ไทยรัฐออนไลน์สัปดาห์นี้ผมขอเกาะกระแสกับเขาสักหน่อยเรื่องความแรงของรถกับคนที่จะมาเป็นผู้ควบคุมรถคันนั้น แรงบันดาลใจบทความนี้ก็มาจากรุ่นน้องที่เป็นสื่อมวลชนสายรถยนต์ด้วยกัน เขาเปลี่ยนชื่อใหม่แล้ว เรียกยากชะมัด แต่ผมเรียกชื่อเล่นว่าน้องบอน Ridebuster และถึงแม้ว่าจะเรียกเขาว่าน้อง แต่จริงๆ มันไม่เอ๊าะครับ มันแก่เข้าหลักสี่แล้ว ผมได้อ่านประเด็นจาก Social Network ของบอน ซึ่งแสดงความเป็นห่วง เมื่อตัวเองได้ลองขับรถถ่านพลังสูงอย่าง BYD Seal AWD Performance ที่สร้างความฮือฮาด้วยการเป็นรถไร้ควัน ครึ่งพันม้า ราคา Camry แล้วพบว่าถ้าแรงระดับนี้ ไปอยู่ในมือคนที่มือไม่ถึงแล้วมันจะเป็นอย่างไร และเราควรระวังเรื่องอะไรกันบ้าง ซึ่งผมอ่านแล้วก็เห็นด้วยในหลายส่วน

แต่ผมเห็นบางคอมเมนต์หรือบางความเห็นที่วิจารณ์รุ่นน้องผม แล้วผมรู้สึกคันปากขึ้นมาบ้างเพราะรำคาญน่ะครับ

...

ในฐานะสื่อมวลชน บอนก็เล็งเห็นอันตรายและจับมาเป็นประเด็น ซึ่งแน่นอนว่าคนเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย ก็มีทั้งสองฝ่ายเป็นเรื่องปกติ แต่ผมแค่ไม่เข้าใจพวกความเห็นที่ว่า “รับเงินค่ายญี่ปุ่นมาเตะตัดขา” บ้าง “หิวแสง” บ้าง หรืออะไรก็ตามที่สาดโคลนใส่คนวิชาชีพนักข่าวจนผมว่าน่าจะให้บอนส่งทนายไปคุยบ้างน่าจะดีนะจะได้รู้ว่า ศาลไม่ได้มีความคิดเหมือนพวกนักด่ามืออาชีพบางคน

ข้อแรก การรับเงินมาเตะตัดขาผมว่าเป็นเรื่องที่โบราณมาก สื่อฯ ที่เขาอยากเติบโตในวงการ เขาไม่รับกันหรอกครับถ้าสิ่งที่พูดออกมามันทำลายความนิยมความน่าเชื่อถือในตัวเขา คนเป็นสื่อมวลชนถ้าไม่มีใครตามไม่มีใครอ่าน บริษัทรถไม่ได้ให้ค่า ไม่ได้ให้เงินสักบาท แม้แต่งานเปิดตัวรถก็ไม่เชิญไป แต่ส่งข่าว PR ให้ลงตลอดนะ อุ๊บส์ นี่ไม่ได้ด่าใครนะครับ อันที่จริงถ้าคุณเซาะโปรไฟล์ดีๆ คุณจะพบว่าไอ้คนที่หาว่าชาวบ้านชาวช่องรับเงินน่ะ ตัวดีเลยครับ คนดีๆ เขาตั้งหน้าเล่นตั้งหน้าถกในประเด็นที่มันเกิดประโยชน์ทั้งนั้น

...

ข้อสอง หิวแสง..ผมฟังแล้วยกขาหลังเกาหูแกร็กๆ..คนเป็นสื่อมวลชน ถ้าไม่นำเสนอข้อมูลหรือไอเดีย แล้วไปวางในที่แสงส่องถึงให้คนเห็น..เอ็งจะเป็นสื่อฯ เพื่ออะไร..ไปเขียนนิยายรักให้ปูเสฉวนใต้ทะเล 200 เมตรอ่านเรอะ

ผมพูดเสมอว่าคนดีๆ เขาถกกันก็จะอยู่ในประเด็นแล้วเล่นกันที่ประเด็น ไอ้นิสัยหาเหตุผลวิทยาศาสตร์มาหักล้างไม่ได้ ก็โยนสีสาดโคลนใส่เขา ไม่ได้กำลังบอกว่า โหย เป็นสื่อมวลชนนี่ศักดิ์สิทธิ์นะ VIP นะ..ไม่เลย คุณดูสิครับว่าเขาเขียนอะไร และตีประเด็นออกมาว่าสิ่งที่เขาพูด 1 2 3 4 แล้วก็ถกกันทีละข้อ แย้งกันทีละข้อ ไอ้พวกที่ชอบหาว่ารับเงินบ้าง หิวแสงบ้าง เหยียดชนชั้นบ้าง สังเกตดู พวกนี้คือจิตวิทยานักการเมืองแขนงชั่วสาดสีใส่คู่แข่งทั้งนั้นเลยครับ

...

สิ่งที่ผม Support น้องผมพูด คือ เราต้องหาวิธีการทำอย่างไรให้ คนที่อาจจะเพิ่งซื้อรถราคาเกินล้านคันแรก รู้จักการบังคับควบคุมรถที่มีความแรงขนาดนั้น บริษัทรถยนต์ หรือผู้แทนจำหน่าย ควรมีบทบาทอย่างไรบ้างในการส่งเสริมให้ลูกค้าของตัวเอง นอกจากจะขับรถได้อย่างแฮปปี้หมียิ้มแล้ว ก็ต้องสามารถควบคุมรถได้ในสภาวะที่คับขัน ตอนที่ Tesla เข้ามาอย่างเป็นทางการแล้วขายดีมากนั้น คุณว่าลูกค้ากี่คนที่ไม่เคยกดคันเร่งรถตัวเอง 100% หรือไม่เคยขับรถที่แรงขนาดนั้นมาก่อน เพราะ Tesla ไม่ได้ขายความแรงอย่างเดียว แต่ขายเทคโนโลยี ขายระบบบริหารจัดการพลังไฟฟ้าที่หลายคนกด Like ให้ว่าทำได้ดีที่สุดแล้วในวงการรถไฟฟ้าทั้งหลาย ผมมักเจอเสมอครับ คนที่ขับรถแบบรักสันติ แต่มีม้า 400-500 ตัวใต้เท้า พอผมแนะนำให้ลองเอารถไปขับในสนาม ลองดูขีดจำกัดของรถ กับตัวเอง ลองฝึกขับรถแบบรุนแรงดูนะ..พวกเขามองผมเหมือนผมไล่พวกเขาไปทำศัลยกรรมหรือไปเข้าฟิตเนส..คือ..อย่าเพิ่งมองเราในแง่ร้ายนะ

...

การที่คุณขับไม่เกิน 120 หรือไม่เคยกดคันเร่งมิด แล้วบอกว่าไม่เป็นไรถึงรถฉันมีม้า 400-500 ตัว ฉันไม่กดคันเร่งมันหรอก ไม่ต้องไปเรียนรู้อะไร อย่าจุ้น ..ผมว่าถ้าเราใช้ตรรกะแบบนี้เปรียบเทียบเป็นอย่างอื่นดูนะครับ สมมติว่าเพื่อนคุณพกปืน แต่ “ฉันไม่ยิงมันหรอก เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องเรียนวิธียิงก็ได้ ไม่ต้องเรียนวิธีเล็ง ไม่ต้องเรียนรู้กฎหมายการพกปืนก็ได้เพราะฉันพกเฉยๆ ไม่ได้ยิง” แม้ว่ารถกับปืนจะเป็นสิ่งที่ต่างกันมาก แต่จากประสบการณ์ผม ผลร้ายจากการดูถูกสิ่งที่พวกมันทำได้นั้น บางทีมันย้อนกลับมาที่เจ้าของเอง ถ้าคุณคิดว่ามันไม่จำเป็นจริงๆ ผมก็จะไม่ลากคุณไปที่ที่คุณไม่อยากไป แล้วจะช่วยภาวนาขอให้ตลอดเวลาที่คุณขับ อย่าไปเจอรถคันอื่นชน ชนแล้วรถคุณเป๋วิ่งผ่านทางเท้าแล้วรถกระโดดแรงกระแทกส่งผลให้เท้าคุณเหยียบคันเร่งลงไปสัก 2-3 วิ ..2-3 วิก็ไม่นานนะถ้าเดิมคุณวิ่งอยู่ 60 พวกรถแรงๆ กดสามวิคุณน่าจะวิ่งอยู่ที่ 130 แค่นั้น ..คุณเอาอยู่แน่นอนเนอะ

ข้อต่อมา คุณคิดว่าทำไม BYD สร้างรถ 523 แรงม้าออกมา แต่ตัดสินใจล็อกความเร็วสูงสุดของรถเอาไว้ 190 กม./ชม. เท่าๆ กระบะ Revo ยกสูงล่ะครับ? ทั้งๆ ที่ถ้านักซิ่งรู้ก็คงปิดโอกาสขาย Seal ไปเลย แต่นั่นมันก็คือการที่บริษัทรถยนต์ต้องบาลานซ์ตัวเองระหว่างความฉิบหายที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีคนเอารถพวกเขาไปประสบอุบัติเหตุเยอะๆ กับการขายความแรง บริษัทอย่าง BYD ก็ขายรถด้วยม้าราคาถูกจำนวนมาก และอัตราเร่งที่เร็วพอๆ กับ Porsche Taycan บางรุ่น..BYD ไม่ได้แปลกนะครับ Volvo ก็ทำรถ 400 ม้าแต่ล็อกความเร็ว 180 เพราะบางคนซิ่งแบบไม่เห็นหัวชาวบ้านจริงๆ มันก็มี

แต่ในขณะที่บางคนประมาทว่า รถก็วิ่งแค่ 180-190 จะไปฝึกหัดขับแบบสมรรถนะสูง (High-performance driving) ทำไม ทำไมไม่ไปไล่พวกกระบะซิ่ง รถญี่ปุ่นแต่งซิ่งที่วิ่งกัน 200 กว่าไปขับบ้าง ..ก็ต้องเรียนว่าคุณถูกส่วนหนึ่ง ที่ผ่านมาผมก็พูดเสมอ สื่อมวลชนก็พยายามย้ำว่าคิดจะขับเร็ว ฝีมือคนขับต้องไปเร็วกว่ารถ ตอนนั้นใครฟังอยู่บ้าง ไม่น่ามี..เพราะมันไม่เป็นประเด็นมั้ง แต่ขอถามหน่อยว่า ระหว่างรถที่เหยียบกัน 25-26 วิกว่าจะถึง 200 กับรถอีกคันที่วิ่งได้ 190 แต่เหยียบแค่ 14 วิก็ไปถึงจุดนั้นได้ ผมว่า 190 กับ 200 ถ้าชนก็ตายได้ทั้งคู่ ถ้าอะไรไปแจมคันเร่งสักอย่าง คุณลองนึกดูว่าใครมีเวลาให้คนขับเรียกสติ ปลดเกียร์ว่าง หรือแก้ไขสถานการณ์ได้ก่อนกัน

และสำหรับคนที่คิดว่าจะเถียงกันเรื่อง “รถใหม่ๆ มีระบบขับสี่ มีเสถียรภาพ มีอิเล็กทรอนิกส์” โอเค คุณก็มีส่วนถูก ถ้าระบบนั้นแก้ไขปัญหาให้คุณได้ แต่ในบางกรณี คุณอาจจะเทียบกับรถกระบะซิ่งหรือรถซิ่งทั่วไป บางทีเวลากดคันเร่งออกเอี๊ยด มันก็หมุนคว้างและชนอยู่แถวๆ นั้นที่ความเร็วไม่เกิน 80 แต่กับรถที่เสถียรภาพดีมากๆ มันจะออกตัวตรงแหนวไปสู่ความเร็วที่สูงกว่าได้ ไม่มีใครเซฟกว่าใครครับ..มันแค่บอกว่าคุณจะเจ็บที่ท่าแบบไหน

ส่วนไอ้ที่บางคนบอกว่าเรา “เหยียด” ทำนองว่า ทีคนซื้อซุปเปอร์คาร์สิบล้าน ไม่เห็นมีใครไปว่าเขา ทีคนจ่ายล้านหกอยากสัมผัสความแรง 500 ม้าบ้าง ผิดเหรอ? ข้อแรก คุณเคยไหม เคยอยู่ในสังคมของคนขับซุปเปอร์คาร์สิบล้านจริงๆ บ้างไหมครับ? ว่าคนเหล่านี้ เขาไม่ได้ย้ายจากอีโคคาร์หรือ Camry แล้วมาควบ 500 แรงม้าเลยนะครับ ส่วนใหญ่เคยขับรถที่แรงๆ มาหลายคัน รุ่นพี่ผมบางคนขับ Tesla แล้วไม่มีใครห่วง เพราะเขาขับ Supra, 911 GT2 หรือรถสมรรถนะสูงที่ม้าเยอะกว่า ขับยากกว่ามาแล้ว แล้วคุณที่กำลังจะรับรถ 500 ม้าคันแรกในชีวิต เคยไหม ไม่เหยียดนะ แต่ขอแค่รับตามตรง ถ้าไม่เคย..ก็ไม่ได้มีใครห้ามไม่ให้คุณซื้อ ผมไม่ได้ห้าม แค่ส่งเสริมว่าซื้อมาเสร็จก็เอามันไปลงสนามเล่นดู หรือลองไปสมัครคอร์ส Advance Driving Skill ดู ร้ายสุด คุณเสียแค่เวลา กับค่าสมัคร ดีสุด..คุณเซฟรถ เซฟชีวิตคนได้จากทักษะที่เพิ่มขึ้นมา

ถ้าถามผม BYD Seal ก็ไม่ใช่รถม้าครึ่งพันที่ราคาถูกคันแรกนะครับ คุณคิดดูดีๆ ว่า Tesla Model 3 ตัว Long Range ม้าก็ไม่ได้น้อย และราคาก็แพงกว่า Seal ไม่กี่แสนบาทซึ่งคนซื้อรถงบระดับนี้สามารถขยับไปถึงได้อยู่แล้ว Seal อาจจะแค่กลายเป็นจำเลยจากการที่มีราคาที่ถูก ซึ่งในเคสนี้ ผมรู้สึกว่ามันก็ไม่ยุติธรรมกับ BYD นัก ผมขอมองแบบคนที่ชอบรถแรง และจนนะ..ผมชอบไอเดียที่เราสามารถพัฒนารถให้มีแรงม้าขนาดนี้ แล้วมีราคาถูกขนาดนี้โดยที่นอกจากแรงแล้ว อุปกรณ์ ดีไซน์ก็ทำออกมาได้ดี ที่สำคัญคือความแรงที่เงียบ ไม่รบกวนชาวบ้าน และไม่ปล่อยมลภาวะ..อย่างน้อยก็บนทางที่เราวิ่งผ่าน

สิ่งที่เราทำได้ และผมคิดว่า EV Community บางกลุ่มก็เริ่มทำแล้วคือ ช่วยกันให้ความรู้ การอัปเกรดตัวรถ ช่วงล่างย้วยไป ช่วงล่างไม่คม ก็ช่วยกันให้ความคิดว่าจะปรับปรุงอย่างไรให้ดีขึ้น เบรก อัปเกรดอย่างไรให้ดีขึ้น ในด้านฝีมือคนขับ บางคนก็เริ่มจับกลุ่มกันไปลงสมัครพวกกิจกรรมฝึก Advance Driving Skill มากขึ้น ทางบริษัทขายรถแรงทั้งหลายที่มีในอดีตน่ะ จับมือกับอาจารย์สอนขับชั้นนำเหล่านี้แล้วเชิญลูกค้าพวกเบนซ์ บีเอ็ม ปอร์เช่แรงๆ ไปขับฝึกฝีมือกันปีละหลายครั้ง (ผมถึงบอกไงว่า คนซื้อรถป้ายแดง 500 ม้าคันแรก กับเศรษฐีมีรถสปอร์ตหลายคัน มีโอกาสเข้าถึงทักษะตรงนี้ต่างกัน) แล้วค่าใช้จ่ายในการฝึกตัวเอง น้อยกว่าค่าประกันชั้นหนึ่งรายปีของคุณเสียอีก ยกเว้นแต่ว่าคุณไปหัดขับในสนามแข่งที่มีอาจารย์คุม ก็อาจจะเปลืองค่ายางหน่อย แต่ไปๆ มาๆ มันจะติด มันจะสนุก

ที่สำคัญคือ ผมจะบอกว่า วัยรุ่นหลายคนที่จับมือกับเพื่อนซัดในสนามจนอิ่มหนำจิต..พออยู่บนถนนหลวง พวกนี้จะขับปกติมาก เพราะเขาได้ไปจัดเต็มในที่ที่มันถูกต้องมาจนหนำใจแล้ว แต่แน่นอนว่าบางคนก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก

นวัตกรรมแรงม้าบนยานยนต์ มีแต่จะแข่งขันกันด้านความแรงไปเรื่อย นับตั้งแต่รุ่นปู่และเมื่อหลานเรานมแตกพาน เทรนด์นี้ก็คงไม่หยุดหรอก ผมคงไม่ห้ามเพราะผมก็คือคนที่ได้ประโยชน์จากความแรงราคาถูกเช่นกัน แต่สิ่งที่ผมโฟกัส อยู่ที่ เราต้องทำให้คนที่จะมาขับรถนั้น มีความสามารถที่ก้าวล้ำ นำหน้าแรงม้าที่อยู่ในรถ และไม่ประมาทรถตัวเอง ไม่ดูถูกเหล็กหนัก 2 ตันกว่าที่เร่งถึง 100 ได้ภายใน 3.8 วิ ถ้าคุณสามารถควบคุมรถเหล่านี้ได้ เลือกถูกว่าจะสนุกที่ไหน จะระวังที่ไหน ต้องรับผิดชอบต่อสังคมแค่ไหน และที่สำคัญคือ ตัวคุณปลอดภัย คนในรถปลอดภัย และผู้ร่วมใช้ท้องถนนปลอดภัย..ผมจะยินดีมากถ้าเราได้เป็นเพื่อนกัน และมีส่วนช่วยในการถ่ายทอดทักษะ เพื่อให้เราสนุกกับรถม้าเยอะๆ ได้ต่อไปไม่ว่ามันจะราคาล้านหก หรือหกสิบล้านก็ตาม.

Pan Paitoonpong