Ferruccio Lamborghini ผู้ก่อตั้งแบรนด์ซุปเปอร์คาร์ Lamborghini เป็นคนที่มีรูปร่างสันทัด เตี้ยล่ำสัน มีลักษณะโครงสร้างของร่างกายเปรียบเหมือนกระทิงในวัยหนุ่ม เป็นคนอารมณ์ดีหัวเราะง่าย ชอบพูดเสียงดัง และมีความมุ่งมั่นสูงมาก สัญลักษณ์ของบริษัทที่เป็นรูปวัวกระทิงนั้นเหมาะสมกับ Ferruccio เป็นที่สุด เป็นการจำลองภาพลักษณ์ของนักธุรกิจชาวอิตาลี ซึ่งแตกต่างจากพวกอเมริกันเป็นอย่างมาก เมื่อเข้าสังคมหรือพบปะกับลูกค้าและผู้คนทั่วไป Ferruccio มักจะยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา นับเป็นบุคคลที่มีบุคลิกภาพเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ในอดีตเมื่อกว่า 50 ปีก่อน เมื่อลูกค้าเข้าไปเยี่ยมชมโรงงานของ Lamborghini ก็จะเห็น Ferruccio นอนลงบนพื้นของโรงงานด้วยเสื้อเชิ้ตอิตาลีอย่างดี พร้อมทั้งก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่กับลูกจ้างและส่งเสียงเอะอะโวยวายดังลั่นเมื่อพบว่ามีบางอย่างของรถที่กำลังประกอบผิดพลาดไป

...

Ferruccio Lamborghini ไม่ได้ตั้งใจที่จะสร้างซุปเปอร์คาร์ให้เป็นที่ต้องการมากที่สุดในยุคนั้น หรืออาจจะในยุคใดๆ ก็ได้ ทั้งหมด เกิดจากความตั้งใจในการที่จะเอาชนะความทรนงของ Enzo Ferrari อันที่จริง ธุรกิจของ Lamborghini ในยุคเริ่มต้นก็คือการสร้างรถแทรกเตอร์ที่ดีที่สุดในยุโรป หรืออาจดีที่สุดในโลกด้วยซ้ำ ซึ่ง Ferruccio Lamborghini ทำได้ดีมากจนมีทรัพย์สมบัติเพียงพอที่จะซื้อ Ferrari มาขับเล่น

ตามตำนานของ Lamborghini รถ Ferrari คันที่ Ferruccio ซื้อมาขับเล่นนั้นยังคงห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบ และผู้ผลิตที่มาราเนลโลก็ไม่ได้ให้ความใส่ใจจัดการกับข้อร้องเรียนดังกล่าว ดังนั้น Lamborghini จึงหันมาใช้ความสามารถของตนเอง ในการสร้างรถสปอร์ตที่ขับได้เหนือกว่า รถที่จะออกขายต้องขับได้ดีกว่าม้าลำพอง และมีเรือนร่างที่สวยงามมากกว่า จากความคิดที่ว่า ในอนาคตข้างหน้า Lamborghini อาจเอาชนะ Ferrari ได้ด้วยแนวคิดอิสระของตัวเอง แฟนๆ ของ Ford กับรายการเอนดูรานซ์ 24 ชั่วโมงที่ Le Mans ก็เคยได้ยินเรื่องราวที่คล้ายกันเกี่ยวกับการต่อสู้ของรถ GT40 กับ Ferrari ที่เย่อหยิ่ง

ผลิตภัณฑ์ในยุคแรกๆ ของ Lamborghini ไม่เป็นภัยคุกคามต่อแบรนด์ร่วมสัญชาติอย่าง Ferrari รถคันแรกของ Lamborghini คลอดออกมาในปี 1963 มันคือรถสปอร์ตรุ่น 350GT แบบ 2+2 ที่นั่ง มีรูปลักษณ์ที่ไม่ค่อยจะลงตัวมากนัก และมีกำลังไม่เพียงพอที่จะแซงม้าลำพอง จากเครื่องยนต์ V12 ขนาด 3.5 ลิตร ซึ่งมีแรงบิดน้อยเกินไป

...

รูปลักษณ์ของกระทิงเปลี่ยวในยุคแรก เป็นสไตล์ของรถที่ Ferruccio ชื่นชอบ และเป็นแนวทางที่เขาเชื่อว่าจะต้องประสบความสำเร็จ วิศวกรและนักออกแบบใน Bertone ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบที่ทำสัญญากับ Lamborghini ได้ทำตามความคิดของ Ferruccio ในปี 1967 เขาจัดหาทุนให้กับ Marzal ซึ่งออกแบบรถสปอร์ตสี่ที่นั่ง รวมถึงดีไซเนอร์หนุ่มน้อยฝีมือฉมังอย่าง Marcello Gandini สไตลิสต์ของ Bertone พร้อมลูกทีมฝีมือฉกาจอย่าง Giotto Bizzarrini, Gian Paolo Dallara และ Paolo Stanzani ร่วมกันออกแบบรถกระทิงเปลี่ยวสองที่นั่ง รหัส P400 ซึ่งต่อมา รถสปอร์ตรุ่นดังกล่าวก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์มาจนถึงทุกวันนี้

...

โครงการรถต้นแบบ P400 พัฒนาขึ้นอย่างลับๆ และอยู่ภายใต้การแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมสามคนในทีมพัฒนาของ Lamborghini ตั้งแต่เริ่มแรก จนกลายเป็นซุปเปอร์คาร์สมรรถนะสูงสองที่นั่ง เครื่องยนต์วางกลาง เพื่อท้าชนกับรถสปอร์ตรุ่น 275LM ของ Ferrari และ Ford GT40

P400 ใช้เครื่องยนต์ V12 ของ Lamborghini ที่ขยายความจุให้ใหญ่ขึ้นและทรงพลังยิ่งกว่าเดิม เครื่องยนต์ติดตั้งในแนวขวาง ในโครงกล่องโลหะที่ยึดอย่างแน่นหนา วางอยู่ด้านหลังห้องโดยสารโดยตรงแบบ Mid Engine หรือเครื่องยนต์วางกลางลำ น้ำหนักของ P400 เมื่อติดตั้งทุกอย่างจนเสร็จสมบูรณ์ก็คือ 1,293 กิโลกรัม ตัวเลขการกระจายหน้า-หลัง ที่ 46/44 เกือบจะอยู่ในตำแหน่งที่สมมาตร

...

P400 ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จากใบสั่งจองของบรรดามหาเศรษฐีที่ชอบรถสปอร์ต ในช่วงปี 1965 (พ.ศ. 2508) มันถูกนำไปจัดแสดงบนบูธของ Lamborghini ในงาน Turin Motor Show เจ้า P400 มี เครื่องยนต์และระบบกันสะเทือนที่เคยใช้กับรุ่น 400GT โปรเจกต์นี้ดำเนินการโดย Gian Paolo Dallara ในฐานะวิศวกร และ Paolo Stanzani ผู้สร้างเฟรม ซึ่งแม้ว่า Ferruccio Lamborghini จะไม่ชอบการแข่งรถ แต่กลับวางเครื่องยนต์ไว้ตรงกลางเหมือนกับรถแข่ง เครื่องยนต์วางตามขวางระหว่างห้องโดยสารกับเพลาล้อหลัง การวางเครื่องยนต์ในลักษณะดังกล่าวได้กลายเป็นนวัตกรรมใหม่ เมื่อเปรียบเทียบกับรถสปอร์ต Gran Turismo ร่วมสมัยส่วนใหญ่ที่วางเครื่องยนต์ด้านหน้าและขับเคลื่อนล้อหลัง

Nuccio Bertone CEO ของสำนักออกแบบ Bertone กล่าวกับ Ferruccio Lamborghini ว่า ผมคือคนที่ทำรองเท้าให้เหมาะกับเท้าของคุณ มันจะทำให้คุณเดินหรือวิ่งได้ดีขึ้น Lamborghini เชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จและทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากกว่ายี่ห้อของรถไถนา แม้จะมีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับงานวิศวกรรมของ P400 แต่การประชาสัมพันธ์ที่ดีบวกกับความสวยงามของกระทิงคันใหม่ ด้วยตัวถังที่มีส่วนโค้งส่วนเว้าที่สมบูรณ์แบบ จากดีไซน์โดยคนระดับหัวกระทิของ Bertone ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า Ferruccio ไม่มีความสัมพันธ์กับ Ferrari และ Maserati ซึ่งเป็นคู่แข่งหลักของ Lamborghini รถรุ่นใหม่คันนี้ได้รับการออกแบบโดยสไตลิสต์หนุ่มชื่อ Marcello Gandini ซึ่งเพิ่งก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าทีมออกแบบของ Bertone เพื่อมาแทนที่ Giorgetto Giugiaro ซึ่งย้ายไปทำงานกับ Ghia

หลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือนต่อมา ที่งานแสดงรถยนต์ Geneva Show เดือนมีนาคม 1966 (พ.ศ. 2509) ผลงานชิ้นเอกของ Gandini ที่สร้างเสร็จแล้วก็ถูกจัดแสดงให้ได้ชื่นชม รถคันนี้ตกแต่งด้วยสีส้มที่มีความโดดเด่นมาก พร้อมรูปลักษณ์ใหม่ที่งดงามลงตัว เครื่องยนต์ V12 ระบบเชื้อเพลิงคาร์บูเรเตอร์ Weber สี่ตัว ล้ออัลลอย Cromodora การตกแต่งภายในที่เน้นความหรูหรามากเป็นพิเศษ ทั้งหมดนี้พร้อมให้คนรักรถที่มีฐานะร่ำรวยได้ซื้อเอาไปขับเล่นในวันหยุด อย่างไรก็ตาม P400 ก็ยังคงไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ และถูกเรียกง่ายๆ ว่า 'P400 Prototype'

การออกแบบยานยนต์ที่มีสัดส่วนสมบูรณ์แบบอย่าง Miura นั้นไม่ค่อยพบเห็นกันบ่อยนักในยุค 60 ไม่มีรถรุ่นไหนที่ดูพิเศษไปกว่านี้อีกแล้ว เมื่อมองจากทุกมุม มันมีความพลิ้วไหวของเส้นสายและความเฉียบคมของด้านข้างที่ไหลลื่น ระยะฐานล้อของ Miura นั้นสั้นเพียงแค่ 2,504 มิลลิเมตร ตัวถังยาว 4,390 มิลลิเมตร แต่ก็ยังดูพอดี แทร็กแคบเพียง 1,412 มิลลิเมตร ความกว้างของ Miura อยู่ที่ 1,760 มิลลิเมตร ยาง Pirelli ขนาด 210HR-15 Miura รุ่น SV ล้อหน้าและหลังมีระยะห่าง 1,541 มิลลิเมตร ซึ่งวัดได้ 9 นิ้วจากขอบล้อ กว้างกว่าด้านหน้า 2 นิ้ว ติดตั้งระบบเบรกเซอร์โวคู่ สำหรับเบรกแบบดิสก์ทั้งหมด

จนกระทั่งต้นปี 1967 เมื่อ P400 คันแรกเข้าสู่การผลิตและถูกเรียกเป็นชื่ออย่างเป็นทางการด้วยชื่อของสายพันธุ์วัวกระทิงที่ดุร้าย อะไรจะดีไปกว่าการเอาชนะม้าลำพองด้วยกระทิงเปลี่ยวรุ่นใหม่ที่ใช้ชื่อสุดคลาสสิกที่เกี่ยวกับวัวกระทิง มีรายงานว่า Ferruccio Lamborghini เลือกชื่อ Miura หลังจากเยี่ยมชมฟาร์มเพาะพันธุ์วัวกระทิง Miura ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านสายพันธุ์วัวสำหรับการต่อสู้กับมาทาดอร์

บันทึกการส่งมอบ Miura ครั้งแรก เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 1968 (พ.ศ. 2510) ตามมาด้วยสายการผลิตอันน้อยนิดเพียง 474 คัน เครื่องยนต์ V12 กำลัง 261 กิโลวัตต์ หรือ 354 แรงม้า แรงบิด 367 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังเกียร์ธรรมดา 5 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 6.7 วินาทีเจ้าของรถบางคนอ้างว่า Miura ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 274 กม./ชม.

การผลิตรถรุ่นแรกสิ้นสุดลงในปี 1969 (พ.ศ. 2511) เมื่อมีการเปิดตัว Miura S เวอร์ชันพิเศษ กำลัง 270 กิโลวัตต์ หรือ 370 แรงม้า แรงบิด 389 นิวตันเมตร เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 4.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 285 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในปี 1971 เวลาเดินทางมาถึงจุดสุดยอดของ Miura ด้วยรุ่น SV กำลังเพิ่มเป็น 390 แรงม้า แรงบิด 399 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 4.5 วินาที ท็อปสปีด 290 กิโลเมตรต่อชั่วโมง Miura P400 SV ผลิตเพียง 150 คัน และขายได้มากกว่า P400 S ก่อนหน้านี้ถึง 10 คัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและวิศวกรของ Lamborghini แจ้งว่า SV เป็นรถ Miura ที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด

นับเป็นครั้งแรกที่รูปทรงเร้าใจในโลกยานยนต์เปลี่ยนแปลงไป SV มีลักษณะเฉพาะทาง เน้นแทรคให้กว้างขึ้นพร้อมยางแก้มเตี้ยที่มีขนาดใหญ่ขึ้น นอกจากด้านหลังที่ขยายออกไปแล้ว ยังมีส่วนหน้าที่ปรับรูปทรงใหม่ กระจังหน้าแบบตาข่ายกับไฟท้ายแบบใหม่ กำลังจากเครื่องยนต์สูงถึง 279 กิโลวัตต์ หรือ 390 แรงม้า ผลักดัน Miura SV ให้มีความเร็วสูงสุดอย่างน่าอัศจรรย์ที่ 290 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Miura เป็นรถที่หายากบนถนน รุ่นแรกจำนวนหนึ่งได้รับการส่งมอบใหม่ให้กับเจ้าของในช่วงปลายทศวรรษ 1960 คนดังที่หลงใหลในความลึกลับของกระทิง Miura ได้แก่ นักร้องซุปเปอร์สตาร์ Frank Sinatra และ Rod Stewart นักแสดงผู้คลั่งไคล้รถ Peter Sellers และนักดนตรี Miles Davis พระเจ้าชาห์แห่งเปอร์เซียก็ยังเป็นเจ้าของ Miura SVJ ที่หายาก รถคันดังกล่าวถูกใช้งานเพียงเล็กน้อยในช่วงเวลาที่อยู่ในโรงรถของราชวงศ์ หลังจากนั้น SVJ ก็ถูกส่งกลับไปยังยุโรป ซึ่งเป็นที่ที่มันถูกซื้อจากการประมูลรถยนต์คลาสสิกที่เจนีวาเมื่อปี 1997 คนที่ควักเงินซื้อก็คือ นักแสดง Nicolas Cage ซึ่งต่อมาได้รับบทเป็นหัวขโมยรถยนต์ในหนัง Gone In 60 Seconds

จากสายการผลิตทั้งหมด 765 คัน มี Miura ประมาณ 400 คันที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนโลก และทั้งหมด ตกไปอยู่ในมือของมหาเศรษฐีนักสะสมรถยนต์ตัวยง.....