Toyota Motor Thailand แถลงสถิติการจำหน่ายรถยนต์ปี 2566 พร้อมคาดการณ์ตลาดรถยนต์ไทยปี 2567 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567
สถิติการขายรถยนต์ในปี 2566
ปี 2566 เป็นปีที่ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังคงอยู่ในภาวะทรงตัว ตลาดรถยนต์ภายในประเทศมีทิศทางชะลอตัว ส่วนภาคการผลิตเพื่อส่งออกโดยรวมมีการขยายตัวที่ดีขึ้น ปัจจัยหลากหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาดในปีที่ผ่านมา (2566) ทั้งจากสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ กำลังซื้อที่ชะลอตัวลงจากหนี้ครัวเรือนสูง การชะลอซื้อรถยนต์ของภาคธุรกิจเพื่อรอความชัดเจนจากมาตรการของรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ขณะเดียวกันสถาบันการเงินก็เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถ ด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง


...

อย่างไรก็ตาม ยังพอมีปัจจัยด้านบวกอื่นๆ ที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวม เช่น สัดส่วนการขายของตลาดรถยนต์นั่งในประเทศที่ขยายตัวได้ดี โดยได้กระแสความนิยมในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ได้อานิสงส์จากมาตรการสนับสนุนด้านราคาของภาครัฐ ตลอดจนตัวเลขการส่งออกรถยนต์ของไทยที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากสัดส่วนการผลิตเพื่อส่งออกในช่วงที่ผ่านมา เพื่อชดเชยการส่งมอบรถที่ล่าช้าจากปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนสำคัญจนทำให้การผลิตล่าช้าออกไปในปีก่อนหน้านี้


ปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวได้สะท้อนมายังตลาดรถยนต์ในประเทศ โดยมีตัวเลขยอดขายรวมในปี 2566 อยู่ที่ 775,780 คัน หรือลดลง 9% เมื่อเทียบกับปี 2565
สถิติการขายรถยนต์ในปี 2566
ยอดขายปี 2566
ปริมาณการขายรวม 775,780 คัน ลดลง -9%
รถยนต์นั่ง 292,505 คัน เพิ่มขึ้น +10%
รถเพื่อการพาณิชย์ 483,275 คัน ลดลง -17%
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 325,024 คัน ลดลง -29%
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 264,738 คัน ลดลง -32%

...


ยอดขายรถยนต์ Toyota ในปี 2566 มียอดขายโดยรวมอยู่ที่ 265,949 คัน ลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ในอันดับ 1 หรือเท่ากับ 34.3% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ส่วนแบ่งทางการตลาดรถยนต์นั่งของ Toyota มีการเติบโตสูงขึ้นจากปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถอีโคคาร์ที่ยังคงสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ได้อย่างต่อเนื่อง จากความสำเร็จด้านยอดขายของรถยนต์ Yaris ATIV รวมถึงการมีรถยนต์รุ่นใหม่อย่าง Yaris Cross ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากนี้ การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดในรูปแบบต่างๆ ตลอดจนการมีผลิตภัณฑ์ยานยนต์ที่หลากหลายของ Toyota ก็มีส่วนทำให้สามารถเข้าถึงและใกล้ชิดกับลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ได้ดีขึ้น
...
นอกเหนือจากรถยนต์ภายใต้แบรนด์ Toyota ในปี 2566 ที่ผ่านมา แบรนด์ Lexus ประเทศไทย ประสบความสำเร็จ มียอดขายสูงสุด อยู่ที่ 1,012 คัน เป็นครั้งแรกที่ Lexus Thailand สามารถสร้างยอดขายได้สูงสุดถึงระดับกว่า 1,000 คัน แสดงถึงความไว้วางใจ และความมั่นใจของลูกค้าชาวไทยที่มีต่อแบรนด์เลกซัส



...
สถิติการขายรถยนต์ของ Toyota ในปี 2566
ยอดขายปี 2566
ปริมาณการขาย Toyota 265,949 คัน ลดลง -8% ส่วนแบ่งทางการตลาด 34.3%
รถยนต์นั่ง 99,292 คัน เพิ่มขึ้น +20% ส่วนแบ่งทางการตลาด 33.9%
รถเพื่อการพาณิชย์ 166,657 คัน ลดลง-19% ส่วนแบ่งทางการตลาด 34.5%
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 128,689 คัน ลดลง -27% ส่วนแบ่งทางการตลาด 39.6%
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 106,601 คัน ลดลง -28% ส่วนแบ่งทางการตลาด 40.3%


แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2567 คาดว่าจะยังคงอยู่ในสภาวะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปพร้อมๆ กับการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจโดยรวมทั้งหมด โดยมีปัจจัยรอบด้านที่จะส่งผลกระทบต่อภาพรวม อาทิ การเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น นโยบายของภาครัฐที่จะสนับสนุนการใช้จ่ายให้เร่งตัวขึ้น การขยายตัวของการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมภายในประเทศและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการผลักดันมาตรการสนับสนุนการลงทุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าดูสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลในด้านการส่งออก ตลอดจนสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูง และทิศทางของนโยบายอัตราดอกเบี้ยอีกด้วย ทำให้คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ในปี 2567 จะอยู่ที่ 800,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ประมาณการยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2567
ยอดขายประมาณการ ปี 2567
ปริมาณการขายรวม 800,000 คัน เพิ่มขึ้น +3%
รถยนต์นั่ง 296,500 คัน เพิ่มขึ้น +1%
รถเพื่อการพาณิชย์ 503,500 คัน เพิ่มขึ้น +4%

Toyota ตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 277,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 4% โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 34.6%
ประมาณการยอดขายรถยนต์ Toyota ในปี 2567
ยอดขายประมาณการ ปี 2567
ปริมาณการขายโตโยต้า 277,000 คัน เพิ่มขึ้น +4% ส่วนแบ่งทางการตลาด 34.6%
รถยนต์นั่ง 81,700 คัน ลดลง -18% ส่วนแบ่งทางการตลาด 27.6%
รถเพื่อการพาณิชย์ 195,300 คัน เพิ่มขึ้น +17% ส่วนแบ่งทางการตลาด 38.8%
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 133,264 คัน เพิ่มขึ้น +4% ส่วนแบ่งทางการตลาด 41.2%
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 114,500 คัน เพิ่มขึ้น +7% ส่วนแบ่งทางการตลาด 42.1%

ปริมาณการส่งออกรถยนต์และการผลิตของโตโยต้าในปี 2566
ในปี 2566 Toyota ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปจำนวน 379,044 คัน เพิ่มขึ้น 0.2% จากปี 2565 โดยยอดรวมการผลิตรถยนต์สำหรับการขายภายในประเทศและการส่งออกในปี 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 621,156 คัน หรือลดลง 5.8% จากปี 2565

ปริมาณการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปและการผลิตของ Toyota ในปี 2566
ปริมาณในปี 2566
ปริมาณการส่งออก 379,044 คัน เพิ่มขึ้น +0.2%
ยอดผลิตรวมทั้งส่งออกและการขายในประเทศ 621,156 คัน ลดลง -5.8%
เป้าหมายการส่งออกรถยนต์และการผลิตของ Toyota ในปี 2567
สำหรับเป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของ Toyota ในปี 2567 คาดการณ์ว่า ยังต้องเผชิญกับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่ำ ตลอดจนภาวะฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประเทศคู่ค้าที่ยังคงชะลอตัว ส่งผลให้ Toyota ตั้งเป้าปริมาณการส่งออกรถยนต์อยู่ที่ 358,800 คัน หรือลดลง 5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และได้ตั้งเป้าการผลิตรถยนต์ทั้งหมดของปี 2567 อยู่ที่ราว 615,700 คัน หรือลดลง 0.9% จากปีที่ผ่านมา

เป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปและการผลิตของ Toyota ปี 2567
ปริมาณในปี 2567
ปริมาณการส่งออก 358,800 คัน ลดลง -5.0%
ยอดผลิตรวมทั้งส่งออกและการขายในประเทศ 615,700 คัน ลดลง -0.9%
การดำเนินงานในด้านอื่นๆ ของ Toyota ในประเทศไทย


ปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากการดำเนินธุรกิจยานยนต์แล้ว Toyota ยังได้มีในการดำเนินงานในด้านต่างๆ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการสร้าง “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Carbon Neutrality) มีการเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง หรือ “Multiple Pathway” เพื่อทุกความเป็นไปได้ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการเดินทางของผู้คน โดยมีการร่วมมือกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น


1. การลงนามความร่วมมือระหว่าง Toyota Motor Corporation ประเทศญี่ปุ่น / เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP / บริษัท ทรู ลีสซิ่ง / บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCG, และ Commercial Japan Partnership Technologies Corporation หรือ CJPT เพื่อเร่งความร่วมมือในการมุ่งสู่การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในประเทศไทย โดยได้เริ่มต้นดำเนินการทดลองใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านข้อมูล ด้านการเดินทาง และด้านพลังงาน ซึ่งในปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินความร่วมมือที่เห็นเด่นชัดคือ การเปิดตัวเครื่องผลิตไฮโดรเจนจากก๊าซชีวภาพที่ได้มาจากมูลสัตว์ในฟาร์มสัตว์ปีกและเศษอาหารของซีพี และอาหารเหลือทิ้งจากโรงอาหารของ Toyota โดยนำพลังงานนั้นมาใช้กับรถพลังงานไฮโดรเจน ทั้งนี้ ความท้าทายต่อไป คือการเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน และการลดต้นทุนในกระบวนการทั้งหมดของขั้นตอน “การผลิต” “การขนส่ง” และ “การใช้” พลังงานโดยการใช้พลังงานทดแทนที่เหมาะสมกับสภาพ และการใช้งานในประเทศไทย นอกจากนี้ เพื่อปรับปรุงให้การขนส่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยการใช้ข้อมูล จะมีการนำข้อมูลด้านค้าปลีก และขนส่งจากซีพีและเอสซีจี รวมถึงการนำเทคโนโลยี “Digital Twin” (การสร้างโมเดลเสมือนจริงจากพื้นที่จริง) ของ Toyota มาเพิ่มประสิทธิภาพของ "การเดินทาง การขนส่ง และพลังงาน" โดยร่วมมือกับระบบทางสังคม เช่น การจัดการพลังงานและการควบคุมการจราจร เป็นต้น


2. การต่อยอดโครงการพัฒนาเมืองต้นแบบที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ ที่ Toyota ร่วมมือกับเมืองพัทยาในการจัดสร้างระบบนิเวศเพื่อรองรับการใช้งานยานยนต์พลังงานทางเลือกที่จัดเตรียมไว้ให้ผู้คนในเมืองพัทยาได้ทดลองใช้งานในการเดินทางรูปแบบต่างๆ ได้มีการต่อยอดไปสู่การเตรียมความพร้อมในการนำรถกระบะต้นแบบพลังงานไฟฟ้า 100% อย่าง Hilux REVO BEV มาให้บริการในรูปแบบรถโดยสารประจำทางสาธารณะแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวในเมืองพัทยา โดยพร้อมที่จะเริ่มทดลองให้บริการได้ภายในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้ภาพรวมของรถในโครงการทั้งหมดมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 4,000 ตัน ต่อปี

นอกจากนี้ ในด้านกิจกรรมสังคมอื่นๆ Toyota มุ่งสู่ ยุคแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย พร้อมทั้งเสริมสร้างสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม ผ่านการดำเนินกิจกรรมและขยายผลการดำเนินงานในโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนแสวงหาแนวทางการประสานความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีเป้าหมายเดียวกัน เพื่อมีส่วนช่วยผลักดันในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจและสังคมไทยต่อไป.