มีคำพูดว่า หากท่องเที่ยวในทวีปออสเตรเลีย การเดินทางทั้งหมดจะสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงเมื่อคุณได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของชนบทที่ห่างไกล และ Outback ก็หมายถึงพื้นที่ทุรกันดารเต็มไปด้วยทะเลทรายเวิ้งว้างตั้งแต่ใจกลางทวีปไปจนถึงชายขอบภาคใต้ของออสเตรเลีย ทั้งหมดเป็นพื้นที่สีแดงกว้างใหญ่และดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเต็มไปด้วยลูกรังและก้อนหินสีแดง ภูเขาหินขนาดมหึมา ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและธรณีวิทยาของออสเตรเลียพาเราย้อนเวลากลับไปเมื่อกว่า 80,000 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางธรรมชาติที่แปลกตา ไม่น่าแปลกใจที่พื้นที่ห่างไกลทางฝั่งตะวันตกของทวีปออสเตรเลียกลายเป็นสถานที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับการพัฒนารถกระบะ ความกว้างใหญ่ไพศาลทำให้เกิดพื้นที่ของการขับออฟโรดขนาดใหญ่ และการมาออสเตรเลีย ตามคำเชิญของ Toyota Motor Thailand ในครั้งนี้ เพื่อสัมผัสประสบการณ์ขับรถทดสอบ Hilux GR Sport ท่ามกล่างชนบทห่างไกลบนถนนของเซาท์ออสเตรเลีย

...

Hilux GR Sport เป็นรถกระบะสมรรถนะสูงที่ผลิตในประเทศไทย แต่ถูกส่งมาพัฒนาในออสเตรเลียในโครงการวิจัยและพัฒนารถปิกอัพประสิทธิภาพสูงซึ่ง Toyota ใช้เป็นฐานบัญชาการหลักในการปรับแต่งรถกระบะให้มีความสามารถเพิ่มมากขึ้น Hilux GR เป็นรถกระบะ Toyota รุ่นใหม่ที่มีความสปอร์ตมากกว่าของรถกระบะ Hilux ทุกรุ่นในตำนานของแบรนด์สามห่วง องคาพยพทั้งหมดพัฒนาโดย Gazoo Racing (แผนกมอเตอร์สปอร์ตของ Toyota รับผิดชอบการเจียระไนอัญมณีที่งดงาม เช่น GR Yaris, GR Corolla, GR Supra และ Land Cruiser 300GR) โดยใช้การออกแบบในสำนักงาน R&D ภายในเมืองเมลเบิร์น ออสเตรเลีย Hilux GR Sport นับเป็นเวอร์ชันปรับโฉมของ Toyota Hilux เจเนอเรชัน 8 ที่มีการปรับแต่งระบบส่งกำลัง ช่วงล่าง งานตกแต่งภายนอกและภายใน โดยได้แรงบันดาลใจมาจาก Toyota Hilux ที่ชนะในรายการดาการ์แรลลี่ ที่ผ่านมา ท่ามกลางอันตรายรอบด้าน รถแข่ง Dakar Hilux วิ่งเข้าเส้นชัยในสิบอันดับแรกของการแข่งขันออฟโรดที่ถือว่าโหดหินที่สุดในโลก นับตั้งแต่เปิดตัวในคลาส T1 Dakar Hilux Gazoo Racing คว้าชัยชนะในปี 2019, 2022 และ 2023 ด้วยฝีมือการควบคุมรถของนักแข่ง Nasser Al-Attiyah 

...

...

...

ก่อนจะขับทดสอบสามวันในพื้นที่ Outback ของเซาท์ออสเตรเลีย ทีมงาน Toyota พาสื่อมวลชนไทยเข้าเยี่ยมชมสำนักออกแบบและพัฒนา Toyota Technical Center Australia (TTC-AU) ในเมืองเมลเบิร์น ที่นี่คือสำนักงานออกแบบและทดสอบรถยนต์มูลค่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของสายการผลิตเครื่องยนต์ Toyota มาก่อน แต่ได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่ หลังจากโรงงานเล็กๆ แห่งนี้ทำการผลิตระบบส่งกำลังมาเป็นเวลาถึง 39 ปี ศูนย์วิจัยผลิตภัณฑ์แห่งนี้ถือเป็นจุดกำเนิดของ Toyoya Hilux GR Sport ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบภายนอกและภายใน งานวิศวกรรมปรับแต่งระบบรองรับ ส่วนระบบส่งกำลังและชุดขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดจนไดนามิกของการขับขี่ถูกพัฒนาในประเทศไทย... 

ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าอะไรก็ตามที่มีสี่ล้อและแปะตรา Toyota ก็จะถูกทำออกมาโดยมีรุ่น GR Sport เสมอ แม้แต่รถกระบะยกสูง หรือรถกระบะตัวเตี้ยกับรถอเนกประสงค์เอสยูวีร่างโย่งอย่าง Fortuner ก็ไม่มีการยกเว้นแต่อย่างใดทั้งสิ้น GR Sport ในร่างทรงของ Hilux Double Cab 4x4 A/T ด้วยการออกแบบเพื่อเน้นความแข็งแกร่งของรูปลักษณ์ภายนอก มีการเสริมอุปกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับพร้อมกับความสวยงามดุดัน จุดกำเนิดของมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อ Toyota ลงทำการแข่งขันแรลลี่ดาการ์ ด้วยรถ Toyota Hilux รุ่นปรับแต่งพิเศษ สมรรถนะของรถแข่งที่คว้าชัยในรายการแรลลี่ระดับโลก ถูกนำมาดัดแปลงในรถกระบะที่ผลิตออกขายในเอเชีย Toyota Hilux GR Sport 4x4 6AT ติดตั้งชุดแต่ง GR Sport ราคา 1,499,000 บาท มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

สัญลักษณ์ตรา GR ที่ติดอยู่บนตัวรถของ Hilux 2024 ถือเป็นการปรับปรุงเพื่อการขับของสาธารณะชนคนออฟโรดในแดนจิงโจ้ GR Hilux รุ่นปี 2024 มีสิ่งพิเศษที่ซ่อนอยู่ภายในนั่นก็คือ โช้คอัพโมโนทิวบ์ KYB ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางลูกสูบขนาดใหญ่กว่าเดิม นอกจากนี้ GR Hilux 2024 ยังมีระบบกันสะเทือนคอยล์สปริงหน้าและแหนบหลังที่แตกต่างออกไปเมื่อเทียบกับ GR Hilux รุ่นมาตรฐานที่ขายในไทย เมื่อเปรียบเทียบกับกระบะ High performance รุ่นอื่นๆ ผลลัพธ์ที่ได้จากการปรับแต่ง GR Hilux บนแผ่นดินออสเตรเลียก็คือความสูงเพิ่มขึ้น 15 มิลลิเมตร ความกว้างของแทร็กที่เพิ่มขึ้น 135 มิลลิเมตร ที่ด้านหน้า และ 155 มิลลิเมตร ที่ด้านหลัง แทร็กที่กว้างกว่าเดิมทำให้ Hilux Gr Sport ทรงตัวได้ดีขึ้นเมื่อใช้ความเร็วสูงบนทางลูกรัง รวมถึงยังมีความเสถียรและการยึดเกาะที่เพิ่มขึ้นเมื่อขับบนไฮเวย์ 

Toyota พยายามปิดช่องว่างหรือรูโหว่ด้านประสิทธิภาพ จากการที่โดน Ford Ranger Raptor ทิ้งห่างในกลุ่มรถกระบะสมรรถนะสูง การเปิดตัว Hilux GR Sport ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ประจำปี 2024 นี้ Toyota ใช้การปรับแต่งใหม่หมดที่ Toyota Technical Center Australia (TTC-AU) โดยเน้นไปที่การขับใช้งานบนเส้นทางออฟโรดมากกว่าเดิม แต่ก็สามารถวิ่งบนทางเรียบได้ดีพอสมควร แรงบิด 550 นิวตันเมตรที่เพิ่มขึ้นจากการจูนเครื่องยนต์ใหม่ แทร็กที่กว้างขึ้น พร้อมระบบกันสะเทือนที่ปรับแต่งใหม่หมด รวมถึงจานดิสก์เบรกที่ใหญ่ขึ้นอีกเพื่อประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย ทั้งหมดทั้งปวงหลอมรวมเป็นรถกระบะที่ออกแบบให้สามารถใช้งานบนพื้นที่ทุรกันดารได้ดีกว่าเดิม 

รถออฟโรดแนวฮาร์ดคอร์ GR Hilux เครื่องยนต์ 1GD FTV ขุมกำลังดีเซลความจุ 2.8 ลิตร ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมาของพี่โต อาจเทียบไม่ได้กับเครื่องเบนซิน V6 จอมยกซดของ Ranger Raptor กำลังที่เพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ จาก 204 แรงม้า มาเป็น 224 แรงม้า แรงบิด จาก 500 นิวตันเมตร เพิ่มเป็น 550 นิวตันเมตร เกิดจากพลังการบูสต์ของเทอร์โบชาร์จเจอร์และหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ เมื่อผสมผสานกับการปรับแต่งอัตราทดของเกียร์อัตโนมัติแบบสปอร์ต GR Hilux รุ่นใหม่ที่มีการปรับแต่งในแดนจิงโจ้ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเร่งความเร็วเพื่อแซงในทุกสภาวะ เสริมด้วยการควบคุมที่เหมาะสมที่สุดผ่านแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift บนพวงมาลัย มีการขยายระยะห่างล้อหน้าออกไป 140 มิลลิเมตร และ 155 มิลลิเมตร ที่ล้อหลัง พร้อมปีกนกที่ออกแบบใหม่ เพลาล้อหลังเสริมแรงเพื่อรองรับสภาพการขับขี่บนพื้นที่ทุรกันดารของออสเตรเลีย หรือบางเส้นทางที่ชอบทำลายล้างรถกระบะในไทย

โช้คอัพโมโนทิวบ์แบบท่อเดี่ยว มาพร้อมแรงหน่วงที่ตึงมากกว่าเดิมกับความสามารถในการระบายความร้อนของน้ำมันในกระบอกโช้คที่ดีขึ้น คอยล์สปริงปรับให้แข็งขึ้น สอดรับกับจุดยึดโยงของระบบกันสะเทือนหน้า-หลังที่ปรับแต่งจนมีความสมดุลอย่างเหมาะสม เพื่อทำให้การควบคุมดีขึ้นไปอีก (ของเดิมใน GR Hulux ที่ขายในไทยก็ถือว่าทำออกมาดีแล้ว) เพิ่มความเสถียรผ่านมุมการหมุนที่ลดลง และให้การตอบสนองของพวงมาลัยที่แม่นยำ การปรับแต่งใหม่หมดเพื่อเน้นสมรรถนะ ช่วยให้ผู้ขับเพลิดเพลินไปกับกระบะ GR Sport โดยไม่กระทบต่อความสะดวกสบายของการขับขี่ในชีวิตประจำวัน

กันชนหน้าออกแบบใหม่ กรอบไฟตัดหมอกใหม่ คิ้วสีเงินอยู่เหนือแผ่นกันกระแทก กรอบไฟตัดหมอกไหลเข้าสู่บังโคลนสีดำ ท่ออากาศบนซุ้มล้อหน้าเพื่อลดความปั่นป่วน กระจังหน้าสีดำเงา พร้อมอักษร Toyota และสัญลักษณ์ GR เป็นอีกจุดที่ทำให้ด้านหน้าของ Hilux รุ่นพิเศษนี้มีความน่ามองมากกว่าเดิม กันชนหน้าพร้อมชุดแต่ง กันชนหลังสีดำเมทัลลิก ความแตกต่างก็คือ กันชนใหม่ของ GR Hilux ที่บึกบึนมากกว่าเดิม ซุ้มล้อพลาสติกสีดำด้าน มุมด้านข้างของกันชนหน้าทั้งซ้ายและขวา ติดตั้งไฟตัดหมอก LED เพื่อเพิ่มความชัดเจนด้านมุมมองขณะขับท่ามกลางสภาพอากาศไม่ดี กระบะหลังติดตั้งสปอร์ตบาร์แบบใหม่ ด้านข้างของ GR Hilux มีโป่งซุ้มล้อทำจากพลาสติกสีดำ ล้ออัลลอยสไตล์ดาการ์ขอบ 17 นิ้ว หุ้มด้วยยาง Bridgestone Dueler AT ขนาด 265/65 R17 เบรกหน้า ติดตั้งชุดคาลิปเปอร์สี่ลูกสูบ จานดิสเบรกหน้า ขนาด 338 มม. x 28 มม. เบรกหลังยัด คาลิปเปอร์ลูกสูบเดี่ยว จานดิสก์หลังขนาด 312 มม. x 18 มม.

งานตกแต่งภายในของ GR Hilux 2024 ฉีกหนีจาก Hilux รุ่นมาตรฐานเพื่อเป็นการสร้างความแตกต่าง เบาะคนขับปรับไฟฟ้า หุ้มหนังสังเคราะห์แบบไมโครไฟเบอร์ คล้ายกับหนังกลับ Alcantara เบาะสีเทา-ดำ เย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายสีแดง หนังสังเคราะห์ไมโครไฟเบอร์เจาะรูพรุนทั้งพนักพิงหลังและในส่วนของเบาะรองนั่ง เพื่อลดความอับชื้นด้วยการระบายอากาศที่ดีกว่า เบาะหลังหุ้มด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์เช่นเดียวกับเบาะหน้า ส่วนพนักเท้าแขนที่พับเก็บได้ ออกแบบสำหรับวางแก้วเครื่องดื่มได้สองตำแหน่งช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทางไกล พื้นที่ของเบาะหลังมีพอเพียงสำหรับผู้โดยสารสองคน

แผงคอนโซลหน้าและช่องปรับอากาศด้านหน้า ตกแต่งด้วยพลาสติกสีเงินที่ Toyota เรียกว่า Smoke Silver กับสีดำเมทัลลิก ความใส่ใจในงานดีไซน์เพื่อสร้างความแตกต่างที่เหนือกว่ารุ่นมาตรฐาน ทำให้ Hilux REVO GR Sport อุดมไปด้วยของแนวๆ ที่เชื่อมโยงกับวงการมอเตอร์สปอร์ต นอกจากแดชบอร์ดคอนโซลที่คล้ายกับ Rocco แต่แตกต่างกันในด้านชิ้นงานตกแต่งแล้ว ยังมี พวงมาลัย GR Sport หุ้มด้วยหนังแท้อย่างดีจับแล้วให้ความรู้สึกที่กระชับ หนังที่หุ้มรอบวงพวงมาลัยเย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายสีแดง ก้านวงพวงมาลัยติดตั้งสวิตช์มัลติฟังก์ชันสำหรับการปรับตั้งค่าต่างๆ โดยเฉพาะระบบอินโฟเทนเมนท์ หลังวงพวงมาลัยมีแป้นเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ Paddle Shift คล้ายกับของ Fortuner ความฉูดฉาดของโทนสี GR Sport ยังลามไปถึงแผงประตูหุ้มหนังสังเคราะห์สีเทา-ดำ พนักเท้าแขนบริเวณแผงประตูเย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายสีแดง (อีกแล้ว) ชายล่างของบานประตูด้านในมีหลอดไฟสีแดง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยเมื่อเปิดประตูในที่มืด

พวงมาลัย GR Sport หุ้มด้วยหนังแท้อย่างดีจับแล้วให้ความรู้สึกที่กระชับ หนังที่หุ้มรอบวงพวงมาลัยเย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายสีแดง ก้านวงพวงมาลัยติดตั้งสวิตช์มัลติฟังก์ชันสำหรับการปรับตั้งค่าต่างๆ โดยเฉพาะระบบอินโฟเทนเมนต์ ด้านซ้ายเป็นสวิตช์สั่งงานด้วยเสียง ปุ่มควบคุมความดังของลำโพง ปุ่มเลือกฟังก์ชันการเล่นเพลง ปุ่มสั่งงานด้วยเสียงและปุ่มรับหรือวางสายโทรศัพท์บลูทูธ ด้านขวาก้านพวงมาลัย เป็นปุ่มเลือกกดูข้อมูลบนจอภาพ MID บริเวณกึ่งกลางของมาตรวัดทั้งสองข้าง ปุ่มควบคุมระบบความปลอดภัย ส่วนระบบปรับตั้งความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control เป็นก้านสวิตช์ด้านขวามือที่ใช้งานได้ง่าย พวงมาลัยปรับสี่ทิศทาง ขึ้น-ลง หรือใกล้-ไกล หลังวงพวงมาลัยมีแป้นเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ Paddle Shift คล้ายกับของ Fortuner ความฉูดฉาดของโทนสี Motor Sport ยังลามไปถึงแผงประตูหุ้มหนังสังเคราะห์สีเทา-ดำ พนักเท้าแขนบริเวณแผงประตูเย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายสีแดง ชายล่างของบานประตูด้านในมีหลอดไฟสีแดง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยเมื่อต้องเปิดประตูในที่มืด ภายในตกแต่งด้วยธีมสีดำแดง พร้อมแป้นเหยียบแบบสปอร์ตสว่างสดใส และเข็มขัดนิรภัยสีแดง มีตราสัญลักษณ์ GR บนพวงมาลัยกับพนักพิงศีรษะ

คันเกียร์แบบร่องหยัก หรือแบบขั้นบันได Gate-Type แค่ผลักคันเกียร์ไปทางด้านซ้ายแทนเพื่อปลดล็อกจากตำแหน่ง P หรือตำแหน่งจอดไปยังเกียร์ต่างๆ มีหลักการคล้ายกับแป้นเกียร์อัตโนมัติแบบตรง เช่น P ไป R, R ไป P หรือ D ไป R ข้อดีของเกียร์แบบขั้นบันไดก็คือ หากมือเผลอไปโดนหรือกระแทกแรงๆ จะไม่สามารถผลักตำแหน่งเกียร์เลื่อนไปตำแหน่งอื่นได้ หากเกิดการเลื่อนเปลี่ยนเกียร์จาก D ไปที่ R ขณะขับรถ เกียร์ถอยหลังจะไม่ทำงาน เนื่องจาก ECU จะไม่สั่งให้โซลินอยด์วาล์วที่ควบคุมในการเลื่อนเปลี่ยนเฟืองเกียร์ทำงาน เกียร์ออโต้ 6 สปีด ใน Hilux REVO GR Sport มีตำแหน่ง +/- เพื่อเปิดโอกาสให้คนขับได้ชิฟเกียร์ขึ้น-ลงด้วยตัวเองบนเส้นทางภูเขาสูงชันที่ต้องมีการลด หรือเพิ่มเกียร์อยู่ตลอดเวลา เมื่อผลักคันเกียร์มาทางขวาก็จะเข้าสู่โหมดเกียร์ธรรมดา สามารถชิฟเกียร์ด้วยการโยกคันเกียร์ขึ้นลง หรือชิฟผ่านแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย ข้างคันเกียร์มีสวิตช์ปรับโหมดมาให้สองรูปแบบ คือ ECO โหมดประหยัดที่ใช้ขับในเมืองหรือการขับที่ไม่รีบเร่ง กับโหมด Power หรือ Sport Mode โหมดขับเคลื่อนที่รถจะตอบสนองได้ดีขึ้นในด้านการเร่งความเร็ว การขับที่ต้องการพลังและแรงบิดอย่างต่อเนื่อง

มาตรวัดที่อ่านค่าได้ง่ายและสวยงาม กึ่งกลางของมาตรวัดรอบและวัดความเร็วเป็นจอภาพแสดงผล MID multi function display แจ้งข้อมูลการทำงานในระบบต่างๆ ผ่านจอภาพ TFT ขนาดเล็ก เช่น อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ทริปมิเตอร์ ตำแหน่งเกียร์ อุณหภูมิภายนอก ความเร็วแบบตัวเลขดิจิตอล แสดงผลการเลือกเล่นฟังก์ชันต่างๆ ในระบบอินโฟเทนเมนต์ แจ้งเตือนค่าปรับตั้งในระบบช่วยขับและระบบความปลอดภัย ส่วนชุดควบคุมอุณหภูมิแบบแยกโซนที่อยู่ต่ำลงมาจากจอภาพมอนิเตอร์กลาง ปรับตั้งค่าอุณหภูมิภายในห้องโดยสารได้ง่ายจากปุ่มกดต่างๆ รวมถึงปุ่มหมุน ช่องเสียบ USB และช่องเสียบไฟขนาด 12V ปุ่มควบคุมระบบ DAC ปุ่มแทรคชั่นคอนโทรล สวิตช์หมุนเพื่อปรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ มีให้เลือกทั้ง 4H 4Low และ 2WD (RWD) ส่วนปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ประทับตราสัญลักษณ์ GR เพื่อความแตกต่างไปจาก Hilux รุ่นอื่นๆ

เครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร GD Super Power 1GD-FTV (High) เป็นเครื่องยนต์ดีเซลแบบ 4 สูบ แถวเรียง 4 วาล์วต่อสูบ (16 วาล์ว) DOHC VN Turbo ชุดลดอุณหภูมิไอดี Intercooler มีปริมาตรความจุกระบอกสูบ 2,755 ซีซี ความกว้างกระบอกสูบ 92.0 มิลลิเมตร ระยะชัก 103.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.6 : 1 ให้กำลังสูงสุด 224 แรงม้า ที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที ระบบจ่ายเชื้อเพลิง ติดตั้งหัวฉีดไดเร็คอินเจ็คชั่นแบบคอมมอนเรล (i-ART) ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร เครื่องยนต์ GD Super Power 1GD-FTV (High) มีกำลังสูงขึ้นจาก 204 แรงม้า เป็น 224 แรงม้า แรงบิดสูงสุดจากของเดิม 500 นิวตันเมตร เพิ่มเป็น 550 นิวตันเมตร อัปเกรดเครื่องยนต์ในปี 2566 มีประจำการอยู่ใน Fortuner Legender GR Sport ระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์มีการเปลี่ยนเทอร์โบให้ใหญ่ขึ้น แกนเทอร์โบใส่ตลับลูกปืน Ball Bearing เพื่อลดแรงเสียดทาน เพิ่มประสิทธิภาพด้านการบูสต์ได้เร็วกว่าเดิม ลูกสูบเคลือบสาร Diamond-liked บริเวณแหวนรองลูกสูบเพื่อลดแรงเสียดทาน หัวฉีดเชื้อเพลิงคอมมอลเรลไดเร็คอินเจ็คชั่น i-ART เพิ่มประสิทธิภาพในการฉีดจ่ายเชื้อเพลิง ทั้งหมดทั้งปวงเป็นที่มาของแรงบิดอันน่าประทับใจของ Hilux GR รุ่นล่าสุด

กระบะดีเซลยกสูงขับเคลื่อนสี่ล้อที่มีความน่าใช้ในชั่วโมงนี้ ถ้าไม่นับเจ้าตลาดอย่าง Isuzu D-MAX V-Cross คงหนีไม่พ้น Ford Ranger FX4 MAX / Nissan Navara Pro 4X / Mitsubishi Triton athlete และถ้าขยับค่าตัวไปที่ 1.8 ล้านบาท ก็จะเป็นตัวโหดอย่าง Ford Ranger Raptor ซึ่งมีให้เลือกทั้ง V6 เบนซิน และ 2.0 ลิตร ดีเซลไบเทอร์โบ ส่วน Toyota Hilux GR Sport รถปิกอัพของพี่โตที่เพิ่งจะเปิดตัวไปในช่วงต้นปีนั้น วางตัวเองอยู่ในระดับราคาที่ต่ำกว่า Ranger Raptor เพื่อจูงใจลูกค้าที่กำลังมองหารถกระบะสมรรถนะสูงราคาไม่เกิน 1.5 ล้าน! สำหรับงานปรุงแต่งสมรรถนะของกระบะขับสี่ เพื่อยกระดับทั้งประสิทธิภาพการขับใช้งาน และความสวยงามดุดัน ด้วยการปรุงแต่งระบบ powertrain ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ตัวถังภายนอกและงานตกแต่งภายใน เชื่อมโยงกับโลกแห่งมอเตอร์สปอร์ต

การเลือกใช้รถกระบะของ Toyota หมายถึงงานบริการหลังการขายจากศูนย์บริการของ Toyota ราคาอะไหล่และความรวดเร็วในการซ่อมบำรุง ความคงทนของชิ้นส่วนต่างๆ รวมไปถึงราคาขายต่อ เมื่อกลายเป็นรถกระบะมือสองก็ยังเหนือกว่ารถคู่แข่ง โดยเฉพาะรถกระบะขับสี่ในเวอร์ชัน GR Sport เป็นรถปิกอัพที่มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง เหมาะสมกับการเป็นยานพาหนะคันใหม่ ในช่วงที่ประเทศไทยบางพื้นที่ยังคงยากต่อการเข้าถึง หรือมีสภาพถนนที่ไม่เหมาะสมกับรถเก๋งเตี้ยๆ ทางที่อยู่ในระหว่างการปรับปรุงหรือกำลังสร้าง จะเต็มไปด้วยหลุมบ่อ หรือผิวถนนที่ขรุขระ ด้วยโช้คอัพใหม่และการเซตค่าสปริงใหม่ Hilux GR Sport ออกแบบช่วงล่างและใส่ยางออฟโรดที่สามารถรูดผ่านถนนที่มีผิวไม่เรียบได้อย่างเหนือชั้น ช่วงล่างของ GR ยกสูงขับสี่รุ่นนี้ถูกปรับเซตให้ยึดเกาะกับถนนหลากหลายรูปแบบโดยเฉพาะทางลูกรัง ทางดิน หรือเส้นทางออฟโรดต่างๆ นั่งได้สบายเนื้อสบายตัวมากกว่าเดิม โดยเฉพาะการขับผ่านผิวทางที่ยับเยิน ใช้ลุยน้ำท่วมขังลึก 70 เซนติเมตรได้อย่างปลอดภัย

11.45 น. วันที่ 19 มิถุนายน 2567 เครื่องบินเช่าเหมา ATR-72 ของสายการบิน Qantas นำคณะสื่อมวลชนไทยและเจ้าหน้าที่ของ Toyota Motor Thailand ร่อนลงจอดที่สนามบินส่งกลับทางสายการแพทย์ภายในเมืองเล็กๆ ชื่อ พอร์ท ออกัสต้า เมืองห่างไกลที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแอดิเลด ท่ามกลางอุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส กับแสงแดดที่แผดจ้า วันแรกของการทดสอบจากสนามบินเล็กของพอร์ทออกัสต้าไปยังโรงแรม wilpena pound resort ซึ่งตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Ikara Flinders Ranges ไกลจากเมืองแอดิเลสไปทางทิศเหนือราว 430 กิโลเมตร เส้นทางทดสอบในวันแรก เป็นทางลาดยางขึ้นลงเนินเขายาว 160 กิโลเมตร ทางในช่วงสุดท้ายก่อนเข้าสู่โรงแรมที่พักยาวประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นเส้นทางออฟโรดที่ผสมผสานระหว่างทางลูกรัง กรวด ลำธารแห้งและหินก้อนโต ไม้แรกผมรับหน้าที่ควงเจ้า Hilux GR Sport เวอร์ชันแดนจิงโจ้ลากยาวไปจนถึงชายขอบก่อนเข้าสู่อุทยานแห่งชาติ Ikara Flinders Ranges  ท่ามกลางภูมิประเทศที่เก่าแก่ที่สุดในโลกของทวีปออสเตรเลีย  

อุทยานแห่งชาติ Ikara-Flinders Ranges ครอบคลุมพื้นที่ 95,000 เฮกตาร์ หรือกว่า 491 ตารางกิโลเมตร ในภูมิภาค Central Flinders Ranges นับเป็นภูมิประเทศที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปออสเตรเลีย ซึ่งก่อตัวมาเป็นเวลากว่า 120 ล้านปีแล้ว จากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาซึ่งดึงดูดผู้ที่สนใจแนวหินโบราณรวมถึงการขับรถผจญภัยบนเส้นทางออฟโรด เทือกเขา Ikara-Flinders เป็นบ้านเกิดดั้งเดิมของชาวพื้นเมืองอะบอริจิ้น Adnyamathanha ประมาณ 80,000 ปีที่แล้ว เทือกเขาแห่งนี้มีสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมที่เก่าแก่ของอะบอริจิ้น รวมถึงศิลปะบนหิน อุทยานแห่งชาติ Ikara-Flinders มีการจัดการร่วมกันระหว่างรัฐบาล SA และเจ้าของดินแดนดั้งเดิม นั่นก็คือชนเผ่าพื้นเมือง Adnyamathanha ในปี 2559 มีการเปลี่ยนชื่ออุทยานเพื่อควบรวม Ikara เข้าเป็นหนึ่งในพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติ ส่วนโรงแรมทีพัก Wilpena Pound Resort ถูกซื้อโดย Adnyamathanha Traditional Lands Association และ Indigenous Business Australia ในปี 2555 เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวธรรมชาติและนักเดินทางระยะไกลด้วยรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ 

อุทยานแห่งชาติ Ikara-Flinders Ranges นับเป็นจุดหมายปลายทางของการขับรถออฟโรด รวมถึงเส้นทางการเดินป่าชั้นนำของรัฐเซาท์ออสเตรเลีย โดยมีเส้นทางศึกษาธรรมชาตินับไม่ถ้วน ตั้งแต่เส้นทาง Heysen Trail ระยะไกล ไปจนถึงการเดินป่าระยะสั้น นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ตั้งแคมป์ แหล่งชุมนุมยอดนิยมของสมาชิกนักขับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ความงดงามของ Ikara-Flinders Ranges ยังดึงดูดช่างภาพจากทั่วโลก รวมไปถึงนักธรณีวิทยาและนักสำรวจ ท่ามกลางภูมิประเทศรกร้างห่างไกลซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ของเซาท์ออสเตรเลีย

อุทยานแห่งชาติ Ikara-Flinders Ranges สามารถเดินทางไปทางตะวันตกเฉียงเหนือจากเมืองแอดิเลดได้อย่างง่ายดาย เทือกเขา Flinders เริ่มทอดยาวไปทางเหนือ จากสนามบินในพอร์ตออกัสตา ขอบเขตอุทยานแห่งชาติอย่างเป็นทางการ เริ่มต้นหลังจากสถานี Rawnsley Park บนเส้นทาง Flinders Ranges Way ส่วนศูนย์กลางของอุทยานแห่งชาติคือวิลพีนาพาวด์ ซึ่งมีรีสอร์ตขนาดเล็ก ที่ตั้งแคมป์ ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง ซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็ก ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว ร้านอาหาร และบริการทัวร์ที่มีทั้งการเดินระยะไกลและการนั่งเครื่องบินเล็กเพื่อชมวิวทิวทัศน์ บางส่วนของอุทยานแห่งชาติ Ikara-Flinders Ranges สามารถเข้าถึงได้ด้วยถนนลูกรังเท่านั้น โดยมีเงื่อนไขกฎระเบียบข้อบังคับของการท่องเที่ยวที่แตกต่างกันออกไป

การขับรถผ่านพื้นที่อุทยานที่น่าทึ่งและมีทิวทัศน์ที่แปลกตาไม่เหมือนที่แห่งไหนในโลก เส้นทางที่มีชื่อเสียงที่สุดคือถนน Brachina Gorge ถนนที่ไม่มีการปิดกั้นนี้ เชื่อมต่อระหว่าง Flinders Ranges Way กับทางหลวง Outback Highway ตัดผ่านพื้นที่อุทยานแห่งชาติโดยผ่านการก่อตัวทางธรณีวิทยาที่น่าทึ่งที่สุดในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ ถนนค่อนข้างขรุขระเหมาะสำหรับรถขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น แม้ว่าช่วงตั้งแต่เส้นทาง Flinders Ranges Way ทางด้านตะวันออกไปจนถึงสี่แยกถนน Aroona Valley สามารถใช้ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อได้ (ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งของถนน Brachina Gorge) อุทยาน Ikara-Flinders Ranges ทางตอนใต้ของออสเตรเลียเต็มไปด้วยหุบเขาลึกและภูเขาสูงชัน ท่ามกลางประวัติศาสตร์ของชาวอะบอริจิน Adnyamathanha สถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือวิลพีนา พาวด์ อัฒจันทร์ธรรมชาติที่ไม่ธรรมดา และสถานที่พบปะอันเก่าแก่ เส้นทางทางธรณีวิทยา Brachina Gorge ระยะทาง 20 กิโลเมตร นำพานักเดินทางย้อนเวลาผ่านประวัติศาสตร์โลกที่มีอายุยาวนานกว่า 120 ล้านปี ในชั้นหินที่เปิดโล่ง 

ช่วงล่างแบบแหนบซ้อน ซึ่งเป็นที่มาของอาการกระเด้งกระดอนเมื่อลุยทางวิบากถูกปรับใหม่ด้วยตัวช่วยอย่างโช้คอัพแบบ Monotub แหนบแผ่นกลางใช้โลหะ High Tensile Steel มีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิม โช้คอัพใหม่และสปริง ถูกปรับจูนระยะยืดและยุบใหม่หมด เพื่อทำให้สามารถดูดซับแรงสะเทือนได้ดีขึ้น Mounting (Bush / Shackle/ Cab-mount) มีการปรับคุณสมบัติในการดูดซับแรงสั่นสะเทือน เปลี่ยนรูปทรงของชิ้นส่วนเพื่อลดแรงเสียดทานของส่วน Mounting (เฉพาะ Hilux GR Sport ขับเคลื่อน 4 ล้อ และ Prerunner ขับเคลื่อน 2 ล้อ) เมื่อเข้าโค้งแรงๆ ก็ยังคงมีอาการโคลงหลงเหลืออยู่บ้าง ซึ่งอาการดังกล่าวเป็นเรื่องปกติ หรือเป็นธรรมชาติของรถกระบะยกสูงแบบแชสซีออนเฟรม กับช่วงล่างที่เน้นความแกร่งในด้านการบรรทุกให้เพิ่มมากกว่าเดิม ทำให้ไม่สามารถกำจัดอาการโคลงตัวออกไปได้หมด จึงมีความจำเป็นที่คนขับจะต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ โดยเฉพาะการขับด้วยสปีดความเร็วสูงเข้าโค้ง แต่กระบะ GR รุ่นใหม่คันนี้ที่พัฒนาบนแผ่นดินออสเตรเลียก็มีความมาดมั่นในโค้งมากกว่าเดิม เนื่องจากแทร็กถูกขยายออกไปอีกเพื่อเพิ่มความเสรียรรองรับการลุยหนักหรือขับบนทางดำแบบนี้ กฎหมายจราจรของออสเตรเลียที่ค่อนข้างเข้มงวดกับการใช้ความเร็วทำให้ขับกันได้ไม่เร็วนัก สปีดความเร็วขึ้นลงอยู่ในย่าน 50-80 -120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การเซตช่วงล่างใหม่เพื่อเน้นขับเร็วบนไฮเวย์ลาดยาง ทำให้ระบบรองรับของ Hilux GR Sport มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเมื่อต้องขับลุยฝ่าเส้นทางออฟโรดในช่วงเย็นก่อนถึงโรงแรมที่พัก 

เมื่อขับบนทางลาดยางเรียบกริบ มีโค้งยาวๆ ขึ้นลงเนินท่ามกลางภูมิประเทศที่รกร้างและว่างเปล่า มีผู้คนอาศัยอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลของ Outback ผมลองเปลี่ยนมาใช้โหมด Power เพื่อเรียกแรงบิดจากเครื่องยนต์ การเร่งความเร็วในรถกระบะตัวท็อปของพี่โต พอกดคันเร่งลงไป กระบะ GR เครื่อง 2.8 ลิตร  พุ่งออกตัวด้วยความรวดเร็ว กดคันเร่งต่อเนื่องรถยังคงพุ่งลิ่วๆ ไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ตอนที่ลองขับ Ranger Raptor 2.0 Bi Turbo ผมต้องเค้นกำลังด้วยรอบเครื่องยนต์ที่สูงกว่า แต่ในกระบะ GR เครื่องยนต์มีความจุมากกว่าเกือบ 800 ซีซี เมื่อความจุมากกว่า องศาของคันเร่งก็จะน้อยกว่าเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร Bi Turbo ของ Ford เกียร์ 6 สปีดของ Hilux GR Sport มีความกระชับทำงานได้เร็วขึ้น เกียร์ 6 สปีด มีการปรับซอฟแวร์ควบคุมการทำงานและเซตอัตราทดมาอย่างลงตัว ในเมืองที่ความเร็วต่ำ อาจมีตัวเลขที่ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าที่ควรในระดับ 10.8 กิโลเมตรต่อลิตร แต่พอเอาออกมาซัดเร็วๆ บนไฮเวย์อัตราสิ้นเปลืองก็ทำได้ดีขึ้นโดยมีตัวเลขอยู่ที่ 12.2 กิโลเมตรต่อลิตร แม้จะคาอยู่ในโหมด Power และใช้ความเร็วอย่างต่อเนื่องก็ถือว่ากินน้อยกว่าการขับแบบวิ่งๆ หยุดๆ อยู่ในเมืองที่มีกฎหมายจำกัดความเร็วเข้มงวดมาก 

การทำงานของเกียร์ออโต 6 สปีด พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift เป็นเกียร์ออโต้ขับสี่ลูกเก่า มีการปรับอัตราทดให้สอดรับกับแรงบิดที่มากขึ้น มีตำแหน่งทริปทรอนิกส์เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถชิฟ หรือเลือกตำแหน่งเกียร์ด้วยตัวเองเมื่อวิ่งผ่านทางบนภูเขาสูงชัน โดยใช้วิธีผลักคันเกียร์มาทางขวาเพื่อเข้าสู่โหมดแมนวล หรือชิฟเกียร์ผ่านแป้นเปลี่ยนเกียร์ที่หลังพวงมาลัย เกียร์ออโตในตำแหน่ง D เปลี่ยนจังหวะด้วยตัวของมันเองตามโปรแกรมที่ลงเอาไว้ในกล่องสมองกลไฟฟ้า ECU ที่เชื่อมต่อกับกล่องควบคุมเครื่องยนต์ เกียร์ออโต 6 สปีด มีประสิทธิภาพที่ดีพอตัวในด้านของการทดกำลัง กลไกไฟฟ้าป้องกันความเสียหายของเกียร์ จากการชิฟเกียร์ผิดจังหวะเมื่อรอบเครื่องยนต์ไม่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนเกียร์หรือลดเกียร์ลงต่ำขณะที่รถมีความเร็วสูง เกียร์จะไม่ยอมเปลี่ยนจนกว่าความเร็วรอบจะสัมพันธ์กับอัตราทดในเกียร์นั้นๆ ช่วยป้องกันเกียร์เสียหายจากการเปลี่ยนเกียร์ที่ไม่สัมพันธ์กับรอบเครื่องยนต์และความเร็ว

เกียร์ 6 บนไฮเวย์ยังช่วยลดรอบเครื่องยนต์ทำให้เกิดความประหยัดอีกด้วย ในจุดนี้ถือว่าทำออกมาได้ดี เมื่อใช้ความเร็วต่อเนื่องใน Power Mode โดยห้อลงเขามาเต็มเหนี่ยวด้วยรอบเครื่องสูงปรี๊ด เมื่อลองยัดเกียร์ต่ำเพื่อใช้เอนจิ้นเบรกช่วย หากรอบเครื่องยนต์สูงมากจนเกินไป ระบบป้องกันเกียร์เสียหายจากการเปลี่ยนเกียร์ที่ไม่มีความสัมพันธ์กับรอบเครื่องยนต์จะเข้ามาแทรกแซงทันที ระบบป้องกันเกียร์เสียหายจะไม่ยอมเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำให้จนกว่ารอบการหมุนของเครื่องจะมีความสัมพันธ์กับรอบการหมุนของเกียร์ ดูเหมือนจะฝืนความรู้สึกกันอยู่บ้างเมื่อเกียร์ไม่ยอมเปลี่ยนให้หากรอบเครื่องสูงเกินไป แต่ก็ช่วยทำให้คุณไม่ต้องเข้าอู่เข้าศูนย์เพื่อซ่อมหรือเปลี่ยนเกียร์กันเร็วก่อนเวลาอันควร ช่วยยืดอายุการใช้งานของเกียร์ออโตราคาแพง ซึ่งมีกลไกป้องกันเกียร์กระจายแบบนี้คอยช่วยป้องกันคนขับที่ชอบยัดเกียร์ขึ้น-ลงเองบ่อยครั้งไม่ว่าจะเกิดจากความมันหรือต้องการใช้อัตราทดช่วยลดความเร็วก็ตาม

นอกจากช่วงล่างจะแข็งขึ้นแล้ว พวงมาลัยยังดูเหมือนจะหนักกว่าเดิมนิดๆ อีกด้วย ระบบบังคับเลี้ยวของ Toyota Hilux GR Sport มีการปรับปรุงพวงมาลัยพาวเวอร์ใหม่หมด หันมาใช้พาวเวอร์ผ่อนแรงหมุน และแปรผันน้ำหนักไปตามความเร็ว VFC (Variable Flow Control) ปรับน้ำหนักพวงมาลัยแบบแปรผันไปตามความเร็ว เป็นชุดบังคับเลี้ยวแรคแอนพีเนียนพร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงที่ถูกปรับให้มีน้ำหนักหรือความตึงไม้ตึงมือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย พวงมาลัยในกระบะ GR Sport ให้ความแม่นยำในการเปลี่ยนทิศทางหรือเล็งเข้าสู่หัวโค้งแม่นใช้ได้ แต่น้ำหนักเมื่อขับเคลื่อน 2 ล้อแบบปกตินั้นหนักไปนิดโดยเฉพาะในย่านความเร็วต่ำ การเปลี่ยนทิศทางใน Hilux GR Sport เมื่อขับด้วยความเร็วต่ำ เช่น การเลี้ยวออกจากที่จอดรถ ต้องออกแรงขยับข้อมือกันมากกว่าพวงมาลัยของรถเก๋งเล็กที่ใช้เพาเวอร์ไฟฟ้า เมื่อปรับไปที่การขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ 4H พวงมาลัยจะเบาลงเล็กน้อย 

พวงมาลัยแบบพาวเวอร์สายพานของปิกอัพ Toyota มีจุดเด่นเรื่องของความแข็งแกร่งคงทน รองรับงานขับออฟโรดได้ดี ไม่เจ๊งง่ายเรียกว่าอึดเอาเรื่อง ไม่ว่าจะขับแบบลุยแหลกกระแทกเนินดิน หรือปีนป่ายหินก้อนโตๆ เป็นข้อดีของพวงมาลัยพาวเวอร์สายพานในรถปิกอัพ ที่จะต้องแลกมาด้วยน้ำหนักที่มากกว่าพวงมาลัยไฟฟ้าของรถเก๋ง โดยภาพรวมพวงมาลัยไฟฟ้าใน Hilux GR Sport มีน้ำหนักที่ตึงมือตลอดเวลา แต่ก็เหมาะกับการขับเร็วบนทางฝุ่นจากความมั่นคงไม่วอกแวก ลองถามวิศวกรของ Toyota เกี่ยวกับการทำพวงมาลัยไฟฟ้าในรถกระบะอนาคต ก็ได้คำตอบว่า พวงมาลัยพาวเวอร์สายพานของ Toyota โฉมปัจจุบันนั้นบริเวณตำแหน่งของแรคยัดอะไรเข้าไปอีกไม่ได้แล้ว ด้วยขนาดพื้นที่อันจำกัด เลยไม่สามารถยัดมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไปได้ หากจะทำพวงมาลัยไฟฟ้าใน Hilux เวอร์ชันอนาคตก็ต้องออกแบบชุดแรคแอนพีเนียนใหม่ทั้งหมด

ช่วงเย็นก่อนเข้าสู่โรงแรมที่พักเป็นทางออฟโรดเต็มรูปแบบที่จะต้องใช้ฝีมือในการวางตำแหน่งรถและใช้สปีดความเร็วที่เหมาะสม ผมเริ่มเห็นจิงโจ้ วอลลาบี้และนกอีมูลมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อขับเข้าสู่พื้นที่ของอุทยาน Ikara Flinders Ranges เป็นการขับลุยฝ่าทางวิบากเพื่อดูการตอบสนองของช่วงล่างใน Hilux GR Sport การซึมซับรองรับแรงกระแทกต่างๆ จากพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหินก้อนโตๆ และร่องน้ำที่อาจทำให้รถเกิดปัญหาขึ้นมาได้ ความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถที่สูงกว่าเดิม อาจทำให้เกิดอาการโคลงตัวที่ไม่พึงประสงค์ แต่ Hilux REVO GR Sport ก็เป็นรถกระบะที่มีเสถียรภาพการทรงตัวอยู่ในเกณฑ์ดีวิศวกรและทีมทดสอบในช่วงของการพัฒนาซึ่งใช้เวลาปรับปรุงช่วงล่างนาน 4 ปี เพื่อหาค่าที่เหมาะสมมากที่สุด สำหรับความสบายหลังพวงมาลัย การเก็บเสียงเมื่อลองขับในเส้นทางออฟโรดของอุทยาน Ikara Flinders Ranges เจ้า Hilux REVO GR Sport นั้นเก็บเสียงได้ดีพอสมควร ช่วงล่างไม่ได้นิ่ม แต่หนึบแน่นมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด จากการเปลี่ยนมาใช้โช้คอัพ Monotube ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนกลไกในกระบอกโช้ค โดยเฉพาะวาล์วภายในที่ปรับแรงดันน้ำมันในกระบอกโช้คได้ดีขึ้น การผ่อนสั้นผ่อนยาวของระบบรองรับยังช่วยทำให้การขับลุยทางออฟโรดมีความสบายเพิ่มขึ้น แม้จะมีอาการเต้นและดีดอยู่บ้าง เมื่อขับเร็วๆ ผ่านผิวถนนลูกรังที่ขรุขระ แต่อาการดังกล่าวก็ลดลงไปมาก ต้องขอบคุณโช้คอัพ Monotube รวมถึงการเซตค่าสปริงใหม่ที่ทำให้กระบะ GR คันนี้วิ่งได้เนียนขึ้นบนถนนที่ไม่มีความสม่ำเสมอ คาราวาน Hilux GR Sport ขับฝ่าทางวิบากเข้ามาถึงโรงแรมที่พัก Wilpena Pound Resort เกือบหนึ่งทุ่ม 

เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นการขับทดสอบสี่สถานี และทุกสถานีเป็นเส้นทางออฟโรดทั้งหมด สำหรับบางสถานีต้องใช้ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC Hill start Assist Control ระบบควบคุมความเร็วขณะขับลงจากทางลาดชัน DAC Downhill Assist Control ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ หรือ LDA กล้องมองหลังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในรถกระบะท้ายสูง จอ MID แสดงภาพมุมของล้อหน้าบนกึ่งกลางมาตรวัด ออกแบบให้ใช้งานเพื่อสังเกตทิศทางของล้อขณะไต่เนินชัน เพื่อการวางตำแหน่งของล้อที่ถูกต้อง ระบบควบคุมการทรงตัวในโค้ง VSC Vehicle Stability Control ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS Anti-lock Braking System ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC Traction Control ระบบเสริมแรงเบรก BA Brake Assist ระบบกระจายแรงเบรก EBD Electronic Brake-force Distribution และระบบควบคุมการส่ายของพ่วงท้าย TSC Tralier Sway Control ฯลฯ เทคโนโลยีช่วยขับขี่ที่เข้ามาเพิ่มความปลอดภัยทั้งหมดของ Hilux GR Sport ทำให้มันเป็นรถกระบะแนวสปอร์ตที่ขับสนุกและเกาะถนน ช่วงล่างใหม่แข็งขึ้นแต่ลุยหนักได้ดีกว่าเดิม ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ 4 High ช่วยทำให้การใช้งานท่ามกลางภูมิประเทศที่โหดร้าย หรือการขับลุยทางที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อหินก้อนโตๆ มีความปลอดภัย สามารถเอาตัวรอดได้อย่างสบาย เป็นกระบะพี่โตรุ่นท็อปที่น่าใช้และมีความครบเครื่องมากที่สุดของปิกอัพในตระกูล Hilux เลยทีเดียว

เมื่อต้องขับลุยในสถานีคลองแห้งที่ต้องใช้ความเร็วต่ำ สวิตช์ปรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อไฟฟ้า Shift on The Fly 4WD Switch ช่วยทำให้การปรับระบบขับเคลื่อนจาก 2 ไปเป็น 4 ล้อมีความสะดวกรวดเร็วและง่ายดายขึ้น โดยไม่มีความจำเป็นจะต้องจอดรถเพื่อปรับตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเหมือนกระบะขับสี่ในอดีต แต่การเปลี่ยนจาก 4H ไปเป็น 4Low ต้องจอดรถแล้วใส่เกียร์ว่างก่อนที่จะบิดสวิทช์จาก 4H ไปเป็น 4Low การเลือกโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทาง เจ้า Hilux GR Sport จัดเต็มอุปกรณ์ของระบบขับเคลื่อนเพื่อการเอาตัวรอดบนเส้นทางทุรกันดาร มันเป็นกระบะที่ใช้ขับฝ่าทางออฟโรดโหดได้อย่างสบายๆ การคอนโทรลตัวรถฝ่าทางวิบากแค่แต่งพวงมาลัยและใช้คันเร่งแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือปล่อยให้รถไหลไปเองบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยหินขนาดใหญ่ หลุมบ่อร่องน้ำและเนินดิน แค่คอยแตะเบรกไม่ให้ความเร็วสูงจนเกินไป ใช้สปีดความเร็วต่ำให้ถูกต้องคล้องจองกับสภาพทาง วางตำแหน่งรถให้ดี สามารถขับฝ่าออกมาได้แบบทุลักทุเลเล็กน้อยโดยปราศจากริ้วรอยหรือปัญหาของยางแต่อย่างใดทั้งสิ้น 

ระบบขับเคลื่อนที่ประกอบด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร เทอร์โบ 224 แรงม้า 550 นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติขับสี่ที่มาดมั่น แชสซีที่แข็งแกร่ง ระบบช่วยขับบนเส้นทางออฟโรด ผนวกช่วงล่างและชุดบังคับเลี้ยวที่รองรับวงจรการใช้งานอย่างหนักของ Hilux GR Sport ทั้งหมดถูกออกแบบมาเพื่อการขับที่ทารุณโหดร้ายต่อระบบขับเคลื่อนและช่วงล่าง ความง่ายของการควบคุม ทำให้คนที่ไม่เคยขับแบบออฟโรดก็ยังสามารถขับ Hilux GR Sport เอาตัวรอดผ่านเส้นทางโหดได้แบบไม่ยากเย็นมากนักHilux GR Sport ที่มีจุดกำเนินในพื้นที่ห่างไกลของทวีปออสเตรเลีย เป็นรถกระบะมากความสามารถและมีความหล่อเหลใช้ได้ ดีไซน์ภายนอกและความสบายที่เกิดจากงานตกแต่งภายใน มีการอ้างอิงกับกีฬามอเตอร์สปอร์ต ผ่านทีมแข่งแรลลี่ระยะไกล Gazoo Racing

Toyota Hilux GR Sport เป็นรถกระบะที่ทรงตัวในย่านความเร็วสูงได้อย่างเหนือชั้น เกาะถนนและลุยฝ่าทางวิบากได้ดีมาก แรงบิด 550 นิวตันเมตร เหลือเฟือในทุกเส้นทาง ทั้งการเร่งแซงบนไฮเวย์ หรือขับลุยออฟโรด มันถูกออกแบบสำหรับการใช้งานที่มีความหลากหลาย โดยเฉพาะการขับลุยฝ่าทางวิบาก จากแรงบิดที่เยอะเป็นพิเศษและช่วงล่างที่เน้นความคงทน ซึ่งช่วยทำให้เอาตัวรอดได้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก หรือช่วยเหลือลากจูงเพื่อนๆ ที่ขับลุยป่าฝ่าดงมาด้วยกัน ช่วงล่างใหม่ เบาะ GR ที่นั่งได้สบายขึ้นจากวัสดุบุนิ่ม ทำให้ขับได้ทั้งวันโดยปราศจากอาการปวดเมื่อยเมื่อเอาไปลุยทางวิบาก ช่วงล่างปรับมาใหม่ให้ทั้งความหนึบแน่นและการยึดเกาะ แม้ราคาจะแรงพอสมควร เมื่อเทียบกับรถคู่แข่งที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน แต่คุณจะได้ความคงทนที่เป็นเอกลักษณ์ของรถ Toyota รวมถึงบริการหลังการขายที่ได้ใจคนใช้รถ ราคา 1,499,000 บาท จ่ายเพื่อประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นก็ถือว่าคุ้มค่าเพียงพอต่อการใช้งานที่เน้นความสมบุกสมบันมากเป็นพิเศษ เหมาะกับนักเลงออฟโรดที่ชอบขับรถผจญภัยบนเส้นทางทุรกันดารแบบค่ำไหนนอนนั่น หรือแม้แต่การใช้งานแทนที่รถเก๋งจากความอเนกประสงค์ของระบบขับเคลื่อน แม้จะไม่สบายเท่า แต่ก็แลกกับคุณประโยชน์ของตัวรถ นับว่าคุ้มละครับ. 

Hilux GR Sport ราคา 1,499,000 บาท
สีตัวถังภายนอก มีให้เลือก 3 สี
- สีดำ Attitude Black Mica
- สีแดง Emotional Red 2 เพิ่มเงิน +10,000 บาท
- สีขาวมุก Platinum White Pearl เพิ่มเงิน +10,000 บาท

อุปกรณ์ภายนอก
กระจังหน้าสีเดียวกับตัวรถและสีดำเมทัลลิก พร้อมตัวอักษร Toyota และสัญลักษณ์ GR
กันชนหน้าสีเดียวกับตัวถัง พร้อมชุดตกแต่งกันชนหน้า
กันชนหลังสีดพเมทัลลิก
ชุดตกแต่งซุ้มล้อสีดำ ดีไซน์พิเศษเฉพาะ GR-S
ไฟหน้าแบบ Bi Beam LED ไฟท้าย LED Guiding
ดีไซน์ฐานล้อแบบ Wild Tread

อุปกรณ์ภายใน
เบาะนั่งดีไซน์สปอร์ต หนัง Suede แบบเจาะรูและหนังสังเคราะห์เดินด้ายสีเทาสัญลักษณ์ GR
แผงคอนโซลหน้าสี Smoke Silver ลายไฮโดรกราฟและสีดำเมทัลลิก
สายเข็มขัดนิรภัยสีแดงเฉพาะรุ่น GR Sport
พวงมาลัยหุ้มหนังแบบ Soft Touch เจาะรู พร้อม Control Mark สีแดง เดินด้ายสีขาวและแถบสี Smoke Silver พร้อมสัญลักษณ์ GR

ระบบความปลอดภัย
กล้องมองรอบคัน PVM
ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาด้านข้าง BSM
ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA
ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ Dynamic Radar Cruise Control
ระบบความปลอดภัยก่อนการชน PCS
ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ LDA
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC

อุปกรณ์อำนวยความสะดวก
กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อน
สวิตช์เลือกโหมดการขับขี่ ECO/POWER
เครื่องปรับอากาศพร้อมแผ่นกรองแอร์ PM 2.5

รุ่นเครื่องยนต์ 1GD-FTV (High)
แบบเครื่องยนต์ 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว DOHC VN Turbo และ Intercooler 4 สูบ
ความจุกระบอกสูบ (ซีซี) 2,755
ความกว้างกระบอกสูบ x ระยะชัก 92.0 มิลลิเมตร x 103.6 มิลลิเมตร
อัตราส่วนกำลังอัด 15.6:1
กำลังสูงสุด 224 แรงม้า PS ที่ 3,400 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที
ระบบจ่ายน้ำมัน หัวฉีดไดเร็คอินเจ็คชั่นแบบคอมมอนเรล (แบบ i-ART)
ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร
น้ำมันเชื้อเพลิง ดีเซล

หน้าจอสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว รองรับ apple carplay android auto แบบไร้สาย 

แชสซีส์
ระบบขับเคลื่อน ขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อม Differential Lock ที่เฟืองท้าย
ระบบเกียร์ อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift
อัตราทดเกียร์ 1 3.600
อัตราทดเกียร์ 2 2.090
อัตราทดเกียร์ 3 1.488
อัตราทดเกียร์ 4 1.000
อัตราทดเกียร์ 5 0.687
อัตราทดเกียร์ 6 0.580
อัตราทดเกียร์ถอยหลัง 3.732
อัตราทดเฟืองท้าย 3.909

ระบบกันสะเทือนหน้า แบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง เหล็กกันโคลง และช็อคแอบซอร์บเบอร์ แบบ Monotube เฉพาะรุ่น GR Sport
ระบบกันสะเทือนหลัง แหนบซ้อน พร้อมช็อคแอบซอร์บเบอร์ แบบ Monotube เฉพาะรุ่น GR Sport
ระบบเบรกหน้า ดิสก์เบรกแบบมีครีบระบายความร้อน พร้อมคาลิปเปอร์สีแดง และสัญลักษณ์ GR
ระบบเบรกหลัง ดรัมเบรก
ระบบบังคับเลี้ยว แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมพาวเวอร์ช่วยผ่อนแรงแบบ VFC
รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด (ม.) 6.4
ยาง 265/60R17
ล้อ อัลลอย 17 นิ้ว เฉพาะรุ่น GR Sport

ยางอะไหล่ 265/60R18 อัลลอย 18 นิ้ว
ระบบเกียร์ อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift

อุปกรณ์ภายนอก

กระจังหน้า สีเดียวกับตัวรถ และสีดำเมทัลลิก พร้อมตัวหนังสือ TOYOTA และสัญลักษณ์ GR
กันชนหน้า สีเดียวกับตัวรถ พร้อมชุดตกแต่งกันชนหน้า
กันชนหลัง สีดำเมทัลลิก
สเกิร์ตหน้า ข้าง และหลัง
บันไดข้าง 
ชุดตกแต่งซุ้มล้อ 
ไฟหน้า Bi-Beam LED Bi-Beam LED
ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติพร้อมระบบ Follow-me-home
ระบบปรับไฟหน้าสูง-ต่ำ อัตโนมัติ

ไฟท้าย แบบ LED Light Guiding
กระจกบังลมหน้าแบบอัดซ้อนนิรภัย
กระจกมองข้าง สีดำเมทัลลิก ปรับและพับเก็บด้วยไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว และระบบ Welcome Light
มือเปิดประตู สีเดียวกับตัวรถ
มือเปิดประตูท้าย สีดำ
ยางกันโคลน หน้าและหลัง
ที่ปัดน้ำฝน แบบหน่วงเวลา และปรับตั้งเวลาได้
สัญลักษณ์ GR บริเวณด้านข้าง
สัญลักษณ์ GR Sport บริเวณประตูท้าย

อุปกรณ์ภายในและอุปกรณ์อำนวยความสะดวก
สีภายใน สีดำ
วัสดุเบาะนั่ง หนัง Suede แบบเจาะรู และหนังสังเคราะห์ เดินด้ายสีแดง พร้อมสัญลักษณ์ GR
สีเบาะนั่ง สีดำสลับแดง
ดีไซน์เบาะนั่งด้านหน้า แบบสปอร์ต
เบาะนั่งด้านหน้าปรับเลื่อน-เอน ปรับไฟฟ้าด้านคนขับ
เบาะนั่งด้านหน้าปรับระดับสูง-ต่ำ เฉพาะด้านคนขับ ปรับไฟฟ้า
เบาะนั่งด้านหลังที่พักแขน พับเก็บได้พร้อมที่วางแก้วน้ำ
เบาะนั่งด้านหลังปรับยกเบาะเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของ แยกพับ 60:40
ตกแต่งแผงคอนโซลหน้า สี Smoke Silver และสีดำเมทัลลิก
ตกแต่งช่องปรับอากาศด้านหน้า สี Smoke Silver และสีดำเมทัลลิก

ตกแต่งแผงข้างประตู สีดำ บุหนังสังเคราะห์ พร้อมแถบสี Smoke Silver และสีดำเมทัลลิก
ตกแต่งแผงควบคุมกระจกไฟฟ้า สีดำเมทัลลิก
ตกแต่งมือเปิดประตูด้านใน โครเมียม
ที่บังแดดด้านคนขับ พร้อมที่เก็บนามบัตร
ที่บังแดดด้านผู้โดยสาร พร้อมกระจกและฝาปิด
มือจับ 8 ตำแหน่ง
การปรับระดับพวงมาลัย ปรับสูง-ต่ำ และเข้า-ออก (Tilt & Telescopic)
วัสดุ/การตกแต่งพวงมาลัย หุ้มหนังแบบ Soft Touch เจาะรู พร้อม Center Mark สีแดง และเดินด้ายสีแดง ตกแต่งด้วยสี Smoke Silver และสัญลักษณ์ GR
สวิตช์ควบคุมเครื่องเสียง โทรศัพท์ และจอสี TFT
วัสดุ/การตกแต่งหัวเกียร์ หุ้มหนัง / สี Smoke Silver
ฐานเกียร์ สี Smoke Silver
เบรกมือ สีดำ ตกแต่งด้วยโครเมียม
แป้นคันเร่ง และเบรก แบบสปอร์ต
ระบบสตาร์ตเครื่องยนต์ ระบบสตาร์ตอัจฉริยะ พร้อมสัญลักษณ์ GR และระบบเปิดประตูอัจฉริยะ (Push Start and Smart Entry)
กุญแจรีโมต Smart Key ดีไซน์เฉพาะรุ่น GR Sport Jack Knife Key
มาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron สีขาว ดีไซน์เฉพาะรุ่น GR Sport
จอแสดงข้อมูลการขับขี่ (MID) จอสีแบบ TFT
ไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร พร้อมไฟส่วนบุคคล
กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อน
กระจกไฟฟ้าแบบขึ้น-ลงอัตโนมัติ พร้อมระบบป้องกันการหนีบ คู่หน้า และคู่หลัง

เซ็นทรัลล็อก แบบ Speed Auto Lock
สวิตช์เลือกโหมดการขับขี่ (Eco/Power)
เครื่องปรับอากาศ อัตโนมัติ ปรับอิสระแยกซ้าย-ขวา
ช่องปรับอากาศด้านหลัง ตกแต่งด้วยแถบสี Smoke Silver
ช่องเก็บของด้านบนพร้อมฝาปิด แบบ Cool Box พร้อมสัญลักษณ์ Hilux
ช่องเก็บของด้านล่างพร้อมฝาปิดและกุญแจล็อก
กล่องเก็บของพร้อมฝาปิด หุ้มหนังสังเคราะห์ เดินด้ายสีแดง
ช่องเก็บของที่แผงประตูพร้อมที่วางขวดน้ำ คู่หน้า และคู่หลัง
ที่เก็บแว่นตา
ที่วางแก้วบริเวณคอนโซลหน้า
ช่องเก็บเอกสารหลังเบาะคู่หน้า
ที่แขวนสัมภาระหลังเบาะคู่หน้า
ที่แขวนอเนกประสงค์
ช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า กระแสตรง DC 12 โวลต์ 2 ตำแหน่ง
ช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า กระแสสลับ AC 220 โวลต์ 1 ตำแหน่ง

ระบบเครื่องเสียงและการเชื่อมต่อ
เครื่องเสียงวิทยุ AM/FM พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Capacitive รองรับระบบ Apple CarPlay
ระบบเชื่อมต่อ Bluetooth รองรับโทรศัพท์ และการเล่นเพลง
ระบบ T-Connect
ลำโพง 6 ตำแหน่ง 
เสาอากาศ แบบ Shark Fin แบบ Shark Fin

ระบบเตือนการโจรกรรม
ระบบเตือนการโจรกรรม TDS (Theft Deterrent System)
ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer

ความปลอดภัย
ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED
ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED
ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED
ไล่ฝ้ากระจกหลัง
สัญญาณเตือนกะระยะด้านท้าย และมุมกันชนหน้า-หลัง
กล้องมองรอบคัน PVM (Panoramic View Monitor)
ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM (Blind Spot Monitor)
ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
เข็มขัดนิรภัย 3 จุด ทุกตำแหน่ง พร้อมระบบดึงรั้งกลับ และผ่อนแรงดึงอัตโนมัติ สำหรับเบาะคู่หน้า พร้อมระบบดึงรั้งกลับ และผ่อนแรงดึงอัตโนมัติ สำหรับเบาะคู่หน้า
ระบบป้องกันล้อล็อก ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD
ระบบเสริมแรงแบรก BA
ระบบควบคุมการทรงตัว VSC
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC แบบ A-TRC
ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSC
ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC
ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC
ระบบป้องกันการออกตัวฉุกเฉิน DSC -
ระบบควบคุมเฟืองท้าย (Auto Limited Slip Differential)
ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control)
ระบบความปลอดภัยก่อนการชน PCS
ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ LDA
โครงสร้างนิรภัย GOA
คานเหล็กนิรภัยด้านข้าง
ถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS คู่หน้า และหัวเข่าด้านคนขับ
ถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS ด้านข้าง และม่านด้านข้าง

อุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ
สปอร์ตบาร์พร้อมไฟส่องสว่างแบบ LED และพื้นปูกระบะ สีดำเมทัลลิก ดีไซน์เฉพาะรุ่น GR Sport
 
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/