บอกตามตรงว่า นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 7-8 ปีที่ Nissan นำเสนอรถพร้อมองค์ประกอบรอบด้านที่จับใจขนาดนี้ เมื่อ 13 ปีก่อน พวกเขาเคยมีรถขับดี ดีไซน์สวย นั่งแล้วดูรวยอย่าง Teana J32 ซึ่งเป็นรุ่นหนึ่ง ที่แม้คอนโซลจะร้าวเกียร์ CVT จะชอบพัง แต่ก็ยังมีช่วงที่สามารถสร้างยอดขายแซงเจ้าตลาดอย่าง Honda Accord ได้ แต่นับจากนั้นมา บางอย่างดูจะขาดหายไปเสมอ ระหว่างผลิตภัณฑ์ การตลาด และราคา Nissan Kicks ตอนเปิดตัวครั้งแรกในไทยเมื่อปี 2020 นั้น อันที่จริงตัวรถมีจุดดีหลายด้าน แต่การตลาดพยายามเอารถมีท่อไอเสียอย่างนี้ไปผูกกับความเป็นรถ EV มากเกินไป ทำให้ผู้คนสับสนในเรื่องที่ควรจะเข้าใจได้ง่ายๆ การออกแบบรถกับทรงหลังคา ทำให้รถดูเล็กทั้งที่ความจริงไม่ได้เล็กขนาดนั้น แล้วยังภายในที่ดันมีกลิ่นอายของ Almera บวกกับราคาตัวท็อปทะลุล้าน ทำให้คนมองว่าแพงเกิน
...
แต่คนที่เปิดใจพอจะลองขับบ้าง ก็จะรู้ว่า Kicks เป็นรถที่ขับมันมาก และในยามที่คุณไม่ได้สนความมัน เวลาล่องๆ หยุดๆ ในเมือง ก็เป็นรถที่ประหยัดน้ำมันได้ไม่แพ้เจ้าตลาด ยิ่งถ้าใช้ระบบหน่วงชาร์จให้เป็นด้วยการฝึกเบรกบ้าง อัตราการสิ้นเปลืองยิ่งจะดีขึ้น อุปกรณ์บางอย่างไม่มี เช่น ช่องแอร์หลัง ฝาท้ายเปิดด้วยไฟฟ้า แต่ตัวมันเองก็มีกล้องรอบคัน (Honda HR-V ไม่มี) และ Auto Brake Hold/เบรกมือไฟฟ้า (ซึ่ง Corolla Cross ไม่มี) มันคือรถที่มีข้อดีหลายอย่าง แต่ทำสงครามอยู่ในดินแดนที่ลูกค้าส่วนมากชอบ Toyota กับ Honda อยู่แล้ว และจะไม่ซื้อแบรนด์อื่น นอกเสียจากว่ารถจากแบรนด์นั้นจะมีจุดเด่นที่ชัดเจนมากจนเตะตา
สองปีที่ผ่านมา ทั้งการพยายามประชาสัมพันธ์เชิงขอเป็นรถแอ๊บไฟฟ้า ความพยายามของดีลเลอร์บางเจ้าที่ใส่ออปชั่นเสริมให้ลูกค้าเอง (ซึ่งก็ได้ผลจริง) รวมถึงโปรโมชันต่างๆ ก็ยังพอให้ Kicks ขายแบบ “รอดได้ก็บุญแล้ว” แต่สิ่งต่างๆ ดูจะมีความหวังอย่างชัดเจนเมื่อ Nissan เปิดตัว Kicks ใหม่ โมเดลปี 2022
...
เราพูดถึงจุดที่ไม่ได้เปลี่ยนกันก่อน...ทรงรถหลักๆ ยังคงเดิม และเบาะหลังก็ยังสบายน้อยเช่นเดิม แม้ว่าพื้นที่จริงๆ เล็กกว่า Corolla Cross ไม่มากแต่เบาะพิงหลังจะชัน ไม่มีที่เท้าแขนพร้อมที่วางแก้ว ไม่มีช่องเป่าแอร์หลังให้ ดังนั้นผมบอกได้เลยว่า สำหรับครอบครัวใหญ่ มีเด็กนั่งหลัง Kicks น่าจะยังไม่ได้ตอบโจทย์การโดยสารสี่คนดีเท่าไรเช่นเดิม
...
...
แต่นอกเหนือจากจุดนั้นมา มีหลายจุดที่ Nissan ปรับแต่งมาดี จนเห็นความพยายามที่จะแก้ไขได้ชัดเจน แดชบอร์ดแม้ตอนบนจะเหมือนเดิม แต่คอนโซลรอบๆ เกียร์ จากเดิมทำมาสูงเป็นบั้ง เบียดเข่า ก็จัดทรงใหม่ ลบบั้งสูงๆ ออก แต่ยกคอนโซลตอนหลังสูงขึ้น ตอนนี้จึงได้ทั้งดีไซน์ที่ออกแนวสปอร์ตมากขึ้นแต่กลับนั่งแหกแข้งขาได้กว้างขึ้น คันเกียร์เดิมที่ดูออกแนวน่ารัก เปลี่ยนใหม่เป็นทรงเหลี่ยมที่ดูหรูขึ้น ปรับที่เท้าแขนให้นุ่มและวางแขนสบายขึ้น ปรับจุดวางแก้วน้ำให้รองรับแก้วกาแฟ Yeti ได้ แล้วยังเพิ่มจุดหุ้มวัสดุนุ่มที่แผงประตูพร้อมลายตะเข็บมาให้ อัปเดตระบบเครื่องเสียงให้รองรับ Android Auto ได้ ดังนั้นถึงแม้ซีกหลังจะยังดี (หรือห่วย) เท่ารุ่นเดิม ซีกหน้าของห้องโดยสาร มีความสบาย และความทันสมัยมากขึ้น
โดยปกติ การไมเนอร์เชนจ์ก็มักจะจบแค่นั้น แต่ยังมีอีกสองสิ่งที่เพิ่ม หรือเปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่เพิ่มมาและเป็นนิมิตหมายอันดีคือการมีรุ่น AUTECH เข้ามาขาย “เป็นครั้งแรกของประเทศไทย” ซึ่งชื่อนี้ เซียนรถ Nissan ยุค 90s รู้จักดี เขาคือสำนักแต่งภายใต้ร่มเงาของ Nissan ที่มีความสามารถทั้งในด้านการแต่งเพื่อมอเตอร์สปอร์ต และแต่งเพื่อความสวยงาม โดย Nissan สร้างรถหลายต่อหลายรุ่นพร้อมชุดแต่ง AUTECH ออกขายมานานแล้ว ในด้านของภาพลักษณ์นั้นจะแตกต่างจาก NISMO ตรงที่ NISMO จะเน้นการตกแต่งแบบรถซิ่ง/รถวิ่งสนามและมักเสกงานลงใน Nissan ที่เป็นคูเป้หรือสปอร์ตเช่น Z-car หรือ GT-R แต่ AUTECH นั้นเน้นความเนี้ยบหรูดูเป็นผู้ใหญ่ และมักได้โอกาสสร้างรุ่นพิเศษลงในบอดี้หลากหลายแบบกว่า ตั้งแต่ Note ไปจนถึง Skyline
ต่อมาอีกสิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือด้านวิศวกรรม ไม่บ่อยครั้งหรอกที่รถไมเนอร์เชนจ์ จะได้รับการเปลี่ยนขุมพลังขับเคลื่อน แต่ Nissan Kicks ปี 2022 นี้ ได้มอเตอร์ขับเคลื่อนใหม่ รหัส EM47 ที่เพิ่มกำลังจากเดิม 129 แรงม้า เป็น 136 แรงม้า และยังมีแรงบิดเพิ่มจาก 260 เป็น 280 นิวตันเมตร ซึ่งถ้าบ้านใครมีโบรชัวร์รถ Nissan เก่าๆ คุณลองไปเปิดดูได้ว่าแรงบิดระดับนี้ มากกว่า Cefiro A33 เครื่อง 3.0 ลิตรเสียอีก ส่วนตัวเลขแรงม้าอาจไม่เยอะเท่า
นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนชุด Inverter ใหม่ ทำให้น้ำหนักที่ตกบนคานหน้าเบาลง ในขณะที่ด้านหลังของรถนั้น แบตเตอรี่ติดรถ ก็เพิ่มความจุจาก 1.57kWh เป็น 2.06kWh ซึ่งนับได้ว่ามากกว่าคู่แข่งระดับเดียวกันที่เป็นรถไฮบริด ที่มักจะมีความจุไฟแบตเตอรี่แค่ 1.0-1.36kWh ทำให้ระบบ e-Power ของ Kicks มีจุดเด่นในเรื่องระยะทางที่สามารถวิ่งได้โดยเครื่องยนต์ไม่ติด ไกลกว่าคนอื่น และผู้ขับยังสามารถกดปุ่ม EV 1 ครั้งเพื่อบังคับให้รถวิ่งแบบเครื่องไม่ติดไปจนกว่าแบตเตอรี่จะเหลือน้อย หรือถ้ารู้ตัวว่าคุณอยากย่องเข้าบ้านแบบเงียบๆ ก็สามารถกดปุ่ม EV ค้าง 3 วินาทีเพื่อสั่งการให้เครื่องติดชาร์จไฟให้เกือบเต็มก่อนขับย่องเข้าซอยด้วย EV Mode ได้เช่นกัน ทว่าการจะใช้ปุ่ม EV กระทำสิ่งใดๆ ได้นั้น คุณต้องอยู่ในโหมด SPORT หรือ ECO ก่อน ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่า Nissan น่าจะปรับให้สั่งทำงานในโหมดปกติได้ จะเข้าใจง่ายกว่านี้
ผมลองนำรถทดสอบไปวิ่งเหยาะๆ ในสนามปทุมธานีสปีดเวย์ โดยพยายามเลี้ยงความเร็วไว้ 60 กม./ชม. และยกคันเร่งชะลอเฉพาะจุดที่จำเป็นเพื่อการเลี้ยวหลบโค้ง ในอากาศร้อนๆ และแอร์ออโต้ (ซึ่งยังไม่มีฮีตเตอร์มาให้..) ปรับไว้ที่ 22 เซลเซียส Kicks สามารถวิ่งโดยเครื่องไม่ติดได้เลยเป็นระยะทาง 3.5 กม. ซึ่งไกลกว่ารุ่นเดิมประมาณ 20-25%
Nissan ยกเลิกโหมดการทำงานแบบ One-Pedal ใน Kicks ซึ่งโหมดนี้ก็คือ การที่เมื่อคุณยกคันเร่งออกหมดแล้วรถสามารถหน่วงจนหยุดเองได้ ซึ่งผมชอบ เพราะทำให้ขับโดยไม่ต้องสลับเท้าไปมาระหว่างเบรก/คันเร่งบ่อยๆ แต่กลายเป็นว่าผลวิจัยออกมา ลูกค้าทั่วไปไม่ชอบระบบนี้เนื่องจากต้องเกร็งเท้าเวลายกคันเร่ง ไม่งั้นรถหน้าทิ่ม ภรรยาด่า เวลาถอยรถ หรือขยับรถในที่แคบก็ต้องเกร็งเท้ามาก ลูกค้าชินกับการเหยียบเบรก/ปล่อยเบรกแบบรถทั่วไปมากกว่า ทางวิศวกร Nissan จึงนำระบบ e-Pedal Step มาใช้แทน ซึ่งเวลายกคันเร่ง รถก็ยังหน่วงให้อยู่ แต่จะไม่หน่วงจนหยุด จะไหล 5 กม./ชม. ได้ และยังปรับความนุ่มนวลในการตอบสนองให้ยก/เหยียบแบบไม่ต้องเกร็งแล้วหน้าไม่ทิ่มไม่เชิดมากเกินไป
Nissan เชื่อว่าเมื่อปรับให้เป็นแบบนี้ ลูกค้าส่วนใหญ่จะใช้งานได้สะดวกชินเท้ามากขึ้น ซึ่ง e-Pedal Step นี้จะทำงานในโหมด SPORT หรือ ECO เท่านั้น และถ้าใครไม่ชินจริงๆ ก็แค่ขับใน NORMAL Mode รถก็จะมีการหน่วงหรือไหลเหมือนรถเบนซินทั่วไป แต่การตอบสนองของแป้นเบรกใน Nissan Kicks นี้ จะไม่มีอาการหน่วงบ้าง ไหลบ้างแบบคาดเดาไม่ได้ ซึ่งเป็นอาการที่พบในรถไฮบริด ทั้งนี้เพราะว่า Kicks ใช้ระบบเบรกแบบหม้อลมเหมือนรถเบนซินทั่วไป ใช้เครื่องยนต์ในการสร้างสุญญากาศไว้ เมื่อเครื่องดับ ระบบสุญญากาศจะมีพลังสำรองในการช่วยเบรกไว้ ซึ่งในการขับในเมือง คุณอาจจะไม่ได้ใช้เบรกจริงของรถ เพราะลำพังระบบหน่วงในมอเตอร์ก็ชะลอรถลงได้ระดับหนึ่งแล้ว เท่ากับว่าค่าบำรุงรักษาก็ต่ำลงเพราะผ้าเบรกไม่สึกเร็วเท่ารถเบนซินทั่วไป ในขณะเดียวกันชุดปั๊มเบรกที่ใช้ก็เหมือนของรถเบนซิน ไม่ใช่ปั๊มเบรกแบบรถไฮบริดซึ่งมีราคาสูงกว่า
เมื่อลองเพิ่มความเร็วในการขับ กดคันเร่งเต็มๆ สาดเข้าโค้งเหมือนเพิ่งทะเลาะกับเมียมา (และเมียชนะด้วย) Kicks ยังมีนิสัยเดิมคือ ช่วงล่างจะยวบก่อนแล้วค่อยขืนตัวสู้แรงเหวี่ยง ในขณะที่ระบบ VDC ช่วยจัดการให้รถเลี้ยวไปตามโค้งในลักษณะประหลาดเหมือนมีมือพระเจ้ามาค่อยผลักท้ายรถเพื่อให้หน้ารถหันไปตามทางที่คุณจะไป มันรวดเร็ว คล่องตัวมากกว่าที่หน้าตามันเป็น ใครจะไปนึกว่ารถหน้าเหมือนหมูป่าหรี่ตาจะขับได้แซ่บขนาดนี้ แต่เรียนตามตรงว่า การเซตช่วงล่างโดยรวมยังไม่ได้ผสานความหนึบกับความนุ่มได้ดีเท่า Toyota C-HR และยังไม่เนียนเท่า HR-V แต่อยู่ในระดับที่พอรับได้เวลาขับปกติ และบู๊ได้เพราะกุศลจากระบบ VDC ช่วยเอาไว้
ในภาพรวม Nissan Kicks ยังเหลือข้อเสียของมันอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเบาะหลังชันและไม่มีช่องเป่าลมแอร์ เครื่องปรับอากาศไม่มีฮีตเตอร์ ฝาท้ายยังไม่ใช่ระบบไฟฟ้า เบาะคนขับยังปรับด้วยมือ แต่ในโลกรถยนต์ คุณรู้กันว่ามันไม่มีใครอยากทำรถมาขายเพื่อการกุศลอยู่แล้ว Nissan ก็ต้องเลือกว่าจะใส่ของครบ แต่ทำราคาออกมาเท่า Honda แล้วเซลส์ก็นั่งตบยุง หรือยอมไม่มีออปชั่นบางตัว แต่ทำราคาให้ลูกค้าไม่คิดนาน กระนั้นก็เถอะ เรายังเห็นการปรับปรุงมากมายทั้งเรื่องพลัง เรื่องแบตเตอรี่ และอุปกรณ์ภายใน คุณได้รถที่ดีกว่าเดิม ในราคาไม่ข้ามล้านทั้งที่เป็นตัวท็อป ผมว่าถ้าคุณไม่ใช่ครอบครัวที่ต้องมีเด็กเล็กหรือผู้ใหญ่นั่งเบาะหลังประจำ Kicks ก็เป็นตัวเลือกที่คุณควรไปลองขับก่อน ชอบไม่ชอบค่อยว่ากัน ไม่มีรถรุ่นไหนในโลกหรอกที่เกิดมาแล้วเหมาะกับคนทุกผู้ทุกวัยทุกสถานะ บางคนชอบ Kicks แต่ผมเห็นว่ามีลูกเล็กสองคน ผมก็ไล่ให้ไปดูเจ้าอื่นก่อน
ทีนี้ เมื่อคุณตกลงปลงใจแล้วว่า เออ..Kicks ก็ได้วะ คุณจะเลือกรุ่นไหน
รุ่น E ราคา 769,000 บาท
ถ้าออปชั่นของรถยุคปี 2010 ทำให้คุณพอใจได้ คุณอาจจะประหยัดงบได้ด้วยการเลือกตัวถูกสุดอย่าง E ซึ่งมองจากภายนอก เกือบเหมือนรุ่น VL ที่เป็นตัวรองท็อป แต่จะไม่มีไฟตัดหมอกและไม่มีแถบสีเงินคาดด้านข้างรถ คุณยังได้ไฟหน้า/ไฟท้าย LED ล้ออัลลอย 17 นิ้วอยู่ สำหรับภายในจะเป็นแบบ Basic สุดด้วยเบาะผ้า เครื่องเสียงหน้าจอแบบรถยุค 2010 ที่ไม่ได้เป็นทัชสกรีน มีลำโพง 4 ใบไว้ฟังหวยออก แต่นอกเหนือจากนี้ไปแล้วไม่น่าเกลียด มีแอร์ออโต้และหน้าปัดจอแบบเดียวกับตัวท็อป กระจกแต่งหน้าสองฝั่งที่บังแดด (ฝั่งคนนั่งมีไฟส่อง) กระจกมองข้างพับด้วยไฟฟ้า Push Start/Smart Key และ Cruise Control แบบธรรมดา พูดง่ายๆ คือ แค่คุณไปหาจอกลางมาเปลี่ยน ใส่กล้องมองถอยหลัง ก็พอ อุปกรณ์ความปลอดภัย ถุงลม 6 ใบ ระบบรักษาการทรงตัว เซนเซอร์ถอยหลัง ระบบเตือนก่อนชนและเบรกฉุกเฉินด้านหน้า เป็นไงครับ ไม่ได้แย่เลยนะสำหรับตัวเริ่มต้นราคานี้
รุ่น V ราคา 829,000 บาท
Nissan บอกว่า ตัวนี้คือ “ตัวคุ้ม” ที่บาลานซ์ระหว่างค่าตัวกับอุปกรณ์มาจับตลาดกลุ่มกว้างที่สุด แพงกว่ารุ่น E 70,000 บาท ภายนอกต่างกันแค่แถบสีเงินด้านข้างกับไฟตัดหมอก ส่วนภายใน มีเบาะหนังเพิ่ม ตกแต่งวัสดุแผงประตูสีเงิน เพิ่มส่วนที่เป็นวัสดุสีดำเงา มือเปิดประตูโครเมียม ไฟหน้าอัตโนมัติ และส่วนสำคัญที่เพิ่มคือจอกลาง 8 นิ้วรองรับ Apple CarPlay/Android Auto เครื่องเสียง 6 ลำโพง พร้อมกล้อง 360 องศาและระบบเตือนเวลามีสิ่งต่างๆ เคลื่อนไหวอยู่รอบรถ สำหรับคนเน้นใช้งานและชอบเสียบมือถือเล่นเพลง ตัวนี้มาแบบจบ ครบ หรูพอ ถ้าคุณจับตัว E มาทำเอง จอ กล้อง เบาะหนัง ตรงนี้ก็น่าจะมี 40,000-50,000 แล้วถ้าไม่ใช้ของเกรดลดราคา ถ้าจะเอารุ่น E มาเติมของเองให้ได้เท่า V สู้ออกรุ่น V ไปเลยจบกว่า แต่ถ้าอยากเพิ่มแค่จอกับกล้อง แบบนั้นล่ะถึงค่อยเอารุ่น E แล้วไปทำต่อเอง แต่ขอหมายเหตุไว้นิดนึงว่า ถ้าคุณอยากได้รถสีส้ม น้ำเงิน หรือแดงน่ะ มันจะมีแต่ในรุ่น V ขึ้นไปเท่านั้นนะครับ รุ่น E จะมีแต่สี Grayscale ขาว เงิน เทา ดำ
รุ่น VL ราคา 899,000 บาท
เป็นรุ่นย่อยที่อัดออปชั่นเต็มสุดโดยที่ยังไม่ไปยุ่งกับรูปลักษณ์ภายนอกและสีสันภายในมากนัก กระโดดจากรุ่น V มาอีก 70,000 บาท ภายนอก ไม่ต่างจากรุ่น V เลย แต่สิ่งที่คุณได้เพิ่มมาคือกระจกมองหลังแบบปรับส่องปกติก็ได้ ปรับเป็นแบบ Intelligent Rear-View Mirror ใช้กล้องส่องแทนก็ได้ ซึ่งถ้าสมมติข้างหลังบรรทุกของเต็มจนบังกระจก คุณเปิดตัวนี้ช่วย ความปลอดภัยในการมองหลังของคุณไม่ได้ลดลง เพิ่มไฟส่องกระจกแต่งหน้าฝั่งคนขับ ไฟตกแต่งบรรยากาศในห้องโดยสารตรงแผงประตูและเท้า และระบบความปลอดภัยขั้น Advance เช่น Cruise Control ปรับความเร็วตามรถคันหน้าอัตโนมัติและทำงานลดความเร็วได้เหลือศูนย์ ระบบ Blind Spot Warning, Rear Croos Traffic Alert, ระบบเตือนรถเฉออกนอกทาง (แต่ไม่ได้กระตุกพวงมาลัยกลับให้) และไฟสูงอัตโนมัติ สองอย่างหลังนี้ เป็นอุปกรณ์ที่เพิ่งมาในโฉม 2022 นี้
รุ่น AUTECH ราคา 949,000 บาท
จัมพ์เพิ่มจากรุ่น VL 50,000 บาท เพื่อเอาชุดแต่งกันชนหน้า/หลัง สเกิร์ตข้างและสปอยเลอร์ AUTECH รวมถึงล้ออัลลอยลาย AUTECH ที่มีเฉพาะรุ่นย่อยนี้เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น ส่วนภายใน คุณจะได้เบาะและโทนภายในตัดสีน้ำเงิน กับเย็บด้ายตะเข็บน้ำเงินในขณะที่รุ่นอื่นจะเป็นสีเทา ซึ่งสีน้ำเงินนั้นเป็นสีประจำเผ่าของ AUTECH ในยุคนี้ แต่ช่วงล่าง อุปกรณ์ สมรรถนะ และระบบความปลอดภัย ไม่ต่างจากรุ่น VL ดังนั้น ถ้าคุณดูภายนอก เปิดประตูดูข้างในแล้วยักไหล่เฉยๆ กับสีสันกับดีไซน์ของ AUTECH คุณก็ไม่จำเป็นต้องเล่นรุ่นนี้ แต่ผมเชื่อว่าหลายคนที่คลั่งไคล้ Nissan จากยุคก่อนยอมเพิ่มเงินเอาตัวนี้แน่นอน
ท้ายสุดนี้ ผมรู้สึกว่า Nissan ได้พยายามทำการปรับปรุงทั้งในเรื่องตัวผลิตภัณฑ์และการตั้งราคามาได้อย่างดีมาก ต้องบอกเลยว่า ถึงเวลาแล้วที่ค่ายนี้จะมองเกมให้ขาดแล้วสู้แบบรัวหมัดในจังหวะที่ค่ายอื่นๆ มีปัญหาในเรื่องคิวยาว การส่งมอบรถ หรือค่าย EV จีนที่ปิดรับจอง หรือมีความไม่แน่นอน ความไม่เสถียรในการใช้งานระบบและตัวรถ ถ้าเดินเกมขายมัดใจลูกค้า ส่งมอบรถให้ไว อัดโปรโมชันได้ให้รีบอัด แบบนี้ก็จะเป็นการกลับมายืนอย่างสง่าผ่าเผยได้ ในความเห็นผม Nissan ไม่จำเป็นต้องพยายามเอาหลักวิศวกรรมมาพยายามจูงให้คนคิดหรอกว่า e-Power คือ EV เติมน้ำมัน เปลี่ยนไฟฟ้าเป็นน้ำมัน อะไรทำนองนี้ เพราะท้ายสุดก็แค่มองจากมุมกลับกันว่า มันคือรถไฮบริดที่ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนเท่านั้นและเครื่องยนต์มีไว้ปั่นไฟเท่านั้น นิยามของ e-Power ก็จะจบในบรรทัดเดียว แต่พอคุณพยายามไปผูกกับความ EV มันถึงสับสนมาจนทุกวันนี้
จะไปแคร์ทำไมในเมื่อท้ายสุด คุณมองไปที่คู่แข่งสิครับ Nissan ไม่ต้องพยายามขายความ e-Power หรอก ด้วยราคาที่เป็นอยู่ตอนนี้ คุณขายความแรง ความประหยัดน้ำมันในเมือง ความคุ้มค่าของราคาเทียบกับอุปกรณ์ พยายามให้ลูกค้ามาลองขับรถของคุณเยอะๆ แล้วจังหวะนั้นค่อยๆ เผยจุดว่ามีอะไรบ้างที่เหนือกว่าคู่แข่ง การขายน่ะ บางครั้งก็คือการสอน แต่ลูกค้าน่ะคือนักเรียนที่สามารถด่าอาจารย์แล้วเดินหนีออกจากคุณไปได้ การสอนแบบนี้ จึงต้องค่อยๆ รอเวลา ให้เห็นด้วยตา สัมผัสความเหนือกว่าด้วยตัวเอง ถ้ามีเวลาให้ลูกค้าเข้าใจ และเลือกคุยกับลูกค้ากลุ่มที่ยินดีทำความเข้าใจ เปอร์เซ็นต์จบการขายก็สูงขึ้น เอาน่า..ลองดูครับ.
Pan Paitoonpong