถไป จะเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า 116 แรงม้า ซึ่งมีแววว่าจะเน้นแรง เร็ว และด้วย DNA นิสัย Mitsubishi เรื่องช่วงล่างกับการขับขี่ก็น่าจะเอาใจสายซิ่งปนใช้งานมากกว่า Yaris Cross

สิ่งทีต้องจับตาดูคือราคา ในเมื่อ Xpander ก็ขายอยู่เก้าแสนกลางถึงปลายแล้ว ถ้า XFORCE มาขายในราคาเดียวกัน ก็ต้องหาเหตุผลให้ฝ่ายการตลาดทำงานหนัก ว่าจะบอกลูกค้าอย่างไรให้จ่ายเงินเพิ่มหลายหมื่นเพื่อ Mitsubishi แทนที่จะเอา Toyota หรือจะเลือกหาวิธีกดราคาให้น้อยกว่าเพื่อแย่งยอดจากเจ้าตลาดไปเลย ที่แน่ๆคือ ไม่ว่าจะยังไง XFORCE คือสิ่งที่ Mitsubishi ไทยควรนำมาให้เร็วที่สุดท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง และควรตั้งแต่ราคาให้ปังไปเลย เพราะรถใหม่ของค่ายจริงๆมีแต่ Triton ซึ่งก็ดูเอาได้ว่าขายมาปีกว่าแล้ว เจอบนท้องถนนกี่คันกัน

ต่อมา เป็นรถที่แหกแหวกแนวจากสองคันก่อนหน้านี้ตรงที่ขนาดตัวมันคนละเรื่องกัน และแม้ทางบริษัทจะพยายามให้การตลาดพูดว่า e-Power คือรถไฟฟ้าที่ไม่ต้องชาร์จ ผมก็จะถือวิสาสะและวิวาทะ (อย่างหลังเฉพาะถ้าจำเป็น) ว่า ผมรู้สึกเขินถ้าจะเรียกรถที่พอไม่มีน้ำมันแล้ววิ่งได้ไม่เกิน 5-8 กม. ว่ารถไฟฟ้าครับ ผมก็มองมันเป็นรถ HEV แบบนึงที่เครื่องส่งกำลังไปปั่นไฟเท่านั้น ไม่มีการส่งไปหมุนล้อแบบ HEV ของเจ้าอื่น

อย่างไรก็ตาม Nissan Serena e-Power ตัวถัง C28 นั้น คือเวอร์ชั่นใหม่ตามตลาดโลก ในขณะที่ C27 Serena S-Hybrid เป็นรถตกรุ่นไปแล้ว Nissan เขาก็ใจๆพอที่จะบอกผู้บริโภคด้วยการเอารถรุ่นใหม่และเก่ามาจอดคู่กันในงาน Motor Expo 2024 แล้ว เป็นการบอกชัดเจนว่ารุ่นใหม่กำลังจะมา แต่ถ้าคุณลูกค้ารอไม่ไหว ก็ไปซื้อตัวเก่าใช้ หรือถ้าอยากเน้นราคาถูก ตัวเก่าก็มีแนวโน้มถูกกว่า แต่ถ้าเงินไม่ใช่ปัญหา แล้วคุณรอไหว e-Power Serena ก็กำลังจะตามมา บางท่านบอกอาจจะมาสิงหาคม แต่แหล่งข่าวผมคาดว่ามีลุ้นมิถุนายนอยู่เหมือนกัน

Serena C28 เองก็ไม่ใช่ของใหม่สดขนาดนั้นครับ ตัวรถจริงๆเปิดขายมาตั้งแต่ปลายปี 2022 แล้ว แต่ด้วยเอกลักษณ์ของ Nissan เมืองนอกที่จะทำอะไรให้คนไทยสักอย่าง ชักช้า เดี๋ยวเอาเดี๋ยวไม่เอา เดี๋ยวมา เดี๋ยวไม่มา กลายเป็นว่าคนเลยด่าว่านี่นอกจากจะเอาของใหม่มาขายช้าแล้ว ยังเอาของเก่าที่ตกรุ่นไปแล้วสองปีมาขายอีกด้วย ความจริงก็คือทางผู้แทนจำหน่ายอยากให้ Nissan นำรถรุ่นใหม่มาให้ขายบ้าง เพราะที่อยู่กันทุกวันนี้ต้องทนกระแสที่ผู้ชมทางบ้านลุ้นปนแช่งว่า Nissan ในไทยจะตายเมื่อไหร่ ใครอยากบอกให้ชาวบ้านรู้ว่ายังไม่ตาย ก็ต้องยกไม้โบกมือให้รู้กันว่ายังไม่ตาย Serena โฉมเก่าคันสีขาวใน Motor Expo คือรถที่มาขัดตาทัพ..แต่ดันเวิร์ก เพราะในไทยมีคนจำนวนไม่น้อยที่แค่อยากได้รถหลังคาโปร่ง ประตูสไลด์ไฟฟ้า ในราคาไม่ต้องขายบ้านมาซื้อ ไม่เน้นฟังก์ชั่น ไม่ขิงอุปกรณ์ C27 รุ่นเก่าในราคาล้านสี่กว่าๆ ตอบโจทย์ตรงนี้ได้ในแบบที่เซียนรถที่แทงฟันว่าเจ๊งแน่..ก็งงไปเหมือนกัน

ส่วนตัว e-Power ที่จะมาใหม่นั้น รูปแบบและโฟกัสในการใช้งานของรถก็เหมือนกับรุ่นเก่า C27 แต่ความได้เปรียบมาจากการใช้ e-Power ซึ่งมุมมองผม..ก็นับเป็นไฮบริดแต่แค่ไม่มีการส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปล้อ แต่ระบบมันดีมากสำหรับการใช้งานในเมือง ความซับซ้อนในชิ้นส่วนและการทำงานไม่เยอะอย่างที่คิด Serena e-Power จะใช้เครื่อง 1.4 ลิตรปั่นไฟ (Kicks ใช้ 1.2 ลิตร) แล้วก็เอามอเตอร์ EM57 ซึ่งเหมือนกับ Kicks รุ่นแรกที่มาไทย ปรับจูนพลังเพิ่มเป็น 163 แรงม้า ความเร็วในการเร่งออกตัวหรือแซง ย่อมดีกว่ารุ่น S-Hybrid ซึ่งผมอยากจะเรียกว่าเบนซินแปะมอเตอร์แคระเลยดีกว่า แล้วก็ยังจะได้เรื่องความประหยัดเชื้อเพลิง หน้าตา เทคโนโลยีที่ใหม่สดกว่า

สิ่งที่เราทราบจากภายใน Nissan คือ Serena C28 นั้น “มาแน่” แต่จะราคาเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับวิธีการมา และมาตรการเอื้ออำนวยที่รัฐไทยมีต่อรถไฮบริด ถ้านำเข้ามาจากญี่ปุ่นแล้วไม่ได้รับสิทธิพิเศษอะไรจากไทยเลย ราคาน่าจะทะลุสองล้านบาท..คงต้องเป็นคนที่เกลียดรถจีนมากเท่านั้นถึงจะเล่น Serena ในราคานี้โดยไม่มอง MPV จีนที่ตัวโตกว่า แต่ถ้าหากเป็นจังหวะประจวบเหมาะที่ทางโรงงานของตันจง สามารถประกอบ C28 ออกมาได้ทัน ราคาของ Serena e-Power อาจแพงกว่ารุ่นปัจจุบันราว 2.5-3 แสนบาท

ก็คงต้องดูกันต่อไปว่า Nissan จะเล่นไม้ไหนกับ Serena เพื่อให้ผู้บริโภคได้รถที่ราคาสมประสิทธิภาพ..ไม่ว่าท้ายสุดพวกเขาจะทำได้หรือไม่ก็ตาม แต่ก็ต้องพยายามดันมันออกมา อย่างที่บอก..เพื่อให้คนมั่นใจว่า Nissan ไทยยังหายใจอยู่

และนี่ก็คือความเคลื่อนไหวคร่าวๆ สำหรับค่ายญี่ปุ่นที่คุณน่าจะได้เห็นภายใน 6 เดือนหลังจากนี้ครับ

Pan Paitoonpong