กลุ่มซีดาน 4 ประตูขนาดตัวโตพอที่จะใช้เป็นรถประเภทให้ผู้จัดการฝ่ายนั่งหลังแล้วมีโชเฟอร์ขับได้แบบนี้ เรียกตามภาษาคนเล่นรถก็คือ D-Segment ซึ่งรถแบบนี้ ก็เริ่มเติบโตในไทยตั้งแต่ช่วงรัฐบาล ดร.อานันท์ ทลายกำแพงภาษีรถนำเข้าในยุค 90s Toyota Corona ค่อยๆถูกลดบทบาทลง แทนที่ด้วย Camry ที่ตัวโตกว่า ส่วน Honda ก็ไปคว้า Accord บอดี้อเมริกาตัวมหึมา นำมาขายในไทย และ Nissan ก็ใช้ Cefiro A32 ซึ่งก็คือ Maxima ในอเมริกาที่มีไซส์ค่อนข้างใหญ่ ในทศวรรษนี้พวกรถพิกัด 2.0-2.3 ลิตรที่ตัวโตกว่า Corolla กับ Civic เริ่มเปลี่ยนจากรถสไตล์ครอบครัว กลายเป็นรถผู้บริหารมากขึ้น เครื่องยนต์ตั้งแต่ 2.0-3.5 ลิตร และหรูขึ้นจนบางคนที่เบื่อซ่อมรถยุโรป หันมาคบรถเหล่านี้แทน จากช่วงรุ่งเรือง ถึงบัดนี้เป็นช่วงซบเซาของ D-Segment แต่ก็มี Toyota Camry ที่อยู่รอดแบบผลงานค่อนข้างเสถียร
...
เดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ เราก็จะได้เห็น Toyota Camry ใหม่เวอร์ชั่นไทยแล้ว นับว่าโชคยังเข้าข้างนะครับ ที่ Toyota ประเทศไทยยังตัดสินใจยังทำตลาดรถรุ่นนี้ต่อ ทั้งที่ตลาด D-Segment นั้น ไม่ใช่ตลาดที่สามารถสร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำได้อย่างที่ทุกคนคิด คุณเอ๋ย ปี 2023 ที่ผ่านมา รถกลุ่มไซส์ Camry/Accord/Seal พวกนี้ ขายไปได้รวมกันแค่ประมาณ 9,000 คันเท่านั้น อ่านดีๆว่า นี่คือยอดขายทั้งปีของทุกยี่ห้อรวมกัน ในขณะที่รถกระบะอย่าง Hilux Revo ในช่วงพีคๆเดือนเดียวก็ขายได้มากกว่านั้นแล้ว ยอดขายนั้น มีผลอย่างมากต่อชะตาของรถ ในสายตาของบอสที่นั่งอยู่เมืองนอก ตลาดไหนขายดี อยากขอนั่นขอนี่ก็ได้ตามขอ ตลาดไหน ขายเดือนละไม่กี่ร้อยคัน ก็ต้องดูล่ะ ว่าประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงได้สเป็คไหน ก็จะโดนจัดสเป็คให้ใกล้เคียงกัน
ทำไม D-Segment ถึงอยู่ในภาวะซบเซา ก็เป็นเหตุผลข้อเดียวกันคล้ายๆกับที่ ทำไมรถประเภท Civic กับ Altis เองก็ขายได้น้อยลง เพราะเมืองไทยถนนมันห่วยไงครับ คนถึงอยากได้ SUV เผื่อเอาไว้ก่อน ไม่ใช่ว่าคนเบื่อ Toyota เบื่อ Honda หรอก คุณดูแบรนด์จีนอย่าง Deepal รถ S07 ก็ขายดีกว่า L07 ส่วน Tesla นั้น Model Y ก็ขายดีกว่า Model 3 ลิบลิ่ว สมัยก่อน SUV ยังไม่ค่อยมีตัวเลือกที่หรู แรงและของเล่นครบ ตอนนี้ SUV และ SUV พื้นฐานกระบะ หรูแบบพร้อมต่อยกับ D-Segment ได้สบาย คนก็หนีไปหา SUV ล่ะครับ ผมคิดเอาเองว่าการที่ Toyota ยังเอา Camry ไว้ในตลาดไทย ไม่ใช่เหตุผลเรื่องกำไร แต่น่าจะเป็นเรื่องการเอาใจลูกค้ากลุ่มเดิม และกลุ่ม Fleet เอาไว้มากกว่า
พูดถึง Camry ตัวใหม่ ที่รหัสตัวถังจริงๆคือ XV80 หรือนับเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 9 นี้ เราต้องเริ่มต้นกันด้วยความจริงที่ว่า ตัวรถนั้นถ้าจะเรียกว่า All-new เป็นผม ผมอาจจะไอจามนิดหน่อย เพราะคนอ่านที่ฉลาด ค้นข้อมูลหน่อยก็จะพบว่า ตัวถังไม่ได้ใหม่หมด แต่ในมุมมองของคนที่เคยเอา Camry XV70 ไปเผายางในสนามแข่ง และขับทางไกลมา ผมคิดว่าแพลทฟอร์ม TNGA GA-K ที่ใช้อยู่เดิมก็เป็นพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว การตอบสนองของช่วงล่างและพวงมาลัยใน Camry ไทยตัวปัจจุบัน ผมว่าลงตัวแล้วในการบาลานซ์เรื่องความสบายกับความเกาะถนน แต่ในทุกประเทศ Camry ตัวใหม่ก็ขายโดยบอกว่า มีการปรับจูนช่วงล่างไปในแนวเน้นให้เกาะถนนยิ่งขึ้น ประเทศไทยก็น่าจะไปในแนวทางเดียวกัน ขอเพียงแต่อย่าเสียเรื่องความนุ่มนวลแบบที่ผู้ใหญ่นั่งสบายไปก็พอ
...
...
สิ่งที่เป็นมรดกภาคบังคับจากตัวถังเดิม ผมลองค้นดูในเว็บฝรั่ง เขาบอกว่า ชิ้นส่วนที่ใช้กับรุ่นเดิมก็จะมีแก้มข้างด้านหน้า โครงประตูหลักทั้งคู่หน้าและหลัง กระจกบานหน้าและบานหลัง อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้โดนด่าว่าเป็นแค่ Big Minorchange ทาง Toyota ก็เปลี่ยนกระจกประตูทั้งหน้าหลังใหม่ เปลี่ยนกรอบใหม่ เปลี่ยนหน้าและท้ายรถใหม่ เรื่องรูปโฉมภายนอกนี้ น้องหมูจาก AutolifeThailand.tv เขียนไว้ว่า รถสเป็คบ้านเรานั้นน่าจะอิงกับรถเวอร์ชั่นสิงคโปร์กับไต้หวันที่เปิดตัวไปแล้ว ผมก็เข้าไปดูในเว็บของประเทศเหล่านั้นมา หน้าตาจะเกือบเหมือนกันแล้วทั้งโลกไม่ว่าจะเป็นอเมริกาหรือจีน ส่วนที่ต่างน่าจะอยู่ที่ด้านหน้าของรถ ซึ่งไต้หวันกับสิงคโปร์ดูมีมาดเป็นรถผู้ใหญ่ เหมือนพยายามเอาใจตลาดหรูบ้าง ในขณะที่อเมริกากับจีนดูวัยรุ่นกว่า ห้าวกว่า สปอร์ตกว่า
...
อย่างไรก็ตาม ทุกประเทศจะมีหน้าตาสไตล์ฉลามหัวค้อน (Hammerhead) ซึ่งพบได้ใน Prius (ที่อาจมาขายในไทยจำนวนน้อยสำหรับคนอินดี้และรวย) กับ C-HR ใหม่ (ซึ่งไม่มาไทย) และไฟท้ายแบบ C-Shape ที่พยายามทำรูปแบบให้สัมพันธ์กับไฟหน้า ดีไซน์เม็ดนี้ถือว่าวัดใจมาก มองในแง่ดีคือพยายามสร้างงานออกแบบที่แหวกแนวลุงๆจากเดิมออกไป มองในแง่น่ากลัวคือ บรรดาลุงๆจะรับไม่ได้เพราะหน้าตาวัยรุ่นเกิน ส่วนวัยรุ่น ก็ดันเป็นไวที่น่าจะอยากได้รถไฟฟ้าจีนมากกว่า Camry นี่ล่ะครับที่ผมเสียวอยู่นิดๆ
เรื่องของวิศวกรรมและการขับเคลื่อน สิ่งที่มีความเป็นไปได้สูงมากก็คือ รถสเป็คขายไทยจะยุติการทำตลาดเครื่องเบนซิน 2.5 ลิตร เหลือไว้แต่เพียงรุ่นไฮบริดเท่านั้น ถ้าจะร้องไห้ ผมว่าอเมริกากับออสเตรเลียน่าตบไหล่เบาให้กำลังใจมากกว่า เพราะประเทศพวกนี้เคยมีรุ่น V6 3.5 ลิตรม้ากว่า 300 ตัว ก็ถูกยกเลิกไป เหลือแค่พลังไฮบริดล้วน รถสิงคโปร์ ก็ไฮบริดล้วน แต่ไต้หวันยังมีเครื่อง 2.0 เบนซินอยู่ จีนกับซาอุดิอาระเบียยังมีทั้งเบนซิน 2.0 และ 2.5 อยู่ ระบบไฮบริดของ Camry ใหม่ มีการปรับปรุงไปหลายด้าน แต่ธรรมชาติของมันยังเป็นไฮบริด HEV ไม่มี P นำหน้า เสียบปลั๊กชาร์จไม่ได้ และยังใช้เครื่องยนต์เป็นพระเอกในการขับเคลื่อนอยู่ แต่น่าจะมีการปรับจูนการทำงานทั้งระบบให้ประหยัดน้ำมันขึ้น
ในระบบไฮบริด 2.5 Dynamic Force THS II นี้ ตัวเครื่องยนต์ยังเป็น A25A-FXS เหมือนเดิม อัตราส่วนกำลังอัดเท่าเดิม แต่เวอร์ชั่นใหม่จะมีแรงม้าเพิ่มจาก 178 เป็น 185 ตัว ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้านั้น เดิมมีแรงม้า 120 ตัว ของใหม่นี้จะเพิ่มเป็น 136 แรงม้า ได้มาจากการเพิ่มจำนวนแผ่นแม่เหล็กข้างในมอเตอร์ เมื่อเรียกพลังเต็มๆมาใช้ร่วมกันทั้งสองระบบ จะได้พลัง 227 แรงม้า เทียบกับของเดิม 211 แรงม้าแล้วก็นับว่าเพิ่มขึ้นนิดหน่อย มีการปรับแต่งส่วนประกอบในชุดส่งกำลัง e-CVT บางส่วนให้มีน้ำหนักเบา แรงต้านการหมุนน้อยลง
แต่จุดที่น่าสนใจคือแบตเตอรี่ครับ เพราะจากเดิมใช้ Ni-MH คราวนี้น่าจะถึงเวลาที่เวอร์ชั่นไทยจะเปลี่ยนตามตลาดโลกส่วนใหญ่ เป็นแบตเตอรี่ Li-On แบบใหม่ที่น้ำหนักเบาลงกว่าเดิม ขนาดเล็กลงกว่าเดิม แต่มีความหนาแน่นของพลังงานต่อมวลมากขึ้น สิ่งนี้อาจมีผลต่อคาแร็คเตอร์การขับของรถถ้าน้ำหนักเบาลงอย่างมีนัยสำคัญ ขนาดที่เล็กลงอาจส่งผลให้การจัดพื้นที่ในห้องโดยสารของรถเปลี่ยนไปได้ แม้จะไม่มากนักก็ตาม
ส่วนภายในห้องโดยสารนั้น ทำใจอย่างหนึ่งว่า เราจะไม่ได้ใช้ Camry ประเภทที่พยายามหรูไปแข่งกับรถยุโรปแบบสมัยโฉม XV50 (2012-2018 ในบ้านเรา) เพราะในรุ่นหลัง งานดีไซน์มาจากสตูดิโอในอเมริกา และหน่วยวิจัยฝั่งอเมริกันเป็นหัวโจกตัวนำที่ได้อำนาจการตัดสินใจมากสุด เหตุผลก็ง่าย..ก็ Camry ขายดีมากในอเมริกานั่นล่ะครับ และทีนี้ คนไทยกับอเมริกันมอง Camry ต่างกัน ในไทย Camry คือรถของคนที่ต้องมีเงินระดับหนึ่ง อาจจะรวยก็ได้แล้วดันไม่อยากใช้รถยุโรป แต่ที่อเมริกาจะมอง Camry เป็นรถที่ธรรมดา คนทั่วไปก็ซื้อได้ ดังนั้นกลิ่นอายของความหรูในนิยามของคนไทยอายุ 45 ขึ้นไป มันเลยหายไปหมดตั้งแต่ Camry ตัวปัจจุบันในไทยแล้วครับ
แต่อย่างน้อย จอกลางที่ตั้งตระหง่านกับช่องแอร์แบบอุดงานชั่วคราวในรุ่นปัจจุบัน จะถูกแทนที่ด้วยจอกลางเต็มๆ แดชบอร์ดเปลี่ยนทรงใหม่หมด ในรุ่นท้อป เราน่าจะได้จอกลางขนาดใหญ่ที่สุดตามเมืองนอก และได้หน้าปัดจอสี 12.3 นิ้วมาด้วย และในความเป็น Toyota พวกเขาจะไม่เอาการคุมฟังก์ชั่นทุกอย่างไปไว้ในจอแบบรถจีนแน่นอน ปุ่มกดต่างๆ สวิตช์โหมด เครื่องปรับอากาศ ยังเป็น Toyota แบบที่คุณคุ้นเคย แต่ปุ่มกดบริเวณรอบจอกลางน่าจะถูกลดจำนวนลงมาก เพราะเป็นจุดหนึ่งที่โดนด่าว่าดีไซน์โบราณ สิ่งที่เราคาดหวังคือซอฟท์แวร์จอกลางที่ตอบสนองไวแบบไม่ให้รถจีนหัวเราะได้ กับกล้องรอบคัน..ซึ่งตัวท้อปมีแน่ แต่จะคมชัดแค่ไหน ต้องรอลุ้น พักหลังนี้ดู Toyota เขามีความพยายามที่จะปรับตัวเหมือนกัน ดูจาก Corolla Cross ไมเนอร์เชนจ์ที่ให้ของเยอะขึ้น ครบขึ้น แรงขึ้น ในราคาเดิม อย่างน้อยผมอยากให้ Camry พัฒนาไปในแนวทางเดียวกัน
เบาะนั่ง ดูเผินๆอาจเหมือนเดิม แต่ในเมืองนอก เขาคอนเฟิร์มมาว่า มีการออกแบบใหม่ที่เน้นความสบายในการนั่งนานๆ มีการปรับฟองน้ำของตัวเบาะให้นุ่มขึ้น (ของเดิมเขาจะออกแนวแข็งๆมั่นๆนั่งไม่ค่อยยู่) ลดอาการเมื่อยล้าเวลานั่งนานๆ ปรับหมอนรองศีรษะให้นุ่มขึ้น และถอยตำแหน่งของหมอนรองศีรษะเขยิบไปข้างหลังมากขึ้น อันนี้จริงๆแล้วผมว่า ไหนๆก็เป็นเพื่อนกับ Subaru แล้ว ทำไมไม่ทำหมอนรองหัวให้ปรับเอนหน้า/หลังได้แบบนั้นไปเลย ถ้าจะโฆษณาเรื่องความสบายนะ
เรื่องอุปกรณ์ต่างๆนั้น Camry ที่ขายอยู่ในปัจจุบัน ก็ไม่ได้แย่นะครับ แต่บางคนชอบเอาการกั๊กอุปกรณ์ของรถบางรุ่นของค่ายแล้วเหมารวมว่า ขึ้นชื่อว่า Toyota ต้องกั๊กทุกสิ่งอย่าง พวกอุปกรณ์เซฟตี้นั้นไม่ได้น้อยหน้าใคร Toyota SafetySense มาครบ ระบบ Adaptive Cruise Control ก็เป็นแบบ All-speed แล้ว ระบบเตือนไม่ว่าจะเป็นด้านหน้า ด้านหลัง รักษารถให้อยู่ในเลน มีอยู่แล้ว ซึ่งในเรื่องระบบเหล่านี้ ผมคาดว่า Camry เจนเนอเรชั่นใหม่น่าจะมีการปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น ตามรถสเป็คเมืองนอก คือของเดิมไม่ได้แย่ แต่มันยังทำงานในแบบที่คนขับรถตามจะมองเราว่าเป็นมือใหม่หัดขับอยู่
หลังคารุ่นเดิม ตัวท้อปจะได้มูนรูฟแบบครึ่งบาน ซึ่งมันคงไม่สะใจคนชอบหลังคากระจก และผมมองว่า ขนาด Corolla Cross ที่ราคาถูกกว่ายังให้หลังคากระจกมาแล้ว Camry เจนเนอเรชั่นใหม่ก็น่าจะได้หลังคากระจกมา แต่มันจะเป็นแบบที่มีคานพาดผ่านกลางแต่เปิดได้แบบสเป็คไต้หวัน หรือของไทยจะได้หลังคาแบบเป็นกระจกยาวๆติดตายตัวพร้อมม่าน อันนี้ต้องรอดูครับ ส่วนเบาะหลังเอนได้ ผมเชื่อว่าในตัวท้อปต้องยังคงเอาไว้ เพราะความสบายเบาะหลัง เป็นจุดเดียวจริงๆที่น่าจะชนะรถไฟฟ้าจีนได้ครับ จะไปตัดจุดที่เหนือกว่าของตัวเองออก คงไม่ใช่เรื่อง
แต่ทั้งหมดที่พูด คือภาพของรุ่นท้อป ซึ่งน่าจะใช้ชื่อรุ่น HEV Premium Luxury เหมือนพวกรุ่นน้อง ส่วนจะมีรุ่นย่อยไหนมาบ้างนั้น ผมไม่ทราบจริงๆ ขอเดาว่าพอไม่มีเครื่องยนต์เบนซินเหลืออีก Toyota ก็ต้องจัดให้มีรุ่นไฮบริดที่ทำราคาไม่ข้าม 1.5 ล้านไว้สักรุ่น ซึ่งรุ่นย่อยนี้ อุปกรณ์หรูหราน่าจะหายไปเยอะ นึกถึง Camry 2.5 SPORT ตัวราคา 1,475,000 บาทดู น่าจะทรงนั้น ล้อขอบ 17 วัสดุภายในธรรมดาแอบดูจน หน้าปัดอาจจะไม่ได้จอใหญ่ไฟเต็มเข้มทั้งระบบ หลังคาตันๆ ออปชั่นเกือบเท่า C-Segment ไม่มีกล้องรอบคัน Cruise Control แบบธรรมดา แล้วก็น่าจะมีรุ่นที่สอดกลางระหว่างสองรุ่นที่ว่านี้ ที่อุปกรณ์น่าจะสมความเป็นรถใหญ่ขึ้นหน่อย แต่ไม่มีจอ HUD ไม่มีเครื่องเสียง JBL ไม่มีเบาะหลังเอนได้กับชุดคุมแอร์แยกด้านหลัง ขออย่างเดียวอย่าเหมือนตัวปัจจุบันที่ไอ้ตัวรองนี้ ยังได้แค่กล้องมองหลัง แบบนั้นไม่น่ารักครับ
เอาล่ะ คุณเหลือเวลาอีก 1 เดือนที่จะรอลุ้นว่า Camry คันจริงจะออกมาในหน้าตาแบบไหน ที่สำคัญคือ ในราคาแบบไหน เพราะรุ่นปัจจุบัน ราคาเริ่มต้นตัว SPORT อยู่ที่ 1,475,000 บาท รุ่น HEV Premium ตัวรอง อยู่ที่ 1,659,000 บาท และตัว HEV Premium Luxury อยู่ที่ 1,809,000 บาท ส่วนตัวผม มองว่า อย่าแพงไปกว่านี้เลยครับ เพราะการแข่งขันในตลาดกลุ่มเล็กนี้ นับวันผู้ซื้อจะมีแนวโน้มเปิดใจรับรถฝั่งจีนมากขึ้น ซึ่งก็ไปว่าลูกค้าไม่ได้ ก็เล่นใส่อุปกรณ์ใส่เทคโนโลยีมาไม่ยั้ง สเป็คบนกระดาษต้องถามเลยว่ารถญี่ปุ่นดีกว่าตรงไหน ถ้าขืนเรายิ่งตั้งราคาให้มันแพงขึ้นไปอีกก็เห็นทีจะขายยาก แล้วขึ้นชื่อว่า Toyota จะมาลดราคาหลักแสนแบบรถจีน ก็ทำไม่ได้ เพราะชื่อเสียงเราค้ำคออยู่
ก็เปิดราคาแรกมา ไม่ต้องถูกจนสงสัยว่าไปลดต้นทุนตรงไหน แต่เอาแบบที่ชื่อ Camry ยังหายใจต่อได้ และลูกค้าเห็นแล้วไม่หนีหายไปหมด ก็พอครับ
Pan Paitoonpong