หลังจากออกขายมานานก็ได้เวลาที่จะเปิดตัวรถรุ่นใหม่ New Ford Everest 2022 เจเนอเรชันใหม่ล่าสุดที่เผยโฉมในวันนี้ (1 มีนาคม 2565) ได้รับการพัฒนาในด้านประสิทธิภาพ ความสะดวกสบายและสมรรถนะของการขับ หน้าตายังคงเชื่อมโยงกับ New Ford Ranger ที่เปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ ในช่วงปลายปี 2564 เป็นยานยนต์พีพีวีที่เน้นความแข็งแกร่งบึกบึนเหมือนเดิม ภายในห้องโดยสารปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่หมด

สำหรับขุมกำลัง เครื่องยนต์ของ New Ford Everest 2022 มีให้เลือกแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ประกอบด้วย เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ และตั้งแต่ พ.ศ. 2566 จะมีเครื่องยนต์เบนซิน 2.3 ลิตร EcoBoost วางจำหน่ายในบางประเทศ คาดว่า ประเทศไทย น่าจะใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบและระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดเหมือนเดิม

...

Ford Everest 2022 พัฒนาขึ้นเพื่อสร้างความสามารถในการใช้งานให้เพิ่มมากขึ้นห้องโดยสาร 7 ที่นั่ง เน้นลูกค้าที่รักการผจญภัย ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง เดินทางไปกับครอบครัวและเพื่อนฝูง ลูกค้ากลุ่มนี้ ให้ความสำคัญกับการใช้งานแบบอเนกประสงค์ สมรรถนะ และพื้นที่ที่กว้างขวางแบบรถยนต์นั่งพีพีวีแนวอเนกประสงค์  ทีมวิศวกรและนักออกแบบ กำหนดเป้าหมายในการพัฒนา New Everest อย่างชัดเจน นั่นคือ การพัฒนารถที่ภายนอกแข็งแกร่ง ภายในมีความทันสมัย พร้อมสมรรถนะการขับเคลื่อนที่ปรับให้ดีกว่าเดิม

...

...

New Ford Everest 2022 มี 3 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น Sport สปอร์ต รุ่น Titanium Plus และรุ่นย่อยใหม่ล่าสุดคือรุ่น platinum โดย Ford จะวางจำหน่ายรุ่นย่อยต่างๆ แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ รายละเอียดอื่นๆ จะมีการเปิดเผยช่วงใกล้การเปิดตัวในประเทศนั้นๆ

New Everest 2022 เพิ่มระยะฐานล้อให้ยาวอีก 50 มิลลิเมตร ขนาดความกว้าง เพิ่มขึ้น 50 มิลลิเมตร ปรับระยะโอเวอร์แฮงค์ให้สั้นลง ใส่ล้ออัลลอย ขนาด 20 นิ้ว รุ่นสูงสุด ติดตั้งไฟหน้า Matrix LED Headlamps ไฟ Daytime Running Light แบบ LED รูปตัว C ไฟท้าย LED ช่องต่อพ่วงอุปกรณ์ Off-Road : Upfitter Switch ราวหลังคา รองรับน้ำหนักได้มากถึง 350 กิโลกรัม (ขณะจอดอยู่กับที่) 

...

ระยะฐานล้อที่กว้างและระยะระหว่างล้อหน้าและหลังที่เพิ่มขึ้นทำให้นักออกแบบสร้างสรรค์รูปลักษณ์ที่ดูล้ำสมัยและบึกบึน ไฟหน้าใหม่รูปตัว C ลายเส้นบนกระจังหน้า ส่วนหน้าของรถยังมีการผสมผสานขององค์ประกอบที่มีทั้งแนวตั้งและแนวนอน เส้นด้านข้างตัวถังทอดยาวจากด้านหน้าจรดท้าย ฐานล้อกว้าง พร้อมด้วยซุ้มล้อขนาดใหญ่ 

ความเงียบของห้องโดยสารที่ถูกปรับปรุงใหม่ การพัฒนาอุปกรณ์และการตกแต่งภายในห้องโดยสาร ได้แรงบันดาลใจมาจากบ้านพักอาศัย การใช้วัสดุตกแต่งที่หรูหรา ติดตั้งไฟสร้างบรรยากาศในทุกส่วน ขนาดความกว้างของห้องโดยสาร เกิดจากการออกแบบที่สอดรับกันหลายส่วนแผงหน้าปัดด้านหน้าที่วางเต็มความกว้างของพื้นที่ คอนโซลกลาง ที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง ที่วางแก้วน้ำแบบพับเก็บได้สำหรับเบาะคู่หน้า บางรุ่นรองรับระบบการชาร์จแบบไร้สาย เกียร์อัตโนมัติแบบ Electronic Shifter หุ้มด้วยหนัง ระบบเบรกไฟฟ้า เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง สามารถปรับอุณหภูมิและระบายอากาศได้ เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง รองรับการจดจำการตั้งค่าส่วนตัวของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เบาะนั่งแถว 2 ยังสามารถปรับอุณหภูมิได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่นย่อย

เบาะนั่งแถวที่ 3 ออกแบบให้เข้า-ออกได้ง่าย จากการออกแบบให้เบาะนั่งแถวที่ 2 ขยับมาด้านหน้ามากกว่าเดิม ผู้โดยสารทุกตำแหน่ง มีพื้นที่เก็บสัมภาระ และชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้ด้วยการติดตั้งปลั๊กไฟทั้ง 3 แถว เบาะนั่งที่ปรับได้หลายแบบ โดยเบาะนั่งแถวที่ 2 ปรับเลื่อนได้ และพับได้แบบแบ่ง 60:40 เบาะนั่งแถวที่ 3 แบ่งที่นั่งในอัตราส่วน 50:50 พับได้แบบไฟฟ้าสำหรับบางรุ่น เบาะแถวที่ 2 และ 3 ยังพับได้แบบแบนราบเพื่อการบรรทุกสัมภาระที่มีความยาวมากๆ ทีมออกแบบคิดค้นวิธีการป้องกันไม่ให้ของตกเมื่อเปิดประตูท้ายรถ มีการสร้างขอบกั้นเล็กๆ ที่เรียกกันเองในทีมว่า “จุดดักแอปเปิล” (Apple catcher) บริเวณด้านหลังของที่เก็บสัมภาระ มีที่เก็บของใต้พื้นรถเพื่อความเป็นระเบียบของห้องโดยสาร

การยกระดับอุปกรณ์เชื่อมต่อการสื่อสารและเทคโนโลยี ภายในห้องโดยสาร ติดตั้งแผงหน้าปัดจอภาพดิจิทัลขนาด 8 หรือ 12.4 นิ้วขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่นย่อย หน้าจอมอนิเตอร์กลางสั่งงานด้วยระบบสัมผัสความคมชัดสูงขนาด 10.1 หรือ 12 นิ้ว 

ระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร SYNC® 4A รองรับการสั่งงานด้วยเสียง เพื่อการสื่อสาร ควบคุมอุปกรณ์ความบันเทิง และการเข้าถึงข้อมูล ติดตั้งโมเด็มมาจากโรงงานเพื่อ เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันฟอร์ดพาส (FordPass™)iv,v มีความสามารถในการสตาร์ตรถจากระยะไกล การตรวจเช็กสถานะต่างๆ ของรถ รวมไปถึงการล็อก และปลดล็อกผ่านโทรศัพท์มือถือ

หน้าจอทัชสกรีนแนวตั้งยังเชื่อมต่อกับกล้อง 360 องศา โดยมีหน้าจอแยกส่วนเพื่อให้จอดรถได้สะดวกในพื้นที่แคบ ช่วยเหลือผู้ขับขี่ในการเดินทางบนสภาพเส้นทางที่มีความสมบุกสมบัน

เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบ ถูกนำมาปรับจูนให้เหมาะกับ New Ford Everest 2022 เพื่อเป็น 1 ใน 3 ตัวเลือกของเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลสำหรับบางประเทศ มีกำลังสูงสุด 253 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 597 นิวตันเมตร  ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด

เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร EcoBoost ขนาด 2.0 ลิตร 1,996 ซีซี. ระบบอัดอากาศเทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด


เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ 1,996 ซีซี. อัดอากาศด้วยเทอร์โบ กำลังสูงสุด 180 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด



ระบบขับเคลื่อน มีทั้งขับเคลื่อนสองล้อ (หลัง) และขับเคลื่อนสี่ล้อ การปรับปรุงโดยหันมาใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยว เพื่อเน้นแรงบิดรอบต่ำ ขณะที่เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ เป็นเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง สำหรับคนที่ต้องการกำลังเครื่องยนต์โดยเฉพาะแรงบิดในการเอาตัวรอดจากเส้นทางออฟโรด 

ฐานล้อที่กว้างขึ้น 50 มิลลิเมตร ทำให้ไดนามิกส์เชื่อมโยงรถเข้ากับผู้ขับขี่ได้ดี ตัวเลือกระบบการขับขี่ 4 ล้อ 2 รูปแบบ วัสดุป้องกันช่วงล่าง โหมดการขับขี่ออฟโรดที่หลากหลาย เฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential ตะขอคู่หน้า และช่องต่อพ่วงอุปกรณ์ออฟโรด Upfitter Switch

ระบบการขับขี่ 4 ล้อทั้ง 2 รูปแบบ ประกอบด้วย เกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ พร้อมการเปลี่ยนโหมดการขับขี่ขณะรถเคลื่อนที่ด้วยระบบไฟฟ้า (Electronic Shift-On-The-Fly) หรือเรียกว่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบพาร์ทไทม์ กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่มาพร้อมเทคโนโลยีขั้นสูงแบบฟูลไทม์ ที่มาพร้อมเกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ (On-Demand Two-Speed Electromechanical transfer case - EMTC) ควบคุมด้วยไฟฟ้าพร้อมโหมดการขับขี่ที่เลือกใช้งานให้เหมาะกับสภาพถนนได้ และในบางประเทศ new Everest 2022 ยังมาพร้อมตัวเลือกระบบการขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อด้วย

หน้าจอแสดงผลสำหรับการขับขี่แบบออฟโรดใน New Everest แสดงผลข้อมูลเกี่ยวกับรถ สภาพเส้นทางด้านหน้า จากกล้องหน้าพร้อมกับแนวเส้นกะระยะ ใช้งานด้วยการกดปุ่ม สามารถเลือกดูข้อมูลได้ครบ ทั้งระบบส่งกำลังและระบบล็อกเฟืองท้าย มุมการบังคับควบคุมพวงมาลัย และระดับความเอียงของรถ ความสามารถในการขับบนพื้นที่ทุรกันดาร ลุยน้ำได้สูงสุด 800 มิลลิเมตร มีความสามารถในการลากจูงเทรลเลอร์ ถึง 3,500 กิโลกรัม (พร้อมเบรก) vi ห้องเครื่อง ออกแบบให้มีพื้นที่สำหรับแบตเตอรี่สำรองอีกลูก เพื่อป้อนพลังงานไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์เสริม

ราวหลังคาของ New Everest เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อการผจญภัยโดยเฉพาะ รองรับน้ำหนักได้มากถึง 350 กิโลกรัม ขณะรถจอดอยู่กับที่ และรับน้ำหนักได้มากถึง 100 กิโลกรัมขณะรถเคลื่อนที่ เพื่อบรรทุกสิ่งของ เช่น จักรยาน เรือแคนู กล่องสัมภาระ เต็นท์บนหลังคารถ พร้อมจุดยึดที่รองรับการใช้งานหลากหลาย สำหรับการติดตั้งหรือใช้อุปกรณ์เสริม

ระบบความปลอดภัย
ถุงลมนิรภัยใหม่ ติดตั้งระหว่างผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า เพิ่มการป้องกันในกรณีที่มีการชนจากด้านข้าง ถุงลมนิรภัยคู่ด้านหน้าป้องกันเข่าและขา ถุงลมนิรภัย 9 ตำแหน่ง รวมถึงถุงลมนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า ถุงลมนิรภัยด้านข้างระดับหน้าอกทั้ง 2 ฟาก และม่านถุงลมนิรภัยคู่ด้านข้างครอบคลุมถึงที่นั่ง 3 แถว ขึ้นอยู่กับรุ่นและประเทศที่จำหน่าย

ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ 2.0 ix จอดรถในพื้นที่แคบได้อย่างปลอดภัย เมื่อกดปุ่มสั่งงาน ระบบจะช่วยบังคับพวงมาลัย ปรับเกียร์ เร่งความเร็วและเบรกในการจอดรถแบบขนานหรือเข้าช่องจอดได้อย่างง่ายดาย ระบบจะนำรถออกจากที่จอดรถแบบขนานเมื่อได้รับคำสั่ง

ไฟหน้าแบบเมทริกซ์ แอลอีดี ที่มีในบางรุ่นและบางประเทศ เพิ่มกำลังในการส่องสว่างเมื่อขับบนถนนที่ไม่มีแสงไฟ พร้อมซอฟต์แวร์ควบคุมการทำงานของระบบไฟที่มีคุณสมบัติชาญฉลาด ได้แก่ ระบบปรับระดับแสงไฟตามความเร็วอัตโนมัติ ปรับความสว่างของแสงไฟด้านหน้าตามระดับความเร็วของรถ ไฟหน้ามีความสามารถในการปรับแสงตามการหักเลี้ยว ทั้งขณะจอดนิ่งและเคลื่อนที่ ไฟสูงแบบป้องกันแสงสะท้อน 

ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติใหม่ มีทั้งหมด 3 แบบ ขึ้นอยู่กับรุ่นและประเทศที่วางจำหน่าย ประกอบด้วย

ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชัน Stop and Go (Adaptive cruise control with stop and go) ช่วยผู้ขับรักษาความเร็วตามที่ตั้งไว้และรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้า พร้อมเบรกให้รถจอดสนิทเมื่อจำเป็น
ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชัน Stop and Go และควบคุมรถให้อยู่กลางช่องทาง (Adaptive cruise control with stop and go and lane centering) จับเส้นแบ่งช่องทางและช่วยควบคุมให้รถอยู่ตรงกลางช่องทางได้

ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัจฉริยะ (Intelligent adaptive cruise control) อ่านป้ายจราจรและปรับความเร็วอัตโนมัติตามที่กำหนดได้

เทคโนโลยีช่วยในการขับขี่ ประกอบด้วย

ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางผสานระบบตรวจจับขอบถนน (Lane-keeping system with road-edge detection) ช่วยป้องกันรถออกจากเส้นทางในพื้นที่ชนบท

ระบบช่วยหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ (Evasive steer assist) ออกแบบให้ทำงานขณะขับขี่ในเมืองหรือบนทางด่วน โดยใช้เรดาร์และกล้องตรวจจับรถที่ขับด้วยความเร็วต่ำหรือหยุดนิ่งด้านหน้า และส่งแรงช่วยผู้ขับขี่บังคับพวงมาลัยหลบเพื่อลดความเสี่ยงจากการชน

ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง (Reverse brake assist) ช่วยให้ถอยหลังเพื่อเข้าซองจอดหรือจอดในพื้นที่แคบๆ ด้วยการเตือนด้วยเสียงและภาพ ระบบสามารถตรวจจับรถ จักรยาน และคนเดินถนนที่ผ่านมาด้านหลังได้ และยังช่วยเบรกให้รถจอดสนิทได้ด้วยหากผู้ขับขี่ไม่ตอบสนองอย่างทันท่วงที

ระบบตรวจจับรถในจุดบอดครอบคลุมส่วนต่อพ่วง (Blind spot information system with trailer coverage) ตรวจจับจุดบอดรอบคันรวมถึงส่วนต่อพ่วง โดยจะแจ้งเตือนผู้ขับขี่เมื่อระบบคาดว่าอาจเกิดอันตราย ระบบนี้รองรับเทรลเลอร์ที่มีความกว้างสูงสุด 2.4 เมตร และยาว 10 เมตร 

ระบบป้องกันการชนเพื่อป้องกันการชนบริเวณทางแยก (Pre-collision assist with intersection functionality) ช่วยส่งแรงเบรกรถอัตโนมัติเพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดผลกระทบจากอุบัติเหตุ ขณะที่ผู้ขับขี่กำลังเลี้ยวรถผ่านช่องทางที่มีรถวิ่งสวน เมื่อระบบประเมินว่าอาจเกิดการชนได้

New Ford Everest 2022  จะเปิดตัวในประเทศไทยปลายปีนี้.

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/