ทุกคนรู้ดีว่าสนามแข่งนรกเขียวนั้นมีอันตรายรอบด้าน แต่ Mercedes-AMG One ยังคงรักษามาตรฐานด้วยการเป็นรถยนต์ในสายการผลิตที่เร็วที่สุดจากการทำลายสถิติเวลาต่อรอบใน Nürburgring ล่าสุดในวันนี้ (2 ตุลาคม 2567) AMG ได้ยืนยันแล้วว่าไฮเปอร์คาร์ไฮบริด 1,049 แรงม้าคันนี้สามารถทำลายสถิติ 6 นาที 35.183 วินาที ของตัวเองที่ทำไว้ในปี 2022 ลงอย่างราบคาบ ด้วยสถิติใหม่ 6 นาที 29.090 วินาที เร็วกว่าเดิม 5 วินาที ซึ่งทำให้เวลาต่อรอบที่เร็วอย่างเหลือเชื่อนี้ยากที่จะถูกทำลาย! 

ในปี 2022 Mercedes-AMG One ทำเวลาต่อรอบใน Nürburgring ได้ 6 นาที 35.183 วินาทีด้วยความยาวรวม 20.8 กม.ล่าสุด ปี 2024 นักขับ Maro Engel รับหน้าที่เป็นคนอัด AMG One จนทำสถิติใหม่ของสนาม ด้วยเวลา 6 นาที 29.090 วินาที เร็วกว่ารถ 911 GT2 RS Manthey-pack ถึง 7 วินาที เรียกว่าทิ้งแบบไม่เห็นฝุ่น 

“เมื่อสองปีก่อน สภาพถนนยังไม่ดีนัก และบางส่วนของสนามแข่งยังชื้นอยู่เล็กน้อย” Engel นักขับของ AMG กล่าว “ผมรู้ดีว่าเราสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ และ AMG ก็ต้องการแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของรถ วันนี้เราได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพสูงสุดของ AMG One ด้วยเวลาใหม่ที่เร็วกว่าสถิติเดิมมาก”

...

ทีม AMG ต้องเฝ้ารอให้สภาพของแทร็กสมบูรณ์พร้อม ด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสมซึ่งจะช่วยสร้างแรงยึดเกาะให้กับยาง (อุณหภูมิอากาศในช่วงสายของวันที่ 2 ตุลาคม 2567 อยู่ที่ 15 องศาเซลเซียส อุณหภูมิพื้นผิวแทร็กอยู่ที่ 20 องศาเซลเซียส) การรอคอยเพื่อทำให้แทร็คอยู่ในสภาพที่มีความพร้อมสูงสุดเพื่อการยึดเกาะที่ดี และเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดเหมือนที่ Engel กับ Hamilton และ Russell เคยจัดการกับระบบไฮบริดเทอร์โบในเครื่องยนต์  F1 AMG V6 ความจุ 1.6 ลิตร พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าสี่ตัว ทำให้ระบบส่งกำลังตอบสนองอย่างที่ควรจะเป็น

สำหรับการวิ่งทำลายสถิติ  Engel กดปุ่ม ‘Race Plus’ ซึ่งลดความสูงของรถลง เปิดใช้งานแอโรไดนามิกในระดับสูงสุด กำลังเต็มที่พร้อมระบบ DRS AMG One เป็นไฮเปอร์คาร์ที่เต็มไปด้วยเทคนิคใหม่ๆในวงการ F1 ระบบส่งกำลังที่ซับซ้อนเหนือธรรมชาติของมันต่อยอดมาจากรถแข่ง F1 โดยตรง ประกอบด้วยระบบเผาไหม้แบบใหม่ มอเตอร์ไฟฟ้า เทอร์โบชาร์จ การคำนวณจากซอฟแวร์สุดล้ำและสปีดความเร็วบนทางโค้งที่ยากจะลอกเลียนแบบ

Michael Schiebe หัวหน้าทีม AMG กล่าวว่า “เราสร้างสถิติใหม่ด้านยานยนต์บนท้องถนนมาเกือบสองปีแล้ว แต่ที่ AMG เรามุ่งมั่นที่จะขยายขอบเขตของสิ่งที่เป็นไปได้ให้ถึงขีดสุดหรือแม้กระทั่งไปไกลกว่านั้น นั่นคือเหตุผลที่เราได้พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งถึงสิ่งที่เป็นไปได้ด้วยรถ AMG One ที่ไม่เหมือนใคร”

...

ทศวรรษที่ผ่านมา เครื่องยนต์ V8 แบบไม่มีระบบอัดอากาศในรถ F1 สามารถดันรอบเครื่องได้ถึง 20,000 รอบต่อนาที หลังจากความบ้าลดมลพิษของคนใน FIA มีการออกกฏให้ทุกทีมต้องลดขนาดความจุของเครื่องยนต์ลง การกระทำดังกล่าวส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมากในวงการแข่งความเร็วระดับโลก ระบบไฮบริดกลายเป็นอุปกรณ์เสริม รับหน้าที่ทดแทนพลังงานที่ต้องสูญเสียไป จากการที่เครื่องยนต์ต้องถูกลดความจุลง จากนั้น การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเครื่องยนต์ V6 แบบดิสเพลสเมนต์ที่มีขนาดเล็กลง พร้อมกับระบบอัดอากาศ turbo ตามด้วย e-Turbo และการนำพลังงานจลน์กลับคืนเมื่อยกคันเร่งแล้วเบรก รวมถีงการนำความร้อนเหลือทิ้งหมุนวนกลับมาใช้ใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ แน่นอนว่ามอเตอร์ไฟฟ้าถูกนำมาปรับใช้เพื่อเพิ่มสมรรถนะ ในขณะที่แฟนกีฬามอเตอร์สปอร์ต โดยเฉพาะคนดู F1 หลายคนต่างคร่ำครวญและก่นด่าถึงเสียงเครื่อง V6 รุ่นใหม่ในเครื่องยนต์ F1 ที่ขาดความเร้าใจและมีเสียงเหมือนวัวในทุ่งร้องครางอย่างทุกข์ทรมาณ

...

...

F1 ได้สูญสิ้นความเร้าใจในด้านเสียงเครื่องยนต์ ด้วยแพ็กเกจระบบส่งกำลังแบบใหม่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประสิทธิภาพการใช้พลังงานของระบบส่งกำลังสันดาปภายใน จะเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณด้วยเทอร์โบและมอเตอร์ไฟฟ้า สามสิบปีที่ผ่านมา ประสิทธิภาพเชิงความร้อนของเครื่องยนต์เบนซินดีขึ้นจาก 20% เป็น 35% ในเวลาน้อยกว่าห้าปีนับตั้งแต่ Formula 1 ได้ทำการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบทางเทคนิค เงินพัฒนาหลายหมื่นล้านบาทที่จ่ายให้กับการวิจัยและพัฒนาระบบส่งกำลังแบบใหม่ในวงการ Motorsports ระด้บโลก ได้เพิ่มประสิทธิภาพเชิงความร้อนดีขึ้นถึง 50% กฎข้อบังคับที่เปลี่ยนไป เพื่อให้เทคโนโลยี Formula 1 เข้ามาเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคที่ใช้รถยนต์ในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น บริษัทรถยนต์บางราย โดยเฉพาะฝั่งเยอรมัน ได้ปรับปรุงเทคโนโลยีระบบส่งกำลังของเครื่องยนต์สันดาปภายในใหม่ ทำให้เกิดประสิทธิภาพอย่างมากในรถยนต์รุ่นใหม่ที่ยังคงใช้เครื่องยนต์สันดาป เทอร์โบไฟฟ้า e-turbos ที่ใช้ใน F1 นั้น กลายเป็นเทคโนโลยีในรถยนต์ (ราคาแพง) สำหรับคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีเงินมากพอและสามารถหาซื้อได้ภายในครึ่งทศวรรษนี้ เศรษฐีเหล่านั้นสามารถบอกลาอาการรอรอบของเทอร์โบ หรือปัญหาเทอร์โบแล็กได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ด้วยเทคนิคใหม่ๆ ในวงการ F1

เครื่องยนต์เบนซิน V6 ขนาด 1.6 ลิตร หัวฉีดตรง ที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่ยกมาจากรถแข่ง Formula 1 กับระบบอัดอากาศ Turbocharging ผสานการทำงานกับระบบไฟฟ้าแบบ e-Turbo รถ Project ONE เป็นแนวทางของการออกแบบรถยนต์ AMG รุ่นใหม่ๆในอนาคต Mercedes-AMG Project ONE ไม่ใช่แค่การเทิดทูนให้กับความสำเร็จในเวที Motorsport แต่คือการตอกย้ำจุดยืนของ Mercedes-Benz ในการเป็น “ผู้นำการขับเคลื่อนแห่งโลกอนาคต” ได้อย่างไร้ข้อกังขา

ส่วนประกอบของระบบขับเคลื่อนประสิทธิภาพสูงใน Mercedes-AMG ONE มีพื้นฐานมาจาก Formula 1 โดยตรง และได้รับความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับผู้เชี่ยวชาญด้านมอเตอร์สปอร์ตที่ Mercedes-AMG High Performance Powertrains ใน Brixworth เครื่องยนต์เบนซินไฮบริด 1.6 ลิตร V6 ระบบไฮบริด มีมอเตอร์ไฟฟ้ารวม 4 ตัว หนึ่งตัวถูกรวมเข้ากับเทอร์โบชาร์จเจอร์ อีกตัวหนึ่งได้รับการติดตั้งโดยตรงบนเครื่องยนต์สันดาปพร้อมเชื่อมต่อไปยังเพลาข้อเหวี่ยง และมอเตอร์อีกสองตัวที่เหลือทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อหน้า

การจะสร้างจุดขายให้เป็นที่พอใจของบรรดาอภิมหาเศรษฐี คนรวยเหล่านั้นต้องควักกันหนักถึง 91 ล้านบาท (ยังไม่รวมอัตราภาษีนำเข้า 300 % ของไทย) ก็คือ รูปแบบของการผลิตเพียงแค่น้อยนิดไม่ถึง 300 คัน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีของ F1 บานประตูปีกนก ทรงที่แบนเตี้ย ตัวถังพร้อมระบบ Active AERO ชุดจัดกระแสลมรอบคัน สปอยเลอร์หลังแบบพิเศษรวมกับครีบหลังคาร์บอนอันแปลกประหลาดแต่เข้ากับรถและท่อระบายท้ายแมคนีเซียม ทำให้ปิศาจคันนี้มีหน้าตาราวกับยานรบต่างดาว ระบบอากาศพลศาสตร์ หรือ AERODYNAMIC เกิดขึ้นจากชิ้นส่วนคาร์บอนซึ่งทำหน้าที่สี่รูปแบบคือ ปรับเป็นโหมด DRS เพื่อความลู่ลมสูงสุดสำหรับการวิ่งในย่านความเร็วสูง ปรับเพื่อสร้างแรงยึดเกาะกับถนนโดยใช้ Air Blade ทั้งสองข้าง ปรับองศาของครีบที่สร้างแรงกดเพื่อพยุงบาลานซ์ระหว่างหน้าและท้าย แบบสุดท้ายคือการปรับให้เกิดแรงต้านอากาศสูงสุดสำหรับการเบรก ช่วงล่างแบบ Active Suspension เฟืองทดกำลังของระบบ Torque Vectoring ที่สามารถเทแรงบิดไปยังล้อข้างใดข้างหนึ่งไม่ว่าล้อนั้นจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์หรือเครื่องยนต์

ระบบเสริมพลังงานแบบ Hybrid วางแบตเตอรี่แบบพิเศษ Lithium-ion ที่มีความแตกต่างจากรถ Mercedes F1 โดยปรับให้มีความคงทนและเหมาะกับการใช้งานทั้งบนถนนปกติและในสนามแข่ง แบตเตอรี่วางอยู่ที่ด้านหน้าหลังแรคพวงมาลัยและช่วงล่างเพื่อการกระจายน้ำหนักที่สมมาตร ชุดระบายความร้อนของแบตฯ มีพื้นฐานเดียวกันกับรถแข่ง Formula 1

มอเตอร์ 2 ที่ใช้ขับเคลื่อนล้อคู่หน้า แยกฝั่งซ้าย-ขวาออกจากกันเพื่อป้องกันการกินกำลังระหว่างขับเคลื่อน มอเตอร์ไฟฟ้าที่ล้อหน้าของ Mercedes-AMG One มีกำลังตัวละ 120 กิโลวัตต์ หรือ 163 แรงม้า เมื่อทำงานพร้อมกันทั้งสองตัวแบบเต็มกำลังจะมีเรี่ยวแรงมหาศาลมากถึง 326 แรงม้า โดยสามารถหมุนด้วยรอบที่สูงมากถึง 50,000 รอบต่อนาที เมื่อผู้ขับกดปุ่มใช้งานด้วยระบบไฟฟ้าแต่เพียงอย่างเดียว กำลังไฟในแบตฯ ที่จ่ายให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าสามารถผลักดันให้ AMG One วิ่งได้ระยะทางประมาณ 25 กิโลเมตรโดยปราศจากมลพิษ ระบบสะสมพลังงานแบบพิเศษยังช่วยชาร์จไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่ขณะขับเคลื่อนได้ถึง 80%

มอเตอร์ไฟฟ้าเสริมแรงตัวที่ 3 มีขนาด 90 กิโลวัตต์ (90 kW = 122 แรงม้า (PS)) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบเทอร์โบชาร์จ โดยในรอบเครื่องยนต์ต่ำ มอเตอร์จะเป็นตัวปั่นใบพัดไอดีเพื่ออัดอากาศและทำให้อาการรอรอบหายไป เมื่อผู้ขับใช้รอบเครื่องยนต์สูงๆ ระบบควบคุมจะตัดการทำงานโดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกลีบเทอร์ไบน์ในใบพัดไอเสียทำหน้าที่ปั่นใบพัดไอดีแทน ซึ่งในขณะเดียวกันมอเตอร์ก็จะชาร์จไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่ หรือ ส่งกำลังไฟสู่มอเตอร์ตัวอื่นๆ

มอเตอร์ตัวที่ 4 มีขนาด 120 กิโลวัตต์ (120 kW = 163 แรงม้า (PS)) ถูกติดตั้งแบบขั้นกลางระหว่างเครื่องยนต์กับเกียร์ คอยทำหน้าที่เสริมแรงบิด และส่งกำลังไปยังเกียร์ 8 สปีดไฮดรอลิก โดยมีชุดเฟืองตรง หรือ Spur Gear ช่วยในการตัดต่อกำลัง พร้อมโหมด ERS Energy Recovery System สะสมพลังงานมาบูสต์แรงบิดในช่วงสั้นๆ แต่แรงมหาศาลเพื่อกระชากร่างแซงผ่านรถคู่แข่ง

เมื่อเครื่องยนต์ V6 ของรถแข่ง F1 W07 กับมอเตอร์ไฟฟ้าทั้ง 3 ตัวทำงานผสานกันจะะทำให้ Mercedes-AMG One มีกำลัง 1,000 แรงม้า เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 2.9 วินาที 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 5.9 วินาที โดยมีความเร็วสูงสุด 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

จุดที่ต้องรับแรงมหาศาลก็คือยาง ไฮเปอร์คาร์ Mercedes AMG One ใช้ยาง Michelin รุ่น Pilot Sport Cup 2 ยางล้อหน้าไซส์ 285/35ZR-19s สำหรับยางหลังแม้จะขับเคลื่อนสี่ล้อแต่ขอเล่นใหญ่ไว้ก่อน ไซส์ยางหลังแบบรถแข่ง 335/30ZR-20s ยางสปอร์ตประสิทธิภาพสูงรุ่น Pilot Sport Cup 2 ออกแบบพิเศษสำหรับไฮเปอร์คาร์ทั้งการยึดเกาะ การรีดน้ำและสมรรถนะของการเบรก

กำลังจากเครื่องยนต์ V6 จะเทแรงบิดไปขับเคลื่อนล้อหลัง ชุดเกียร์ของ AMG One เป็นระบบเกียร์แบบกึ่งอัตโนมัติ Automated AMG Speedshift 8 Speed ควบคุมการทำงานของเกียร์ด้วยสมองกลไฟฟ้าที่ปรับตั้งมาให้มีความเหมาะสมกับโหมดการขับเคลื่อนที่คนขับเลือกใช้ ระบบเกียร์แบบไฮดรอลิกช่วยเพิ่มความคงทนและการตอบสนองต่อการเปลี่ยนอัตราทดด้วยความรวดเร็ว ผู้ขับสามารถเลือกโหมดที่ใช้ควบคุมการทำงานของเกียร์ได้อย่างหลากหลาย เมื่อมอเตอร์ทั้งสามตัวทำงานพร้อมเครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อนของ Project One จะออกมาในรูปแบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา โดย Mercedes AMG เรียกระบบนี้ว่า AMG Performance 4MATIC Plus!