ความเปลี่ยนแปลงใหญ่อย่างหนึ่งในวงการรถยนต์บ้านเราปีนี้ก็คือ การขยับมาตรฐานทางมลภาวะของเครื่องยนต์และน้ำมันเชื้อเพลิงไล่ตามกระแสของโลก ซึ่งบ้านเรานั้นใช้มาตรฐาน EURO 4 มานานมากตั้งแต่ปี 2012 แล้ว และแรกเริ่มเดิมที มีดำริที่จะบังคับใช้มาตรฐาน EURO 5 ในปี 2021 แต่ด้วยอุปสรรคที่เกิดจากโรคระบาด COVID-19 ทำให้รัฐบาลชะลอการปรับเปลี่ยนโดยผ่อนผันเลื่อนกำหนดจากเดิม เป็น 1 มกราคม 2024 และมีทีท่าว่าจะยินยอมให้มีช่วงเวลาปรับตัวเพิ่มในไตรมาสแรกของปีเพื่อให้ทั้งบริษัทรถยนต์และสถานีบริการน้ำมัน มีเวลาในการปรับตัวตามมากขึ้น

...

เราคงไม่ต้องพยายามขุดตัวเลขหรือมาตรฐานใดๆ มาเทียบให้ดูในบทความนี้ เพราะมันจะยาว แต่ EURO 5 หรือ 6 สำคัญว่า EURO คัสตาร์ดเค้กและดีกว่า EURO 4 ยังไงนั้น ก็พูดได้ว่า มันคือมาตรฐานของมลภาวะที่ตั้งขึ้นโดยทางยุโรป และนับเป็นมาตรฐานสากลในการวัดระดับการปล่อยมลภาวะของเครื่องยนต์และน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องสอดคล้องกัน มลภาวะที่น้อยลงสำคัญตรงไหน ก็ลองไถ Facebook คุณแล้วอ่านคำบ่นของเพื่อนๆ ที่ต้องทำงานในเขตเมือง หรือโดยสารระบบขนส่งสาธารณะภาคพื้นดินที่ไม่มีระบบปรับอากาศ หรือแม้แต่ตัวท่านเองเคยตื่นมารับอากาศยามเช้าแล้วอาจจะพบว่ามีอาการแสบจมูก มีเลือดออกบางๆ ในโพรงจมูกหรือไม่..อย่าเพิ่งไปโทษควันจากเพื่อนบ้านครับ ควันจากการใช้ชีวิตของพวกเราส่วนใหญ่นี่ล่ะคือส่วนหนึ่งที่สร้างมลภาวะ อากาศเป็นพิษที่เรากำลังเผชิญอยู่ในเมือง

มาตรฐาน EURO นั้น เขาก็จะวัดค่าความเลวของมลพิษโดยพิจารณาจากปริมาณกำมะถันปนในน้ำมัน และในส่วนของเครื่องยนต์ก็จะพิจารณาเรื่องคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ไฮโดรคาร์บอน (HC) และสารมลพิษอนุภาค (PM) โดยวัดเป็นหน่วยกรัม/กิโลเมตร ตามกฎเกณฑ์และวิธีการวัดแบบของเขา ซึ่งแต่ละตัวนั้น มีความแสบอย่างไร กำมะถัน หลังเผาไหม้เสร็จ ก็กลายเป็นซัลเฟอร์ไดออกไซด์ สูดดมมากๆ ก็จะทำลายเนื้อเยื่ออ่อนในโพรงจมูกของเรารวมถึงเนื้อเยื่อลูกกะตา โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ส่วน CO นั้นถ้าสูดดมมากๆ เลือดในร่างกายของคุณจะมีความสามารถในการเก็บออกซิเจนน้อยลง คุณต้องหายใจถี่ขึ้นเพื่อให้ได้ปริมาณออกซิเจนเท่าที่เคยได้ หากยังได้รับในปริมาณอันตรายต่อไป ร่างกายจะเข้าภาวะขาดออกซิเจนและตายในที่สุด

...

พูดง่ายๆ คือ เจ้าตัวแสบเหล่านี้ทุกตัวฆ่าคุณทางตรงและทางอ้อมด้วยการทรมานระบบหายใจจนเสื่อม แสบ ระคาย ทรมาน ซึ่งมนุษย์ที่อยู่ในห้องแอร์ หรือในรถมีเครื่องฟอกอากาศดีๆ ตลอดจะไม่มีทางทราบความทรมานนี้เลยในอดีต แต่ปัจจุบัน มลพิษเหล่านี้ไปถึงหน้าบ้านพวกเราตามชานเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แล้วถ้าเป็นแบบนี้ คุณควรจะแฮปปี้นะครับที่มาตรฐาน EURO 5 ที่บังคับใช้ปีนี้ เขากำหนดให้เจ้าพวก “ตัวแสบ” ทั้งหลายในย่อหน้าข้างบนนี้ มีค่าน้อยลงกว่า EURO 4 ราว 3-5 เท่า และถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนแบบไม่มีเลื่อนกันอีก ภายในปี 2025 รถเบนซินขนาดเล็กจะขยับไปสู่มาตรฐาน EURO 6 ซึ่งเข้มข้นเรื่องการลด NOx ลงไปอีก และ 2026 ถึงจะเป็นคิวของรถเบนซินขนาดใหญ่ และรถดีเซลทั่วไป

...

ซึ่งการปรับมาตรฐานมลภาวะนี้ ส่งผลกระทบอย่างไร? มันคือสิ่งที่จะมาเพิ่มค่าใช้จ่ายแน่นอน ไม่ใช่แค่กับผู้บริโภคคนซื้อรถใช้ท้ายน้ำเท่านั้น แต่บรรดาบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ หรือโรงกลั่นน้ำมัน ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เราต้องเลือกแล้วว่าเราจะอยากเสียเงิน หรืออยากเสียชีวิตแบบผ่อนส่ง

ในส่วนของคนซื้อรถคนใช้รถนั้น หากคุณเป็นเจ้าของรถรุ่นเก่าที่ทำมารองรับ EURO 4 อยู่แล้ว เช่นรถดีเซล รถกระบะที่ผลิตก่อนปี 2024 เดือนมกราคม แล้วต้องไปใช้น้ำมัน EURO 5 คุณสบายใจได้ในเรื่องผลกระทบที่มีต่อเครื่องยนต์ เพราะไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แถมเผาไหม้ได้หมดจดขึ้นด้วยซ้ำ ส่วนในเรื่องราคาน้ำมันที่จ่ายนั้น ก็ได้ข่าวว่ากรมธุรกิจพลังงาน จะพยายามตรึงราคาน้ำมัน B7 เอาไว้ไม่ให้สูงขึ้นแม้ว่าจะเปลี่ยนเป็นน้ำมัน EURO 5 แล้วก็ตาม ที่ต้องเน้นย้ำว่า B7 เพราะว่า ในปี 2023 เรามีน้ำมันดีเซล B7, น้ำมันดีเซลเฉยๆ ที่จริงๆ แล้วเป็น B10 กับน้ำมันดีเซล B20 และหลังจากที่เราก้าวเข้าสู่การใช้ EURO 5 เต็ม 100% นั้น ก็ได้ข่าวว่า น้ำมัน B7 มีความเหมาะสมในแง่การนำมาทำเป็นน้ำมัน EURO 5 มากว่า B10 ดังนั้น ทางรัฐฯ ก็มองเอาไว้ว่า จะให้คนซื้อรถใหม่และรถ EURO 5 ใช้ B7 กันต่อไป ยุบ B10 ทิ้ง และเหลือ B20 เอาไว้ให้เครื่องยนต์ที่เป็นมาตรฐานเก่าเป็นทางเลือกเอาไว้ประหยัดเงินอีกแบบเท่านั้น

...

แต่ในการพยายามตรึงราคานี้ จะเป็นไปได้มากแค่ไหน เพราะทางโรงกลั่นเอง ก็ได้มีการลงทุนในภาพรวมไปราว 30,000-50,000 ล้านบาทเพื่อปรับจากน้ำมัน EURO 4 ไป EURO 5 แล้วใครจะเป็นผู้ชดเชยต้นทุนการผลิตที่เพิ่มเหล่านี้ ผมก็ต้องพูดเผื่อไว้ว่า สักวันหนึ่งเมื่อต้นทุนตรงนี้ล้น เราก็อาจจะต้องจ่ายค่าน้ำมันดีเซลต่อลิตรแพงขึ้น..แต่อย่าเพิ่งไปค้น Google ดูเว็บแล้วเจอน้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียม EURO 5 ที่แพงกว่า B7 ปัจจุบันอยู่ลิตรละ 13 บาท นั่นจะทำให้คุณเสียขวัญ เพราะถ้าคนซื้อรถดีเซลใหม่ๆ ต้องขยับเยอะขนาดนั้นจริง ผมว่าคนด่ากันทั่วเมืองแน่นอน เท่าที่ลองดูจากหลายแหล่งสำนักข่าว การคาดคะเนที่มีก่อนหน้านี้ ก็ว่ากันว่าต้นทุนเพื่อความสะอาดปอด น่าจะบวกเข้าไปอีกราวลิตรละบาทจากราคาน้ำมันปัจจุบัน ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ ผมเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่รับได้

ข้อต่อมา ในทางฝั่งผู้ผลิตรถยนต์ ก็ต้องมีการปรับปรุงเครื่องยนต์และระบบบำบัดไอเสียเพื่อให้รองรับต่อมาตรฐาน EURO 5 ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ต้นทุนต่อรถ 1 คันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แหล่งข่าวจากผู้ผลิตรถกระบะรายเดียวที่ผมมีตอนนี้ พอแย้มๆให้ฟังได้ว่าการปรับจาก EURO 4 เป็น 5 นี้ทำให้ต้นทุนรถต่อคันเพิ่มขึ้นประมาณ 20,000 บาทหรืออาจจะมากกว่านั้น และที่พูดนี่คือตัวเลขต้นทุนหน้าโรงงาน ซึ่งมันจะไปสมทบกับราคารถหน้าโรงงาน ซึ่งจะมีภาษีสรรพสามิตและอื่นๆมาบวกซ้ำก่อนไปถึงผู้บริโภค

ดังนั้นสิ่งที่อาจเกิดได้หลังจากนี้ไป ก็คือ คุณอาจเห็นการปรับราคาขึ้น โดยเฉพาะในตลาดรถกระบะ ซึ่งก็อยู่ในสภาพที่สะบักสะบอมอยู่แล้ว จากเดิมรถกระบะเป็นรถขายดีแห่งชาติ รถใหม่ 100 คันเป็นรถกระบะสัก 40-45 คัน แต่สามเดือนหลังของปี 2023 ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 28-29 คัน ซึ่งเป็นผลมาจากกลุ่มลูกค้าหลักมีเงินพร้อมใช้น้อยลง รวมถึงคนที่ไม่จำเป็นต้องใช้รถกระบะจริงๆ หันไปหารถรูปแบบอื่นมากขึ้น ถ้าตบด้วยเรื่อง EURO 5 นี้อีก คุณจะเห็นได้ว่าบริษัทรถก็มีความกระอักเลือดในปากแต่โผล่มาให้เห็นซิบๆ ริมปาก จะขึ้นราคาตามใจตัวเอง ลูกค้าจะไม่หนีเปล่า แถมด่าก่อนหนีอีกด้วย จะไม่ขึ้นเลย ก็แบกรับต้นทุนไว้เอาเอง

นอกจากการขึ้นราคาแบบโต้งๆ อีกวิธีนึงที่ไม่แน่ใจว่าจะมีใครใช้หรือเปล่าก็คือ ไปลดต้นทุนกับส่วนอื่นของรถที่ลดแล้วลูกค้าไม่ด่า หรือลูกค้าไม่ได้สังเกต เพื่อพยายามทำราคารถให้ใกล้เคียงเดิมที่สุด บางค่ายอย่างเช่น Isuzu นั้น ทำรถให้รองรับ EURO 5 ไปแล้วพร้อมกับการไมเนอร์เชนจ์ในปีที่ผ่านมา ซึ่งคนบ่นว่าราคาแพงขึ้น ไม่น่ารัก แต่ Isuzu เองก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองโดนต้นทุนจุดนี้ไปทำให้เป็นส่วนหนึ่งที่ราคาต้องเพิ่ม..โถพ่อ..จริงๆ บอกกันก็ได้ ผมว่ามีคนจำนวนมากที่ถึงไม่ได้ซื้อรถของเขา แต่ยินดีจะทำความเข้าใจ

หรือกรณีอย่างของ Nissan TERRA ที่ไม่สามารถปรับตัวรถเป็นมาตรฐาน EURO 5 ได้ทัน เขาก็ฉลาดตรงที่อาศัยจากกำหนดข้อผ่อนผันของทางรัฐ รัฐบอกว่า “ถ้าคุณผลิตรถภายในปี 2023 มันจะยังเป็น EURO 4 ได้ ส่วนจะขายเมื่อไหร่ เราไม่ได้สนตรงนั้น” เขาเลยใช้วิธีผลิตรถไว้ในปี 2023 แล้วสต๊อกไว้ขายตลอดปี 2024 แล้วอาศัยช่วงเวลานี้ในการปรับรถของตัวเองให้ไปรอรับมาตรฐาน EURO 6 ในปี 2026 ไปเลย ขยับตัวทีเดียวจะได้ไม่เหนื่อย เพราะลำพังยอดขาย TERRA ก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้น แต่ของ Navara ยอดขายมันพอเยอะอยู่ น่าจะมีการปรับอะไรบ้างเพราะตัวรถที่เบากว่า TERRA เอื้ออำนวยต่อการจูนปรับลดมลภาวะมากกว่า

ทาง Toyota ก็เตรียมพร้อมสำหรับ EURO 5 แล้วเช่นกัน ถ้าคุณได้ไปลองสังเกตความต่างระหว่างรถ Toyota Hilux Revo 2.4 ดีเซลที่ผลิตในปี 2023 กับรถ Hilux Champ กระบะเลโก้รุ่นใหม่ของทางค่าย จะเห็นได้ว่าแถวๆ ท่อร่วมไอเสีย มีชุดท่อสำหรับระบบ DPF เพิ่มขึ้นมาเพื่อบำบัดฝุ่นละอองดีเซลขนาดเล็ก สิ่งนี้จะนำมาใช้กับ Champ ก่อน แล้ว Revo จึงจะตามมาในปีต่อไป

อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้อาจต้องเรียนรู้ ก็คือ รถที่เป็น EURO 5 ก็ต้องเติมน้ำมัน EURO 5 ไม่ใช่ 4 และในระบบบำบัดมลภาวะของรถเหล่านี้ อาจมีวิธีการในการ “เผาเขม่า” ในระบบ DPF ต่างกัน DPF นั้นทำมาเพื่อกรองอนุภาคขนาดเล็กไม่ให้ออกไปทำร้ายคนภายนอก แต่พอเราขับใช้งานไปสักพัก ตัวมันเองแหละที่จะตัน พอตันปุ๊บ กล่อง ECU จะสั่งการให้เครื่องยนต์ทำการฉีดน้ำมันดีเซลเพิ่มอุณหภูมิการเผาไหม้เพื่อไล่เขม่าใน DPF ออกไป รถบางรุ่นอย่าง Hilux Champ นั้น จะมีปุ่มกดบริเวณแถวๆ คอนโซลเหนือหัวเข่าขวาฝั่งคนขับ ซึ่งเอาไว้กดเวลาที่หน้าจอรถมีการเตือนไฟกะพริบระบบ DPF ตัน สิ่งที่คุณต้องทำก็คือแค่หาที่จอดที่ไอเสียไม่ไปรบกวนใคร จอดรถ แล้วกดปุ่มนี้ แล้วรอมันเผาไร่เผานาตามเรื่องของมันสักพัก..เรื่องนี้ไม่ยากครับ Toyota ทำสติกเกอร์ภาษาไทยแปะไว้ให้อ่านตรงประตูของ Champ

แต่นี่ก็คือสิ่งหนึ่งที่อาจเพิ่มในรถบางรุ่น..หรือรถบางรุ่นก็อาจใช้สมองกลรถสั่งการโดยให้เราไม่ต้องไปยุ่งเลย มีทั้งแง่ดีแง่เสีย แต่ไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินต่อการเรียนรู้ ถ้าใครคิดว่าทำไม่ได้ ก็รออีกสักพัก น่าจะมีบริการจากบรรดาจูนเนอร์ดีเซล สั่งโปรแกรมปิดการทำงานของระบบ DPF ให้คุณได้ ซึ่งความทนทานของเครื่องยนต์ในระยะยาวที่ได้เพิ่มมา ก็แลกกับคุณภาพของมลพิษที่คุณจะปล่อยยังที่ที่คุณวิ่งไป ผมไม่ได้มีหน้าที่บอกว่าใครดีหรือเลว แต่ขอแค่ว่า ถ้าช่วยได้ ก็ช่วยกัน แค่นี้คนใช้ EV บางคนก็ด่าเราจนหัวจะกุดอยู่แล้ว

จะขอบอกว่า EURO 5 นี่เป็นแค่ก้าวแรก นะครับ EURO 6 คือของจริงที่จะตามมาหลังจากนี้ ระบบบำบัดของ EURO 6 เป็นอย่างไร ก็ขอให้ผายมือไปทาง Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ ที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล เพราะเขาใช้เครื่องยนต์มาตรฐาน EURO 6 มาปรับให้เติมน้ำมัน EURO 4 เมืองไทยอยู่เงียบๆ มาตั้งนานแล้ว ระบบนี้ จะให้เจ้าของรถมีหน้าที่ต้องคอยเช็กระดับของเหลวที่เป็นญาติกับเยี่ยว แต่ไม่ใช่เยี่ยว ที่ชื่อ AdBlue เป็นน้ำยาเติมเข้าไปในถังแยก (คนละถังกับถังน้ำมัน) แล้วเครื่องยนต์ก็จะให้สมองกลกำหนดปริมาณการพ่นของเหลวนี้เพื่อไปบำบัด NOx ในไอเสีย ซึ่ง ECU ของเบนซ์นั้นก็ฉลาดพอที่จะไม่ยอมให้คุณแอบวิ่งตัวเปล่าโดยไม่เติม AdBlue ได้ด้วย เพราะถ้าเป็นทวีปยุโรป บริษัทไปทำหัวหมอแบบนี้ จะโดนค่าปรับมหาศาลเอาได้

จะเห็นได้ว่า ถ้ามองในแง่ร้าย โลกรอบตัวเรากำลังหาทางบีบบังคับให้คนใช้เครื่องเบนซินกับดีเซล ต้องจำยอมทางด้านการเงินเพื่อที่จะคงความสะอาดให้อากาศบนพื้นโลกเอาไว้ แต่ถ้ามองในแง่ดี ทุกสิ่งบนโลกต้องมีการปรับตัวจึงจะอยู่รอด และถ้าหากมีทางรอดใดให้ประชาชนสามารถใช้รถได้ในที่ซึ่งสาธารณูปโภครถ EV ยังเข้าไม่ถึง หรือระบบชาร์จยังไม่เร็วพอสำหรับการขนส่งที่ต้องทำเวลาแข่งกับงาน การสิ้นเปลืองเงิน เพื่อลดมลภาวะนั้น ก็เป็นสิ่งจำเป็นหากเรายังต้องการให้ลูกหลานของเราสามารถเดินในตัวเมืองโดยไม่ต้องใส่หน้ากากเป็นดาร์ธเวเดอร์ หายใจเป็นเสียงแหบๆ ไอเป็นเลือด มีเลือดออกจมูก

บางคนคิดว่าเรื่องแบบนี้ กว่าจะเกิดขึ้นจริงพวกเขาคงตายไปก่อนแล้ว ไม่ใช่ภาระของเขา แต่ความจริงก็คือ มันเกิดขึ้นเร็วกว่าที่พวกเขาคิดมาก และวัดด้วยมาตรฐานปัจจุบัน ไทยเราช้าและปรานีเรื่องมลภาวะมามากแล้วครับ ไอ้ EURO 6 ที่เราวางแผนว่าจะทำในปี 2026 นั้น สิงคโปร์ใช้มาตั้งแต่ปี 2017 แล้ว ถึงเราไม่อาย ก็ควรพยายามที่จะฟอกปอดให้เมืองที่เราอยู่เท่าที่เราจะทำได้ครับผม.

Pan Paitoonpong