ผู้คนในแต่ละยุคจะมีวัฒนธรรมรถซิ่งที่ตัวเองจดจำ แต่ละคนมีช่วงเวลาวัยรุ่นตอนต้นของชีวิตอยู่ปีไหน ก็มักจะจำสิ่งที่เกิดช่วงปีนั้นได้ดี อย่างคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ. 2500 คุณก็จะได้ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงในยุครถซิ่งหน้าเดอะพาเลซ จูนคาร์บิวแต่งฝาขัดพอร์ต ถ้าคุณเกิดช่วง พ.ศ. 2520 ก็คงไปยืนดูรถซิ่ง JET 71 บ้าง วิ่งหนีรถตู้ฟิล์มดำบ้าง คนที่โมดิฟายรถก็ทันยุคเทอร์โบหัวฉีดกัน ส่วนคนที่เกิดหลังจากนั้น ก็จะเป็นพวกที่เริ่มเข้าสู่ยุคเล่นเว็บบอร์ด มีนัดคุยนัดพบ นัดจับเช็ง กลุ่มหลังนี้คือพวกที่ใช้ชีวิตวัยซิ่งในยุค Y2K ซึ่งวันนี้เราก็จะมาเล่าถึงเรื่องยุคนั้น เพราะคนอื่นเล่าเรื่องพาเลซกับยุค 90s กันมาเยอะแล้ว

อันที่จริงการเขียนบทความ “เล่า” นี้ขึ้นมาผมก็ออกจะเขินอยู่สักหน่อย เพราะบางคนอาจจะรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ เพิ่งจะเกิดขึ้นไม่นานมานี้ แต่อย่าลืมว่าพวกเราบางคนก็แก่แล้ว เวลามันผ่านไปเร็ว ผมนั่งคุยกับเด็กม.ปลายแถวเมืองชลว่าอยากได้รถกระบะที่ปีไม่เก่ามากไว้แต่งเล่นก่อนแก่จริงๆ สักคัน เด็กรุ่นลูกเกาหัวแกร็กๆ กับคำว่า “ไม่เก่ามาก” ของน้า เพราะไอ้ Hilux Vigo ที่ผมยกตัวอย่างให้เขาฟังนั้น จะว่าไปมันก็จะเปิดตัวมาครบ 20 ปีแล้วนี่หว่าในปี 2024 เนี่ย เออ เว้ย แสดงว่าเราแก่แล้วจริงๆ เพราะจำได้ว่าตอน Vigo เปิดตัวนั้น ผมเรียนจบปริญญาตรีและกำลังสมัครงานแรกของชีวิตอยู่ จำได้ว่าโบรชัวร์เล่มพิเศษของ Toyota ตอนนั้น ใหญ่จนคุณเอาสกอตช์เทปมาแปะมันเข้ากับแขน กระพือแรงๆ ก็น่าจะบินไปได้แล้ว

...

คอลัมน์ประจำสัปดาห์นี้ ก็เลยคิดว่าผมจะอาศัยเอาความแก่มานั่งเล่าเรื่องให้พวกเราฟังว่าสมัยที่ผมเป็นวัยรุ่นตอนกลางนั้น สังคมรถและคนเล่นรถซิ่งต่างจากตอนนี้ยังไง เพราะบางคนคิดว่ายุคนี้ยังไม่เก่าหรือเก๋าพอ หลายคนมักจะข้ามย้อนไปหายุคพาเลซ (80s-ต้น 90s) หรือยุค 90s ไปเลยมากกว่า

สิ่งที่แตกต่างไปจากยุค 90s อย่างสิ้นเชิง และเป็นเอกลักษณ์ของยุคปี 2000-2000 กว่าๆ นั้นก็คือ “เว็บบอร์ด” หลานๆ ครับ สมัยน้ายังซิ่งนั้นเราไม่มีหรอก Facebook, YouTube หรือ TikTok มือถือของพวกน้าตอนนั้นน่ะ ถ่ายวิดีโอมาภาพแตกหนักกว่ากล้องถอยหลังของ Toyota Yaris Cross อีก อย่าว่าแต่เล่นเว็บอะไรเลย แค่ส่งเมลได้ ปรับแต่งเสียงเรียกเข้าได้ก็บุญแล้ว สมัยนั้นเวลาซื้อนิตยสารวัยรุ่นมา จะมีหน้าที่เป็นโฆษณาเสียงริงโทนหรือเพลงรอสาย ให้เลือกกดเลขส่ง SMS ดาวน์โหลดกันได้แล้วเราก็นั่งเลือกกันให้บ้า สมัยนี้หลานๆ อยาก PR หน้าตาตัวเอง ถ่ายรูปก็เซลฟี่ในมือถือแล้วอัปลง IG แต่สมัยน้า อยากเอาความสวยความหล่อให้คนรู้จัก ต้องไปเดินสยาม แล้วหวังว่าจะมีแมวมองมาขอถ่ายรูปไปลงหนังสือ The Boy หรืออะไรทำนองนั้น หลังจากนั้นพอหน้าเริ่มเป็นที่คุ้นเคย ก็จะถูกชักชวนไปเป็นนางแบบบ้าง หรือมีรูปถ่ายกับคอลัมน์สัมภาษณ์ที่ไม่รู้จะสัมภาษณ์ไปทำไมเพราะสุดท้ายคนเข้าไปก็ไม่อ่าน เซฟแต่รูปสาวๆ ไว้ดูเล่น เว็บอย่าง Kapook, Sanook หรือ Hawaiianpicpost นั่นแหละคือแบตเตอรี่ใจของหนุ่มๆ สมัยนั้น

นอกเรื่องไปเยอะ กลับมาต่อนะ..สมัยนั้น “เว็บบอร์ด” คือตัวขับเคลื่อนการติดต่อระหว่างนักเลงรถทั้งหลาย จากที่ยุคก่อนหน้าอินเทอร์เน็ตมาถึงเมืองไทยนั้น เราใช้การนัดพบโดยบังเอิญหรือส่งข้อความผ่านเพจเจอร์นัดเจอกัน เว็บบอร์ดเป็นที่ที่คนสมัครล็อกอินเข้ามาตั้งกระทู้หรือตอบกระทู้ หรือมาเพื่อทะเลาะกับชาวบ้าน เว็บบอร์ดแรกที่ดังจริง คือคาเฟ่รัชดา หรือโต๊ะรัชดาในเว็บ pantip.com ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังอยู่นะ โต๊ะรัชดานี่รวมคนเล่นรถทุกประเภทไม่ว่าจะแต่งรถหรือไม่แต่ง มันเลยมีการงัดแซะกันบ้าง คนรังเกียจรถซิ่งมาด่าคนใช้รถซิ่ง หรือคนใช้รถซิ่งงัดกันเองก็มีนะ สมัยนั้นถ้าคลาสสิกสุด ก็คือกระทู้ว่า Toyota 4A-GE 20 วาล์วกับ Honda B16A ใครแรงกว่ากัน นอกนั้นที่ฮิตกันคือกระทู้ตั้งด่าไฟหน้า Dragon Eyes ของ Isuzu ที่เป็นซีนอนยุคแรกๆ จะเห็นได้ว่ายุคไหนๆ ก็ตาม การเปรียบเทียบเกิดขึ้นเสมอ แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะเอาข้อมูลมาฟาดกันแล้วจบๆ ไป หรือต้องตะแบงเพื่อให้ชนะให้ได้

...

ต่อมาเมื่อกลุ่มรถซิ่งเริ่มกว้างขึ้นขยายใหญ่ ก็มีเว็บบอร์ดที่โด่งดังในหมู่คนชอบรถแต่ง ในยุค 2000 ต้นๆ ไม่มีใครเกิน RCWeb.net (RacingWeb.net) เว็บที่มีชื่อเสียงที่สุด คนเข้าเยอะสุด และขึ้นข้อความขณะนี้เซิร์ฟเวอร์กำลังเดี้ยงบ่อยสุด มีการแบ่งซอยออกเป็นคลับ เป็นกลุ่มย่อย เช่น แบ่งตามรุ่นรถ หรือแบ่งตามมหาวิทยาลัยที่แต่ละท่านศึกษาอยู่ ลิสต์ของจำนวนกลุ่มย่อยนี้นับไม่ถ้วน แต่พวกผู้ชายส่วนมากมีที่หนึ่งที่พวกมันจะไปชาร์จหัวใจ เรียกว่า “ห้อง Relax” ซึ่งสมัยนั้นจะมีตัวบอส (ถ้าจำไม่ผิดล็อกอิน ChrisMIVEC) นำภาพสาวๆ เด็ดๆ มาโพสต์อยู่เสมอ นั่นคือห้องในเว็บรถ ที่ไม่มีรถ และคนเข้าเยอะอันดับต้นๆ สมัยนั้นเรายังไม่มีสมาร์ทโฟนด้วย เจอรูปสาวคนไหนชอบๆ ก็เซฟลงเครื่อง ไว้เปิดดูหน้าคอมฯ หรือถ้าอาการหนักหน่อยก็ปรินต์ออกมา

...

ส่วนการดูสาว บอกเลยว่าจะยุคน้า หรือยุคนี้ ก็ไม่ต่างกัน ส่วนมากก็แบกกล้องไปงานโชว์รถแล้วไปถ่ายเอาทั้งนั้น ช่วงปี 2000-2005 นั้นคือยุคที่กล้องดิจิทัลเริ่มมาแต่กล้องฟิล์มก็ยังถูกใช้โดยคนจำนวนมาก เราจึงมีงานโพสต์หลายรูปแบบที่บางครั้งคนถ่ายต้องล้างรูปแล้วนำมาสแกนอัปโหลดแจกชาวบ้าน พริตตี้สวยๆ สมัยนั้นโอกาสดังไม่เยอะ แต่ถ้าคนไหนดังก็เรียกได้ว่ารู้จักกันทั่วประเทศ ยุคน้านี่ขอยกให้พริตตี้คู่แฝดของค่าย Mitsubishi น้องตุ๊กติ๊ก-ตุ๊กตา เป็นตัวอย่าง ป่านนี้เธอทั้งคู่อยู่ไหน? ถ้ายังอยู่ส่งเสียงหน่อย นอกจากนี้จริงๆ ยังมีอีกหลายคนที่ผมจำชื่อไม่ได้ แต่ยุคนั้นรู้กัน ถ้าสวย..ต้องมาบูธมิตซู ถ้าเห็นแล้วใจซู่ซ่า ต้องยกให้บูธ Subaru เขาจริงๆ

การมีเว็บบอร์ดนั้น นอกจากเราจะเข้าถึงรูปสาวๆ ได้ง่ายขึ้น จัดตั้งกลุ่มก๊กได้ง่ายขึ้น หาเรื่องทะเลาะกันง่ายขึ้นแล้ว มันก็ยังทำให้คนแต่ละกลุ่มสามารถนัดมีตติ้งพบปะกันได้ง่ายกว่าในยุค 90s ซึ่งสถานที่มีตติ้งก็มักหนีไม่พ้นปั๊มน้ำมัน สมัยหลานๆ นี้เขานัดกันที่ปั๊มบนทางด่วนแถวประชาชื่น สมัยน้า ก็จะเป็นปั๊มแถวเส้นประเสริฐมนูญกิจและประดิษฐ์มนูญธรรมไอ้ที่เขาเรียก Jet เก่า Jet ใหม่นั่นแหละ บางครั้งก็เป็นงานมีตติ้งทั่วไป แต่ถ้าเป็นวันหยุดกลางดึก ก็รู้กันว่านัดไปแข่งแบบวางเงินกันนั่นล่ะ สมัยนั้นรถไม่ต้องวิ่ง 300 ได้ แต่ 80-200 ต้องไว เลี้ยวต้องได้ ใจต้องหมาเวลามุด เพราะพวกซิ่งสมัยนั้นเล่นกันบนเส้นทางราบนี่ล่ะครับ ซึ่งอันตรายโคตรเพราะแถวนั้นก็มีผับมีคนเมาขับรถเยอะ ยุคนั้นจะมีผับชื่อ Yes, Indeed กลางคืนเรานั่งดูสาว ส่วนกลางวัน เราก็ไปแอบใช้ลานจอดรถเขาวางกรวยหัดขับจิมคาน่ากัน

...

สมัยนั้นรถของผมไม่ได้แรงเหมือนของเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน พวกขับ Supra บ้าง Porsche 993 บ้าง ผมมีแต่ Nissan เก่าๆ 150 แรงม้า แต่เราไม่ได้กลัวใครเลย เพราะถ้ารู้ตัวว่าแข่งยังไงก็แพ้ บางทีเราชอบไปดันพวกรถตัวแรงๆ ให้เขาด่าเล่น หรือดันให้เขารำคาญแล้วกดคันเร่งสุดเท้าหนี แล้วเราก็เปิดกระจกเอ็นจอยกับเสียงรถชาวบ้าน หลานๆ ว่าน้าโรคจิตไหม? สมัยนั้นมีคนโรคจิตแบบน้าเยอะนะ บางทีขับกลับบ้านดึกๆ เข้าเส้นประเสริฐฯ ติดไฟแดงเป็นคันแรก ไอ้คันข้างๆ เป็น Soluna รุ่นแรกสีทองแก๊แก่ ใส่ล้อ Desmond Regamaster EVO พ่นสีดำๆ มาจอดข้างๆ ถ้าเบิ้ลเครื่องใส่ เป็นอันรู้กัน “เอาไหม” ไอ้น้าก็เบิ้ลตอบสองที “เอาดิ” แล้วเราก็แค่รอให้ไฟเขียวสว่างขึ้น โอ้โหคุณ ไม่มีอะไรในโลกของนักเลงรถที่บาปหนักเท่าการทำให้รถตัวเองดูกระจอกอีกแล้ว สองเกียร์แรก Nissan ผมฉีกนำมาได้ พอสับสามปุ๊บ ได้ยินแต่เสียงปรู๊ดๆๆๆๆ เอี๊ยดๆๆๆ แล้ว Soluna สีทองก็กระโดดแควกขึ้นมาอยู่ข้างหน้ารถผม สับเกียร์อีกที ผมอ่านทะเบียนรถเขาไม่ออกแล้ว

จะบอกให้ว่าสมัยนั้น เวลาเจอพวกรถระดับ “จักรพรรดิ” อย่าง Supra หรือ Skyline พวกเราไม่ค่อยอยากยุ่งหรอกครับ เพราะบางคันทำมาแรงจริง แต่ที่ไอ้พวกผมกลัวจริงๆ คือพวกรถขับหน้าที่ดูธรรมดาๆ แต่แอบซ่อนเขี้ยวเล็บเอาไว้ ในยุคนี้คุณมีรถอย่าง BYD Seal ที่แค่ซื้อแล้วเอาไปวิ่งก็ควอเตอร์ไมล์ 12 วิแบบนิ่งวิ่งตรง แต่ยุคผมรถขับหน้าเกียร์ธรรมดา ไร้ระบบช่วยเหลือใดๆ ที่วิ่ง 12 วินี่ หน้ามันจะแหกซ้ายแถขวาตลอด ใครบอกขับหน้าแรงๆ เล่นง่ายกว่าขับหลัง แปลว่าคุณยังไม่เคยเจอขับหน้าตัวโหดๆ Soluna พวก 12 วินี่บางทีก็มาวิ่งเล่นกับรถบ้านม้าน้อยแต่พลังศรัทธาเยอะอย่างพวกเรา

ยุค 2000 ต้นๆ พวกตัวเล็กแต่โหดร้าย มักจะมาในรูปของ Honda ที่มีสติกเกอร์ DOHC VTEC หลายคนจะชอบบอกว่าพวกขับ Honda นั้นขี้โม้ แต่ประสบการณ์จากที่มีเพื่อนใช้ Honda แล้วลองวิ่งสนามกันอยู่หลายคัน ต้องยอมรับว่าในทางปฏิบัตินั้น รถเบา ขับหน้า แรงบิดไม่เยอะ แต่แรงม้าสูงมากๆ ให้เสถียรภาพตอนออกตัวดีกว่ารถเทอร์โบที่ขับหน้าเหมือนกัน ในขณะที่พอรอบสูง คู่แข่งสับเกียร์สูงไปแล้วหนึ่งดอก แต่ Honda ยังอยู่เกียร์เดิมและลากต่อได้ลื่นๆ ผมคือคนใช้ Nissan ที่พยายามทำรถไปไล่ฆ่า Honda แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าลงเงินไปเท่ากัน Honda ได้ม้ากลับมาเยอะกว่าใครในยุคนั้น ในระยะ 0-200 นั้น พวกรถวาง 1JZ-GTE หรือ RB เทอร์โบ หกสูบ 2.0-2.5 ลิตร ถ้าไม่ได้โมดิฟายเพิ่มไว้ป้องกันตัว บางทีก็โดนพวก Honda ที่ทำมา 230-240 แรงม้าฉีกยับคาถนนก็มี สมัยนั้นเลยมีสติกเกอร์ “เทศกาลกินเจ” แปะข้าง Honda บางคัน ซึ่งไม่ได้แปลว่าเจ้าของรถไม่กินสัตว์แต่ประการใด

ส่วนรถกระบะ ก็ไม่ใช่ว่าน้อยหน้านะครับ ตั้งแต่ยุค 90s เรามีกระบะแรงๆ บนถนนหลายคัน ถ้าไปวิ่งแถวปากน้ำ เจอดีเซลพวก L200 4D56 โหดๆ วิ่งทีควันดำปึ้ด แต่วิ่งนำพวก Cefiro หรือ 200SX เครื่องเบนซินหกสูบเทอร์โบเข้าเส้นได้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ยุค 2000s ต้นๆ นั้น เทรนด์แรงของกระบะ มักจะมาในรูปของการนำไปวางเครื่องเบนซิน โดยบล็อกยอดฮิตก็หนีไม่พ้น 1JZ หรือ 2JZ เพราะทนทาน ราคาถูก (สมัยนั้นนะ ถูก สมัยนี้ แพงเท่าชีพ) ต้องรอจนกระทั่ง Toyota เริ่มนำเทคโนโลยี Common-rail มาสู่รถกระบะโดยเริ่มก่อนใน Hilux Tiger D4D ซึ่งช่วงแรกๆ การโมดิฟายยังไม่แพร่หลายนัก ต้องรอให้ Hilux Vigo 2.5 และ 3.0 เผยโฉมมาก่อน การทำคอมมอนเรลแต่งแรงจึงเริ่มอุบัติขึ้น โดยการโมดิฟายพื้นฐานส่วนมาก..สมัยนั้นยังไม่มีกล่อง ECU Shop และยังไม่มีการรีแมป เราก็ใช้วิธี “ดันราง” คือเพิ่มแรงดันภายในราง Common-rail หรือใช้กล่องจูนยี่ห้อต่างๆ เช่น Mega-fire ของพี่หมูจูนเนอร์ หรือ F-Con iD สมัยนั้นพวก Honda ที่กินกระบะมาเยอะ เขาเลยชอบแปะสติกเกอร์ “ดันให้รางแตก ก็ไม่ได้แxกกูหรอก” แต่คันไหนที่ทำแรงจริง ก็วิ่งน่ากลัว เพียงแต่ต้องรอจนเกือบปี 2010 การโมดิฟายกระบะคอมมอนเรลจึงแพร่หลายในระดับที่ชาวบ้านก็เป็นเจ้าของกระบะ 14-15 วิควอเตอร์ไมล์ได้ไม่ยาก

ในยุคนั้น การที่เรามีเว็บบอร์ด มีคลับ ทำให้สามารถรวมกลุ่มและประชาสัมพันธ์งานต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ก็มีคนกลุ่มที่ริเริ่มจัดตั้งกลุ่มเพื่อทำการแข่งจิมคาน่า ซึ่งเป็นการขับรถ “วนกรวย” ฟังดูเหมือนง่าย แต่แค่จำว่าวิ่งทางไหนไม่ให้หลงก็ยากแล้ว จิมคาน่า หรือจริงๆ ต้องเรียกว่าออโต้ครอส (เพราะจิมคาน่าจริงๆ นอกจากแข่งซิ่งไปข้างหน้าแล้ว ต้องมีการถอยหลังด้วย) มักใช้ความเร็วไม่สูง โดยมากใช้เกียร์ 1-2 ไม่เกินนั้น แต่ความยากอยู่ที่การเลี้ยวรถให้ไปตามทางโดยห้ามชนกรวย จังหวะการเบรก การถ่ายน้ำหนัก การยกก้านเบรกมือ ตวัดพวงมาลัยคือจุดที่วัดว่าใครจะได้เวลาดีที่สุด จิมคาน่าไม่ต้องการรถพันม้า ไม่ต้องการล้อยางโต ไม่ใช้ความเร็วสูง จึงได้ทั้งความสนุก และปลอดภัย คนที่ส่งเสริมผลักดันจิมคาน่ากลุ่มแรกๆ คือ Club RT (Racing/Touring) ซึ่งรวมกลุ่มกันตั้งแต่สมัย pantip.com ยุคแรกๆ

หลายคนทุกวันนี้แก่แล้วก็ยังทำอาชีพ Instructor ให้บริษัทรถอยู่ น้องๆ ผมหลายคนที่เป็นนักแข่งจากยุคนั้น ก็ได้ใช้ทักษะจากคืนวันเหล่านั้น ทำให้เป็นคนขับรถที่ยังเก่ง ประสาทไวจนทุกวันนี้ แม้แต่ผู้หญิง ในยุค 2000 ต้นๆ ก็เล่นมอเตอร์สปอร์ตกันอย่างแพร่หลาย เพราะมารอแฟนแข่งจนเบื่อเลยแข่งเองซะเลย น้องทราย ภรรยาของช่างปณตพรที่ทำเครื่องรถผมหลายต่อหลายคัน ก็เป็นนักจิมคาน่าหญิงอยู่หลายปีจนโรคประจำตัวทำให้ต้องหยุดแข่งไป

นอกจากจิมคาน่าจะป๊อปปูลาร์มากแล้ว การแข่งขันที่เริ่มมาดังในช่วงหลังเปลี่ยนศตวรรษ ก็คือการดริฟต์ เพราะในช่วงนั้นมีหนังสือการ์ตูนเรื่อง Initial D ที่ตัวเอกดริฟต์ 86 ลงเขาชนะรถเครื่องแรงค่าตัวแพงหลายต่อหลายคัน อีกทั้งช่วงนั้นพวกเราเริ่มมีแผ่น DVD ญี่ปุ่น เริ่มดาวน์โหลดไฟล์วิดีโอเถื่อนผ่าน Bit Torrent (ซึ่งผมเรียกว่า Bit Torment เพราะกว่าจะได้ 699MB รอกันสองวัน) แล้วเราก็ได้ดูวิดีโอญี่ปุ่นอย่าง OPTION หรือ Best Motoring ที่มีปรมาจารย์ดริฟต์อย่างอาจารย์ Keichi Tsuchiya มาโชว์ สิ่งนี้นักเลงรถสมัยน้ามองว่าโคตรเท่เก๋เกินสัตว์โลกทั้งปวง ก็เลยมีการตั้งกลุ่มช่วยกันสอนดริฟต์ให้นักเล่นรถรุ่นน้องๆ พัฒนาจนกลายเป็นกลุ่มใหญ่ หรือทำการดริฟต์ให้กลายเป็นอีเวนต์ที่คนอยากมาเพื่อดู หนึ่งในนั้น ต้องขอบคุณ คุณป๊อป P-Style กับรถ S13 เต็ดจับ 80% ของเขา และนักดริฟต์ตั้งแต่ยุคสนาม BRC หลังซีคอนสแควร์อีกหลายคนที่ทำให้การดริฟต์ พัฒนามาจนเป็นสิ่งที่คงทนถาวรในมอเตอร์สปอร์ตไทยทุกวันนี้

เรียกได้ว่า ถ้าคุณอยากจัดมีตติ้งใหญ่ในยุคนั้น คุณต้องมีดริฟต์โชว์ หรือไม่ก็จิมคาน่าสเกลใหญ่ประเภทวิ่ง 2 แทร็กพร้อมกัน แล้วงานคุณจะมีคนมาดูเยอะ เราเคยมี Speed Party ที่ใหญ่ระดับโลกมาแล้วตั้งแต่ยุคนั้น มันคือสวรรค์ของคนเลือดออคเทน..ควันยาง กลิ่นเบนซิน เสียงเครื่องยนต์ที่ถูกเค้นจนร้องเป็นหมา สาวๆ พริตตี้...แฟนชาวบ้านที่ดันสวยแล้วเราได้แต่แอบมอง เครื่องดื่มเย็นๆ ทั้งหมดอยู่ในที่เดียวกัน

และยังมีอีกที่ ที่คุณจะได้ฟีลแบบนั้น แต่ไม่มีรถดริฟต์ ก็คือสนามคลองห้า (Bangkok Drag Avenue) ซึ่งเปิดในช่วงปี ค.ศ. 2005 รับช่วงต่อจากสนาม MCC รังสิตที่ปิดตัวลงไปหลายปีแล้ว คลองห้าคือที่จัดงานวัดฝีเท้ารถที่ควอเตอร์ไมล์แรงสุดในประเทศอย่าง Souped Up หรืองานที่รวมรถแรงจากทุกสารทิศ ทุกวรรณะ ขึ้นอยู่ว่าคุณไปในยุคไหน ในยุคแรกๆ ของสนามนั้น ผมกับเพื่อนตั้งชื่อสนามเสียใหม่ว่า “Cefiro and 200SX Drag Avenue” เพราะนั่นคือประชากรส่วนใหญ่ของโลกรถ Drag ในยุคนั้น เรียกได้ว่าเห็นจนเบื่อ แต่มันจะอยู่ที่ว่าใครเก่งพอจะกำราบม้า 7-800 ตัวให้เข้าเส้นชัยได้ตรงๆ ส่วนอู่นั้น ก็เอาอุดมการณ์มาแข่งกัน บางอู่จะดังจากการทำเครื่อง JZ-GTE บางอู่ก็จะเล่น RB แต่เราจะไม่ค่อยเห็นเครื่องอื่นนอกจากนี้ในสมัยนั้น ในหลายโอกาสก็จะมีพวกเครื่องโรตารี่อย่าง RX-7 มาวิ่ง พวกนี้เวลาต้องผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวข้างเส้นสตาร์ตทีไร ต้องเอามืออุดหู ไม่งั้นขี้หูได้ร่วง

สนามคลองห้า มักจัดงานวิ่งใหญ่ในวันเสาร์ รันตั้งแต่ตอนกลางวัน ไปจนดึกดื่น แต่ตัวผมเองกลับชอบไปนั่งดูวันศุกร์ ซึ่งเราเรียกว่าวันซ้อม เป็นวันที่คุณจ่าย 400 บาท เอาหมวกกันน็อกมาใส่แล้วจะขับรถอะไรลองไปวัดเวลาดูก็ได้ ในวันซ้อมแบบนี้เรามักได้เจอรถบ้านสเปกและหน้าตาวิ่งบนถนนได้ แต่บางคันจะมีของดีซ่อนอยู่ ในหลายครั้งผมก็ลองเอารถตัวเองลงไปวิ่ง เวลาเพื่อนโมดิฟายรถมา ก็จะลองมาวัดเวลาที่นี่ว่าสิ่งที่เราทำไปนั้นมันได้ผลสักกี่มากน้อย ซึ่ง..วรรคต่อไปนี้ไม่ได้ดูถูกใคร แต่คุณที่ซื้อ Tesla หรือ BYD Seal แล้วมานั่งตอกย้ำพวกเราที่โตมากับเครื่องสันดาปภายใน ว่ารถของพวกคุณแรงกว่า เงียบกว่า คุณไม่ได้เข้าใจว่าความสุขของคนเป็นนักเลงรถ คือการได้เห็นรถตัวเองดีขึ้น เวลาคุณใส่ช่วงล่างแต่งในรถ EV ของคุณแล้วมันขับดีขึ้น คุณแฮปปี้ยังไง เวลาพวกคนยุคปิโตรเลียมอย่างเรา ปรับจูนเครื่อง เปลี่ยนเทอร์โบ เปลี่ยนแคม ขัดพอร์ต เจียรฟลายวีล หรือทำอะไรลงไปแล้วรถมันแรงขึ้น มันก็คือการเสพสุขของเราแบบหนึ่ง

แล้วการจูนของพวกเราในยุคไม่มีสมาร์ทโฟนหรือ Social Media ต้องจูนโดยไปวิ่งหาความรู้กันอย่างเหนื่อยยาก แต่ละคนโชคดีไม่เท่ากัน เงินเยอะใช่ว่าจะได้ความรู้มากกว่า พวกผมไม่ได้มีเงินทอง แต่การทำรถของเราเน้นหาความรู้จากเว็บอื่นทั่วโลก สั่งตำราจากนอกมานั่งอ่านและแชร์กันในวง แล้วก็ไปทดลองทำให้รู้ว่าฝรั่งมั่วไหม ญี่ปุ่นมั่วไหม เราทำและต่อสู้กับกระแสของคนไทยที่เชื่อตัวเองจนไม่คิดจะศึกษาข้อมูลจากต่างประเทศ ผมจำได้ว่าเคยปะกับตัวเอ้ระดับใหญ่ของวงการที่อยู่สำนักชื่อดัง เพราะผมซื้อแคมชาฟต์รุ่นหนึ่งมาใส่รถตัวเอง พอบอกสเปกปุ๊บ เซียนท่านนี้บอกว่า ใส่ไม่ได้แน่นอนวาล์วโหม่งหัวลูกสูบฉิบหายหมดแน่นอน แต่ผมยืนยันว่า ใส่ได้ เพราะดูฝรั่งเอาแคมชาฟต์สเปกนี้ใส่เครื่องรุ่นนี้มา 20-25 คนแล้ว ไม่มีใครโหม่ง ท้ายสุด ช่างของผมก็ใส่ได้ วาล์วไม่โหม่ง และได้ม้าเพิ่มมา 40 ตัวหลังจูนเก็บงาน ผมก็ขับไปให้พี่เขาดูว่าใส่แล้วนะ ไม่โหม่ง พี่เขาก็พยักหน้ายอมรับ จริงๆ เราก็กวนส้น แต่โชคดีว่าเจอผู้ใหญ่ที่ “ใช่คือใช่ จบคือจบ” เลยไม่โดนไล่ถีบ หรือไม่โดนทำคอนเทนต์ด่าตามมาในภายหลัง

พอมาดูยุคนี้แล้ว อิจฉาคนเล่นรถยุคหลานกันชะมัด สมัยนี้ มิเตอร์อะไรต่อมิอะไร ต่อผ่านพอร์ต OBD II แสนง่ายสบายจริง สมัยพวกผมนี่ มิเตอร์บางตัวเป็นกลไก มิเตอร์วัดแรงดันน้ำมันเครื่องก็ต้องต่อสายน้ำมันเครื่องมาที่มิเตอร์ในห้องโดยสาร ประกอบพลาดหน่อยน้ำมันก็หก จูนรถ จะใส่กล่องจูนที ต้องเปิดผังสายไฟรถแล้วตัดเชื่อมบัดกรีสายให้ถูก บางรุ่นถ้าทำผิดคือช็อตกล่องเดี้ยง สมัยนี้รถเทอร์โบไม่ต้องแปะกล่องอะไรเลย ดูดไฟล์ออกมา ปรับจูนรีแมป ใส่กลับ บางรุ่นม้าเพิ่ม 30-40 ตัวโดยไม่ต้องทำอะไร คนเป็นเจ้าของรถ ทำรถได้ง่ายขึ้น แต่จริงๆ แล้วคนจูนรถ ยังต้องเผชิญความยากเท่าเดิมนะ แค่มาในรูปแบบที่ต่างไป งานดูเหมือนง่ายขึ้น แต่การแข่งขันกันแย่งลูกค้า ก็มากกว่าสมัยน้าเยอะเช่นกัน

โลกก็จะมีวิธีการถ่วงสมดุลของมันอย่างนี้ ฟังผมเล่าเรื่องคนเล่นรถยุค 2000s กันแล้ว อาจจะขำ หรือมองว่าพวกเราทำอะไรไร้สาระ ผมไม่ว่า เพราะผมเชื่อว่า 70% ของพฤติกรรมการเล่นรถของเรา ยังเหมือนเดิม คือมีการ เทียบ-ขิง-แข่ง-คุย-จับมือ-แล้วค่อยแทงเมื่อสบโอกาสหรือกลายเป็นมิตรแท้ ค่อยว่ากัน สังคมรถที่คุณกำลังง่วนอยู่กับมันในตอนนี้กับยุคผม ต่างกันแค่ปัจจัยทางเทคโนโลยีล่ะครับ..เท่านั้น จริงๆ แล้วลึกภายใน เรายังชอบความตื่นเต้น การแข่งขัน และการโหยหาความภาคภูมิใจ และการพยายามฝากฝีมือและรสนิยมไว้บนรถของตัวเอง..ข้อไหนไม่เหมือน...บอกได้นะครับ


Pan Paitoonpong