ในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีการแข่งขันสูง ด้วยเทคโนโลยีใหม่และการสร้างแรงจูงใจในการเลือกซื้อรถ ปัจจุบัน ทุกสิ่งในวงการยานยนต์สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และหนึ่งในบริษัทรถยนต์ที่มองการณ์ไกลอย่าง Toyota Motor ก็ยังคงสถานะผู้นำในการผลิตรถยนต์ต่อไป แม้จะไม่ได้มุ่งไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบเหมือนคู่แข่งทางธุรกิจอย่างจีน
...
สองสามปีที่ผ่านมา Toyota โดนโจมตีอย่างหนักเรื่องความล่าช้าในการปรับเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนั้น ดูเหมือน Toyota จะตามหลังบริษัทหน้าใหม่อย่าง Tesla ผู้บุกเบิกรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดและกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก (เมื่อสองสามปีก่อน) ตามด้วยผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง BYD ที่รุกตลาดโลกด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มีศักยภาพเท่า Tesla แต่มีราคาที่ถูกกว่า
เมื่อเห็นความสำเร็จของ Tesla บริษัทรถยนต์อเมริกัน เช่น General Motors และ Ford Motor ต่างพากันคิดว่า ผู้บริโภคจำนวนมากพร้อมที่จะเปลี่ยนไปใช้รถยนต์และรถบรรทุกที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ General Motors และ Ford เริ่มควักเงินมหาศาลเพื่อลงทุนด้วยเม็ดเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อไล่ตามความสำเร็จของ Tesla และ BYD แต่สุดท้ายก็ขายไม่ออก แถมยังหมดเงินทุนไปกับการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าจนแทบจะหมดตัว!
Toyota ยังยึดมั่นกับเครื่องยนต์สันดาปภายในอย่างเหนียวแน่น โดยมีรถยนต์ไฟฟ้า 100% ออกมาขายเพียงแค่รุ่นเดียวเท่านั้น (Toyota bZ4X) นักวิจารณ์ในโลกโซเชียล ต่างออกมาให้ความเห็นว่า Toyoya จะต้องประสบกับการขาดทุนเหมือนโนเกีย โกดัก หรือแบล็กเบอร์รี แต่ผู้บริหารระดับสูงของ Toyota ยังคงแน่วแน่ ไม่แคร์ต่อเสียงก่นด่า ไม่เดินตามกระแสสายธารแห่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และยังคงตั้งหน้าตั้งตาผลิตรถยนต์ไฮบริดที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ผสมผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า รวมถึงรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่วิ่งได้ไกลขึ้นมากอีกหลายรุ่น ซึ่ง Toyota คาดว่า รถไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริดยังคงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับบางประเทศที่ไม่มีความสะดวกสบายในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า รถไฮบริดจะยังคงได้รับความนิยมมากพอที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานั้น
ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกได้ชะลอตัวลง ส่วนรถยนต์ไฮบริดที่หลายคนบอกว่าสู้รถไฟฟ้าไม่ได้ แต่ล่าสุด ยอดขายของ Toyota Hybrid กำลังเฟื่องฟูทั่วโลก และแบรนด์สามห่วงก็รายงานผลกำไรมหาศาลที่ได้จากการขายรถยนต์พลังงานผสม
...
จุดแข็งในการอ่านเกมของ Toyota เป็นเครื่องเตือนใจว่าอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่น ยานพาหนะไฟฟ้า ไมโครชิปขั้นสูง และซอฟต์แวร์ กำลังเปลี่ยนสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นภาคส่วนที่มั่นคงและเคลื่อนไหวช้า ให้กลายเป็นอุตสาหกรรมที่มีพลวัต ซึ่งแม้แต่ผู้ผลิตที่เคลื่อนไหวเร็วและบริหารงานอย่างดี ก็อาจล้มไม่เป็นท่าลงได้หากขายรถไม่ออกแล้วต้องลดราคาจนลูกค้าเก่าเกิดความไม่พอใจ
...
ปีที่ผ่านมา (2566/2023) Toyota ยังคงยึดครองตำแหน่งผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมียอดขายรถยนต์ทั่วโลกมากกว่า 11 ล้านคันในปี 2566 ซึ่งมากกว่า Tesla ถึงหกเท่า Toyota ค่อยๆ ไต่อันดับในอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างช้าๆ แต่มั่นคง ตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา โดยเริ่มส่งออกรถยนต์ขนาดเล็กไปยังสหรัฐอเมริกาและบางประเทศทั่วโลก จากนั้น Toyota จึงขยับขยายโดยสร้างโรงงานทั่วภูมิภาค เพิ่มแบรนด์หรูอย่าง Lexus และขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมด้วยรถกระบะและรถเล็กราคาประหยัดที่ขายดีอย่างต่อเนื่องแทบจะทุกรุ่นที่ผลิตออกมาวางตลาด
หลายครั้งที่ Toyota คิดต่าง เช่น การเปิดตัวแบรนด์ Lexus ในปี 1989 ดูเหมือนจะเป็นการเดิมพันที่สุ่มเสี่ยงต่อการขาดทุน จนกระทั่ง Lexus ในสหรัฐอเมริกา สามารถทำยอดขายแซงหน้า BMW และ Mercedes-Benz ได้ เมื่อ 22 ปีที่ผ่านมา Toyota เปิดตัว Prius รุ่นแรกสุด ซึ่งเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่มีเครื่องยนต์เบนซินขนาดกะทัดรัดและมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งใช้พลังงานจากแบตเตอรี่จิ๋วสำหรับการวิ่งด้วยไฟฟ้าในระยะทางสั้นๆ
...
การผสมผสานดังกล่าวทำให้ Prius เป็นรถที่ประหยัดเชื้อเพลิง ส่วนรุ่น Plug-in Hybrid สามารถเดินทางไกล 20-30 กิโลเมตรได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องยนต์ ในห้วงเวลานั้น ผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์อื่น มองว่าสิ่งที่ Toyota กำลังทำนั้นเป็นเพียงความอยากรู้อยากเห็น แต่ Prius ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นไม่นาน ค่าย GM และ Ford รวมถึงแบรนด์อื่น (แม้แต่จีน) ก็พัฒนารถไฮบริดควบคู่ไปกับระบบส่งกำลังแบบอื่นๆ
Elon Musk ผู้บริหารระดับสูงของ Tesla กล่าวว่า การมีระบบขับเคลื่อนสองระบบภายในรถยนต์คันเดียวนั้นดูไม่สมเหตุสมผล แต่ผู้บริโภคดูเหมือนจะไม่สนใจคำกล่าวของ Elon และ Toyota ก็ยังคงผลิตรถยนต์ไฮบริดหรือปลั๊กอินไฮบริดรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง แชร์ส่วนแบ่งทางการตลาดทั่วโลกสูงกว่าผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์อื่น ปีที่แล้ว (2566) ในสหรัฐฯ Toyota ขายรถยนต์ได้ 2.2 ล้านคัน ซึ่งมากกว่าผู้ผลิตรถยนต์ทุกแบรนด์ ยกเว้น GM
ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2567 ยอดขายรถยนต์ของ Toyota Motor USA ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ โดยได้แรงหนุนจากยอดขายรถยนต์ไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริดที่เพิ่มขึ้นมากถึง 83 เปอร์เซ็นต์
ปัจจุบัน Toyota และ Lexus ครองส่วนแบ่งเกือบ 60% ของตลาดรถยนต์ไฮบริดในสหรัฐฯ รวมถึงอีกหลายๆ ประเทศ ที่ผู้ใช้ยังคงนิยมรถยนต์สันดาปภายในพร้อมระบบไฮบริดหรือปลั๊กอินไฮบริด และด้วยความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงครึ่งแรกของปี 2024 Toyota Motor กำลังวางแผนลงทุนเพิ่มเติมในเทคโนโลยีใหม่ของรถยนต์ไฮบริด ยอดขายรถยนต์ไฮบริดเพิ่มขึ้นอย่างมากในอเมริกาและจีน ในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน ส่วนหนึ่งเกิดจาก Toyota New Camry ที่เน้นเครื่องยนต์พลังงานผสมไฮบริด
Kevin Butt ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมประจำภูมิภาคของ Toyota Motor North America กล่าวกับ Nikkei Asia ว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ไฮบริดของแบรนด์ Toyota จะเติบโตขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยไม่ได้ระบุว่ารถรุ่นใดจะใช้ระบบส่งกำลังแบบไฮบริดภายในปี 2573
ระหว่างเดือนมกราคมถึงมิถุนายน Toyota มีส่วนแบ่งทางการตลาด 15% ในตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั้งหมดของทวีปอเมริกาเหนือ และรถยนต์ไฮบริดคิดเป็น 33% ของยอดขายรวมรถ Toyota ภายในปี 2573 Toyota วางแผนให้การผลิตรถยนต์ในอเมริกาเหนือประมาณ 80% เป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานผสมไฟฟ้าบวกเครื่องยนต์ รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า 100% ด้วยศักยภาพในการผลิต โดยมุ่งสู่การเพิ่มจำนวนรถยนต์ไฮบริดเป็นสองเท่า.
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/