ตัวอักษร M คือสัญลักษณ์แห่งพลังและความเร็วของรถยนต์จากค่ายใบพัดฟ้าขาวของเยอรมนี แผนก BMW Motorsport เริ่มก่อตั้งขึ้นเป็นสำนักงานเล็กๆ ในปี 1972 โดย Jochen Neerpash และ Martin Braungart เพื่อสร้างรถแข่งให้กับทีมแข่งของ BMW ซึ่งก่อนหน้านั้นแบรนด์ตราใบพัดใช้การแข่งขันรถยนต์เป็นภาพลักษณ์ส่วนหนึ่งของการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีรูปแบบของความเร็ว สมรรถนะและความสวยงามควบคู่กันมาโดยตลอดยาวนานกว่า 60 ปี

...

หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง ประเทศเยอรมนีประสบกับสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเป็นอย่างมากเนื่องจากแพ้สงคราม บ้านเมืองถูกทำลายอย่างย่อยยับ และทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบหรืออะไหล่สำหรับการแข่งรถ แต่ก็มีผู้ที่เข้ามากอบกู้สถานการณ์อย่าง Alex Vons Falkenhausen ซึ่งใช้ความรู้ความสามารถและความเพียรพยายามในการแข่งขันรถยนต์ของ BMW ให้สามารถดำเนินต่อไปได้ ด้วยการนำเอาอะไหล่และรถแข่งรุ่นเก่าที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากยุคสงครามโลกมาดัดแปลงแก้ไขให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ครั้งนั้นไปได้ด้วยดี

BMW 2002Tii

...

BMW 320 e21 Group 5

...

BMW 3.0 CSL
จากชัยชนะของทีมแข่งรถ BMW ที่มีความเหนือกว่ารถแข่งของบางทีมในยุโรปทำให้เกิดการพัฒนารถเพื่อใช้ในการแข่งขันขึ้นมามากมายหลายรุ่น รถแข่ง BMW เหล่านั้นเริ่มกลายเป็นรถที่มีชื่อเสียงในด้านความแรง การควบคุมที่ง่ายและคล่องตัว สมรรถนะด้านความคงทน รวมถึงรูปทรงที่สวยงาม รถแข่ง BMW หลายคันในยุคนั้นล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงเป็นที่น่าเกรงขามว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวและเอาชนะได้ยาก จักรกลตัวแข่งในยุคนั้นก็คือ BMW 2002Tii, BMW 3.0 CS และ BMW 3.0 CSL คูเป้ (ที่มีแรงม้ามหาศาลตั้งแต่ 350-500 แรงม้า ในยุค 1960-1970) รวมไปถึงยุคของเทอร์โบที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในการสร้างพลังให้กับเครื่องยนต์ในรถแข่งต้นตระกูล Series-3 รุ่น 320 รหัสตัวถัง e21 ที่นำมาปรับจูนแอร์โรพาร์ทและเครื่องยนต์รวมถึงช่วงล่างจนกลายเป็นรถแข่งพลังสูง เมื่อผ่านการโมดิฟายแล้วทำให้ e21 Race Car เครื่องยนต์ 4 สูบเทอร์โบมีกำลังมากถึง 800-1,300 แรงม้า! คว้าชัยชนะในรายการ European Touring Car ในสนามเลอมองส์ได้อย่างง่ายดาย (1977) ยังมีรถแข่งที่ BMW ส่งเข้าแข่งขันในรุ่นที่สูงกว่า เช่น M1, Series 6-635 CSL โดยรถแข่งและทีมแข่งทั้งหมดของ BMW ได้รับการสนับสนุนและร่วมมือจากสำนักแต่งรถยนต์ชื่อดังของเยอรมันและยุโรป เช่น Alpina, AC Schnitzer, Bigazzi, Prodrive

...

ประวัติศาสตร์และการแข่งขันรถยนต์ของ BMW Motorsport Gmbh
1972-1973 เป็นปีที่เริ่มก่อตั้ง BMW Motorsport Gmbh โดย Jochen Neerpash และ Martin Braungart ซึ่งมีฐานการผลิตทั้งรถยนต์และเครื่องยนต์ที่ใช้ในการแข่งขันอยู่ที่โรงงาน BMW ในเมืองมิวนิก รถแข่ง BMW March 732 ที่ขับโดย ฌอง ปิแยร์ จาริเยร์ วิ่งเข้าเส้นชัยเป็นคันแรกในการแข่งขัน Formula 2 ชิงแชมป์ยุโรป และปีเดียวกันนี้เองที่ โทอีน เฮอเซอร์มานส์ ควบรถ BMW 3.0 CSL 360 แรงม้า เป็นรถแข่งที่มีรูปทรงแปลกประหลาดจากแอร์โรพาร์ทในยุคนั้น โดยคว้าแชมป์ในรายการใหญ่ European Touring Car

1974-1975
ราชาแห่งสนามแข่งรถฮ็อกเกนไฮม์ในรายการ Formula 2 ตัวจริงของยุโรปต้องยกให้กับ ฮานส์ โยอาคิม สตัค กับรถแข่ง Formula 2 ที่ปรับแต่งโดยสำนัก BMW Motorsport Gmbh ส่วน Artcar คันแรกของ BMW ที่ออกแบบลวดลายบนตัวถังของรถ 3.0 CSL โดย อเล็กซานเดอร์ คัลเดอร์ ศิลปินชาวอเมริกันเข้าร่วมการแข่งขันรถยนต์แบบมาราธอน 24 ชั่วโมงในสนามแข่งรถของรายการ Le Mans 24 Hours แต่ก็ต้องถอนตัวออกจากการแข่งขันกลางคันเนื่องจากปัญหาของสายพานไทม์มิ่ง ยังดีที่ ณาคส์ ลาฟฟิท ควบรถ BMW Formula Two เข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่สามในการแข่งขันรถภาคพื้นยุโรป

1976-1977
นักขับรถแข่งชาวฟินแลนด์ชื่อ ราอูโน อาลโทเนน รับหน้าที่เป็นนักขับทดสอบและครูสอนการขับรถเป็นคนแรกของแผนก BMW Motorsport Gmbh ซึ่งนับได้ว่าเป็นการเริ่มต้นของบริษัท BMW ที่เปิดให้มีการสอนการขับรถในสถานการณ์ต่างๆเพื่อให้ผู้ขับขี่มีทักษะที่ดีในการควบคุมรถยนต์ รถ BMW Series 5 รุ่น 535i 218 แรงม้าเป็นรถยนต์ต้นแบบคันแรกของ BMW Motorsport ที่สามารถโมดิฟายแรงม้าให้เพิ่มขึ้นถึง 1,410 แรงม้าในการวิ่งทดสอบ

ทีมแข่งขนาดเล็กที่มี เอดดี้ ซีเวอร์-มารค์ ซูเรอร์-อัลเฟรด วิลเกนฮ็อก สร้างความฮือฮาด้วยรถ BMW Series 3 -320 รหัส e21 ตามมาด้วยชัยชนะของ ดีทเทอร์ เควสเตอร์ ในรายการ European Touring Car ที่ Le Mans ส่วน Artcar 320 e21 ที่ออกแบบโดย รอย ลิคเทนสไตน์ ได้เพียงอันดับที่ 9 รถ McLaren 320i Turbo ถูกสร้างขึ้นในปี 1977-1979 แรงม้าสูงสุดที่มันเคยทำได้คือ 650 แรงม้า แต่วิศวกรของ BMW คาดว่ามันสามารถโมดิฟายให้ไปถึง 800 แรงม้าได้อย่างสบายเพราะ BMW เคยสร้างเครื่องยนต์สี่สูบที่มีกำลังมหาศาลมากถึง 1,350 แรงม้ามาแล้ว

1978-1979
แผนกออกแบบและสร้างรถแข่งของ BMW Motorsport เผยรูปโฉมของรถรุ่นใหม่ล่าสุด BMW M1 ที่ร่วมมือกันพัฒนากับ Lamborghini โดยนำมาประยุกต์ใช้บนท้องถนนได้ ส่วน บรูโน จาโคเมลลิ นักขับจากทีมแข่ง Formula Two สามารถไต่อันดับในการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์ยุโรป ทั้งๆ ที่เริ่มต้นเข้าทำการแข่งขันเป็นปีแรกโดยรถแข่ง BMW Formula 2 หลังจากนั้น BMW Motorsport ทำการเปิดตัวรถ M1 Procar Series ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นรถแข่งที่ยอดเยี่ยมตลอดกาล พร้อมด้วยชัยชนะในอันดับที่หนึ่งของรถ BMW Formula 2 ที่ขับโดย มาร์ค ซูเรอร์

1981-1983
ตำแหน่งชนะเลิศในรายการ European Touring Car คือรถ BMW Series 6 รุ่น 633 CSI ขับโดย เฮลมุท เลนเนอร์ และอุมแบร์โต กราโน พร้อมทั้งการผลิตรถ BMW M1 จำนวน 450 คัน เพื่อส่งออกทำตลาดในยุโรปและอเมริกา เนลสัน ปิเก้ นักแข่งรถชาวบราซิลกลายเป็นแชมป์โลกรถ Formula 2 ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมจากพลังงานของเครื่องยนต์แถวเรียง 4 สูบ จากมันสมองอันปราดเปรื่องของ ปอล รอสก์ พ่อมดผู้เสกเป่าแรงม้าของเครื่องยนต์ในแผนก M-Motorsport ติดตามมาด้วยการคว้าแชมป์ในรายการ European Touring Car ประจำปีนั้นด้วยรถ M 635 CSI ที่ขับโดย ดีทเทอร์ เควสเตอร์

1984-1985
BMW ทำการเปิดตัวรถ M5 ในรหัส e28 เป็น M5 คันแรกของโลกออกสู่ตลาดในยุโรปด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง กำลัง 286 แรงม้า เป็นซีดานไซส์กลางที่สามารถเกาะท้ายรถสปอตร์พลังสูงได้อย่างสบายในยุคนั้น และด้วยรถรุ่นนี้นั่นเองที่ BMW ได้พลิกโฉมหน้าของวงการยานยนต์ด้วยการสร้างรถสี่ประตูแต่มีกำลังเทียบเท่ารถสปอตร์คูเป้สายพันธุ์แท้ นอกจากนั้นเครื่องยนต์ 6 สูบเรียงประสิทธิภาพสูงยังถูกใช้กับรถรุ่น M1, และ M 635 CSI อีกด้วย

ความพยายามที่จะทำให้รถ Series 3 รหัสตัวถัง e30 มีเครื่องยนต์ที่แรงพอสำหรับการแข่งขันในกรุ๊ป A ทีมวิศวกรเครื่องยนต์ของ BMW จึงผลิตรถ Series 3 รหัสตัวถัง e30 ให้กลายมาเป็นรถ M3 จนเป็นผลสำเร็จ เครื่องยนต์สี่สูบความจุ 2.3 ลิตรและมีแรงม้าถึง 200 ตัวเป็นที่น่าหวั่นเกรงของเหล่าบรรดาทีมแข่งรถชั้นนำทั่วโลกไม่ว่ามันจะอยู่ในตำแหน่งใดของการสตาร์ตก็ตาม

1988-1991
BMW M3 Evolution รหัสตัวถัง e30 ขึ้นมาเป็นผู้นำในการแข่งขัน European Touring Car และสำหรับผู้ที่มีรสนิยมในการขับรถยนต์แบบสปอตร์สามารถเลือกซื้อ BMW M3 ที่มีรุ่นเปิดประทุนออกมาวางตลาดด้วย ส่วนพวกบ้าความแรงก็ยังคงมีรถ Series 5 รุ่น M5 e34 ซึ่งมีกำลังถึง 356 แรงม้าเอาไว้ต่อกรกับบรรดาคู่แข่งตัวแรงจาก Mercedes Benz ที่ก่อตั้งแผนก AMG และ Porsche ที่มี RUF เป็นสำนักงานย่อยในการโมดิฟายรถยนต์รุ่นปกติของค่ายให้เป็นรถรุ่นพิเศษที่มีแรงม้ามากกว่าปกติ รถ BMW M3 e30 สามารถคว้าชัยชนะได้ถึง 16 รายการทั้งในเยอรมนีและทั่วภาคพื้นยุโรป ซึ่งรวมไปถึงตำแหน่งชนะเลิศในรายการใหญ่อย่าง European Hill Climb โดยมีภาพที่เห็นจนชินตาคือรถ M3 วิ่งนำหน้ากลุ่มของรถแข่งทั้งหมดเกือบทุกครั้งที่ลงทำการแข่งขัน

1992-1995
M Gmbh เริ่มต้นในทศวรรษที่สามด้วยการเปิดตัวรถ Series 3 รหัสตัวถัง e36 ที่มีกำลังถึง 286 แรงม้า หลังจากนั้นจึงทำการเปิดผ้าคลุมของรถสปอตร์รุ่น Series 8 นั่นก็คือรถรุ่น 850 CSI อันสวยงามและมีเครื่องยนต์ V12 ขนาดใหญ่ของ BMW เป็นขุมกำลังชั้นเลิศที่ไม่พึ่งพาระบบอัดอากาศ ต่อมาวิศวกรของสำนักแต่งรถ M-Motorsport เพิ่มความจุของรถ M5 รหัสตัวถัง e34 ให้มีปริมาตรความจุที่ 3.8 ลิตร และมีแรงม้าเพิ่มขึ้นตามมาถึง 430 แรงม้า

McLaren F1
ปี 1993 รถ M3 e36 รุ่นเปิดประทุนเริ่มต้นออกวางขาย และรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางลำที่ออกแบบโดย กอดอน เมอเรย์ ที่ใช้ชื่อรุ่นว่า McLaren F1 สามารถวิ่งทำความเร็วและทำลายสถิติโลกด้านความเร็วสูงสุดของรถยนต์โดยใช้เครื่องยนต์ BMW V12 แบบไม่มีระบบอัดอากาศ กำลัง 627 แรงม้า ทำให้ McLaren F1 ได้ชื่อว่าเป็นรถยนต์ประเภท GT ที่วิ่งได้เร็วที่สุดในโลกยนตรกรรม (ก่อนที่ Bugatti veyron จะแย่งตำแหน่งนี้ไปครองในปี 2005)

ปี 1994 นี้นับได้ว่าเป็นครั้งแรกของ BMW ที่ทำการผลิตรถ M3 จากรุ่น Series 3 e36 แบบสี่ประตู กำลัง 295 แรงม้า ด้วยประสิทธิภาพของ M3 รุ่นนี้ส่งผลต่อเนื่องไปถึงการคว้าแชมป์ European Touring Car ของรถ M3 สี่ประตู รหัส e36 ที่ขับโดย โยอาคิม วิงเคลฮ็อก-สตีฟ โซเปอร์-และจอห์นนี่ เซคอตโต

หลังจากนั้นในปี 1995 รถ McLaren F1 ในทีมแข่ง BMW ยืนแป้นในตำแหน่งสูงสุดของการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในรายการเอนดูแรนซ์ระยะไกลระดับโลก หรือ Le Mans 24 Hours ในช่วงกลางปีนี้เองที่รถ M3 ถูกปรับปรุงเครื่องยนต์ใหม่ให้มีแรงม้าเพิ่มขึ้นถึง 321 ตัว

1996-1999
BMW เปิดตัวรถ M Roadster เป็นครั้งแรก หลังจากไม่ได้ผลิตรถยนต์ในสไตล์ Roadster เปิดหลังคาสองที่นั่งมานาน M Roadster ใช้พื้นฐานของรถ Z3 หลังจากนั้นรถ M3 e36 ได้รับการติดตั้งเกียร์เซมิออโตรุ่นล่าสุด SMG (Sequential M Gearbox) ทำให้มีอัตราการทดเกียร์ที่ว่องไวกว่าเดิมมาก

ปี 1998 รถ M5 รุ่นใหม่ล่าสุด (e39) สร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการรถยนต์ด้วยเครื่องยนต์วี 8 ความจุ 5 ลิตร รหัส S62 แบบไม่มีระบบอัดอากาศที่มีกำลังถึง 400 แรงม้า ติดตามมาด้วยการปรากฏตัวของ M Coupe ที่ใช้แพลตฟอร์มเดียวกันกับ Z3 แต่ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จมากนัก มาถึงปี 1999 กับการคว้าตำแหน่งชนะเลิศของรถวี 12 LMR จากการแข่งขันรถยนต์ในรายการ Le Mans 24 Hours ช่วงกลางปีนี้เอง BMW ทำการเปิดเผยโฉมของรถ Z8 สปอตร์สองที่นั่งติดตั้งเครื่องยนต์ V8 400 แรงม้าของ M5 e39

2000-2004
BMW เปิดตัวรถ M3 รุ่นใหม่ล่าสุด รหัสตัวถัง e46 โดยติดตั้งเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ให้กำลัง 343 แรงม้า เครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้ได้สร้างความประทับใจในประสิทธิภาพให้กับบรรดาแฟนๆ ของรถในตระกูล M นักทดสอบและนิตยสารรถยนต์ทั่วโลกจนได้รับรางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2000 ผ่านมาอีกหนึ่งปี BMW M3 Cabriolet e46 ได้แสดงถึงการผสมผสานกันระหว่างรถสปอตร์แรงม้าสูงกับสไตล์เปิดประทุนที่ทำได้อย่างหมดจดไร้ที่ติ ปี 2002 รถต้นแบบรุ่น M3 CSL ผ่านการทดสอบในสนามและแสดงให้เห็นถึงรถสมรรถณะสูงจะสามารถเพิ่มความคล่องตัว ได้ด้วยการลดทอนน้ำหนักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการทำความเร็ว

BMW M5 e60

BMW Z4 M Roadster

BMW Z4 M Coupe

2005-2007
BMW ทำการปรับโฉมของรถ M5 อีกครั้งจากรหัสโมเดล e60 เครื่องยนต์ V10 4,999 ซีซี กำลัง 500 แรงม้า รถ M5 ในยุคนั้นประดังเทคโนโลยีที่ทันสมัยติดตั้งอยู่ในแทบทุกจุด ช่วงกลางปีมีปรากฏการณ์ใหม่กับวงการรถยนต์ขึ้นอีกครั้งในการกลับมาของรถ Series 6 รุ่น M6 ที่ใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกันกับ M5 e60 ต่อมารถ M3 CS (e46) กลายเป็นรถที่ทำการปรับปรุงจนถึงขีดสุดเพื่อเพิ่มสมรรถณะให้สูงขึ้นและออกวางขายด้วยกำลังที่มากถึง 338 แรงม้ากับเครื่องยนต์ 6 สูบ 3,246 ซีซี 24 วาล์ว มาถึงปี 2006 BMW เปิดผ้าคลุมรถ Z4 M Roadster และ Z4 M Coupe โดยนำเครื่องยนต์ตัวแรงของรถ M3 e46 มาติดตั้งลงในรถ Z4 M ทุกรุ่น กลางปี 2007 รถ M3 e90 ทำการทดสอบกับเครื่องยนต์ตัวใหม่แบบ V8 414 แรงม้า ปริมาตรความจุ 3,999 ซีซี ไม่มีระบบอัดอากาศจนสำเร็จและเริ่มลงมือผลิตออกขาย นับได้ว่าเป็นการกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งสำหรับรถ M3 ในแบบสี่ประตูหลังจากที่รุ่น M3 e36 ซีดานสี่ประตูเคยสร้างชื่อเสียงไว้

2008-200
ผลของเสียงตอบรับในรุ่น M3 e92 โดยเฉพาะรุ่น CSL จากการทดสอบของสื่อมวลชน นักข่าวและนักทดสอบรถยนต์ทั่วโลกที่ออกมาในทางบวก ทำให้อนาคตของเครื่องยนต์ V8 แบบไม่มีระบบอัดอากาศรุ่นใหม่ล่าสุดที่นำมาวางลงใน M3 สองประตูสดใสยิ่งขึ้น และสุดท้ายรถเอสยูวีในรหัส X5 M Series และ X6 M Series คงไม่เป็นแค่พิมพ์เขียวในกระดาษเขียนแบบอีกต่อไป โครงการผลิตทั้งสองรุ่นนี้เริ่มต้นขึ้นในปลายปี 2009-2010

หนึ่งในเหล่าบรรดา Roadcar ชั้นเยี่ยมของโลกยนต์กรรมคงไม่มีใครที่จะไม่กล่าวถึง BMW M Series ในแทบทุกโมเดลที่พวกมันเคยออกมาวาดลวดลายและเพิ่มสีสันบนถนน รถในอนุกรม M ทุกรุ่นทุกคันมีความเชื่อมโยงกันในประวัติศาสตร์อันยาวนานของ BMW ในแง่มุมของการผสมกันระหว่างพลังของการขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์ ความเที่ยงตรงของกลไกต่างๆ นับพันๆ ชิ้นที่ทำงานร่วมกันและสอดประสานกันเป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องของการยึดเกาะถนน ความเที่ยงตรงแม่นยำ และอัตราเร่ง BMW M ทุกคันจะทำหน้าที่เชื่อมโยงกันระหว่างผู้ขับและตัวรถโดยไม่อาจอาศัยการช่วยเหลือหรือควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ดังนั้นคงต้องอาศัยการสื่อสารกันระหว่างรถกับคนขับ แต่ความมุ่งมั่นและศักยภาพของตัวรถก็สามารถถ่ายทอดมาสู่ตัวผู้ขับขี่ได้จากสัมผัสที่ดีและมีความสมดุลมากกว่ารถทั่วๆ ไป หากจะนับรวมรถ BMW ใน Series M ทั้งหมดทุกคันคงจะมีพื้นที่ไม่พอสำหรับการบรรยาย ด้วยสาเหตุนี้จึงคัดเอามาเฉพาะรุ่นที่ได้รับความนิยมและมีสมรรถนะที่โดดเด่นเป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักเลงรถ M-Power ว่าเป็น M Car ที่สามารถสะท้อนตัวตนออกมาได้ดีที่สุด มีพลังการขับเคลื่อนที่สูงกว่าและเชื่อมโยงไปกับจิตวิญญาณของรถแข่งที่ส่งต่อสายพันธ์ุมานานกว่า 40 ปี ไม่ว่าพวกมันจะมีเครื่องยนต์ขนาดไหนก็ตาม เช่น สี่สูบ หกสูบแถวเรียง หรือเครื่องยนต์ขนาดใหญ่อย่างวี 8 หรือวี 10 รถ BMW รุ่น M ทุกคันล้วนแล้วแต่เป็นที่สิงสถิตของเหล่าปิศาจแห่งความเร็วที่พร้อมจะเล่นงานรถทุกคันที่อาจหาญมาทาบรัศมีของมัน

BMW M1(1978-1981)
จากหน้าประวัติศาสตร์ของ BMW Motorsport ได้บันทึกเอาไว้ว่ารถ BMW M1 เครื่องยนต์วางกลางลำเป็นรถสปอตร์สำเร็จรูปที่ผลิตขึ้นจากแผนก Motorsport เป็นคันแรกจากความพยายามที่จะสร้างรถแข่งแบบ Roadcar ตามแผนงานที่วางไว้ตั้งแต่ปี 1972 แต่โครงการนี้ก็ล่าช้าไปหลายปีเนื่องจากปัญหาบางประการของการร่วมมือกันระหว่าง BMW และ Lamborghini ดีไซน์ของรถ M1 เกิดขึ้นจากมันสมองของสำนักออกแบบรถยนต์ Giugiaro และวิศวกรของ BMW ชื่อ Paul Bracq และเนื่องจากมันเป็นรถที่วางเครื่องยนต์กลางลำตัว ซึ่งบริษัท BMW ไม่มีความชำนาญในรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์วางอยู่ในลักษณะดังกล่าว โครงการพัฒนารถ M1 จึงถูกส่งต่อไปให้กับแบรนด์กระทิงเปลี่ยวจากอิตาลี Lamborghini รับหน้าที่ด้านโครงสร้างและตัวถัง แต่โชคไม่ดีที่ Lamborghini ในขณะนั้นเกิดปัญหาทางการเงินและสภาวะของความตกต่ำ BMW จึงนำโครงการ M1 กลับมาพัฒนาเองจนสำเร็จ นับได้ว่า M1 เป็นรถเครื่องวางกลางที่ดีที่สุดในยุคนั้น เครื่องยนต์ทวินแคม 6 สูบเรียง ถูกออกแบบมาเพื่อให้มีแรงม้าที่เข้ากันได้ดีทั้งรูปทรง ขนาด และน้ำหนัก โทนเสียงของเครื่องยนต์หกสูบไม่เหมือนกับเครื่อง V8 หรือ V12 ของพวกอิตาเลียน พวงมาลัยหนักกว่ารถปกติแต่มีความมั่นคงเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูงและมีความแม่นยำในการเปลี่ยนทิศทาง อาการของรถเมื่อซัดเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงในสนามแข่งขันมีความเป็นกลางมากกว่ารถเครื่องวางหน้าอย่างเห็นได้ชัด กำลังของเครื่องยนต์และการยึดเกาะของช่วงล่างทำให้ M1 ได้รับคำกล่าวขานในด้านประสิทธิภาพ BMW M1 ถูกสร้างขึ้นเพียง 450 คันทำให้ในปัจจุบันนี้กลายเป็นรถยนต์คลาสสิกที่หาได้ยากมาก รวมถึงยังเป็นรถยนต์เครื่องวางกลางคันแรกและคันสุดท้ายของ BMW อีกด้วย

BMW M1
เครื่องยนต์...........................แถวเรียงหกสูบ ทวินแคม 24 วาล์ว วางกลางลำตัวรถ ขับเคลื่อนล้อหลัง
ปริมาตรความจุ....................3,453 ซีซี
แรงม้าสูงสุด.........................280 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด........................243 ปอนด์/ฟุต ที่ 5,000 รอบต่อนาที
อัตราเร่ง...............................0-100 กิโลเมตรใน 5.8 วินาที
ความเร็วสูงสุด.....................160 ไมล์ต่อชั่วโมง

BMW M3 (e30) Sport Evolution (1989-1990)
จากตัวถังของรุ่น Series 3 รหัส e30 ถูกวิศวกรของ BMW Motorsport นำมาปรับปรุงตัวรถทั้งคันขึ้นมาใหม่ให้กลายเป็นสายพันธุ์ของรถแข่งที่ดีที่สุดในรุ่นเครื่องยนต์ขนาดเล็กไม่เกินสี่สูบ โดยการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ช่วงล่าง ระบบเบรก ให้ดีขึ้น รอบตัวรถมีซุ้มล้อที่โป่งนูนออกมาจนเห็นได้ชัดและติดตั้งชุดสปอยเลอร์หลัง แบบปรับตั้งองศาได้ เครื่องยนต์สี่สูบ 2.5 ลิตร 238 แรงม้า ที่มีกำลังพอเหมาะพอดีกับตัวรถมาก จุดเด่นของ M3 e30 Sport Evolution อยู่ที่ช่วงล่างของมันที่ได้รับการเซ็ตมาอย่างลงตัวทำให้มันเป็นรถยนต์ที่รักทางโค้งมากกว่าทางตรงและผิวสัมผัสของแชสซีส์จะส่งตรงอาการต่างๆ ของตัวรถได้อย่างดีเยี่ยม เครื่องยนต์สี่สูบขนาดเล็กวางด้านหน้าขับเคลื่อนล้อหลังที่ยังคงเอกลักษณ์ของ BMW เอาไว้ด้วยการวางเครื่องเอียง และมีแรงบิดที่ไม่ต้องแบกน้ำหนักตัวรถมากจนเกินไป ซึ่งทำงานได้อย่างเต็ม กำลังในย่าน 5,000-7,500 รอบต่อนาที บริษัท BMW ผลิต M3 e30 ออกมาเพียง 600 คันเท่านั้น และเจ้าของรถที่มีรถรุ่นนี้อยู่ในครอบครองมักไม่ยอมขายมันไปง่ายๆ ทำให้ M3 e30 Evolution กลายเป็นรถหายากในยุคนี้ไปโดยปริยาย

BMW M3 Sport Evolution

เครื่องยนต์...........................แถวเรียง 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว วางด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง
ปริมาตรความจุ....................2,467 ซีซี
แรงม้าสูงสุด.........................235 แรงม้า ที่ 7,000 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด........................177 ปอนด์/ฟุต ที่ 4,750 รอบต่อนาที
อัตราเร่ง...............................0-100 กิโลเมตรใน 6.1 วินาที
ความเร็วสูงสุด.....................154 ไมล์ต่อชั่วโมง

BMW M5 (e34) (1992-1995)
จากรถยนต์ซีดานสี่ประตูขนาดกลางในรุ่น e34 ถูกบรรดาพ่อมดในแผนก BMW Motorsport ทำการปรับแต่งจนมีความลงตัวทั้งกำลังของเครื่องและช่วงล่าง รถ M5 e34 ในโมเดลแรกถูกเผยโฉมครั้งแรกในปี 1988 ซึ่งมาพร้อมกับเครื่องยนต์หกสูบแถวเรียงปริมาตรความจุ 3.6 ลิตร 315 แรงม้า แต่ก็เกิดปํญหาขึ้นจากกำลังที่มีอยู่กลับไม่พอเพียงและสมดุลกับน้ำหนักของตัวรถที่มากกว่า 1,500 กิโลกรัม เครื่องยนต์ตัวใหม่ที่มีความจุและกำลังรวมถึงแรงบิดที่ดีกว่าจึงถูกพัฒนาและนำลงมาวางในห้องเครื่องยนต์ของ M5 e34 ในโมเดลที่สอง โดยมีขนาดความจุ 3.8 ลิตร กำลัง 340 แรงม้า พร้อมกับเกียร์รุ่นใหม่ 6 สปีด เพื่อส่งต่อแรงบิดไปยังล้อทั้งสี่ให้มีย่านของพลังกว้างกว่ารถ M5 ในโมเดลแรกสุด การติดตั้งระบบอิเลคโทรนิคที่ทันสมัยลงไปในตัวรถก็ได้เริ่มต้นขึ้นในโมเดลที่สองของ M5 นี่เอง ระบบต่างๆ ประกอบไปด้วยระบบปรับค่ากันสะเทือน EDC (Electronic Damper Control) ทำให้ผู้ขับสามารถปรับตั้งความสูงของตัวรถได้ด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และยังคงอยู่ในรถ BMW M Series ทุกๆ คันก็คือช่วงล่างและแชสซีย์ชั้นเยี่ยมที่สมดุลกับกำลัง ส่งให้มันกลายเป็นรถซีดานสี่ประตูขนาดกลางที่สมบูรณ์แบบมากที่สุดในยุคนั้น


BMW M5 e34 (3.8)
เครื่องยนต์...........................แถวเรียง 6 สูบ ทวินแคม 24 วาล์ว วางด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง
ปริมาตรความจุ....................3,795 ซีซี
แรงม้าสูงสุด.........................340 แรงม้า ที่ 6,900 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด........................295 ปอนด์/ฟุต ที่ 4,750 รอบต่อนาที
อัตราเร่ง...............................0-100 กิโลเมตรใน 5.9 วินาที
ความเร็วสูงสุด.....................155 ไมล์ต่อชั่วโมง

BMW M3 (e36) Evolution 1995-1999
มีรถยนต์ชั้นเยี่ยมเกิดขึ้นมากมายในยุค 90' และรถ BMW M3 e36 Evolution ก็เป็นหนึ่งในรถยนต์ชั้นเยี่ยมเหล่านั้น จากรถ e36 รุ่นปกติทั้งรุ่นสี่ประตูและสองประตู BMW ทำการออกแบบได้อย่างไร้ที่ติและถือได้ว่าเป็นรุ่นที่สร้างชื่อเสียงให้กับ BMW มากที่สุดจากจำนวนการผลิต รูปทรง ความทนทาน และกำลังของเครื่องยนต์ รถ BMW M3 e36 Evolution ถูกผลิตขึ้นมาในยุคที่เทคโนโลยีของรถยนต์กำลังก้าวไปข้างหน้า แต่ก็ก่อนหน้าที่ระบบอีเลคโทรนิคจะเข้ามาครอบงำทุกสิ่งทุกอย่างเช่นในปัจจุบัน เครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง 3,201 ซีซี มาพร้อมกับชุด Vanos สองตัวที่สวยงามทั้งรูปทรงของตัวเครื่องและพรั่งพร้อมไปด้วยพลังถึง 321 แรงม้า ทำให้ M3 Evo แบบสองประตู แบบเปิดประทุนและแบบซีดานสี่ประตูทะยานไปสู่ความสำเร็จได้อย่างสบายๆ ทั้งในสนามแข่งรถและบนท้องถนนทั่วไป แต่รุ่นสี่ประตูจะหารถได้ยากมากในปัจจุบัน เนื่องจากมันถูกสร้างขึ้นในจำนวนเพียงน้อยนิดและประโยชน์ของการใช้สอยแบบรถสี่ประตูที่สะดวกสบายกว่ารุ่นสองประตู จุดอ่อนของ M3 e36 Evolution อยู่ที่การควบคุมตัวรถในขณะที่ใช้ความเร็วสูง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผู้ขับขี่ว่าจะปราบมันให้เชื่องมืออยู่ภายใต้การควบคุม หรือลนจนออกอาการและอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ทุกขณะในระหว่างที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูง โดยภาพรวมแล้วมันเป็นรถใน Series M ที่สมบูรณ์แบบและมีความพิเศษอยู่ในตัวตน จนถึงทุกวันนี้รถ M3 Evo e36 ก็ยังได้รับความนิยมจากนักสะสมอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย

BMW M3 e36 Evolution
เครื่องยนต์...........................แถวเรียง 6 สูบ ทวินแคม 24 วาล์ว วางด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง
ปริมาตรความจุ....................3,201 ซีซี
แรงม้าสูงสุด.........................321 แรงม้า ที่ 7,400 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด........................258 ปอนด์/ฟุต ที่ 3,250 รอบต่อนาที
อัตราเร่ง.............................0-100 กิโลเมตรใน 5.6 วินาที
ความเร็วสูงสุด.....................155 ไมล์ต่อชั่วโมง

BMW M5 (e39) 1998-2003
รถยนต์ซีดานสี่ประตูที่มีความสมบูรณ์ทั้งรูปทรงของการออกแบบและสัมผัสที่ยอด เยี่ยมยามขับขี่เกิดขึ้นไม่มากนักในวงการยนต์กรรม และในบรรดารถยนต์ชั้นเยี่ยมเหล่านั้นต้องมีรถ BMW M5 e39 รวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน สายพันธุ์แห่งความแรงถูกผลิตขึ้นเป็นรุ่นที่สามของตระกูล M5 และการมาถึงของเครื่องยนต์ขนาดใหญ่แบบ V8 400 แรงม้าที่ทำให้เกิดเสียงคำรามยามผลักดันมันขึ้นสู่รอบสูงสุดได้ อย่างเร้าใจ ไม่มีที่ติสำหรับห้องโดยสารและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกทำให้มันก้าวเข้าสู่จุด สูงสุดของรถซีดานขนาดกลางแรงม้าสูง รูปแบบในการจัดวางอุปกรณ์ถือได้ว่าลงตัวที่สุดแล้วและมีความงดงามน่าใช้ มากกว่ารุ่น M5 e60 เสียอีก ตำแหน่งของผู้ขับขี่ถูกจัดวางไว้อย่างดีบนเบาะนั่งแบบสปอตร์เพื่อความแม่นยำ ในการควบคุม รถ M5 e39 มีน้ำหนักมากกว่า 1,700 กิโลกรัม แต่ไม่สร้างภาระให้กับเครื่องยนต์รอบจัดแบบ V8 เลยแม้แต่นิดเดียว ช่วงล่างของมันถูกปรับแต่งให้เชื่อมโยงกับแชสซีอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ขับง่ายราวกับเล่นเกม ถึงแม้ว่าตัวรถจะมีขนาดใหญ่และถูกเหมารวมอยู่ในรุ่นซีดานสี่ประตูขนาดกลาง แต่ M5 รุ่นนี้ก็มีความคล่องตัวและปราดเปรียวอย่างที่รถในตระกูล M Series ทุกคันสมควรจะมี

BMW M5 e39
เครื่องยนต์............................V 8 สูบ ทวินแคม 32 วาล์ว วางด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง
ปริมาตรความจุ....................4,941 ซีซี
แรงม้าสูงสุด.........................400 แรงม้า ที่ 6,600 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด........................369 ปอนด์/ฟุต ที่ 3,800 รอบต่อนาที
อัตราเร่ง.............................0-100 กิโลเมตรใน 4.8 วินาที
ความเร็วสูงสุด.......................155 ไมล์ต่อชั่วโมง

BMW Z4 M Coupe 2006-2008
หลังจากที่ผู้คนในวงการรถยนต์ลืมรูปทรงของหลังคาอันอัปลักษณ์และความตกต่ำในการทำตลาดของ Z3 M Coupe ก็ถึงเวลาแล้วที่อนุกรมใหม่ของ Z -M Series จะออกสู่สายตาของนักเลงรถทั่วโลก การหยิบยืมเอาเครื่องยนต์ของรถ M3 e46 ส่งผลต่ออัตราเร่งแซงโดยตรงทำให้รถ Z4 M Coupe มีสมรรถนะที่ดีกว่า Z3 M Coupe อย่างเห็นได้ชัด การปรับปรุงแซสซีและระบบกันสะเทือนใหม่ทั้งหมดทำให้การพุ่งเข้าสู่โค้งมุมแคบมีความเที่ยงตรงแม่นยำ แต่มันก็ไม่ถึงกับเป็น Roadcar ที่ดีที่สุดและอาจก่อปัญหาขึ้นได้ในบางครั้งจากสภาพเส้นทางที่มีความคด เคี้ยวแบบทางขึ้นลงเขาเนื่องจากโอเวอร์แฮงค์ของตัวรถ มีแต่เพียงรูปทรงที่สวยงามของหลังคาแบบใหม่ที่มีความลงตัวและลาดเอียงรับกับ ท้ายรถได้ดีรวมถึงพละกำลังจากเครื่องยนต์เท่านั้นที่ช่วยมันไว้ไม่ให้กลับไป เหมือนกับรุ่นพี่ที่เคยผจญกับความยากลำบากในการทำตลาดมาแล้ว แฟนๆของรถ M Series ต่างก็พากันถอนหายใจอย่างโล่งอกที่หลังคาทรงอัปลักษณ์ของรถ Z3 M Coupe ไม่ได้ถูกนำกลับมาใช้ใน Z4 M Coupe หลังคาแบบนั้นทำให้มันขึ้นทำเนียบรถสปอร์ตที่มีรูปทรงน่าเกลียดอยู่นานเลยทีเดียว

BMW Z4 M Coupe
เครื่องยนต์............................แถวเรียง 6 สูบ ทวินแคม 24 วาล์ว วางด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง
ปริมาตรความจุ....................3,246 ซีซี
แรงม้าสูงสุด.........................338 แรงม้า ที่ 7,900 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด........................269 ปอนด์/ฟุต ที่ 4,900 รอบต่อนาที
อัตราเร่ง..............................0-100 กิโลเมตรใน 4.8 วินาที
ความเร็วสูงสุด.....................155 ไมล์ต่อชั่วโมง

BMW M5 (e60) 2005-2009
กระจังหน้าและไฟด้านหน้าทำให้ M5 e60 ได้รับชัยชนะในการออกแบบรถซีดานของยุคนี้ รวมไปถึงวิวัฒนาการทางรูปทรงและรายระเอียดมากมายที่ประกอบขึ้นเป็นตัวรถทั้งคันจากมันสมองของ Chris Bangle งานออกแลลที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนในวงการดีไซน์รถยนต์ แฟนคลับของ BMW ก็มีทั้งเสียงชื่นชมและก่นด่า หลังจากเวลาผ่านไปได้ไม่นานนักกลับกลายเป็นว่าบรรดาค่ายรถทั่วโลกต่างก็นำเอาเส้นสายที่ Bangle เคยดีไซน์ไว้มาใส่ยังรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ของตนเองเต็มไปหมด รถ M5 e60 ถูกเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทำให้ตัวถังและภายในมีความแตกต่างจากรุ่นที่แล้ว อย่างสิ้นเชิง อุปกรณ์ที่ใช้ระบบอีเลคโทรนิคควบคุมในรถ M5 e60 มีมากเสียจนอาจทำให้ช่างเครื่องยนต์ที่ทำการลงมือซ่อมแซมมันถึงกับฆ่าตัวตาย ปุ่มควบคุมแบบ I Drive ,ระบบปรับอัตราทดเกียร์แบบ EDC, DSC สวิตช์ Power และปุ่ม M บนพวงมาลัย ก่อให้เกิดความสับสนและต้องการการเรียนรู้จากประติสัมพันธ์ในระหว่างการใช้งาน กำลังของเครื่องยนต์ก็ยกเอาเทคโนโลยีจากเครื่องยนต์ของรถ Formula 1 มาทั้งยวง เครื่องยนต์ 5.0 ลิตร V10 กำลังมหาศาลถึง 500 แรงม้า ติดตั้งแป้นเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ Paddle Shift ที่ทำงานร่วมกับระบบเกียร์แบบ SMG 7 สปีด ทำให้ M5 รุ่นนี้กลายเป็นรถสปอร์ตซีดานสี่ประตูขนาดกลางที่ไม่อาจจะล้อเล่นได้อีกต่อไป มันสามารถดูดติดท้ายรถสปอตร์ซุปเปอร์คาร์จากแดนมักโรนีแบบกัดไม่ปล่อยด้วยแชสซีที่ยอดเยี่ยมรวมถึงพลังของเครื่องยนต์ รถ M5 e60 มีน้ำหนักถึง 1,830 กิโลกรัม หนักกว่า M5 e28 รุ่นแรกถึง 400 กิโลกรัม กำลัง 500 แรงม้า จากเครื่องยนต์ V10 ทำให้น้ำหนักตัวบานเบอะของ M5 e60 ไม่ส่งผลกระทบต่อสมรรถนะ แรงบิดในโหมด M เพิ่มพูนความดิบเถื่อนสะใจพวกตีนผีที่ชอบบูชาความเร็ว แต่การเชื่อมโยงตัวรถและผู้ขับขี่ถูกกั้นเอาไว้ด้วยระบบต่างๆ ที่มีมากเสียจน ทำให้การทำงานประสานกันระหว่างคนและเครื่องจักรในรถ M Series รุ่นเก่าๆ ที่เคยมีอยู่หายไปทันทีที่เปลี่ยนมาขับขี่รถ M5 e60

BMW M5 e60
เครื่องยนต์............................V 10 สูบ ทวินแคม 40 วาล์ว วางด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง
ปริมาตรความจุ....................4,999 ซีซี
แรงม้าสูงสุด.........................500 แรงม้า ที่ 7,750 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด........................383 ปอนด์/ฟุต ที่ 6,100 รอบต่อนาที
อัตราเร่ง.............................0-100 กิโลเมตรใน 4.6 วินาที
ความเร็วสูงสุด.....................155 ไมล์ต่อชั่วโมง

BMW M3 CSL And CS (e46) 2003-2005
การนำเอารถสองประตูในรุ่น M3 e46 มาทำการปรับปรุงเพื่อลดน้ำหนักเป็นเรื่องที่ไม่เกินความสามารถของวิศวกรจากแผนก BMW Motorsport แต่การที่จะทำรถ M3 e46 ให้ดีกว่าเดิมและกลายสภาพมาเป็นรุ่นที่ใช้รหัสต่อท้ายว่า CSL กลับทำได้ยากยิ่งกว่า CSL เป็นจักรกล M Car ที่ประสบความสำเร็จและแสดงตัวตนให้เห็นได้ว่ามันมีความเหนือชั้นกว่า M Car รุ่นมาตรฐาน การลดน้ำหนักกลายเป็นเป้าหมายที่วิศวกรของ BMW Motorsport ลงมือปรับแต่ง หั่นหลังคาโลหะออกแล้วแทนที่ด้วยหลังคาแบบคาร์บอนไฟเบอร์ ฝากระโปรงทั้งด้านหน้าและหลังใช้คาร์บอนไฟเบอร์ เปลี่ยนแปลงขนาดของสปริงและคารลิปเปอร์เบรคให้มีขนาดที่ใหญ่กว่า เดิม เบาะนั่งในสไตล์รถแข่งแบบกระชับตัวผู้ขับที่เมื่อใดได้เข้าไปนั่งก็จะเหมือน กับเตรียมพร้อมที่จะแข่งในทันที เจ้าของรถ M3 CSL-CS ส่วนใหญ่มักไม่แน่ใจกับน้ำหนักของแป้นเบรคและระบบเบรคที่ติดตั้งมาจากโรงงาน จึงมักจะนำรถ CLS ไปติดตั้งระบบเบรคใหม่จากบริษัทที่ผลิตเบรคคุณภาพสูงอย่าง AP Racing และ Brembo เพื่อเพิ่มความมั่นใจและสยบม้า 338 ตัวให้มีความประพฤติที่อยู่กับร่องกับรอย รถ BMW M3 CSL-CS สามารถทำสมรรถนะได้ดีทั้งสภาพถนนที่แห้งและเปียกชื้น ช่วงล่างนำพาตัวรถไปได้อย่างมั่นคง ชัดเจนและเฉียบขาด สิ่งที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งของกลไกทั้งหมดในตัวรถ M3 CLS คือระบบเกียร์แบบ SMG อัตราทดว่องไวปานกระพริบตาและมีความลื่นไหลมากกว่ารถ BMW M Series ในแทบทุกรุ่นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจเกิดจากน้ำหนักที่เบากว่าของตัวรถก็เป็นได้


BMW M3 CSL-CS
เครื่องยนต์...........................แถวเรียงหกสูบ ทวินแคม 24 วาล์ว วางด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง
ปริมาตรความจุ....................3246 ซีซี
แรงม้าสูงสุด.........................355 แรงม้า ที่ 7,900 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด........................273 ปอนด์/ฟุต ที่ 4,900 รอบต่อนาที
อัตราเร่ง...............................0-100 กิโลเมตรใน 4.8 วินาที
ความเร็วสูงสุด.....................155 ไมล์ต่อชั่วโมง

BMW M3 (e92) 2007-2009
การจะลงมือสร้างรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดสักคันหนึ่งให้มีสมรรถนะที่ดีกว่ารุ่นที่ผ่านมาคงจะไม่มีอะไรยากเย็นเกินไปสำหรับบริษัท BMW ดังเช่นที่เราพบเห็นได้ในรถ M3 e92 รถยนต์สปอตร์ 2- 4 ประตู ในอนุกรมของ M3 Series ที่มีอายุยาวนานมากที่สุดในบรรดารถสปอตร์พลังสูงของ BMW M-Power พัฒนาการของตัวรถ M3 ที่มีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มต้นจากเครื่องยนต์ 4 สูบ หลังจากนั้นจึงเพิ่มเป็นเครื่องยนต์ 6 สูบ รถ M3 e92 ก็อดรนทนไม่ได้กับความเย้ายวนของเครื่องยนต์ขนาดใหญ่อย่างเครื่อง V8 ที่สามารถสร้างแรงบิดโดยไม่ต้องอาศัยระบบอัดอากาศ ทั้งซุปเปอร์ชาร์จและเทอร์โบต่างก็มีข้อดีและข้อเสีย สำหรับข้อด้อยของมันเกิดจากปริมาตรความร้อนที่สะสมภายในห้องเครื่องยนต์ กลายเป็นตัวบั่นทอนอายุการใช้งานและเพิ่มค่าบำรุงรักษา เครื่องยนต์ V8 ไม่มีระบบอัดอากาศ ทำให้เครื่องยนต์ที่ติดตั้งระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบทั่วไปต้องหันมามองในด้านของความคงทนและความเสถียร กำลัง 414 แรงม้า เกิดจากการสันดาปภายใน กลไกเชื่อมต่อของระบบต่างๆที่ยอดเยี่ยม ผ่านการทดสอบอย่างหนักก่อนผลิต ปริมาตรความจุเพียง 3,999 ซีซี แต่สามารถลากรอบให้ไปถึงย่าน 8,500 รอบต่อนาทีอย่างรวดเร็วแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่โดดเด่นในยุคนั้น เครื่องยนต์รุ่นนี้ที่ถูกนำมาวางลงใน M3 e90 รุ่นสี่ประตูรวมถึง M3 e92 ที่เป็นรถ Coupe สองประตู พละกำลังของ M Car รุ่นนี้ ทำให้รถสปอตร์อย่าง Porsche 911-997 Audi RS5, Mercedes Benz C63 AMG หรือแม้แต่จักรกลซาตานอย่าง Nissan GTR 2009 ยังต้องร้อนๆหนาวๆยามเหลือบมองไปที่กระจกมองหลังแล้วเห็นเจ้า M3 ตัวใหม่ล่าสุดเกาะจี้ท้ายรถอยู่

รถ M3 e92 Coupe มีจุดเด่นของตัวรถอยู่ที่ด้านท้ายและไฟท้ายที่ลงตัวมากกว่ารุ่นแรก ตำแหน่งติดตั้งทะเบียนรถจากที่เคยอยู่ที่ฝาท้ายโดนย้ายลงมาอยู่กึ่งกลาง กันชนและถูกขยายให้ใหญ่ขึ้น ฝากระโปรง หลังคา ใช้คาร์บอนไฟเบอร์ โดยภาพรวม เหมือนกับการนำเอาดีไซน์ของรุ่น e46 และ e36 มาผสมกันจนเกิดเป็น M3 e92 การนำเอาเครื่องยนต์ขนาดใหญ่แบบ V8 มาใส่ก็เนื่องจากบรรดาคู่แข่งต่างก็ระดมกันนำเอาขุมกำลังแบบ V8 มาติดตั้งให้กับรถยนต์ในค่ายของตัวแทบทั้งสิ้นเช่น Audi, Lexus, Mercedes Benz ด้วยสาเหตุนี้เอง BMW จึงจำเป็นต้องทิ้งเครื่อง 6 สูบแถวเรียงและหันมาหาเครื่องยนต์ V8 เพื่อปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

BMW M3 e92
เครื่องยนต์...........................V 8 สูบ ทวินแคม 32 วาล์ว วางด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง
ปริมาตรความจุ....................3,999 ซีซี
แรงม้าสูงสุด.........................414 แรงม้า ที่ 8,300 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด........................295 ปอนด์/ฟุต ที่ 3,900 รอบต่อนาที
อัตราเร่ง.............................0-100 กิโลเมตรใน 4.7 วินาที
ความเร็วสูงสุด.....................155 ไมล์ต่อชั่วโมง

BMW M4CS 2017-2019
BMW Group ปล่อยรถรุ่นพิเศษ M4 เวอร์ชั่น CS ในปี 2017 เป็นการสานต่อตำนานความโหดของยานยนต์ตระกูล M โดยวางตัวขั้นอยู่ตรงกลางระหว่าง M4 Competition Package และ M4 GTS ในรูปแบบการผลิตและขายด้วยจำนวนเพียงน้อยนิด หรือ Limited Edition การผลิตในจำนวนไม่มากสำหรับนักขับที่ต้องการความแตกต่างระหว่างรถ M รุ่นมาตรฐานกับรุ่นพิเศษที่มีเรี่ยวแรงมากกว่า ทำให้ BMW M4CS กลายเป็นรถที่หายากและมีราคาแพงกว่า M4 รุ่นมาตรฐาน คุณจะเจอกับ M4 รุ่นปกติมากกว่าที่จะเห็น M4CS ตัวเป็นๆ วิ่งอยู่บนถนนในประเทศไทย มันเป็นรถคูเป้ที่เจริญรอยตามรถรุ่นพี่ทั้งสองรุ่น นั่นก็คือการเน้นชิ้นส่วนเนื้องานน้ำหนักเบาทั้งภายนอกและภายใน ลงลึกเปลือกตัวถังด้วยงานคาร์บอนไฟเบอร์ การปรับจูนช่วงล่าง เปลี่ยนล้อใหม่ให้ใหญ่ขึ้นพร้อมแอร์โรพาร์ทรอบคันที่ทำให้แอร์โรไดนามิกของรถดีขึ้น ช่างในแผนก M ยังลงมือจูนเครื่อง 6 สูบเทอร์โบคู่ให้มีแรงม้าเพิ่มขึ้นเพื่อความสุดกับการแอบอิงกีฬามอเตอร์สปอร์ตด้วยการเป็นได้ทั้งรถบ้านและรถแข่งในคันเดียวกัน!! วันธรรดาคุณสามารถขับ M4 CS ไปทำงาน พอเสาร์-เอาทิตย์ก็คว้าหมวกกันน็อกลงไปขับในสนามแข่งแบบไม่ต้องทำอะไรเพิ่มกับรถอีกแล้ว

แก่นแท้ของรถ M Car ก็คือสมรรถนะในการขับขี่โดยเฉพาะการยึดโยงแนวคิดคล้ายกับรถแข่ง นั่นก็คือการปรับลดน้ำหนักส่วนเกิน ฝากระโปรงหน้า หลังคา ฝาท้าย ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ แชสซีของ M4CS ใช้โช้กอัพและสปริงที่มีการเซตค่าใหม่หมด เป็นการปรับความยืดหยุ่นของช่วงล่างให้ทำงานได้ดีกว่า M4 รุ่นมาตรฐาน ล้ออัลลอยลายใหม่สไตล์ก้างปลามีน้ำหนักเบาขึ้น ลวดลายของล้อนั้นล้างง่ายกว่าล้อลายซี่ถี่ของ M4 GTS และเป็นล้อสีเทาแบบพิเศษ Orbit Grey ล้อหน้าขนาด 9 J x 19 ห่อรัดด้วยยางสปอร์ตประสิทธิภาพสูง Michelin รุ่น Pilot Sport Cup 2 ขนาด 265/35 ZR 19 98Y ส่วนล้อหลังซึ่งเป็นล้อขับเคลื่อน ตามธรรมเนียมของรถแรงขับหลังก็ต้องยัดล้อหลังให้โตกว่าล้อหน้านิดๆ ล้อหลังของ M4CS มีขนาด 10 J x 20 ใส่ยาง Pilot Sport Cup 2 ไซส์ 285/30 ZR 20 99Y ใหญ่โตมโหระทึกเหมาะกับการเทม้าลงพื้นกันแบบสุดๆ ไปเลย ยางใหญ่ขึ้นก็ต้องสะเทือนมากขึ้นแต่ CS เป็นรถที่ออกแบบให้ใชัความเร็วสูง เมื่อขับเร็วมันจะลดอาการกระเด้งกระดอนลงอย่างน่าประหลาด

BMW M4CS ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินแบบ 6 สูบเรียง M TwinPower Turbo อัดอากาศด้วยเทอร์โบคู่แบบ mono Scroll ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติแบบทวินคลัตช์ 7 สปีด M Double Clutch Transmission (M-DCT) กำลังถูกจูนจนมีม้าท่วมท้นเพิ่มขึ้นเป็น 338 กิโลวัตต์ หรือ 460 แรงม้า ที่ 6,250 รอบต่อนาที แรงม้าของ M4CS มากกว่า M4 สแตนดาร์ดอยู่ 30 แรงม้า พร้อม Package Overboost แรงบิดสูงสุดทำได้ถึง 600 นิวตันเมตร หรือ 61.2 กิโลกรัม-เมตร ที่ 4,000-5,380 รอบต่อนาที อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 8.4 ลิตรต่อระยะทาง 100 กม. (11.9 กิโลเมตรต่อลิตร) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 3.9 วินาที และ 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 285 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์ 6 สูบเรียงวางตามยาวโดยร่นแท่นเครื่องแท่นเกียร์ให้เข้าใกล้กับจุดศูนย์กลางของรถเพื่อการกระจายน้ำหนักที่ดี เครื่องยนต์ 6 สูบเทอร์โบคู่นั้นไม่มีระบบฉีดน้ำเข้าอินเตอร์คูลเลอร์เหมือน M4 GTS แต่มีกำลังแรงม้าเพิ่มมาให้อีก 30 ตัว แรงบิด 600 นิวตันเมตร เป็นรองซุปเปอร์คาร์บางรุ่นไม่มากนัก เป็นรถที่เร็วอย่างน่ากลัว และต้องใช้ความคุ้นเคยกันพอสมควรก่อนจะคิดปล่อยม้า 460 ตัวลงพื้นแบบเต็มๆ

BMW M2 COMPETITION 2018
หลังจากที่ปล่อยของแรงใน M2 รุ่นมาตรฐานออกมาวาดลวยลายบนถนนได้ 2 ปี ล่าสุด BMW M จัดการปรับสมรรถนะของรถ M2 ในรูปแบบพิเศษหรือ Competition ด้วยการปรับเปลี่ยนขุมกำลังและรายละเอียดของตัวรถเพื่อเพิ่มความแรง การกระชากเครื่องเก่าทิ้งเนื่องจาก M2 รุ่นมาตรฐานนั้นวางเครื่องยนต์ของ M235i ซึ่งนักเลงรถ M ยังถือว่าไม่สุด การปรับเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนด้วยการยัดเครื่องยนต์สมรรถนะสูงของ BMW M4 โดยมีการปรับแรงม้าลดดีกรีความโหดจาก 430 แรงม้า เหลือ 410 แรงม้า แรงกว่าเดิมที่ทำได้แค่ 370 แรงม้า รวมถึงแรงบิดจากเครื่อง 6 สูบเรียง เทอร์โบคู่ตระกูล M ที่ทำได้เพิ่มขึ้นเป็น 550 นิวตันเมตร แรงบิดเพิ่มอีก 50 นิวตันเมตร พร้อมอัพเกรดระบบเบรกช่วงล่างให้รองรับกำลังที่เพิ่มมากขึ้น

ล้อขอบ 19" M light alloy wheels Double-spoke style 788 M-Wheel ห่อรัดด้วยยางสปอร์ต Michelin รุ่น Pilot Super Sport ล้อหน้าขนาด 9 J x 19 ยาง 245/35 R19 ส่วนล้อหลังซึ่งเป็นล้อขับเคลื่อนมีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย 10 J x 19 กับยางหลังไซส์ 265/35R 19 เต็มพอดิบพอดีกับโป่งหลังที่อวบอูม! ตัวถังหน้า-หลัง กว้างขึ้น 55 และ 80 มิลลิเมตรตามลำดับ รองรับฐานล้อที่กว้างมากกว่า Series-2 Coupe รุ่นมาตรฐาน สำหรับระบบรองรับยกเอาแพหน้าและแพหลังของ M4 มาทั้งหมด ช่วงล่างแบบสปอร์ตซึ่งมีค่าคงที่ของ M-Power ปรับตั้งความแข็ง-อ่อนไม่ได้และเน้นไปที่การทำความเร็วเป็นหลัก BMW M2 Competition ใส่ชุดเบรกประสิทธิภาพสูง M Sport Brakes ด้านหน้าเป็นคาลิปเปอร์ 6 Pot และด้านหลังเป็นคาลิปเปอร์แบบ 4 Pot โดยเพิ่มขนาดจานเบรกคู่หน้าเป็น 400 มิลลิเมตร ด้านหลัง 380 มิลลิเมตร คาลิปเปอร์เบรกของ M สีเทาพร้อมผ้าเบรกที่ใหญ่ขึ้นตามขนาดของจานเบรก เบรกประสิทธิภาพสูงของ M2 Competition ให้ความมั่นใจสูงสุดจากการหยุดยั้งแรงม้า 410 ตัวที่สุดยอดเอามากๆ!

เครื่องยนต์ของ BMW M2 Competition เปลี่ยนจากเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียงเทอร์โบของ M235 รหัส N55B30 โดยเสียบแทนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง รหัส S55B30 อัดอากาศด้วยเทอร์โบคู่ ซึ่งเป็นขุมกำลังของรถสปอร์ตรุ่นพี่อย่าง BMW M3 f80 และ M4 f82 เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 6 สูบ ความจุ 3.0 ลิตร 2,979 ซีซี อัดอากาศด้วยเทอร์โบคู่ วางอินเตอร์คูลเลอร์คร่อมฝาสูบเพื่อลดความยาวของท่อ ส่วนตัวเลขความกว้างกระบอกสูบอยู่ที่ 89.6 มิลลิเมตร ช่วงชัก 84.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.2:1 แรงม้าสูงสุดจากการหมุนของข้อเหวี่ยงที่ขึ้นรูปด้วยกรรมวิธีแรงดันสูง หรือฟอร์ซ เค้นกำลังออกมาได้ 410 แรงม้า แรงบิดสูงสุดจัดเต็มที่ 550 นิวตันเมตร ในย่าน 2,350-5,200 รอบต่อนาที เพิ่มขึ้นพอสมควรเมื่อเทียบกับเครื่อง 6 สูบใน M2 รุ่นมาตรฐาน ระบบส่งกำลังของ M2 รุ่นพิเศษยังมีเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะให้เลือกเหมือนเดิม สำหรับลูกค้ารักความสบายก็ขยับไปเกียร์อัตโนมัติทวินคลัตช์ M Double Clutch 7 สปีด การปลดปล่อยกำลังของเครื่องยนต์ M ตัวใหม่ใน M2 Competition อยู่ในย่าน 5,750-7,000 รอบต่อนาที แรงบิดมีให้ตั้งแต่ 1,700 รอบต่อนาทีไปจนถึง 4,750 รอบต่อนาที ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 4.2 วินาที เร็วกว่าเดิมที่เคยทำได้ 4.7 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ออฟชั่น M Drivers Package ปลดล็อกความเร็วเป็น 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

BMW M4 Competition G82 
สถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจในการเปิดตัวของ BMW M รุ่นใหม่ ต้องลดน้อยถอยลงไปแต่อย่างใดทั้งสิ้น ตลาดรถ Luxury Car ทั่วโลก แม้จะโดนผลกระทบบ้างแต่ก็ไม่มากเท่ากับรถ Eco Car ลูกค้าของ BMW มักจะให้ความสนใจกับ M Car ไม่ว่าจะมีราคาเท่าไร ก็ยังมีคนที่ยอมควักกระเป๋าเพื่อแลกกับตัวแรงตระกูล M อยู่เสมอ นี่คือ BMW new M4 Competition Coupé สปอร์ตคูเป้ที่เข้ามาสานต่อตำนานแห่งสมรรถนะของ M Car หลอมรวมจิตวิญญาณ Motor Sport ด้วยงานวิศวกรรมขั้นสูงของ BMW M มาพร้อมสมรรถนะด้านการเร่งความเร็ว การยึดเกาะและความสวยงามตามแบบฉบับรถแข่งพันธุ์แท้ พร้อมระบบควบคุมการขับ ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับรถยนต์สายพันธุ์ M

M4 Competition Coupé มีรูปลักษณ์ที่แปลกตา ด้วยการออกแบบกระจังหน้าทรงไตคู่แนวตั้งขนาดใหญ่ ตัดกับซี่แนวนอนที่ออกแบบพิเศษเฉพาะสำหรับ BMW M ซุ้มล้อที่มีเส้นสายหนักแน่น พร้อมช่องระบายอากาศด้านข้างสไตล์ M กาบข้างพร้อมชิ้นส่วน บริเวณกระโปรงหน้าและท้ายรถ เสริมการตกแต่งด้วยชุดแต่ง M Carbon ประกอบด้วยหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์ ครีบเสริมประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์ ฝาครอบกระจกข้าง กาบข้าง และสปอยเลอร์หลัง ทั้งหมด ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ระบบระบายไอเสียติดตั้งท่อไอเสียแบบคู่ ไฟหน้าพร้อมระบบอัตโนมัติ Adaptive LED ระบบส่องสว่างแบบใหม่ BMW Laserlight ไฟท้ายแบบ Full LED ฝาท้ายและกันชนหลังมีครีบรีดอากาศที่วางรูปทรงให้มีความดุดัน มิติตัวถังของ BMW M4 Competition Coupé มีขนาดความยาว 4,794 มิลลิเมตร กว้าง 1,887 มิลลิเมตร สูง 1,393 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,857 มิลลิเมตร ระยะห่างล้อหน้า 1,617 มิลลิเมตร ระยะห่างล้อหลัง 1,605 มิลลิเมตร ระยะโอเวอร์แฮงก์หน้า 860 มิลลิเมตร ระยะโอเวอร์แฮงก์หลัง 1,077 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,725 กิโลกรัม

M4 Competition Coupé ยังคงใช้เครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูงรหัส S58 เป็นเครื่องยนต์เบนซินรอบจัด อัดอากาศด้วยเทอร์โบ เอกลักษณ์ใหม่ของรถยนต์ในตระกูล M4 ที่เริ่มนำระบบอัดอากาศมาใช้ใน BMW M3 F80 และ BMW M4 F82 โดยมีการอัปเกรดปรับปรุงชุดส่งกำลังให้มีแรงม้าและแรงบิดมากกว่าเดิม เทคโนโลยี M TwinPower Turbo เวอร์ชันล่าสุด เครื่องยนต์ S58 มีความจุ 3.0 ลิตร 2,993 ซีซี แบบ 6 สูบแถวเรียง 4 วาล์วต่อสูบ ขนาดความกว้างกระบอกสูบ 84 มิลลิเมตร ช่วงชัก 90 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.3:1 มีกำลังสูงสุด 375 กิโลวัตต์ หรือ 510 แรงม้า ที่ 6,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตร ที่ 2,750 - 5,500 รอบต่อนาที ระบบส่งกำลังเปลี่ยนใหม่ จากเดิมที่ใช้เกียร์ M-DCT 7 สปีด มาเป็นเกียร์อัตโนมัติ ZF M Steptronic Sport พร้อม Drivelogic แบบ 8 สปีด พร้อมฟังก์ชันที่ช่วยเพิ่มอัตราเร่ง จาก 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบเกียร์ที่มีการปรับปรุงใหม่ ทำให้สามารถรองรับแรงบิดระดับ 650 - 700 นิวตันเมตร สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่เกิดการสูญเสียกำลัง ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมผ่านคันเกียร์ M หรือเปลี่ยนเกียร์ผ่านแป้นเปลี่ยนเกียร์บริเวณพวงมาลัย (Paddle Shift)

องค์ประกอบสำคัญที่ช่วยทำให้เกิดความคล่องตัว การยึดเกาะและการถ่ายเทน้ำหนักที่ดี รวมไปถึงการควบคุมที่เฉียบคม เกิดจากโครงสร้างตัวถังและแชสซี ระบบช่วงล่าง Adaptive M Suspension ติดตั้งโช้คอัพที่ควบคุมการทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพลาหน้าและเพลาท้าย มีความยืดหยุ่นสูง ด้วยการตั้งค่าตามหลักจลนศาสตร์ของ รุ่น M ชุดบังคับเลี้ยวยังคงใช้พวงมาลัยไฟฟ้าอัตราทดแปรผัน M Servotronic ช่วยปรับน้ำหนักของพวงมาลัยให้มีความเหมาะสมกับสปีดความเร็วแต่ละช่วงของการขับ เพิ่มประสิทธิภาพการลดความเร็วด้วยระบบเบรก M compound เป็นชุดเบรกที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ M Dynamic Mode พร้อมโหมดที่เปิดโอกาสให้สามารถขับแบบดริฟต์ได้

BMW M4 Competition Coupé ติดตั้งระบบ M Drive Professional ที่พัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อเสริมสัมผัสที่เร้าใจยิ่งขึ้นขณะขับขี่ในสนามแข่ง โดยมาพร้อมระบบ M Traction Control ปรับระดับระบบป้องกันล้อหมุนฟรีได้ถึง 10 ระดับ ตามความต้องการของผู้ขับ ก่อนสั่งการให้ DSC ทำงาน ครอบคลุมถึงระบบ M Drift Analyser ที่บันทึกและวิเคราะห์คะแนนความแม่นยำในการเข้าโค้งของผู้ขับ พร้อมระบบ M Laptimer บอกเวลาการขับขี่ต่อรอบ รวมถึงข้อมูลการขับขี่อื่นๆ ในสนามแข่ง BMW M4 Competition Coupé ใช้ระบบเฟืองท้าย M Sport ล้ออัลลอย M Forged ลาย Double-spoke แบบสลับสี ขนาด 19 นิ้ว ที่ล้อหน้า และ 20 นิ้วที่ล้อหลัง

M4 Competition Coupé ติดตั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับล้ำสมัย ทำให้การควบคุมในสภาวะต่างๆ ง่ายขึ้น เช่น เซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง ระบบเตือนออกนอกช่องทางเดินรถ ระบบ Driving Assistant และ Parking Assistant รุ่น Plus สำหรับระบบบันเทิงและสื่อสารอินโฟเทนเมนต์ ทำงานบนระบบ BMW Live Cockpit Professional จอแสดงผลแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ พร้อมระบบนำทางที่ดึงข้อมูลจากระบบคลาวด์ BMW Maps และ BMW Intelligent Personal Assistant

BMW 4 Competition Coupé ราคา 9,999,000 บาท

น้ำหนัก
น้ำหนักรถเปล่า (ตามมาตรฐาน EU) 1,800 กิโลกรัม
น้ำหนักสูงสุดที่รับได้ 430.0 กิโลกรัม
ปริมาตรในการบรรจุของ 440 ลิตร (seats up หรือ roof down)

เครื่องยนต์

จำนวนกระบอกสูบ 6 จำนวนวาล์ว 4 วาว์ลต่อสูบ
ปริมาตรกระบอกสูบ 2,993 ซีซี
ระยะชัก 90.0 มิลลิเมตร ขนาดกระบอกสูบ 84.0 มิลลิเมตร
กำลังสูงสุด 375 กิโลวัตต์ 510 แรงม้า ที่ 6250 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตร ที่ 2,750-5,500 รอบ/นาที
อัตราส่วนการอัด: 9.3:1

ล้อ
ขนาดยางหน้า 275/35 R19
ขนาดยางหลัง 285/30 R20
ขนาดล้อหน้าและวัสดุ 9.5Jx19 inches, light-alloy
ขนาดล้อหลังและวัสดุ 10.5Jx20 inches, light-alloy

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในเมือง 13.3 ลิตร/100 กิโลเมตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนอกเมือง 7.6 ลิตร/100 กิโลเมตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยรวมเฉลี่ย 9.7 ลิตร/100 กิโลเมตร
ระดับการปล่อย CO2 โดยเฉลี่ย 223 กรัม/กิโลเมตร)

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/