ย้อนกลับไปในปี 2004 Toyota master drive Mr. Hiromu Naruse นักขับทดสอบระดับปรมาจารย์ พร้อมด้วยหัวหน้าทีมวิศวกรของ Lexus Mr. Tanahashi ใช้ความพยายามอย่างที่สุดในการที่จะสร้างรถซุปเปอร์คาร์ของญี่ปุ่นที่มีศักยภาพมากพอในการเทียบเคียงกับซุปเปอร์คาร์ของยุโรป หลังจากรับคำสั่งโดยตรงมาจากประธานบริหาร Toyota ทีมพัฒนารถสปอร์ตต้นแบบได้ย้ายฐานการทดสอบไปที่สนาม Nurburgring ในเยอรมนี สำหรับค่ายผู้ผลิตรถยนต์แล้ว สนามทดสอบ Nordschleife ใน Nurburgring คือสถานที่ที่มีความเหมาะสมในการทดสอบประสิทธิภาพของตัวรถต้นแบบ นี่คือที่ๆ LFA คันต้นแบบจะถูกนำมาวิ่งทดสอบ สนามความยาว 20 กิโลเมตรแห่งนี้ เป็นที่รู้กันดีว่ามันคือสนามแข่งสุดคลาสสิกที่มีความโหดร้ายและอันตรายแฝงอยู่

...

เป็นเวลาถึง 4 ปีเต็มกับการทำงานของนักขับทดสอบ และทีมวิศวกรที่เกี่ยวข้องกับงานวิศวกรรมบนตัวรถ ทั้งจุดที่เป็นหลุม เป็นเนิน โค้ง และทางตรงยาวสุดสายตาที่มีอยู่นับไม่ถ้วนบน Nordschleife การพัฒนาของทีมวิศวกรผู้สร้าง LFA จะต้องทำให้เสร็จสิ้นก่อนเส้นตายที่ตัวรถจะถูกส่งลงสู่สายการผลิต ในปี 2008 รถต้นแบบ LFA จำนวน 2 คัน ถูกส่งลงไปทดสอบบนสนามแข่งแบบมาราธอน 24 ชั่วโมง ใน Nurburgring 24h ข้อมูลต่างๆ ของตัวรถขณะทำการแข่งขันถูกจดบันทึกแล้วนำตัวเลขของค่าต่างๆ ที่ได้รับมาปรับใช้กับรถ LFA ที่จะผลิตออกขาย การแข่งขันสุดโหดทำให้ Lexus สามารถพัฒนาตัวรถได้เป็นอย่างดี การทดสอบที่กระทำกันอย่างต่อเนื่องมาประสบผลสำเร็จในปี 2009 รถแข่ง LFA ที่ถูกปรับแต่งคว้าชัยชนะครั้งสำคัญ ในที่สุด Tanahashi ก็ประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ และในปี 2010 LFA คันแรกสุดก็ออกจากสายการผลิตของโรงงาน Lexus ในญี่ปุ่น

...

ปี 2011 รถ LFA รุ่นพิเศษถูกเปิดตัวภายใต้ชื่อ Nurburgring เพื่อเป็นเกียรติแก่สนามแห่งนี้ และเป็นการรำลึกถึงอาจารย์ Hiromu Naruse ผู้ที่ทำการพัฒนา ซึ่งถือได้ว่าเป็นอาจารย์ใหญ่ของ Morizo นานมาแล้วที่สนาม Nurburgring แห่งนี้ เป็นจุดกำเนิดของรถสปอร์ตสมรรถนะสูง รถ LFA Nurburgring มีเครื่องยนต์ V10 ที่ถูกปรับแต่งให้มีกำลังมากยิ่งขึ้น แรงม้าเพิ่มเป็น 571 แรงม้า พลังที่เพิ่มขึ้นนี้ต้องอาศัยแรงกด หรือ downforce มากยิ่งขึ้น เพื่อให้รถยึดเกาะกับผิวถนนได้ดีขึ้นกว่ารุ่นปกติ สปอยเลอร์หลัง หรือวิงหลังขนาดใหญ่จึงถูกนำมาติดตั้ง ปีกที่ด้านหน้ากันชนซ้ายและขวาเข้ามาช่วยเพิ่มแรงกดให้มากขึ้น โช้คอัพที่เตี้ยลงอีก 10 มิลลิเมตร (จากสปริงแบบพิเศษ) และมีค่าที่แข็งขึ้นกว่าปกติ ช่วยทำให้ LFA Nurburgring มีความเหมาะสมกับสนามแข่งความเร็วสูง เมื่อรถรุ่นพิเศษคันนี้มีแรงบิดเพิ่มขึ้น ระบบส่งกำลังซึ่งเป็นเกียร์ไฟฟ้าจึงถูกปรับแต่งให้ดีขึ้นตามไปด้วย การปรับแต่งเพื่อลดระยะเวลาในการเปลี่ยนถ่ายอัตราทดขึ้น-ลงให้เหลือน้อยที่สุด ชุดเกียร์ของ LFA Nurburgring มีการทำงานที่ว่องไวมาก การผลิต LFA รุ่น Nurburgring เพียงแค่ 50 คัน แต่ละคันมีมูลค่าสูงกว่า LFA รุ่นมาตรฐานประมาณ 70,000 เหรียญ

...

...

เบาะหนังในรุ่นมาตรฐานถูกยกออกไป แล้วแทนที่ด้วยเบาะแข่งของ Recaro ยาง Bridgestone Potenza RE070 มีขนาดใหญ่ขึ้น และถูกออกแบบมาสำหรับลงทำการแข่งขัน ความสูงของช่วงล่างลดลง 10 มิลลิเมตร จากโช้คอัพเดิม และสปริงแบบใหม่ แผ่นสปลิตเตอร์ที่ใหญ่ขึ้น และปีกเล็กที่ด้านข้างของกันชนหน้าที่เรียกว่า Canard ทำจากคาร์บอน ทั้งหมดทำให้น้ำหนักตัวของ LFA Nurburgring ลดลงอีก 10 กิโลกรัม เกียร์เปลี่ยนได้เร็วขึ้น จาก 0.20 วินาที มาเป็น 0.15 วินาที เร็วพอๆ กันกับเกียร์ของ Ferrari FF

การนำเอาวัสดุผสมประเภทเส้นใยคาร์บอน และอะลูมิเนียมมาใช้ ถือเป็นเรื่องปกติที่วงการซุปเปอร์คาร์นิยมนำมาประกอบขึ้นเป็นตัวรถ โดยมุ่งเน้นไปที่การลดน้ำหนัก แต่มีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น ตัวถังของ Lexus LFA มีความเบามากกว่าทั้ง Aston Martin DBS และ Ferrari 599 ซึ่งรถสปอร์ตจากฝั่งยุโรปทั้งสองค่ายใช้อะลูมิเนียมมาทำเป็นโครงรถ แต่ Lexus LFA ใช้ทั้งคาร์บอนคอมโพสิต และอัลลอยส่วนผสมพิเศษมาขึ้นรูปเป็นแชสซี โครงสร้างตัวถัง และชิ้นส่วนต่างๆ มากถึง 65% จากน้ำหนักของตัวรถ โดยมีอัตราการกระจายน้ำหนักที่เกิดจากการวิเคราะห์ในสนามแข่งขันจนมีค่าที่เหนือกว่าทั้ง Porsche 911/997 Turbo และ Ferrari 599 GTB จากข้อมูลในการประมวลผลที่ได้รับในการวิ่งทดสอบในสนามแข่งรถของเยอรมนี ที่ Nurburgring ระบบแอร์โร่ไดนามิกที่เกิดจากการทดสอบทางอากาศพลศาสตร์ของ Lexus LFA เกิดขึ้นจากความคิดที่เรียบง่ายด้วยการทำให้อากาศไหลผ่านบริเวณใต้ท้องรถ เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าอากาศที่ไหลผ่านตัวถังด้านบนด้วยการใช้หลักการ "ล่างไหลเร็วกว่าบน" ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือแรงกด หรือค่า Down force ที่สูงขึ้นเมื่อวิ่งด้วยความเร็ว ซีลปิดใต้ท้องเพื่อลดกระแสหมุนวนของอากาศช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และความเสถียรให้กับ Lexus LFA เมื่อทำความเร็ว

อากาศที่ไหลผ่านตัวถังด้านบนทั้งหมดถูกทำให้เคลื่อนที่ช้าลงเพื่อนำมาสู่แรงกดของตัวรถ ซึ่งเป็นหน้าที่ของครีบ และท่อดักอากาศที่ทำเป็นพอร์ตอยู่ในบริเวณทั่วทั้งคัน เช่น สปอยเลอร์หน้าขนาดใหญ่ และมีช่องทางนำอากาศเข้าถึงสามช่อง ช่องตรงกลางที่มีขนาดใหญ่สุดใช้ในการนำเอาอากาศเข้าไประบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์ และนำส่วนหนึ่งไปที่ท่อไอดี ส่วนสองช่องทางด้านซ้ายและขวาทำหน้าที่ระบายความร้อนให้กับ Oil Cooler ของระบบหล่อลื่นแบบ Dry Sump และเป่าลมเย็นให้กับจานดิสแบบคาร์บอนเซรามิก ชายล่างของประตู และมุมขอบเสาหลังมีปล่องดักอากาศที่ใช้ทั้งการเพิ่มแรงกด และระบายความร้อนให้กับชุดเบรกหลัง และหม้อน้ำที่อยู่ในตำแหน่งประหลาดที่สุด (หม้อน้ำทั้งคู่อยู่หลังซุ้มล้อหลัง)

วิงหลังอัตโนมัติที่มีการทำงานร่วมกันระหว่างมอเตอร์ขนาดจิ๋ว และตัวตรวจจับสปีดของรถ ในสภาวะปกติที่ใช้ความเร็วต่ำ วิงหลัง หรือ Active Rear Wing ของ Lexus LFA ในรุ่นปกติจะถูกพับเก็บอยู่บนขอบของฝาท้าย และจะทำงานด้วยการยกตัวขึ้นทันทีที่ความเร็วเกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมการทำงานในระบบอัตโนมัติด้วยการแปรผันองศาของ Wing ไปตามความเร็วของตัวรถเพื่อเพิ่ม หรือลดค่าแรงกดของอากาศด้วยการใช้งานอย่างสูงสุดในทุกย่านความเร็ว ส่วนวิงหลังของรุ่นพิเศษ LFA Nurburgring ซึ่งทำจากคาร์บอนคอมโพสิต จะถูกยึดติดตายกับฝาท้ายแบบของรถแข่ง

เครื่องยนต์วางด้านหน้าตามยาว V10 สูบ ความจุ 4.8 ลิตร 4,805 ซีซี ไม่มีระบบอัดอากาศ ตำแหน่งของเครื่องยนต์ถูกร่นให้เข้าหากึ่งกลางของตัวรถมากที่สุดเพื่อการกระจายน้ำหนักที่เน้นความสมดุลสูงสุด เครื่องตัวนี้ทำตัวเลียนแบบเครื่องยนต์ V10 ของรถแข่ง F1 โดยไม่มีระบบอัดอากาศใดๆ ทั้งสิ้น เครื่องยนต์หายใจด้วยตัวเอง โดยนำเทคโนโลยีที่ใช้ในรถแข่ง F1 ของทีม Toyota เข้ามาผนวกกับการออกแบบชิ้นส่วนทั้งภายนอก และภายในตัวเครื่อง รวมถึงระบบนำอากาศเข้าสู่ไอดี แคมชาร์ป วาล์วไอดีระบบแปรผันแบบใหม่ล่าสุดทั้งสองฝั่ง Dual VVT-i และระบบระบายความร้อนที่ใช้หม้อน้ำสองใบที่ติดตั้งอยู่ใกล้กับซุ้มล้อหลัง ระบายพร้อมกันทั้งสองฝั่ง ต้นกำลังของ LFA สร้างแรงม้าได้ถึง 552 ตัว พร้อมแรงบิด 480 นิวตันเมตร แต่แรงบิดของมันยังคงด้อยกว่า Ferrari California อยู่เล็กน้อย ทั้งที่ความจุของเครื่องยนต์ V8 ใน Ferrari California ต่ำกว่า Lexus LFA อยู่ถึง 300 ซีซี ระบบส่งกำลังเกิดจากเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ASG ที่สามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ขึ้น-ลงได้ในเวลาเพียง 0.2 วินาที (ในรุ่น Nurburgring เกียร์จะเปลี่ยนไวขึ้นที่ 0.15 วินาที)

ชุดเกียร์ถูกนำไปรวมอยู่กับชุดเฟืองท้ายเหมือนกับ Aston Martin DBS โดยมีเพลากลางทำจากคาร์บอนไฟเบอร์เชื่อมต่อกับเครื่องยนต์ที่ด้านหน้า เพื่อเหตุผลของการเฉลี่ย และลดน้ำหนักให้มีความสมดุลทั่วทั้งคัน หม้อน้ำอะลูมิเนียมทั้งสองใบมีพัดลมไฟฟ้าขนาดใหญ่เมื่อบวกกับดีไซน์ประหลาดในการนำมันมาไว้ด้านหลัง เนื่องจากการใช้ประโยชน์ของพื้นที่โครงสร้าง และการนำเอาอากาศความเร็วสูงท่ีไหลมายังส่วนบนช่วยระบายความร้อน ในขณะเดียวกันท่อเพื่อปลดปล่อยกระแสลมให้ออกไปทางด้านหลังสามารถถ่ายเทลมได้อย่างไร้ขีดจำกัด น้ำหนักรวมทั้งคันประมาณ 1,580 กิโลกรัม ตามระดับของการตกแต่งที่สามารถเลือกออปชันระบบอำนวยความสะดวกได้อีกเพียบ โครงสร้างรอบห้องโดยสารประกอบขึ้นจากวัสดุ CFRP หรือ Carbon Fiber Re-Inforced Plastic โดยนำเส้นใยเหล่านั้นมาถักทอขึ้นเป็นรูปทรงของชิ้นส่วนตามต้องการ มีคุณสมบัติในการรับแรงไม่แตกต่างไปจากเหล็กกล้า จากนั้นจึงนำเอาชิ้นส่วนที่ขึ้นรูปมาเชื่อมต่อกันเป็นโครงรถด้วยการประกอบด้วยมือของช่างแทนที่การประกอบด้วยหุ่นยนต์ เพื่อความละเอียด และแม่นยำประณีตสูงสุด

พวงมาลัยที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าถูกนำเข้ามาติดตั้งในรถทดสอบ และสามารถทำได้ตามค่าที่วิศวกรของ Toyota ตั้งไว้ Lexus LFA จึงใช้มันแทนพวงมาลัยพาวเวอร์ที่ใช้ระบบน้ำมันไฮดรอลิกแรงดันสูง เนื่องจากปัญหาของการกินกำลังจากเครื่องยนต์ และชิ้นส่วนต่อเชื่อมที่มากกว่า พวงมาลัยแบบไฟฟ้า การทำงานของพวงมาลัยไฟฟ้าในรถ LFA แบบอัตราทดคงที่สื่อสารกับผู้ขับได้ในระดับที่ดีสามารถถ่ายทอดความรู้สึกและสัมผัสจากผิวถนนได้ดีกว่า เนื่องจากมันมีระบบช่วยทรงตัว ESP ที่จะทำงานในระดับสูงสุดทุกครั้งที่ตัวรถเสียอาการ ทำให้พวงมาลัยพาวเวอร์แบบเก่าหมดความหมายไปโดยปริยาย ส่วนระบบกันสะเทือน ด้านหน้าของ Lexus LFA ใช้แบบดับเบิลวิชโบนพร้อมเหล็กกันโคลงที่มีการปรับตั้งให้ทำงานประสานไปกับพวงมาลัยไฟฟ้าได้ดี ส่วนด้านหลังจะใช้แบบมัลติลิงก์ โดยชิ้นส่วนของช่วงล่างจำนวนมากใน Lexus LFA จะทำจากอะลูมิเนียม และสามารถปรับตั้งได้ถึงสามระดับ

Lexus LFA Nürburgring Package ทำเวลาต่อรอบในสนามนรกเขียว ที่ 7 นาที 14.64 วินาที ในสนาม Nürburgring Nordschleife ซึ่ง LFA Nürburgring วิ่งในสนามสุดโหดได้เร็วกว่ารถ Ferrari 488 GTB, Porsche 911 GT2 RS (997) และช้ากว่า Porsche 918 Spyder นิดเดียวเท่านั้น LFA Nürburgring ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 3.8 วินาที วิ่งควอเตอร์ไมล์ในเวลา 11.7 วินาที ที่ความเร็ว 201 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ชัดเจนว่ามันเร็วกว่า Ferrari 599GTB Fiorano เครื่อง V12 ที่มีกำลัง 612 แรงม้า

งานประกอบที่เน้นความละเอียดประณีตในระดับสูงสุดทำให้เกิดความล่าช้า แต่ไม่ได้ ก่อปัญหาใดๆ ในขั้นตอนของการทำงาน หัวหน้าวิศวกรของ Lexus Mr. Yamanaka อบรมพนักงาน และช่างทุกคนให้ทำงานช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง โดยคำนึงถึงความแม่นยำเป็นหลัก เนื่องจากพนักงานทุกคนในโรงงานแห่งนี้กำลังประกอบจักรกลที่มีคุณภาพ และเพื่อเป็นการรับประกันคุณภาพของงานที่ออกมาจึงจำเป้นต้องใช้เวลามากกว่า ปกติซึ่งหมายถึงการทำงานล่วงเวลา เพื่อให้สายการผลิตเป็นไปตามที่ผู้บริหารกำหนด คือรถ LFA หนึ่งคันต่อหนึ่งวัน ที่จะต้องวิ่งออกจากโรงงานไปยังบ้านของลูกค้า การผลิตออกมาเพียงแค่ 500 คัน ทำให้รถ Lexus LFA ต้องยุติสายการผลิตลงเมื่อครบสองปี และทำให้มันกลายเป็นรถที่มีความพิเศษมาก ผู้บริหารของค่ายหัวลูกศรไม่มีแผนที่จะผลิตเพิ่ม ราคาของ LFA อยู่ที่ 375,000 เหรียญยูเอส หรือคิดเป็นราคารวมภาษีของประเทศไทยจะอยู่ที่ประมาณ 53 ล้านบาท เป็นเรื่องที่ยากมากหากคิดจะหากำไรจากการผลิตในรูปแบบลิมิเต็ดอิดิชั่นเพียงแค่ 500 คัน ซุปเปอร์คาร์ LFA ถือเป็นรถถนนที่แพงที่สุดของญี่ปุ่น แม้จะมีราคาแพงระยับ แต่เมื่อคิดต้นทุนของการวิจัย พัฒนา และสร้างขึ้นมาทั้งคันแล้ว งานนี้ขอบอกว่า Lexus ขาดทุนย่อยยับแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำกันเลยทีเดียว แต่การผลิต LFA ออกมาได้ยกระดับแบรนด์ Lexus ให้เป็นที่ยอมรับทั่วโลก ตำนานของ LFA จะทำให้ลูกค้าพึงพอใจอย่างมากกับรถทุกคันของ Lexus ที่ผลิตออกขาย

Lexus สร้าง LFA ตั้งแต่ปี 2010 ถึง 2012 และผลิตออกมาทั้งหมด 500 คัน โดย 450 คัน เป็นรถ LFA รุ่นมาตรฐาน อีก 50 คัน เป็นรุ่นพิเศษ LFA Nurburgring ที่เพิ่มม้าอีก 10 ตัว คาร์บอนไฟเบอร์ และการปรับแต่งกระปุกเกียร์ ในปี 2560 ทางบริษัทได้ประกาศว่าจะเหลือจำนวน 12 ตัว การประกาศดังกล่าวทำให้เกิดยอดขายที่บูม โดยมียอดขาย 3 คันในปีนั้น อีก 2 คันในปี 2018 และอีก 3 คันในปี 2019 ดังนั้น ณ ปัจจุบันนี้ยังมี Lexus LFA ใหม่เอี่ยมอยู่อีกสี่คัน ซึ่งคาดว่าน่าจะมีราคาทะลุ 1.6 ล้านเหรียญ จากการประมูล (56,688,000 บาท ยังไม่รวมอัตราภาษีนำเข้า 300%++)

Lexus LFA Specifications

แบบสปอร์ตสองประตูสองที่นั่ง
ลักษณะการวางเครื่องยนต์ เครื่องยนต์วางด้านหน้าทำมุม 70 องศา ขับเคลื่อนล้อหลัง
เครื่องยนต์ V10 สูบ 40 วาล์ว 4 วาล์วต่อสูบ ดับเบิลโอเวอร์เฮตแคม
ปริมาตรความจุ 4,805 ซีซี
แรงม้าสูงสุด 562 แรงม้า ที่ 8,800 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร ที่ 6,800 รอบต่อนาที
อัตราส่วนแรงม้าต่อลิตร 114.6 แรงม้า/ลิตร
อัตราส่วนกำลังอัด 12:0:1
ระบบจ่ายเชื้อเพลิง หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์
ฝา สูบ/ลูกสูบ อะลูมินัมอัลลอยด์
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ใน 3.8 วินาที
ความเร็วสูงสุด 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ระบบส่งกำลัง เกียร์เซมิออโต้ ASG 6 สปีด
ระบบกันสะเทือน
ด้านหน้า ดับเบิลวิชโบน คอยสปริง เหล็กกันโคลง
ด้านหลัง มัลติลิงก์ คอยสปริง เหล็กกันโคลง
ล้อ และยาง
ด้านหน้า 265/35/ZR 20 95Y Bridgestone RE070
ด้านหลัง 305/30/ZR20 99Y Bridgestone RE070
ระบบเบรก
ด้านหน้า จานดิสเบรกคาร์บอน 390 มิลลิเมตร คาร์ลิปเปอร์ 6 สไลด์ลูกสูบ
ด้านหลัง จานดิสเบรกผสม 360 มิลลิเมตร คาร์ลิปเปอร์ 4 สไลด์ลูกสูบ
มิติตัวถัง
ความกว้าง 1,895 มิลลิเมตร
ความยาว 4,505 มิลลิเมตร
ความสูง 1,220 มิลลิเมตร
น้ำหนัก 1,480.73 กิโลกรัม
จำนวนการผลิต 50 คัน
ราคาประมาณ 55 ล้านบาท

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/