54 ปีที่ผ่านมา นักออกแบบและวิศวกรของ Mercedes-Benz ได้สร้างรถยนต์ต้นแบบที่มีความก้าวล้ำทั้งในด้านแนวคิด และการผลิตประกอบขึ้นทั้งคันซึ่งต้องใช้เทคนิคขั้นสูงในการประกอบโครงรถและตัวถัง ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 138 ปี มีน้อยแบรนด์ที่สามารถปฏิวัติวงการยนตรกรรมในยุคนั้นด้วยรถต้นแบบที่งดงามเหมือนกับ C111 ซึ่งเปิดตัวเมื่อเกือบ 55 ปีที่แล้ว ในงานแฟรงก์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ปี 1969 เป็นรถที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการออกแบบรถยนต์ในยุคนั้น เรียกได้ว่า C111. เหมือนหลุดออกมาจากอนาคตในอีก 50 ปีข้างหน้า.....


...

ย้อนกลับไปในปี 1968 โปรแกรมการวิจัยและทดสอบรถยนต์ต้นแบบ C111 ถือเป็นห้องทดลองเคลื่อนที่โดยไม่มีแผนงานที่จะผลิตออกขายแต่อย่างใดทั้งสิ้น Mercedes-Benz C111 มีรูปลักษณ์ที่ล้ำอนาคตไปไกล ทำหน้าที่เป็นรถยนต์ทดสอบสำหรับการพัฒนาระบบส่งกำลัง ระบบกันสะเทือน รวมไปถึงระบบอากาศพลศาสตร์หรือแอโรไดนามิกขั้นสูง กับเทคโนโลยีไฟฟ้ากำลังและอื่นๆ อีกเพียบ ภายใต้ตัวถังไฟเบอร์กลาสที่เพรียวบาง ซึ่งช่วยให้รถสามารถสร้างสถิติด้านความเร็วได้อย่างไม่ลำบากยากเย็นเท่าใดนัก



C 111 เป็นรถทดลองที่มีจุดประสงค์เพื่อทดสอบเทคโนโลยีอนาคตเมื่อของใหม่ทุกอย่างถูกผสมผสานเข้าด้วยกัน มันไม่ได้เกี่ยวกับการนำเครื่องยนต์โรตารี Wankel และแนวคิดเครื่องยนต์วางกลางมาปรับใช้เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวเนื่องกับดีไซน์ที่ซับซ้อนของแชสซีขั้นสูง ซึ่งประกอบเข้ากับตัวถังพลาสติก เหนือสิ่งอื่นใด มันยังมีการออกแบบที่เรียบง่ายและน่าทึ่งอีกด้วย

...
Mercedes-Benz C 111 มีสองเจเนอเรชันที่แตกต่างกันใน Mercedes-Benz weissherbst livery โดยที่รู้จักกันดีคือ C111 รุ่น II ซึ่งเฉลิมฉลองการเปิดตัวรอบปฐมทัศน์ที่งานเจนีวามอเตอร์โชว์ในฤดูใบไม้ผลิปี 1970 เมื่อเปรียบเทียบกับการเปิดตัวของ C111รุ่นแรกในงาน IAA รถต้นแบบ II มีความสมบูรณ์แบบอย่างชัดเจน ส่วนหน้าที่แตกต่างกันและการปรับปรุงโดยละเอียดต่างๆ ของตัวรถและอากาศพลศาสตร์ อย่างไรก็ตาม C 111 สร้างชื่อให้กับตัวเอง ไม่เพียงแต่สไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์และการพ่นสีส้มที่สวยงามเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเครื่องยนต์โรตารี Wankel ซึ่งขับเคลื่อนรถสปอร์ตในฝันที่สร้างขึ้นด้วยมือคันนี้


...



...
C111 มีชื่อเดิมที่วิศวกรของแบรนด์ตราดาวเรียกว่า C101 ก่อนที่ Peugeot จะคัดค้านกับรหัสตัวถังดังกล่าว เนื่องจากมีรถตราสิงห์เขย่งขาที่ใช้ชื่อว่า C101 อยู่ก่อนแล้ว แต่เดิม C111 ได้รับการติดตั้งเครื่องยนต์โรตารีสูบหมุน (Wankel) โดยเริ่มแรกมีโรเตอร์ 3 ตัว ต่อมาเครื่องยนต์โรตารีถูกพัฒนาให้มีโรเตอร์ถึง 4 ตัว ให้กำลังได้มากถึง 350 แรงม้า พลังงานของเครื่องโรตารีสี่โรเตอร์ปรับจูนจนใกล้เคียงกับกำลังของ Lamborghini Miura เครื่องยนต์ V12 ในยุคเดียวกัน แต่จากความยุ่งยากของเครื่องยนต์โรตารี ทำให้วิศวกรของ Mercedes-Benz ประสบปัญหาในการปรับแต่งเครื่องสูบหมุน โดยไม่สามารถทำให้เครื่องยนต์โรตารี Wankel ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบเหมือน Mazda ทำกับรถที่ผลิตออกขาย หลังจากนั้น ผู้บริหารระดับสูงของแบรนด์ตราดาวก็ออกคำสั่งให้ละทิ้งการพัฒนาเครื่องยนต์โรตารีสำหรับ C111 โดยหันไปหาเครื่องยนต์สันดาปภายในมาใช้ทดแทนเครื่องสูบหมุนแบบโรเตอร์

Mercedes-Benz นำเครื่องยนต์หลากหลายรุ่นโดยทดลองติดตั้งให้กับ C111-III เริ่มจากการใช้เครื่องยนต์ดีเซล OM617 แบบ 5 สูบ 20 วาล์ว กำลัง 228 แรงม้า แม้เครื่องดีเซลจะเป็นเครื่องยนต์ที่รอบไม่จัดเท่ากับเครื่องเบนซิน แต่ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศที่ต่ำเพียง 0.191 ทำให้ C111 สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 321 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในสนามทดสอบ Nardo ประเทศอิตาลี




54 ปีก่อน ตัวเลขความเร็วปลาย 321 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นสปีดความเร็วมากพอที่จะถูกบันทึกเป็นสถิติโลกได้หลายรายการ แต่วิศวกรของ Mercedes ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น มีช่างบางคนต้องการทดสอบอะไรบางอย่างที่โหดมากกว่าเครื่องดีเซล รถต้นแบบ C111 รุ่นต่อมา วางเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ ความจุ 4.8 ลิตร มีกำลังสูงถึง 500 แรงม้า ซึ่งขับเคลื่อนรถต้นแบบตราดาวให้ทำความเร็วปลายได้มากกว่า 404 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสถิติความเร็วดังกล่าว C111 ครองความเป็นเจ้าอยู่นานหลายสิบปีจนกระทั่ง Bugatti Veyron 1001 แรงม้า โผล่ออกมา แต่อย่าลืมว่า เครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ ของเจ้าตั๊กแตน C111 มีความจุแค่ 4.8 ลิตร เทียบไม่ได้กับเครื่อง W16 ความจุ 8.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบบ้าบอคอแตกอีก 4 ตัว! ซึ่งกลายเป็นที่มาของไฮเปอร์คาร์ปิศาจความเร็วอย่าง Veyron



มีรายงานว่าในช่วงเปิดตัว Mercedes-Benz C111 ถูกอกถูกใจลูกค้ามหาเศรษฐีทั่วโลกจนมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างล้นหลาม แต่แบรนด์ตราดาวก็ทำเป็นหยิ่งโดยไม่เคยนำไปผลิตออกขาย ในท้ายที่สุดมีการสร้างรถต้นแบบ C111 เพียงแค่ 16 คันเท่านั้น และคงใช้เวลานานกว่าจะตามหารถทั้ง 16 คันเจอ ครึ่งศตวรรษต่อมา มันยังคงดูล้ำสมัย จากรูปทรงแอโรไดนามิกของรถบวกกับความเร็วปลายคันเร่ง ซึ่งโดยภาพรวม ทำให้ C111 กลายเป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากที่สุดในยุค 70'.